ฉู่เชียนหลีเกาหัว “?”แต่ว่าที่จริงนี่คือหมูปีนี้เป็นปีหมู เฟิงเย่เสวียนเกิดปีหมู ลูกของพวกเขาก็เกิดปีหมู ไม่ใช่หมูงั้นหรือ?“เจ้าโง่หรือไง ปีนี้เจ้าอายุยี่สิบสี่ปี เจ้ากับลูกชายเจ้าเป็นหมูด้วยกันทั้งคู่ ก่อนหน้านี้เจ้าเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือว่าหมูเป็นสัตว์ที่ดวงดีที่สุดในบรรดาสิบสองนักกษัตริย์ เจ้ายังดูชอบหมูมากอีกด้วย”เฟิงเย่เสวียน “...”ถึงแม้ว่าเขากับลูกชายจะเกิดปีหมู แต่เมื่อคำพูดนี้ออกมาจากปากของฉู่เชียนหลี เหตุใดจึงรู้สึกว่าสองแง่สองง่ามอยู่หน่อย ๆ?“อันที่จริงข้าเองก็ชอบหมูมากเช่น ชอบมากเสียจนขาดไม่ได้”เขา “...”เขาสงสัยว่านางกำลังจงใจดื้อด้านยกมือหยิบเสื้อตัวน้อยตัวนั้นขึ้นมา วางลงบนฝ่ามือ เหลือบตามองเล็กน้อย ถึงแม้ว่าฝีมือจะขี้เหร่ไปหน่อย เส้นด้ายจะไม่ประณีตไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าดูไม่ได้ฝืนใจรับเอาไว้แล้วกัน“มีแม่แบบเจ้า ลำบากลูกชายของเจ้าจริง ๆ เลย”“? เจ้าหมายความว่ายังไง?”“ดึกมาแล้ว นอนเถอะ”เฟิงเย่เสวียนดับเทียน ดึงผ้าห่ม ห่มทั้งสองคนเอาไว้ แขนยาวโอบเอวของนางเข้ามาในอ้อมกอด ฝ่ามือใหญ่อีกข้างกุมท้องน้อยที่นูนออกมาเล็กน้อยของนางเอาไว้ แล้วหลับตาลงแต
“ท่านน้าสะใภ้มีความสุขก็พอ”เฮอะเฮอะหลิงเชียนอี้หัวเราะด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ จากนั้นก็ขยับก้นห่างออกไป แล้วย้ายเก้าอี้ เพื่อขยับเข้าไปใกล้อวิ๋นอิงเจ้าเด็กคนนี้ ไม่รู้ความเสียเลย อย่างแรกที่จะทำให้อวิ๋นอิงจดจำไม่ควรจะเป็นการเอาใจนางหรอกหรือ?ต่อไปเขาจะต้องลำบากมากแน่เชียนหลีจับคันเบ็ด มองดูปลาหลีฮื้อที่แหวกว่ายไปมาในน้ำ ปลามากมายจนแน่นขนัด แต่ว่าไม่กินเบ็ด ความรู้สึกนี้เหมือนกับเด็กน้อยที่กำลังตกปลา อยู่ในสนามเด็กเล่นตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ รู้สึกหดหู่ใจมากจริง ๆหางตาเหลือบมองเฟิงเย่เสวียนที่อยู่ด้านข้าง กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ยอมให้ต่อรอง“อีกสองวัน ครรภ์ของข้าก็จะครบสามเดือนแล้ว อายุครรภ์สามเดือนถือว่าคงที่แล้ว ถึงเวลานั้นข้าอยากทำอะไรก็จะทำ ใครขวางข้าเป็นหมา”สามเดือนแรก เป็นช่วงที่ทารกในครรภ์อ่อนแอที่สุด แท้งได้ง่ายนางพยายามอดทนมาเกินครึ่งเดือน กินแต่ของดี ดื่มแต่ของดีทุกวัน บำรุงสารพัดอย่าง เพื่อบำรุงครรภ์ให้ทั้งอ้วนทั้งคงที่ วิ่งสักสิบกิโลในรวดเดียวก็ไม่ใช่ปัญหาเฟิงเย่เสวียนลูบหัวเล็ก ๆ ของนาง “ลำบากเชียนหลีแล้ว”เขารู้ว่านางอึดอัดจะแย่แล้ว ย่อมไม่มีทางขัดขวางน
อวิ๋นอิง “?”เกรงใจนางทำไมกัน?หลิงเชียนอี้หันซ้าย มองขวา หลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครมองมา ก็ค่อย ๆ แอบขยับเข้าไปใกล้อวิ๋นอิง มือลูบ ๆ คลำ ๆ บริเวณหน้าอก จากนั้นควักลูกบอลแพรปักสีฟ้าลูกหนึ่งออกมาลูกบอลแพรอันเล็กปักด้วยนกยวนยาง ด้านในใส่กระดิ่งอันเล็กเอาไว้ มีระย้าห้อยยาว ทั้งงดงามทั้งประณีต สวยงามเป็นอย่างยิ่ง“ให้เจ้า”เหมือนว่าเขากลัวว่าจะถูกใครเห็นเข้า นำสิ่งของยัดใส่ในมือของอวิ๋นอิงอย่างรวดเร็วอวิ๋นอิงตะลึงไป “นี่มัน...”“อีกสองวันก็จะเป็นเทศกาลแขวนโคมไปแล้ว เลยให้ของขวัญเจ้า”บอลแพรปักกับนกยวนยาง โดยปกติแล้วเป็นสิ่งของแทนความคิดถึง แล้วก็เป็นสิ่งของที่ฝั่งหญิงสาวใช้แสดงความรู้สึกอีกด้วยหลิงเชียนอี้แฝงความหมายบางประการเอาไว้ เขาคิดว่าอวิ๋นอิงจะสามารถเข้าใจความหมายของเขาได้อวิ๋นอิงยกบอลปักผ้าแพรลูกนั้นขึ้นมา แต่กลับถามว่า “บัวลอย?”หลิงเชียนอี้ “...”นี่คือความคิดถึง!ความคิดถึง!หญิงสาวทั่วทั้งใต้หล้านี้ล้วนแต่รู้ความหมายของบอลผ้าแพรปัก เหตุใดนางจึงไม่เข้าใจล่ะ?นางช่างไม่เหมือนผู้หญิงเอาเสียเลยแม่นางคนอื่นดีพิณ วาดรูป เล่นหมากรุกและเขียนหนังสือ แต่นางวัน ๆ เอาแต่
“ใส่กางเกงแล้วมีความทุกข์อะไร เจ้ากำลังพูดเรื่องลามกอะไร? ช้าก่อน! เจ้าอย่าลากข้า! ทำอะไร...อื้อ ๆ...”“อื้อ”เสียงด้านหลังถูกกลืนหายไป เปลวเทียนในห้องดับลง อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น เกิดความสัมพันธ์ของคู่รักเช้าวันรุ่งขึ้นเทศกาลแขวนโคมไฟ จวนอัครมหาเสนาบดีฉู่ร่วมกินอาหารฉู่เชียนหลีนอนอย่างเกียจคร้าน ตอนที่ลืมตา ก็เกือบจะเที่ยงวันแล้ว ลุกขึ้นมานั่ง เห็นชายหนุ่มกำลังทำงาน ด้วยสีหน้าอารมณ์ดี กระปรี้กระเปร่า เต็มไปด้วยพลัง ราวกับได้ฉีดเลือดไก่ ก็อดไม่ได้ที่จะสีหน้าหมองคล้ำ เขาสบายตัว“ตื่นแล้วหรือ?” ชายหนุ่มพับฎีกาในมือ เหลือบตามองมาฉู่เชียนหลีเลิกผ้าห่มแล้วลงจากเตียง เยว่เอ๋อร์กับอวิ๋นอิงเข้ามาปรนนิบัติ“ยามใดแล้ว?”“พระชายา ใกล้เที่ยงแล้ว”“เที่ยงแล้ว? ข้ายังต้องไปกินอาหารร่วมกับครอบครัวที่จวนอัครมหาเสนาบดีฉู่...” การกินอาหารร่วมกับครอบครัวไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญคือในที่สุดก็ได้ออกจากบ้านอวิ๋นอิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนไปกินอาหารร่วมกับครอบครัว เจ้ายังไปไม่ถึง ใครจะกล้าขยับตะเกียบก่อน?”ไปเร็วก็ดี ไปสายก็ช่าง ให้คนพวกนั้นรออย่างว่าง่าย“ถูกต้อง!” เยว่เอ๋อ
“บัณฑิตกล้าหาญมาก ยอมเสียสละทุกอย่าง เพื่อความรัก นี่สิถึงเรียกว่าความรักที่แท้จริง เขาคงจะไม่ตายหรอกใช่หรือไม่ ฮือ ๆ ๆ” เยว่เอ๋อร์ซาบซึ้งใจจนสะบัดผ้าเช็ดหน้าไปมา ร้องไห้น้ำตาร่วงแหม่ะ ๆฉู่เชียนหลีแสบจมูก“ตามบททั่วไปแล้ว น่าจะไม่ตายหรอก ตายแล้วละครเล่มนี้ก็ต้องจบใช่หรือไม่?”อาจจะเป็นเพราะกำลังตั้งครรภ์ นางจึงกลายเป็นคนอารมณ์อ่อนไหว บ่อน้ำตาตื้น อารมณ์อ่อนแอ บทละครเรื่องเดียวก็ทำให้นางซาบซึ้งใจได้ขนาดนี้แล้ว นางไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนอวิ๋นอิงประคองหนังบทละคร กล่าว“การเสียสละชีวิต เพื่อคนที่เรารัก เป็นสิ่งที่คุ้มค่า แม้ว่าจะตายไปแล้ว ก็จะจดจำอยู่ภายในใจของคนนั้นตลอดไป”หญิงสาวสามคนถูกเรื่องเล่าเรื่องนี้ทำให้ซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งเฟิงเย่เสวียนที่กำลังทำกิจราชการสีหน้าหม่นหมอง “...”ยกโทษที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้ แค่การอ่านบทละคร มีอะไรน่าร้องไห้กัน?องค์หญิงแต่งงานกับบัณฑิต?ความรักอันบริสุทธิ์?บัณฑิตมีวรยุทธ์สูงส่ง?บทละครพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องแต่งขึ้นมาทั้งนั้น เรื่องจริงมักจะโหดร้ายกว่าในบทละครมากนัก ในความเป็นจริง มีองค์หญิงองค์ไหนบ้างที่ไม่แต่งงานกับท่านอ๋อง ท่านโหว แม
จวนอัครมหาเสนาบดีฉู่ เทศกาลแขวนโคมไฟ กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา งานเลี้ยงจัดขึ้นยามเว่ย (เวลาบ่ายสามโมง) แต่ฉู่เชียนหลีมาถึงสี่โมงทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายฉู่ ฮูหยินฉู่ นางอัน ฉู่หงหลวน ฉู่ซวงกับหานมู่ซี ฉู่เจียวเจียวกับอ๋องหลีทุกคนรอมาเป็นเวลาเกินครึ่งชั่วยามแล้ว ฉู่เชียนหลีถึงได้แบกท้อง ค่อย ๆ เดินเข้ามาจวนอ๋องเฉินขบวนใหญ่โต อ๋องเฉินมาด้วย องครักษ์ลับคุ้มกัน สาวใช้คอยปรนนิบัติ เด็กรับใช้เปิดทาง คนสิบกว่าคนห้อมล้อมพระชายาอ๋องเฉิน การอารักขาแน่นหนา จนไม่มีแม้กระทั่งโอกาสที่จะล้มฉู่เชียนหลีเดินเล่นมาตลอดทาง ทั้งซื้อของ กินดื่ม จนกระทั่งตอนที่ถึงจวนอัครมหาเสนาบดีฉู่ ก็เดินเล่นมาจนพอใจแล้วนางยิ้ม “ขออภัย ที่ทำให้ทุกคนต้องรอนาน ข้าคงจะไม่ได้มาช้าไปใช่หรือไม่?”นางไม่ได้อยากจะมากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาอะไรไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน แล้วก็ไม่มีธุระอะไร แล้วก็ยังไม่มีความรู้สึกผูกพันอีกด้วย กินข้าวอะไรกัน?ภายนอกพูดว่ากินข้าว ใครจะรู้ว่าในหัวของคนพวกนี้มีแผนชั่วอะไรอยู่?ฉู่ซวงขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “แน่นอนว่าเจ้ามาช้า! เจ้าดูเวลาสิว่าตอนนี้มันยามใดแล้ว...”“ซว
ทุกคนมองฉู่เชียนหลีด้วยความสงสัย หลงอ้าวเทียน? ใครคือหลงอ้าวเทียน?ฉู่เชียนหลีเช็ดปากอย่างสง่างาม ช่วงนี้อ่านนิยายเยอะเกินไป อินกับบทมากเกินไป กินข้าวก็ยังนึกถึง“ข้ากินอิ่มแล้ว ทุกคนค่อยๆ กิน ไม่ต้องรีบ”จิบชาบ้วนปากสองคำ ลุกขึ้นยืน พยุงเอวก็เดินจากไปอย่างสบายใจแล้วฉู่ซวงถลนตา “?”ไปทั้งเช่นนี้แล้ว?ท่านพ่อยังนั่งอยู่ตรงนั้นเลย นางที่เป็นเด็กรุ่นหลังคนหนึ่งไปโดยไม่เห็นหัวใครทั้งเช่นนี้? มีเช่นนี้ที่ไหนกัน?นางตบโต๊ะลุกขึ้นยืน ตอนที่กำลังจะระเบิดอารมณ์ นางอันเผยอมุมปาก ถอนหายใจเบาๆ“เฮ้อ นายท่าน ท่านอย่าไปถือสาเสียวฉู่เลย ตอนนี้นางตั้งครรภ์ อารมณ์แปรปรวน หากมีตรงไหนที่ไม่ได้ดั่งใจนาง กระทบต่อลูกในท้อง เกรงว่าหากฝ่าบาทรู้จะกล่าวโทษเอานะ”คำพูดที่มาถึงปลายลิ้นของฉู่ซวง ถูกกลืนกลับเข้าไปทั้งเช่นนี้อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายฉู่อยู่ในแวดวงขุนนางมานานหลายปี ย่อมไม่อารมณ์เสียเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ในครอบครัว สีหน้าของเขาไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เพียงแค่พยักหน้าอย่างเรียบเฉย“แล้วแต่นางเถอะ”แล้วนางอันก็หันไปมองทางฮูหยินฉู่ กล่าวด้วยรอยยิ้ม“ฮูหยิน ท่านก็ควรจะเกลี้ยกล่อมคุณหนูใหญ่ห
อาศัยเศษจี้หยกครึ่งชิ้น ต้องการหาเบาะแสเมื่อสิบห้าปีก่อน บนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ ทั่วใต้ฟ้าผืนนี้ ก็เหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทรไม่รู้ว่าจะหาถึงปีใดเดือนใดฉู่เชียนหลีลูบท้องเบาๆ สงบจิตใจที่เศร้าโศก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ข่มอารมณ์ “อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายฉู่น่าจะพูดคุยกับท่านอ๋องอีกสักพัก พวกเราไปกันก่อนเถอะ”ยกเท้าไม่ระวังเหยียบโดนหินก้อนหนึ่ง พื้นรองเท้าลื่น เท้าบิดกะทันหัน“ระวัง!”“พระชายา!”ฝ่ามือใหญ่ที่มีกำลังข้างหนึ่งเกี่ยวเอวฉู่เชียนหลีจากด้านหลังไว้แน่น ประคองร่างกายนางไว้อย่างมั่นคงเท้าฉู่เชียนหลียืนอย่างมั่นคง เตะก้อนหินที่เป็นต้นเหตุทิ้ง หันกลับไปมอง พบว่าคนที่ประคองนางคือเฟิงเจิ้งหลี?นางประหลาดใจเล็กน้อย พลันยิ้มจางๆ “ขอบคุณ”“พวกเจ้ากินข้าวเสร็จเร็วเช่นนี้เลย?”เฟิงเจิ้งหลีถอนมือกลับ มองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่เจอกันหนึ่งเดือน นางสมบูรณ์ขึ้นมาก สีหน้าเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล มองออกได้ไม่ยากว่าชีวิตช่วงที่ผ่านมาของนางมีความสุขมากเห็นนางไม่เป็นอะไร ก็วางใจแล้ว“อืม” เขาหลุบตาลง มองไปที่ท้องของนาง “ลูก…ไม่ได้ทรมานเจ้ากระมัง?”ฉู่เชียนหลีลูบท้อง ยิ้มได้ปลื้มใจมาก “เป็นเ
มีดพาดอยู่บนคอนาง คมมีดที่เย็นเฉียบส่องประกายด้วยแสงเย็นยะเยือก ราวกับว่านางแค่ออกแรงเล็กน้อย ก็จะตัดเส้นเลือดอันบอบบางของนางทันทีเฟิงเจิ้งหลีกำลังจะเข้าใกล้พลันมือของนางก็ออกแรงกด “ถ้าหากเจ้ายังต้องการจับตัวเฟิงเย่เสวียน เก็บข้าไว้ดีกว่า ถ้าหากข้าเป็นอะไรไป เกรงว่าเจ้าไม่สามารถควบคุมเฟิงเย่เสวียนแล้ว”เขาชะงักเล็กน้อยข่มขู่?มันก็จริง เฟิงเย่เสวียนหนีออกจากเมืองแล้ว แม้เขาเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่เฟิงเย่เสวียนมีที่ดินศักดินา มีกำลังทหาร สามารถตั้งตนเป็นอ๋อง ถ้าหากสู้กันจริงๆ ใช่ว่าเขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของเฟิงเย่เสวียนเสมอไปแต่ว่า นางรังเกียจเขาเช่นนี้เลยหรือ?ถึงขั้นยอมใช้คอของตัวเองมาขู่เขา? เขาก็ขมวดคิ้วแน่น กล่าวอย่างเย็นชา“เจ้ากล้าตายหรือ? ไม่ต้องการจื่อเยี่ยแล้ว?”“ใครบ้างที่อยากตาย? แต่ถ้าหากต้องอยู่อย่างอัปยศ ไม่สู้ตายเสียดีกว่า ให้ทุกอย่างมันจบสิ้นเสีย”“เจ้า!”ในแววตาของเขามีความโกรธเอ่อล้นออกมา อยากเข้าไป แต่เท้ากลับยืนแข็งอยู่ตรงที่เดิมมองดูนางที่เชิดคางเล็กน้อย และมือที่กำแน่นอย่างดึงดัน ความโกรธติดอยู่ในอก ไม่สามารถระบายออกมา ทำให้เขาอัดอั้นจนรู้สึกทรมานบ้า
“ตาม!” ผู้บัญชาการจางกระทืบเท้าตะโกนเสียงดัง “รีบตาม! ขี่ม้าที่เร็วที่สุด ต้องจับอ๋องเฉินกลับมาให้ได้!”“รับทราบ!”เปิดประตูเมือง ทหารรักษาพระองค์ไล่ตามอย่างรวดเร็วเฟิงเจิ้งหลีหยิบธนูมาหนึ่งคัน ดึงลูกธนู เล็งยามค่ำคืนอันมืดสลัวที่อยู่นอกเมือง แต่ทันใดนั้นก็ถูกฉู่เชียนหลีกระแทกอย่างแรงธนูพลาดเป้าเขาหัวเราะอย่างเย้ยหยัน โยนธนูลงบนพื้น กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ“หนี หนีไปเลย ทั้งแคว้นตงหลิงเป็นของข้าแล้ว ข้าดูสิว่าเจ้าจะสามารถหนีไปถึงไหน!”ใต้ฟ้าอันกว้างใหญ่ ล้วนเป็นของกษัตริย์เขาจะจับเฟิงเย่เสวียนได้ในสักวัน“เฟิงเจิ้งหลี เจ้ามันเป็นคนบ้าที่เสียสติจริงๆ โลกนี้มีผลกรรมเสมอ สักวันเจ้าจะถูกสิ่งที่เจ้าทำตามสนอง”คนที่เสียสละ สักวันจะได้ผลตอบแทนคนที่กระทำความชั่ว สักวันจะต้องชดใช้ไม่ใช่กรรมไม่ตามสนอง แค่ยังไม่ถึงเวลาเฟิงเจิ้งหลีคว้าแขนของฉู่เชียนหลี พลันดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน บีบคางของนาง “เหมือนเจ้าแทบรอไม่ไหวที่จะเห็นข้าตกต่ำแล้วนะ”“แต่น่าเสียดาย คนดีอายุสั้น คนชั่วอายุยืนพันปี ข้าต้องอยู่รอดต่อไป จะรอดูว่าเฟิงเย่เสวียนตายต่อหน้าข้าอย่างไร”ฉู่เชียนหลีถูกบังคับให้เงยหน้าขึ้น
ทุกคนรออยู่ที่นอกประตูเมือง เฟิงเย่เสวียนขี่ม้าเข้าไปใกล้ สายตาจ้องฉู่เชียนหลีอย่างลึกซึ้งหลายวินาทีฉู่เชียนหลียิ้มระหว่างทั้งสองคน คำพูดมากมายไม่จำเป็นต้องพูด แค่สบตากัน ก็สามารถเข้าใจกันแล้วผ่านไปครู่หนึ่งเขาถอนสายตากลับ กระตุกม้าให้หยุดลง โน้มกายและเอื้อมมือไปรับลูก“ส่งเขาให้ข้า”เฟิงเจิ้งหลียิ้มได้อ่อนโยนมาก ก้าวไปข้างหน้าครึ่งก้าวอย่างเชื่อฟัง ยกมือทั้งสองข้างขึ้นเล็กน้อย ส่งเด็กที่อยู่ในมือออกไป“น้องเจ็ด เดินทางปลอดภัย”เขาเน้นเสียงคำว่า ‘ปลอดภัย’ เป็นพิเศษ เหมือนมีความหมายที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่อ๋องเฉินยื่นมือออกมาแล้ว ขณะที่กำลังจะสัมผัสโดนเด็ก เฟิงเจิ้งหลีปล่อยมือกะทันหันทันใดนั้นเด็กสูญเสียแรงยึดเหนี่ยว ร่วงลงไปโดยตรง!“จื่อเยี่ย!”พลันเฟิงเย่เสวียนแน่นหน้าอก กระโดดลงจากม้าด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด ก็เห็นอ๋องหลีรับเด็กไว้แล้ว และก็เพราะพริบตาที่เขาเผลอนี้ จึงถูกธนูลับดอกหนึ่งยิงเข้าที่สะบักฉึก…“อาเฉิน!”“ท่านอ๋อง!”เหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหัน ไม่มีใครรับมือทันเวลาเฟิงเจิ้งหลีใช้มือซ้ายอุ้มเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ย มือขวาจับตัวฉู่เชียนหลี ถอยหลังเจ็ดแปดก้าว ขณะ
เฟิงเย่เสวียนเดินออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว “ปล่อยฉู่เชียนหลีกับเด็ก ข้าอยู่เอง เจ้าจับฉู่เชียนหลีไม่มีประโยชน์ มีเพียงจับข้าเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถนั่งราชบัลลังก์ได้อย่างมั่นคง”เฟิงเจิ้งหลีเย้ยหยัน“อย่ามาต่อรองกับข้า ข้ายอมถอยให้แล้ว ถ้าหากยังได้คืบจะเอาศอก ข้าไม่ถือสาที่จะพินาศไปพร้อมกัน”ฉู่เชียนหลีรีบถอยกลับมาจับข้อมือเฟิงเย่เสวียน กล่าวเสียงเบา “เจ้าพาจื่อเยี่ยไป!”“เชียนหลี…”“คนที่เขาต้องการคือข้า มีเพียงเจ้าไปและมีชีวิตรอดต่อไปเท่านั้น จึงจะมีโอกาสพลิกสถานการณ์ จื่อเยี่ยไปแล้ว ข้าจึงจะวางใจ ถึงเวลานั้น เขาก็ไม่มีข้อได้เปรียบอีก และไม่จำเป็นต้องกลัวเขาอีกแล้ว” ฉู่เชียนหลีวิเคราะห์เบาๆ อย่างฉับไวเฟิงเจิ้งหลีไม่มีทางฆ่านางใช้นางคนเดียว แลกกับความปลอดภัยของจื่อเยี่ย แลกกับความปลอดภัยของทุกคน อย่างไรก็ดีกว่าสู้กันตายไปข้างหนึ่ง เลือดนองเหมือนแม่น้ำไม่ใช่ว่านางจะถูกขังอยู่ในเมืองหลวงตลอดไปตราบใดที่ยังมีชีวิต ก็มีโอกาสเฟิงเย่เสวียนรู้ผลได้ผลเสียในนี้ เด็กคนนี้อย่างไรก็ต้องช่วย แต่เขาจะทิ้งฉู่เชียนหลีไว้คนเดียวได้อย่างไร“เชียนหลี ข้ามันไร้ประโยชน์”“ข้าไม่อนุญาตให้เจ
เมื่อพรรคของอ๋องหลีได้ยินเช่นนี้ ก็กลัวทันทีดูท่าทีของพระชายาอ๋องเฉิน นี่กำลังจะเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่ในวังชัดๆ!ฆ่าคนติดต่อกันสองคน ไม่กระพริบตาแม้แต่ทีเดียวเลือดกระเซ็นโดนใบหน้า ก็เย็นเฉียบท่าทางที่ชั่วร้ายเหมือนปีศาจนั่น ทำให้ขุนนางหลายคนเกิดความกลัว ลองถามคนทั่วหล้า จะมีสักกี่คนที่ไม่กลัว? อยู่ต่อหน้าความเป็นความตาย ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัวพวกเขาไม่อยากตายขุนนางคนหนึ่งกลัวจนพูดติดอ่าง“อ๋อง อ๋องหลี…อย่างไรเด็กที่อยู่ในมือท่านก็เป็นพระนัดดาองค์โต เป็นสายเลือดของราชวงศ์ ถ้าหากฆ่าเขา ในวันข้างหน้า มลทินของท่านจะถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ เกรงว่าจะถูกคนรุ่นหลังด่าทอต่อๆ กันเป็นหมื่นปี”ขุนนางอีกคนก็กล่าวเสียงสั่น“อ๋องเฉินโปรดพิจารณา…”ถ้าหากสู้กันจริงๆ พวกเขาสู้ไม่ไหวอ๋องเฉินมีฮ่องเต้หนุนหลัง มีกองทัพ มีกำลังทหาร อ๋องเฉินเป็นฝ่ายได้เปรียบทุกด้านในมืออ๋องหลี นอกจากพระนัดดาองค์โต ก็ไม่มีเบี้ยอย่างอื่นแล้ว อีกทั้ง ทหารรักษาพระองค์ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ทหารองครักษ์เงาของอ๋องเฉินเมื่อไรที่สู้กัน พวกเขาจะตายกันหมดไม่จำเป็นต้องตายไปครั้งหนึ่ง บางครั้ง เมื่อเห็นว่าพอแล้วก
เฟิงเย่เสวียนแค่ขมวดคิ้วทีหนึ่ง ก็ข่มความเจ็บปวดนี้ลงไปผู้บัญชาการจางฟาดอย่างดุร้ายลองคิดดูเขาที่เป็นขุนนางคนหนึ่ง สามารถใช้แส้ฟาดองค์ชายที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด นี่เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจเพียงใด พูดคำนี้ออกไป เขาสามารถอวดสามสิบปียิ่งฟาดยิ่งรู้สึกสนุก ยิ่งฟาดยิ่งแรงเพี๊ยะ!เพี๊ยะๆๆ!ทุกคนร้อนใจจนกระทืบเท้า แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไป อ๋องหลีบ้าไปแล้ว เขาไม่ใช่อ๋องหลีที่เข้าถึงได้ง่ายอีกแล้ว!ฉู่เชียนหลีเพิ่งคิดจะกระโจนเข้าไป ก็ถูกอ๋องหลีสั่งให้คนคุมตัวไปยืนอยู่ข้างๆ บังคับให้นางมองดูต่อหน้าต่อตา“ฉู่เชียนหลี ข้าเคยบอกแล้ว เจ้าจะต้องเสียใจ คนไร้ประโยชน์อย่างเฟิงเย่เสวียน แม้แต่ลูกชายก็ปกป้องไม่ได้ มีประโยชน์อะไร”แววตาเฟิงเจิ้งหลีเปล่งแสงที่บ้าคลั่ง“เขาเป็นแค่คนไร้ประโยชน์ ฝ่าบาทจะให้ความสำคัญกับคนไร้ประโยชน์เช่นนี้ได้อย่างไร? ฉู่เชียนหลี เจ้าว่าเจ้าตาบอดใช่หรือไม่? เจ้าดูสภาพที่สะบักสะบอมของเขาตอนนี้ เหมือนสุนัขตัวหนึ่ง เจ้าก็ยังชอบเขา เช่นนั้นเจ้าก็เป็นสุนัขตัวเมียที่แพศยา”เขายิ้มอย่างชั่วร้าย สิ่งที่พูดออกมายิ่งไม่น่าฟังทุกคนตาแดง อยากพุ่งเข้าไปสับอ๋องหลีเป็นชิ้นๆ เสีย
ผู้ชายที่ร่างกายสูงใหญ่งอหัวเข่า คุกเข่าอยู่ตรงหน้าอ๋องหลีอย่างตั้งตรง แม้อยู่ต่ำกว่า แต่ความสูงศักดิ์ที่แผ่ซ่านออกมาจากกระดูก ไม่ลดน้อยลงเลยสักนิดตลอดหลายปีที่ผ่านมา นอกจากคุกเข่าให้ฮ่องเต้และบรรพชน พวกเขาไม่เคยเห็นอ๋องเฉินคุกเข่าให้ใครเฟิงเจิ้งหลีเห็นดังนี้ แหงนหน้าหัวเราะ“ฮ่าๆๆ!”คิดไม่ถึงจริงๆ เขาจะมีวันนี้ด้วยลูกชายที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด แพ้ให้กับลูกชายที่ไม่โปรดปรานที่สุด ไม่สะดุดตาที่สุด และยังถูกทุกคนรังแก ความรู้สึกที่อยู่เหนือกว่าเช่นนี้ ทำให้ในใจเขาสาแก่ใจจริงๆ“ฮ่าๆๆๆ เฟิงเย่เสวียน เจ้าก็มีวันนี้ด้วย!”หัวเราะเสร็จ เขารู้สึกว่าความเย่อหยิ่งของอ๋องเฉินมันขัดตาทั้งๆ ที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบจนต้องคุกเข่า เหตุใดยังอวดดีหยิ่งผยองเช่นนี้?เขาออกคำสั่ง “ก้มหัวเจ้าลงไป”เฟิงเย่เสวียนเม้มปาก ก้มศีรษะลงเขาออกคำสั่งอีกครั้ง “โขกศีรษะ!”“อ๋องหลี ท่านอย่ารังแกให้มันมากนัก! ท่านกับท่านอ๋องของเราเป็นคนรุ่นเดียวกัน ท่านรับการโขกหัวจากเขาไม่ได้! ไม่กลัวบรรพชนรู้แล้ว อายุสั้นหรือ!” พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความโกรธเพิ่งกล่าวจบ ก็ถูกผู้บัญชาการจางถีบจนล้มลงพื้นหลังจากล้มลง ก
“ปล่อยคนของเจ้าแล้ว เจ้าเป็นอิสระแล้ว คืนลูกให้ข้า” ฉู่เชียนหลีจ้องเขาเฟิงเจิ้งหลีเหลือบมองเด็กน้อยในอ้อมแขน ท่าทางที่ร้องไห้จนหน้าแดง เห็นแล้วปวดใจนักคิดว่าแค่นี้ก็จบแล้วหรือ?เขายิ้ม“ฉู่เชียนหลี เหมือนเจ้าจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์นะ?”“?”“……”“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาต่อรองกับข้า? เด็กอยู่ในมือข้า เป็นหรือตายขึ้นอยู่กับข้า ถึงคราวที่เจ้าต้องมาสอนข้าทำงานตั้งแต่เมื่อไร?”สีหน้าฉู่เชียนหลีเคร่งขรึมทันทีเห็นได้ชัด เขาได้คืบจะเอาศอก“เจ้ายังต้องการอะไรอีก?”“ข้าหรือ” เขาเงยหน้าด้วยรอยยิ้ม กวาดมองทุกคน และตำหนักอันหรูหราหลังนี้ วังหลวงที่กว้างใหญ่แห่งนี้ แผ่นดินที่ดีเช่นนี้เขาต้องการอะไร ยังต้องให้พูดอีกหรือ?แต่ว่า มองดูท่าทางที่ร้อนใจของฉู่เชียนหลี เขาเกิดอยากสนุก ต้องการระบายความคับข้องใจที่ได้รับในสองวันนี้ออกมาให้หมดลูบแก้มของเด็กน้อยพลางกล่าว“อยากได้ลูกคืน ไม่มีปัญหา มันก็ต้องดูว่าอ๋องเฉินมีความจริงใจหรือไม่”เงียบไปครู่หนึ่ง“อืม หรือไม่อ๋องเฉินคุกเข่า โขกหัวให้ข้าสามครั้ง ข้าก็คืนลูกให้เจ้า เป็นอย่างไร?”ฉู่เชียนหลีโมโหแล้วด้วยนิสัยที่ยอมหนึ่งก้าว จะเอาสิบก้าวข
“เจ้า!”ฉู่เชียนหลีถูกความเฉยเมยของนางยั่วจนโมโหแล้ว ยิ่งคิดไม่ถึงว่าใต้ฟ้าจะมีแม่ที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้มันก็จริงฉู่เจียวเจียวกับเฟิงเจิ้งหลี ถ้าไม่เหมือนกันก็คงอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่มีอะไรที่พวกเขาสองสามีภรรยาทำไม่ลงรอหลังจากลู่ฉินเติบโต รู้ว่าตัวเองมีแม่เช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะเศร้าเพียงใด!“ฉู่เชียนหลี เฟิงเย่เสวียน พวกเจ้าเลิกพูดไร้สาระได้แล้ว รีบปล่อยตัวอ๋องหลี ความอดทนข้ามีขีดจำกัด!” ฉู่เจียวเจียวกล่าวอย่างเย็นชา“จะเอาชีวิตของลูกชาย หรือจะปล่อยคน พวกเจ้าเลือกเอง”อย่างไรนางก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วไม่ดิ้นรน ตายสถานเดียวดิ้นรน เดิมพัน ยังมีโอกาสสายตาเฟิงเย่เสวียนเคร่งขรึมมาก หางตาเหลือบมองหานเฟิง หานเฟิงเข้าใจทันที เขาซ่อนมือไว้ที่หลัง และทำท่าสัญญาณมือไปที่ด้านหลังมือธนูเตรียมพร้อมจู่ๆ ฉู่เจียวเจียวก็กล่าวเสริมอีกประโยคอย่างเย็นชา “พวกเจ้าสามารถลองดูได้ ดูสิว่าการเคลื่อนไหวของพวกเจ้าไว หรือมีดที่อยู่ในมือข้าเร็ว”“ต่อให้ข้าตาย การฆ่าเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยก็ใช้เวลาแค่พริบตาเดียว”ฉู่เชียนหลีสั่งให้มือธนูหยุดทันที “ปล่อยคน!”อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามผู้หญิงคนนี้มันเป็นผู