อวิ๋นอิง “?”เกรงใจนางทำไมกัน?หลิงเชียนอี้หันซ้าย มองขวา หลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครมองมา ก็ค่อย ๆ แอบขยับเข้าไปใกล้อวิ๋นอิง มือลูบ ๆ คลำ ๆ บริเวณหน้าอก จากนั้นควักลูกบอลแพรปักสีฟ้าลูกหนึ่งออกมาลูกบอลแพรอันเล็กปักด้วยนกยวนยาง ด้านในใส่กระดิ่งอันเล็กเอาไว้ มีระย้าห้อยยาว ทั้งงดงามทั้งประณีต สวยงามเป็นอย่างยิ่ง“ให้เจ้า”เหมือนว่าเขากลัวว่าจะถูกใครเห็นเข้า นำสิ่งของยัดใส่ในมือของอวิ๋นอิงอย่างรวดเร็วอวิ๋นอิงตะลึงไป “นี่มัน...”“อีกสองวันก็จะเป็นเทศกาลแขวนโคมไปแล้ว เลยให้ของขวัญเจ้า”บอลแพรปักกับนกยวนยาง โดยปกติแล้วเป็นสิ่งของแทนความคิดถึง แล้วก็เป็นสิ่งของที่ฝั่งหญิงสาวใช้แสดงความรู้สึกอีกด้วยหลิงเชียนอี้แฝงความหมายบางประการเอาไว้ เขาคิดว่าอวิ๋นอิงจะสามารถเข้าใจความหมายของเขาได้อวิ๋นอิงยกบอลปักผ้าแพรลูกนั้นขึ้นมา แต่กลับถามว่า “บัวลอย?”หลิงเชียนอี้ “...”นี่คือความคิดถึง!ความคิดถึง!หญิงสาวทั่วทั้งใต้หล้านี้ล้วนแต่รู้ความหมายของบอลผ้าแพรปัก เหตุใดนางจึงไม่เข้าใจล่ะ?นางช่างไม่เหมือนผู้หญิงเอาเสียเลยแม่นางคนอื่นดีพิณ วาดรูป เล่นหมากรุกและเขียนหนังสือ แต่นางวัน ๆ เอาแต่
“ใส่กางเกงแล้วมีความทุกข์อะไร เจ้ากำลังพูดเรื่องลามกอะไร? ช้าก่อน! เจ้าอย่าลากข้า! ทำอะไร...อื้อ ๆ...”“อื้อ”เสียงด้านหลังถูกกลืนหายไป เปลวเทียนในห้องดับลง อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น เกิดความสัมพันธ์ของคู่รักเช้าวันรุ่งขึ้นเทศกาลแขวนโคมไฟ จวนอัครมหาเสนาบดีฉู่ร่วมกินอาหารฉู่เชียนหลีนอนอย่างเกียจคร้าน ตอนที่ลืมตา ก็เกือบจะเที่ยงวันแล้ว ลุกขึ้นมานั่ง เห็นชายหนุ่มกำลังทำงาน ด้วยสีหน้าอารมณ์ดี กระปรี้กระเปร่า เต็มไปด้วยพลัง ราวกับได้ฉีดเลือดไก่ ก็อดไม่ได้ที่จะสีหน้าหมองคล้ำ เขาสบายตัว“ตื่นแล้วหรือ?” ชายหนุ่มพับฎีกาในมือ เหลือบตามองมาฉู่เชียนหลีเลิกผ้าห่มแล้วลงจากเตียง เยว่เอ๋อร์กับอวิ๋นอิงเข้ามาปรนนิบัติ“ยามใดแล้ว?”“พระชายา ใกล้เที่ยงแล้ว”“เที่ยงแล้ว? ข้ายังต้องไปกินอาหารร่วมกับครอบครัวที่จวนอัครมหาเสนาบดีฉู่...” การกินอาหารร่วมกับครอบครัวไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญคือในที่สุดก็ได้ออกจากบ้านอวิ๋นอิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนไปกินอาหารร่วมกับครอบครัว เจ้ายังไปไม่ถึง ใครจะกล้าขยับตะเกียบก่อน?”ไปเร็วก็ดี ไปสายก็ช่าง ให้คนพวกนั้นรออย่างว่าง่าย“ถูกต้อง!” เยว่เอ๋อ
“บัณฑิตกล้าหาญมาก ยอมเสียสละทุกอย่าง เพื่อความรัก นี่สิถึงเรียกว่าความรักที่แท้จริง เขาคงจะไม่ตายหรอกใช่หรือไม่ ฮือ ๆ ๆ” เยว่เอ๋อร์ซาบซึ้งใจจนสะบัดผ้าเช็ดหน้าไปมา ร้องไห้น้ำตาร่วงแหม่ะ ๆฉู่เชียนหลีแสบจมูก“ตามบททั่วไปแล้ว น่าจะไม่ตายหรอก ตายแล้วละครเล่มนี้ก็ต้องจบใช่หรือไม่?”อาจจะเป็นเพราะกำลังตั้งครรภ์ นางจึงกลายเป็นคนอารมณ์อ่อนไหว บ่อน้ำตาตื้น อารมณ์อ่อนแอ บทละครเรื่องเดียวก็ทำให้นางซาบซึ้งใจได้ขนาดนี้แล้ว นางไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนอวิ๋นอิงประคองหนังบทละคร กล่าว“การเสียสละชีวิต เพื่อคนที่เรารัก เป็นสิ่งที่คุ้มค่า แม้ว่าจะตายไปแล้ว ก็จะจดจำอยู่ภายในใจของคนนั้นตลอดไป”หญิงสาวสามคนถูกเรื่องเล่าเรื่องนี้ทำให้ซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งเฟิงเย่เสวียนที่กำลังทำกิจราชการสีหน้าหม่นหมอง “...”ยกโทษที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้ แค่การอ่านบทละคร มีอะไรน่าร้องไห้กัน?องค์หญิงแต่งงานกับบัณฑิต?ความรักอันบริสุทธิ์?บัณฑิตมีวรยุทธ์สูงส่ง?บทละครพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องแต่งขึ้นมาทั้งนั้น เรื่องจริงมักจะโหดร้ายกว่าในบทละครมากนัก ในความเป็นจริง มีองค์หญิงองค์ไหนบ้างที่ไม่แต่งงานกับท่านอ๋อง ท่านโหว แม
จวนอัครมหาเสนาบดีฉู่ เทศกาลแขวนโคมไฟ กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา งานเลี้ยงจัดขึ้นยามเว่ย (เวลาบ่ายสามโมง) แต่ฉู่เชียนหลีมาถึงสี่โมงทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายฉู่ ฮูหยินฉู่ นางอัน ฉู่หงหลวน ฉู่ซวงกับหานมู่ซี ฉู่เจียวเจียวกับอ๋องหลีทุกคนรอมาเป็นเวลาเกินครึ่งชั่วยามแล้ว ฉู่เชียนหลีถึงได้แบกท้อง ค่อย ๆ เดินเข้ามาจวนอ๋องเฉินขบวนใหญ่โต อ๋องเฉินมาด้วย องครักษ์ลับคุ้มกัน สาวใช้คอยปรนนิบัติ เด็กรับใช้เปิดทาง คนสิบกว่าคนห้อมล้อมพระชายาอ๋องเฉิน การอารักขาแน่นหนา จนไม่มีแม้กระทั่งโอกาสที่จะล้มฉู่เชียนหลีเดินเล่นมาตลอดทาง ทั้งซื้อของ กินดื่ม จนกระทั่งตอนที่ถึงจวนอัครมหาเสนาบดีฉู่ ก็เดินเล่นมาจนพอใจแล้วนางยิ้ม “ขออภัย ที่ทำให้ทุกคนต้องรอนาน ข้าคงจะไม่ได้มาช้าไปใช่หรือไม่?”นางไม่ได้อยากจะมากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาอะไรไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน แล้วก็ไม่มีธุระอะไร แล้วก็ยังไม่มีความรู้สึกผูกพันอีกด้วย กินข้าวอะไรกัน?ภายนอกพูดว่ากินข้าว ใครจะรู้ว่าในหัวของคนพวกนี้มีแผนชั่วอะไรอยู่?ฉู่ซวงขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “แน่นอนว่าเจ้ามาช้า! เจ้าดูเวลาสิว่าตอนนี้มันยามใดแล้ว...”“ซว
ทุกคนมองฉู่เชียนหลีด้วยความสงสัย หลงอ้าวเทียน? ใครคือหลงอ้าวเทียน?ฉู่เชียนหลีเช็ดปากอย่างสง่างาม ช่วงนี้อ่านนิยายเยอะเกินไป อินกับบทมากเกินไป กินข้าวก็ยังนึกถึง“ข้ากินอิ่มแล้ว ทุกคนค่อยๆ กิน ไม่ต้องรีบ”จิบชาบ้วนปากสองคำ ลุกขึ้นยืน พยุงเอวก็เดินจากไปอย่างสบายใจแล้วฉู่ซวงถลนตา “?”ไปทั้งเช่นนี้แล้ว?ท่านพ่อยังนั่งอยู่ตรงนั้นเลย นางที่เป็นเด็กรุ่นหลังคนหนึ่งไปโดยไม่เห็นหัวใครทั้งเช่นนี้? มีเช่นนี้ที่ไหนกัน?นางตบโต๊ะลุกขึ้นยืน ตอนที่กำลังจะระเบิดอารมณ์ นางอันเผยอมุมปาก ถอนหายใจเบาๆ“เฮ้อ นายท่าน ท่านอย่าไปถือสาเสียวฉู่เลย ตอนนี้นางตั้งครรภ์ อารมณ์แปรปรวน หากมีตรงไหนที่ไม่ได้ดั่งใจนาง กระทบต่อลูกในท้อง เกรงว่าหากฝ่าบาทรู้จะกล่าวโทษเอานะ”คำพูดที่มาถึงปลายลิ้นของฉู่ซวง ถูกกลืนกลับเข้าไปทั้งเช่นนี้อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายฉู่อยู่ในแวดวงขุนนางมานานหลายปี ย่อมไม่อารมณ์เสียเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ในครอบครัว สีหน้าของเขาไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เพียงแค่พยักหน้าอย่างเรียบเฉย“แล้วแต่นางเถอะ”แล้วนางอันก็หันไปมองทางฮูหยินฉู่ กล่าวด้วยรอยยิ้ม“ฮูหยิน ท่านก็ควรจะเกลี้ยกล่อมคุณหนูใหญ่ห
อาศัยเศษจี้หยกครึ่งชิ้น ต้องการหาเบาะแสเมื่อสิบห้าปีก่อน บนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ ทั่วใต้ฟ้าผืนนี้ ก็เหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทรไม่รู้ว่าจะหาถึงปีใดเดือนใดฉู่เชียนหลีลูบท้องเบาๆ สงบจิตใจที่เศร้าโศก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ข่มอารมณ์ “อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายฉู่น่าจะพูดคุยกับท่านอ๋องอีกสักพัก พวกเราไปกันก่อนเถอะ”ยกเท้าไม่ระวังเหยียบโดนหินก้อนหนึ่ง พื้นรองเท้าลื่น เท้าบิดกะทันหัน“ระวัง!”“พระชายา!”ฝ่ามือใหญ่ที่มีกำลังข้างหนึ่งเกี่ยวเอวฉู่เชียนหลีจากด้านหลังไว้แน่น ประคองร่างกายนางไว้อย่างมั่นคงเท้าฉู่เชียนหลียืนอย่างมั่นคง เตะก้อนหินที่เป็นต้นเหตุทิ้ง หันกลับไปมอง พบว่าคนที่ประคองนางคือเฟิงเจิ้งหลี?นางประหลาดใจเล็กน้อย พลันยิ้มจางๆ “ขอบคุณ”“พวกเจ้ากินข้าวเสร็จเร็วเช่นนี้เลย?”เฟิงเจิ้งหลีถอนมือกลับ มองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่เจอกันหนึ่งเดือน นางสมบูรณ์ขึ้นมาก สีหน้าเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล มองออกได้ไม่ยากว่าชีวิตช่วงที่ผ่านมาของนางมีความสุขมากเห็นนางไม่เป็นอะไร ก็วางใจแล้ว“อืม” เขาหลุบตาลง มองไปที่ท้องของนาง “ลูก…ไม่ได้ทรมานเจ้ากระมัง?”ฉู่เชียนหลีลูบท้อง ยิ้มได้ปลื้มใจมาก “เป็นเ
“กลับมาเดี๋ยวนี้!”“อ๊ะ!”นางกรีดร้อง คำราม ตวาด มือที่ตีประตูตีจนออกเลือด กลับไม่มีใครสนใจนางถูกขังอยู่ในเรือนแห่งนี้ กินดื่มขับถ่ายล้วนอยู่ในนี้ ไม่สามารถจากไปตลอดชีวิต และยังมีลูกของนาง…ลูก!“ซือเอ๋อร์!”นางนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน รีบวิ่งกลับเข้าไปในห้องนอน เหยียบย่ำข้าวบูดที่สาดกระจายเต็มพื้น กระโจนไปบนเตียงเล็กๆ ที่เรียบง่ายเฟิงเจิ้งซือที่อายุยังน้อยมีไข้ขึ้นสูง แก้มแดงก่ำ อุณหภูมิร่างกายสูงมาก อยู่ในอาการสะลึมสะลือ ไข้ขึ้นสูงจนสติเลือนราง“สะ…เสด็จแม่…”ลมหายใจของนางร้อนผ่าว เสียงอ่อนแอจนแทบฟังไม่ชัดเจน“เสด็จพ่อ…เสด็จพ่อมารับพวกเราแล้วหรือ…”น้ำตาพระชายาองค์ชายใหญ่หลั่งไหลเหมือนสายฝน จับมือของลูกไว้แน่น เสียงสะอึกสะอื้น“ซือเอ๋อร์เป็นเด็กดีนะ ไม่ต้องห่วง อีกไม่นานเสด็จพ่อของเจ้าก็จะมารับพวกเรากลับจวนรัชทายาทแล้ว เจ้านอนก่อน หลังจากตื่น พวกเราก็กลับบ้านแล้ว”เฟิงเจิ้งซือยันเปลือกตาที่บางเหมือนผ้าไหมอย่างยากลำบาก และหอบหายใจ“จริง จริง…หรือ…”“จริง จริงๆ!” พระชายาองค์ชายใหญ่พยักหน้าแรงๆ น้ำตาไหลออกมาเป็นเม็ดๆ ใกล้จะแตกสลายแล้ว “ซือเอ๋อร์เป็นเด็กดีนะ นอนตื่นมาก
พระชายาองค์ชายใหญ่ตะลึงงันครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่ายังไม่เข้าใจคำพูดนี้หมายถึงอะไรวินาทีต่อมา ก็เห็นฉู่หงหลวนหยิบเชือกป่านที่หนาและยาวเส้นหนึ่งออกจากแขนเสื้อ คล้องคอเฟิงเจิ้งซือสองรอบ แล้วออกแรงรัด“เจ้าจะทำอะไร!”นางเบิกตากว้าง กรีดร้องจนเสียงแหบ รีบพุ่งเข้าไปจับฉู่หงหลวนฉู่หงหลวนยืนอยู่ตรงที่เดิมไม่ขยับ สองมือจับเชือกป่านแน่น กระตุกทั้งซ้ายและขวา ออกแรงรัดให้แน่น“อ๊า!”อากาศถูกตัดขาด ไม่สามารถหายใจ เฟิงเจิ้งซือเบิกตากว้าง อ้าปาก ดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด“ปล่อยนาง! รีบปล่อยนาง!”พระชายาร้อนรนจนเหมือนบ้าไปแล้ว “ฉู่หงหลวน! เจ้าบ้าไปแล้ว!”“อ๊ะ!”นางจับฉู่หงหลวนอย่างบ้าคลั่ง ทั้งตบทั้งตีและทั้งกัด แล้วพุ่งไปที่เตียงอุ้มเฟิงเจิ้งซือขึ้น พยายามปกป้องอย่างสุดชีวิต ฉู่หงหลวนยกเท้าถีบนางออก ยิ่งกว่านั้นกระโดดขึ้นเตียง เหยียบร่างกายของเฟิงเจิ้งซือ อาศัยแรงสายนี้ ยิ่งทำให้เชือกรัดแน่น“หยุดนะ! มีอะไรก็มาลงที่ข้า อย่าแตะต้องซือเอ๋อร์!”“ใครก็ได้ ใครก็ได้รีบมาเร็ว ช่วยด้วย!”“ฉู่หงหลวน!”พระชายาองค์ชายคำรามและกรีดร้อง แล้วทุบนางด้วยสิ่งของ ตีนาง…แต่ไม่สามารถบั่นทอนความแน่วแน่ของนา