“ท่านน้าสะใภ้มีความสุขก็พอ”เฮอะเฮอะหลิงเชียนอี้หัวเราะด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ จากนั้นก็ขยับก้นห่างออกไป แล้วย้ายเก้าอี้ เพื่อขยับเข้าไปใกล้อวิ๋นอิงเจ้าเด็กคนนี้ ไม่รู้ความเสียเลย อย่างแรกที่จะทำให้อวิ๋นอิงจดจำไม่ควรจะเป็นการเอาใจนางหรอกหรือ?ต่อไปเขาจะต้องลำบากมากแน่เชียนหลีจับคันเบ็ด มองดูปลาหลีฮื้อที่แหวกว่ายไปมาในน้ำ ปลามากมายจนแน่นขนัด แต่ว่าไม่กินเบ็ด ความรู้สึกนี้เหมือนกับเด็กน้อยที่กำลังตกปลา อยู่ในสนามเด็กเล่นตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ รู้สึกหดหู่ใจมากจริง ๆหางตาเหลือบมองเฟิงเย่เสวียนที่อยู่ด้านข้าง กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ยอมให้ต่อรอง“อีกสองวัน ครรภ์ของข้าก็จะครบสามเดือนแล้ว อายุครรภ์สามเดือนถือว่าคงที่แล้ว ถึงเวลานั้นข้าอยากทำอะไรก็จะทำ ใครขวางข้าเป็นหมา”สามเดือนแรก เป็นช่วงที่ทารกในครรภ์อ่อนแอที่สุด แท้งได้ง่ายนางพยายามอดทนมาเกินครึ่งเดือน กินแต่ของดี ดื่มแต่ของดีทุกวัน บำรุงสารพัดอย่าง เพื่อบำรุงครรภ์ให้ทั้งอ้วนทั้งคงที่ วิ่งสักสิบกิโลในรวดเดียวก็ไม่ใช่ปัญหาเฟิงเย่เสวียนลูบหัวเล็ก ๆ ของนาง “ลำบากเชียนหลีแล้ว”เขารู้ว่านางอึดอัดจะแย่แล้ว ย่อมไม่มีทางขัดขวางน
อวิ๋นอิง “?”เกรงใจนางทำไมกัน?หลิงเชียนอี้หันซ้าย มองขวา หลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครมองมา ก็ค่อย ๆ แอบขยับเข้าไปใกล้อวิ๋นอิง มือลูบ ๆ คลำ ๆ บริเวณหน้าอก จากนั้นควักลูกบอลแพรปักสีฟ้าลูกหนึ่งออกมาลูกบอลแพรอันเล็กปักด้วยนกยวนยาง ด้านในใส่กระดิ่งอันเล็กเอาไว้ มีระย้าห้อยยาว ทั้งงดงามทั้งประณีต สวยงามเป็นอย่างยิ่ง“ให้เจ้า”เหมือนว่าเขากลัวว่าจะถูกใครเห็นเข้า นำสิ่งของยัดใส่ในมือของอวิ๋นอิงอย่างรวดเร็วอวิ๋นอิงตะลึงไป “นี่มัน...”“อีกสองวันก็จะเป็นเทศกาลแขวนโคมไปแล้ว เลยให้ของขวัญเจ้า”บอลแพรปักกับนกยวนยาง โดยปกติแล้วเป็นสิ่งของแทนความคิดถึง แล้วก็เป็นสิ่งของที่ฝั่งหญิงสาวใช้แสดงความรู้สึกอีกด้วยหลิงเชียนอี้แฝงความหมายบางประการเอาไว้ เขาคิดว่าอวิ๋นอิงจะสามารถเข้าใจความหมายของเขาได้อวิ๋นอิงยกบอลปักผ้าแพรลูกนั้นขึ้นมา แต่กลับถามว่า “บัวลอย?”หลิงเชียนอี้ “...”นี่คือความคิดถึง!ความคิดถึง!หญิงสาวทั่วทั้งใต้หล้านี้ล้วนแต่รู้ความหมายของบอลผ้าแพรปัก เหตุใดนางจึงไม่เข้าใจล่ะ?นางช่างไม่เหมือนผู้หญิงเอาเสียเลยแม่นางคนอื่นดีพิณ วาดรูป เล่นหมากรุกและเขียนหนังสือ แต่นางวัน ๆ เอาแต่
“ใส่กางเกงแล้วมีความทุกข์อะไร เจ้ากำลังพูดเรื่องลามกอะไร? ช้าก่อน! เจ้าอย่าลากข้า! ทำอะไร...อื้อ ๆ...”“อื้อ”เสียงด้านหลังถูกกลืนหายไป เปลวเทียนในห้องดับลง อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น เกิดความสัมพันธ์ของคู่รักเช้าวันรุ่งขึ้นเทศกาลแขวนโคมไฟ จวนอัครมหาเสนาบดีฉู่ร่วมกินอาหารฉู่เชียนหลีนอนอย่างเกียจคร้าน ตอนที่ลืมตา ก็เกือบจะเที่ยงวันแล้ว ลุกขึ้นมานั่ง เห็นชายหนุ่มกำลังทำงาน ด้วยสีหน้าอารมณ์ดี กระปรี้กระเปร่า เต็มไปด้วยพลัง ราวกับได้ฉีดเลือดไก่ ก็อดไม่ได้ที่จะสีหน้าหมองคล้ำ เขาสบายตัว“ตื่นแล้วหรือ?” ชายหนุ่มพับฎีกาในมือ เหลือบตามองมาฉู่เชียนหลีเลิกผ้าห่มแล้วลงจากเตียง เยว่เอ๋อร์กับอวิ๋นอิงเข้ามาปรนนิบัติ“ยามใดแล้ว?”“พระชายา ใกล้เที่ยงแล้ว”“เที่ยงแล้ว? ข้ายังต้องไปกินอาหารร่วมกับครอบครัวที่จวนอัครมหาเสนาบดีฉู่...” การกินอาหารร่วมกับครอบครัวไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญคือในที่สุดก็ได้ออกจากบ้านอวิ๋นอิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนไปกินอาหารร่วมกับครอบครัว เจ้ายังไปไม่ถึง ใครจะกล้าขยับตะเกียบก่อน?”ไปเร็วก็ดี ไปสายก็ช่าง ให้คนพวกนั้นรออย่างว่าง่าย“ถูกต้อง!” เยว่เอ๋อ
“บัณฑิตกล้าหาญมาก ยอมเสียสละทุกอย่าง เพื่อความรัก นี่สิถึงเรียกว่าความรักที่แท้จริง เขาคงจะไม่ตายหรอกใช่หรือไม่ ฮือ ๆ ๆ” เยว่เอ๋อร์ซาบซึ้งใจจนสะบัดผ้าเช็ดหน้าไปมา ร้องไห้น้ำตาร่วงแหม่ะ ๆฉู่เชียนหลีแสบจมูก“ตามบททั่วไปแล้ว น่าจะไม่ตายหรอก ตายแล้วละครเล่มนี้ก็ต้องจบใช่หรือไม่?”อาจจะเป็นเพราะกำลังตั้งครรภ์ นางจึงกลายเป็นคนอารมณ์อ่อนไหว บ่อน้ำตาตื้น อารมณ์อ่อนแอ บทละครเรื่องเดียวก็ทำให้นางซาบซึ้งใจได้ขนาดนี้แล้ว นางไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนอวิ๋นอิงประคองหนังบทละคร กล่าว“การเสียสละชีวิต เพื่อคนที่เรารัก เป็นสิ่งที่คุ้มค่า แม้ว่าจะตายไปแล้ว ก็จะจดจำอยู่ภายในใจของคนนั้นตลอดไป”หญิงสาวสามคนถูกเรื่องเล่าเรื่องนี้ทำให้ซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งเฟิงเย่เสวียนที่กำลังทำกิจราชการสีหน้าหม่นหมอง “...”ยกโทษที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้ แค่การอ่านบทละคร มีอะไรน่าร้องไห้กัน?องค์หญิงแต่งงานกับบัณฑิต?ความรักอันบริสุทธิ์?บัณฑิตมีวรยุทธ์สูงส่ง?บทละครพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องแต่งขึ้นมาทั้งนั้น เรื่องจริงมักจะโหดร้ายกว่าในบทละครมากนัก ในความเป็นจริง มีองค์หญิงองค์ไหนบ้างที่ไม่แต่งงานกับท่านอ๋อง ท่านโหว แม
จวนอัครมหาเสนาบดีฉู่ เทศกาลแขวนโคมไฟ กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา งานเลี้ยงจัดขึ้นยามเว่ย (เวลาบ่ายสามโมง) แต่ฉู่เชียนหลีมาถึงสี่โมงทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายฉู่ ฮูหยินฉู่ นางอัน ฉู่หงหลวน ฉู่ซวงกับหานมู่ซี ฉู่เจียวเจียวกับอ๋องหลีทุกคนรอมาเป็นเวลาเกินครึ่งชั่วยามแล้ว ฉู่เชียนหลีถึงได้แบกท้อง ค่อย ๆ เดินเข้ามาจวนอ๋องเฉินขบวนใหญ่โต อ๋องเฉินมาด้วย องครักษ์ลับคุ้มกัน สาวใช้คอยปรนนิบัติ เด็กรับใช้เปิดทาง คนสิบกว่าคนห้อมล้อมพระชายาอ๋องเฉิน การอารักขาแน่นหนา จนไม่มีแม้กระทั่งโอกาสที่จะล้มฉู่เชียนหลีเดินเล่นมาตลอดทาง ทั้งซื้อของ กินดื่ม จนกระทั่งตอนที่ถึงจวนอัครมหาเสนาบดีฉู่ ก็เดินเล่นมาจนพอใจแล้วนางยิ้ม “ขออภัย ที่ทำให้ทุกคนต้องรอนาน ข้าคงจะไม่ได้มาช้าไปใช่หรือไม่?”นางไม่ได้อยากจะมากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาอะไรไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน แล้วก็ไม่มีธุระอะไร แล้วก็ยังไม่มีความรู้สึกผูกพันอีกด้วย กินข้าวอะไรกัน?ภายนอกพูดว่ากินข้าว ใครจะรู้ว่าในหัวของคนพวกนี้มีแผนชั่วอะไรอยู่?ฉู่ซวงขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “แน่นอนว่าเจ้ามาช้า! เจ้าดูเวลาสิว่าตอนนี้มันยามใดแล้ว...”“ซว
ทุกคนมองฉู่เชียนหลีด้วยความสงสัย หลงอ้าวเทียน? ใครคือหลงอ้าวเทียน?ฉู่เชียนหลีเช็ดปากอย่างสง่างาม ช่วงนี้อ่านนิยายเยอะเกินไป อินกับบทมากเกินไป กินข้าวก็ยังนึกถึง“ข้ากินอิ่มแล้ว ทุกคนค่อยๆ กิน ไม่ต้องรีบ”จิบชาบ้วนปากสองคำ ลุกขึ้นยืน พยุงเอวก็เดินจากไปอย่างสบายใจแล้วฉู่ซวงถลนตา “?”ไปทั้งเช่นนี้แล้ว?ท่านพ่อยังนั่งอยู่ตรงนั้นเลย นางที่เป็นเด็กรุ่นหลังคนหนึ่งไปโดยไม่เห็นหัวใครทั้งเช่นนี้? มีเช่นนี้ที่ไหนกัน?นางตบโต๊ะลุกขึ้นยืน ตอนที่กำลังจะระเบิดอารมณ์ นางอันเผยอมุมปาก ถอนหายใจเบาๆ“เฮ้อ นายท่าน ท่านอย่าไปถือสาเสียวฉู่เลย ตอนนี้นางตั้งครรภ์ อารมณ์แปรปรวน หากมีตรงไหนที่ไม่ได้ดั่งใจนาง กระทบต่อลูกในท้อง เกรงว่าหากฝ่าบาทรู้จะกล่าวโทษเอานะ”คำพูดที่มาถึงปลายลิ้นของฉู่ซวง ถูกกลืนกลับเข้าไปทั้งเช่นนี้อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายฉู่อยู่ในแวดวงขุนนางมานานหลายปี ย่อมไม่อารมณ์เสียเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ในครอบครัว สีหน้าของเขาไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เพียงแค่พยักหน้าอย่างเรียบเฉย“แล้วแต่นางเถอะ”แล้วนางอันก็หันไปมองทางฮูหยินฉู่ กล่าวด้วยรอยยิ้ม“ฮูหยิน ท่านก็ควรจะเกลี้ยกล่อมคุณหนูใหญ่ห
อาศัยเศษจี้หยกครึ่งชิ้น ต้องการหาเบาะแสเมื่อสิบห้าปีก่อน บนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ ทั่วใต้ฟ้าผืนนี้ ก็เหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทรไม่รู้ว่าจะหาถึงปีใดเดือนใดฉู่เชียนหลีลูบท้องเบาๆ สงบจิตใจที่เศร้าโศก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ข่มอารมณ์ “อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายฉู่น่าจะพูดคุยกับท่านอ๋องอีกสักพัก พวกเราไปกันก่อนเถอะ”ยกเท้าไม่ระวังเหยียบโดนหินก้อนหนึ่ง พื้นรองเท้าลื่น เท้าบิดกะทันหัน“ระวัง!”“พระชายา!”ฝ่ามือใหญ่ที่มีกำลังข้างหนึ่งเกี่ยวเอวฉู่เชียนหลีจากด้านหลังไว้แน่น ประคองร่างกายนางไว้อย่างมั่นคงเท้าฉู่เชียนหลียืนอย่างมั่นคง เตะก้อนหินที่เป็นต้นเหตุทิ้ง หันกลับไปมอง พบว่าคนที่ประคองนางคือเฟิงเจิ้งหลี?นางประหลาดใจเล็กน้อย พลันยิ้มจางๆ “ขอบคุณ”“พวกเจ้ากินข้าวเสร็จเร็วเช่นนี้เลย?”เฟิงเจิ้งหลีถอนมือกลับ มองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่เจอกันหนึ่งเดือน นางสมบูรณ์ขึ้นมาก สีหน้าเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล มองออกได้ไม่ยากว่าชีวิตช่วงที่ผ่านมาของนางมีความสุขมากเห็นนางไม่เป็นอะไร ก็วางใจแล้ว“อืม” เขาหลุบตาลง มองไปที่ท้องของนาง “ลูก…ไม่ได้ทรมานเจ้ากระมัง?”ฉู่เชียนหลีลูบท้อง ยิ้มได้ปลื้มใจมาก “เป็นเ
“กลับมาเดี๋ยวนี้!”“อ๊ะ!”นางกรีดร้อง คำราม ตวาด มือที่ตีประตูตีจนออกเลือด กลับไม่มีใครสนใจนางถูกขังอยู่ในเรือนแห่งนี้ กินดื่มขับถ่ายล้วนอยู่ในนี้ ไม่สามารถจากไปตลอดชีวิต และยังมีลูกของนาง…ลูก!“ซือเอ๋อร์!”นางนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน รีบวิ่งกลับเข้าไปในห้องนอน เหยียบย่ำข้าวบูดที่สาดกระจายเต็มพื้น กระโจนไปบนเตียงเล็กๆ ที่เรียบง่ายเฟิงเจิ้งซือที่อายุยังน้อยมีไข้ขึ้นสูง แก้มแดงก่ำ อุณหภูมิร่างกายสูงมาก อยู่ในอาการสะลึมสะลือ ไข้ขึ้นสูงจนสติเลือนราง“สะ…เสด็จแม่…”ลมหายใจของนางร้อนผ่าว เสียงอ่อนแอจนแทบฟังไม่ชัดเจน“เสด็จพ่อ…เสด็จพ่อมารับพวกเราแล้วหรือ…”น้ำตาพระชายาองค์ชายใหญ่หลั่งไหลเหมือนสายฝน จับมือของลูกไว้แน่น เสียงสะอึกสะอื้น“ซือเอ๋อร์เป็นเด็กดีนะ ไม่ต้องห่วง อีกไม่นานเสด็จพ่อของเจ้าก็จะมารับพวกเรากลับจวนรัชทายาทแล้ว เจ้านอนก่อน หลังจากตื่น พวกเราก็กลับบ้านแล้ว”เฟิงเจิ้งซือยันเปลือกตาที่บางเหมือนผ้าไหมอย่างยากลำบาก และหอบหายใจ“จริง จริง…หรือ…”“จริง จริงๆ!” พระชายาองค์ชายใหญ่พยักหน้าแรงๆ น้ำตาไหลออกมาเป็นเม็ดๆ ใกล้จะแตกสลายแล้ว “ซือเอ๋อร์เป็นเด็กดีนะ นอนตื่นมาก
อันธพาลเจ็บจนกรีดร้องเหมือนหมูโดนเชือด “อ๊ะๆ!”ยังไม่ทันได้พักหายใจ ก็โดนถีบจนไปกลิ้งอยู่บนพื้น รองเท้าปักลายดอกไม้เหยียบลงบนหน้าอก หนักจนทำให้เขาหายใจไม่ออก กระอักเลือดออกมา“พู่!”เขากอดต้นขาของอวิ๋นอิง อยากดิ้นให้หลุด แต่หาของอวิ๋นอิงกดทับอยู่บนร่างกายของเขาเหมือนเหล็กกล้า และเขาก็เหมือนกับปลาตัวหนึ่งที่ถูกตอกตะปูอยู่บนเขียง พยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แต่ก็ดิ้นไม่หลุดเจอผีแล้ว!ทั้งที่นางผอมเช่นนี้ เหตุใดจึงมีแรงมากเช่นนี้?ผู้หญิงคนนี้ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือ?ชาวบ้านก็ตะลึงเช่นกันอวิ๋นอิงอุ้มลูกสาวไว้ด้วยมือข้างเดียว ค่อยๆ ก้มลง ยกฝ่ามืออีกข้าง เหวี่ยงไปที่ใบหน้าของอันธพาลโดยตรง“ข้าสั่งให้เจ้าเก็บ”เพียะ!“ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ?”เพียะ!“หูหนวกหรือ?”เพียะ!หนึ่งประโยค หนึ่งฝ่ามือ ตบจนอันธพาลหันซ้ายหันขวา มุมปากแตกมีเลือดไหล หูอื้อ สะบักสะบอมเหมือนสุนัขจรจัดตัวหนึ่ง ไม่หลงเหลือความฮึกเหิมของก่อนหน้านี้เลย“ลูกพี่!”ลิ่วล้อสามคนคว้าโต๊ะเก้าอี้และท่อนไม้ที่อยู่ข้างๆ ฟาดไปทางอวิ๋นอิงอย่างแรงอวิ๋นอิงกระโดนหมุนตัวเตะพวกเขาสามคนจนลอยกระเด็นออกไปไกลเจ็ดแปดเมตร โดยไม่หั
ตงหลิงเจียงหนาน ทำเนียบสามเดือนที่พระชายาจากไป อ๋องเฉินเอาแต่เก็บตัว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก หานเฟิงต้องรับผิดชอบงานแทนทุกอย่าง เมื่อนานวันเข้า โลกภายนอกต่างกำลังคาดเดา จิตใจของอ๋องเฉินได้รับกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น เกรงว่าเหลือเวลาอีกไม่นานแล้วช่วงนี้ ในที่สุดอาการบาดเจ็บของจิ่งอี้ก็ดีขึ้นแล้วอาการบาดเจ็บทางกระดูกหรือเส้นเอ็น ต้องรักษาอย่างน้อยหนึ่งร้อยวันในที่สุดกระดูกซี่โครงที่หักสองซี่ก็หายดีแล้ว สามารถขี่ม้าได้แล้ว ตอนนั้นเขาบอกว่าจะนำทัพกลับแคว้นซีอวี้ทันทีแต่ก่อนไป เขาถามเหมือนไม่ใส่ใจ“เหตุใดไม่เจอแม่นางอวิ๋นอิงเลย?”จ้านหูจริงจังขึ้นมาทันที เขาตอบ“องค์ชายใหญ่ ข้าจะส่งคนไปสืบเดี๋ยวนี้!”“ไม่ต้อง”หลังจากปฏิเสธอย่างเฉยเมย ปีนขึ้นหลังม้า ขี่ออกไปคนเดียวแล้วจ้านหู “?”หมายความว่าอย่างไร?ตอนที่องค์ชายใหญ่หมดสติ แม้อวิ๋นอิงบอกว่าไม่สนใจ แต่แอบมาเยี่ยมองค์ชายใหญ่ตอนดึกดื่นเวลาที่ไม่มีคนองค์ชายใหญ่ก็อีกคน ทั้งที่คิดถึงอวิ๋นอิง แต่ไม่ยอมรับในใจของพวกเขาสองคนล้วนมีอีกฝ่าย ลูกสาวก็อายุเกือบครึ่งขวบแล้ว เหตุใดไม่ลองเปิดใจสักนิดแล้วอยู่ด้วยกันเลย
คืนแรกที่มาถึงต่างโลก ฉู่เชียนหลีฝันในความฝัน นางอยู่บนสนามรบ สู้จนตัวตาย เลือดไหลเป็นแม่น้ำ น่าสลดใจนัก…ในความฝัน นางได้ต่อสู้ร่วมกับชายคนหนึ่งที่มองไม่เห็นใบหน้า ร่วมเป็นร่วมตาย และยังมีเสียงที่นุ่มนิ่มของเด็ก เรียก ‘ท่านแม่’ ครั้งแล้วครั้งเล่าในความฝัน ราวกับนางได้รับความอยุติธรรมครั้งใหญ่ หัวใจเจ็บปวด และพยายามอธิบายสุดชีวิต แต่พวกคนที่เรียกตัวเองว่า ‘ครอบครัว’ ไม่เชื่อนาง และยังบีบคั้นนางสู่เส้นทางที่สิ้นหวังในความฝัน…มีคนกำลังเรียกนาง‘เชียนหลี…เชียนหลี…’ฉึก!ฉู่เชียนหลีลืมตาฉับพลัน ท้องฟ้าข้างนอกสว่างแล้ว แสงแดดอุ่นๆ ยามเช้าสาดส่องเข้ามา สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของอากาศ สงบมากนางรู้สึกเวียนศีรษะ และแน่นหน้าอกราวกับนางอยู่ในความฝันอันยาวนานจริงๆนางได้รับความอยุติธรรมนางถูกคนในครอบครัวฆ่าตายแต่เหตุใดนางจำผู้ชายที่เรียกนาง และภาพที่เรียกนางว่า ‘ท่านแม่’ ไม่ได้เลย“องค์หญิง ท่านตื่นแล้ว”เมื่ออ้ายอ้ายได้ยินเสียง ถือกะละมังน้ำอุ่นกับเครื่องใช้เข้ามาปรนนิบัติฉู่เชียนหลีนวดขมับ อยู่ในอาการเหม่อลอย แขนขาอ่อนแรง ไม่มีแรงขยับ ดึงผ้าห่มออก ลงจากเตียง สวมรองเท้
สาวใช้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รีบฝนหมึกอย่างเชื่อฟังมองดูองค์หญิงรีบหยิบพู่กัน เขียนอะไรบางอย่าง ท่าทางที่รีบร้อนนั่น เมื่อก่อนเวลาที่นังเป็นห่วงคุณชายเซิ่น ยังไม่รีบร้อนเช่นนี้เลยองค์หญิงกระโดดสระน้ำ หมดสติไปสามวัน หลังจากฟื้น ก็เปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย?นิสัยเปลี่ยนไปน้ำเสียงเปลี่ยนไปแต่เมื่อลองตั้งใจมอง องค์หญิงยังคงเป็นองค์หญิง ยังคงเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยฉู่เชียนหลีเขียนอย่างรวดเร็ว…อ๋องเฉินเป็นอย่างไรบ้าง ข้าอยู่แคว้นหนานยวน…พลางเขียน พลางกล่าวอย่างรีบร้อน “รีบไปหาคน ช่วยข้าส่งจดหมายฉบับนี้ไปให้อ๋องเฉินที่ตงหลิงเจียงหนาน”นางอยากบอกความจริงกับเฟิงเย่เสวียน ต่อให้ตนลืมแล้ว แต่เฟิงเย่เสวียนจำนางได้เขาจะต้องมาหานางแน่นอนไม่ช้าก็เร็วสักวัน พวกเขาครอบครัวสี่คนจะอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา“อ๋องเฉินแห่งตงหลิงเจียงหนาน?”สาวใช้เกาศีรษะด้วยความสงสัย “องค์หญิง ท่านส่งจดหมายให้อ๋องเฉินทำไม? ท่านรู้จักอ๋องเฉินตั้งแต่เมื่อไร?”ฉู่เชียนหลีรีบกล่าว“อธิบายกับเจ้าไม่ได้ แต่ความสัมพันธ์ของข้ากับอ๋องเฉินไม่ธรรมดา…อ๋องเฉิน? อ๋องเฉินตงหลิง?”เงยหน้าฉับพลัน“ข้ารู้จักอ๋องเฉ
ทุกคน “...”สีหน้าฮ่องเต้หนานยวนดูไม่ดีนัก เซิ่ยซือเฉินเป็นแค่บัณฑิตคนหนึ่ง เพื่อบัณฑิตคนหนึ่ง ต้องทุ่มสุดตัวเช่นนี้เลย ต้องตื่นเต้นเช่นนี้เลย?ในฐานะองค์หญิง ไม่ควรมองให้ไกลกว่านี้หน่อยหรือ?เพื่อป้องกันจวินลั่วยวนทำร้ายตัวเอง เขาออกคำสั่ง มัดมือและเท้าของนางโดยตรงจวินลั่วยวนขยับไม่ได้แล้วเห็นท่าทางที่จะยิ้มไม่ยิ้มของฉู่เชียนหลี และยังเลิกคิ้วอย่างยั่วยุ นางโมโหจนแทบกัดลิ้นฆ่าตัวตายหลังจากเหตุการณ์ที่วุ่นวาย ไปจากตำหนักองค์หญิงฉู่เชียนหลีกับหลิงอี้ซิงเดินเคียงข้างกันจากไป เมื่ออารมณ์ดี จังหวะการเดินก็ผ่อนคลายเป็นพิเศษ อดไม่ได้ที่จะฮัมเพลงเบาๆฮัมไปฮัมมา จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าหลิงอี้ซิงเป็นผู้มีจิตใจเมตตา อุทิศตนให้กับความดีและคุณธรรมหยุดฝีเท้าหันไปถาม “ท่านพี่ ท่านน่าจะเห็นกระมัง ว่าข้าจงใจรังแกจวินลั่วยวน?”หลิงอี้ซิงเดินตามปกติ สายตามองไปข้างหน้า พยักหน้าอย่างเกียจคร้าน ตอบสั้นๆ เพียงคำเดียว“อืม”“ท่านไม่รู้สึกว่าข้านิสัยไม่ดีหรือ?”เขาหยุดเดินหันมามองนาง กล่าวอย่างจริงจัง “ที่เจ้ารังแกนาง นั่นก็ต้องเป็นเพราะนางล่วงเกินเจ้าก่อนแน่นอน ล้วนเป็นความผิดของนาง”เขาไ
“ยวนเอ๋อร์! ยวนเอ๋อร์!” ฮ่องเต้หนานยวนร้อนใจจนหน้าถอดสี “ใครก็ได้ ใครก็ได้รีบมาเร็ว ยวนเอ๋อร์เสียเลือดมากเกินไป หมดสติไปแล้ว!”จวินลั่วยวนที่ ‘เสียเลือดมากเกินไปจนหมดสติ’ “...”เจ้าน่ะสิที่เสียเลือดมากเกินไปเจ้าเสียเลือดมากเกินไปทั้งครอบครัว!หมอหลวงมาอย่างรวดเร็ว หลังจากทำแผลให้จวินลั่วยวนเสร็จ ถอนหายใจด้วยความกังวล “สามเดือนแล้ว ในที่สุดเอ็นขององค์หญิงก็เชื่อมต่อกัน คิดไม่ถึงว่าขาดอีกแล้ว ความพยายามในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาล้วนสูญเปล่า” ต่อจากนี้ก็ต้องใช้เวลาอีกสามเดือน เปิดบาดแผล บำรุงเอ็นทุกวันเมื่อฉู่เชียนหลีได้ยินคำนี้ เบ้าตาแดงฉับพลัน“ล้วนเป็นความผิดของข้า…”นางดึงชายเสื้อของหลิงอี้ซิง กล่าวเสียงสะอึก“ท่านพี่ ข้ามันไม่ดี ต้องเป็นเพราะเรื่องของคุณชายเซิ่นแน่ องค์โกรธข้า ไม่ชอบข้า จึงฟาดมือของตัวเองใส่เสา เพื่อเป็นการแสดงความรังเกียจต่อข้า”“ข้าทำร้ายนาง ฮือๆ…”หลิงอี้ซิงรักน้องสาว ทุกคนในแคว้นหนานยวนรู้เรื่องนี้แล้วฮ่องเต้หนานยวนกล่าวโทษนางได้อย่างไร?กลับกัน เขายังต้องขอร้องหลิงอี้ซิงทักษะการทำนายของหลิงอี้ซิงมีเพียงหนึ่งเดียวในใต้ฟ้า ตลอดหลายปีที่เขานั่งตำแหน
ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน นางค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้เตียง จวินลั่วยวนนอนหลับแล้ว ไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน หน้าซีดซูบผอม เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกฉู่เชียนหลีเหลือบมองแวบหนึ่ง“เหตุใดข้อมือของนางยังมีเลือด?”สามเดือนแล้ว แผลยังไม่หาย?นางกำนัลที่อยู่ข้างๆ ตอบ“หมอหลวงบอกว่า จะใช้ยาพิเศษรักษาเอ็นมือและเท้าที่ขาดขององค์หญิง จำเป็นต้องเปิดแผล ขยับเอ็นที่ขาดไปรวมกันทุกวัน จนกระทั่งเชื่อมต่อกัน”“ฮืม?”ฉู่เชียนหลีเลิกคิ้วด้วยความสนใจเช่นนี้ก็เท่ากับว่า จวินลั่วยวนต้องทนกับความเจ็บปวดที่ใช้มีดเปิดปากแผลทุกวันติดต่อกันสามเดือนเต็มๆ น่าสังเวชน่าจะเจ็บมากกระมัง?นางค่อยๆ นั่งลง จับข้อมือของจวินลั่วยวนเบาๆ มองผ้าพันแผลที่ถูกพันห้าหกรอบอย่างครุ่นคิดทันใดนั้นออกแรงกดที่นิ้ว“ซี้ด…!”จวินลั่วยวนเจ็บจนตื่น ลืมตาทันทีฉู่เชียนหลีรีบปล่อยมือ “โอ๊ย…ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจแตะตัวท่าน ดูท่านเจ็บมากเลยนะ ขอโทษจริงๆ”“!”หลินเหยี่ยมาอยู่ในตำหนักของนางได้อย่างไร?นางรังเกียจผู้หญิงคนนี้ที่สุด!อาศัยที่พี่ชายของตัวเองเป็นราชครู แสร้งทำเป็นช่วยเหลือชาวบ้าน ทำแต่ความดีทุกวัน มีแต่คนบอกว่าองค์หญ
เซิ่นสือเฉิน “?”เหตุใดวันนี้รู้สึกว่าหลิงเหยี่ยแปลกๆ?เมื่อก่อนนางชอบเขามากเลยไม่ใช่หรือ? เวลาที่เขาอ่านหนังสือ นางชอบมาอยู่ข้างๆ ฝนหมึกพัดลมให้เขา เวลาที่เขาเขียนหนังสือ นางชอบแอบที่นอกหน้าต่าง จับจิ้งหรีดเล่น เวลาที่เขางีบหลับ นางมักจะชงชาหิมะชั้นดีมาให้เขานางยังบอกว่าจะแต่งงานกับเขาคนเดียวเหตุใดแค่วันเดียว ก็ปล่อยวางได้แล้ว?“องค์หญิงหลิง ข้าขอโทษ” เขากล่าวอย่างรู้สึกผิดที่จริงเขาก็ชอบหลิงเหยี่ยเช่นกัน แต่องค์หญิงยวนบอกเขาว่าหลิงเหยี่ยนิสัยไม่ดี ชอบรังแกคนรับใช้ หาเรื่องชาวบ้าน ใส่ร้ายโยนความผิดให้ผู้อื่นด้วยวิธีที่น่ารังเกียจ และทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายเขาเป็นคนเรียนหนังสือ นิสัยซื่อตรง ไม่สามารถยอมรับคนที่จิตใจอำมหิตอย่างหลิงเหยี่ยเมื่อเปรียบเทียบกัน เขาชอบจวินลั่วยวนที่ไร้เดียงสา จิตใจดี และร่าเริงมากกว่า“เมื่อก่อนท่านส่งข้าเรียนหนังสือ ช่วยข้าหาอาจารย์ ใช้เส้นสาย ทำให้ข้าสอบติดขุนนาง…บุญคุณส่วนนี้ ข้า ข้าทำได้เพียงตอบแทนท่านชาติหน้าแล้ว…”ฉู่เชียนหลียิ้มอย่างอ่อนโยน“ไม่เป็นไร แค่เรื่องเล็กน้อย”“ได้ยินมาว่าองค์หญิงยวนได้รับบาดเจ็บ พวกเราเข้าวังไปดูนางกันเ
องค์หญิง?คุณชายเซิ่น?ฉู่เชียนหลีไม่ได้รับความทรงจำใดๆ เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก สับสนและงงงวยเล็กน้อยยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีเสียงฝีเท้าที่ยุ่งเหยิงและเสียงต่อต้านดังมาจากนอกประตู “ใต้เท้าหลิง! ใต้เท้าหลิง ต่อให้ท่านบีบคั้นข้าจนตาย ข้าก็ไม่แต่งงานกับนาง!”“ตั้งแต่ต้นจนจบ ในใจข้ามีเพียงองค์หญิงยวนเอ๋อร์เท่านั้น!”ยวนเอ๋อร์?องค์หญิง?ฉู่เชียนหลีเงยหน้ามองไป เห็นชายหนุ่มสวมชุดเพ้าสีขาวและที่ครอบผมหยก กำลังลากผู้ชายที่ท่าทางสุภาพเหมือนคนเรียนหนังสือเข้ามานางตระหนักถึงบางอย่าง รีบดึงสาวใช้ที่อยู่ข้างกายมาถามเบาๆ“ที่นี่คือแคว้นหนานยวน?”สาวใช้ “?”องค์หญิงเป็นอะไรไป?เหตุใดถามคำถามเช่นนี้?“องค์หญิง ท่าน…”“อย่าพูดไร้สาระ ตอบข้า!”สาวใช้ตกใจ รีบกล่าว “ท่านคือหลิงเหยี่ย องค์หญิงต่างแซ่ของแคว้นหนานยวน ใต้เท้าคือมหาราชครูของแคว้นหนวนยวน เป็นพี่ชายแท้ๆ ของท่าน เพราะใต้เท้าชำนาญการทำนาย เคยช่วยแคว้นสามครั้ง สร้างคุณประโยชน์มากมาย ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์หญิงต่างแซ่…”คำพูดที่เหลือ ฉู่เชียนหลีมองข้ามโดยตรงสิ่งเดียวที่นางคิดคือ นางถูกส่งมาเป็นองค์หญิงต่างแซ่ อีกท