ฉู่เชียนหลีหัวเราะจนน้ำตาเกือบไหลออกมาแล้ว นางใช้หลังมือเช็ดหางตาแหมๆๆ ทุกคนล้วนเป็นผู้ใหญ่แล้ว เวลาพูดตรงไปตรงมาหน่อยไม่ได้หรือ?ก็เพราะเห็นคุณค่าการใช้ประโยชน์ของนาง ก็เลยอยากใช้นางไม่ใช่หรือ? มาพูดอะไรหวังดีไม่หวังดี เห็นนางเป็นคนโง่หรือ? คิดว่านางจะเชื่อหรือ?น่าขำสิ้นดี!“ใต้เท้าฉู่กล่าวหนักแล้ว สถานะของข้าเป็นแค่ลูกอนุภรรยา จะกล้ากล่าวโทษท่านได้อย่างไรกัน? ข้าเป็นคุณหนูอัปลักษณ์ที่สู้หน้าคนไม่ได้ หลายปีมานี้ ต้องขอบคุณที่ท่านทิ้งข้าไว้ในเรือนเย็น ไม่ถามไม่สนใจ จึงไม่ให้ข้าออกไปทำให้ตระกูลฉู่เสียหน้า”“พูดไปพูดมา ท่านนี่แหละที่คิดรอบคอบ!”นางเอ่ยปากอย่างยิ้มแย้ม ใช้เรื่องนี้ถ่วงเวลา ในใจนางไม่มีความรู้สึกใดๆนางไม่ใช่ ‘ฉู่เชียนหลี’และนี่ไม่ใช่บ้านของนางผู้ชายคนนี้ก็ไม่ใช่บิดาของนางนางก็แค่แขวนนามคุณหนูตระกูลฉู่เท่านั้นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายฉู่เม้มปาก มีหรือที่เขาจะฟังความจริตจะก้านและจงใจพูดเสียดสีของฉู่เชียนหลีได้อย่างไร?ก็จริง หลายปีมานี้ นางไม่ได้มีชีวิตที่ดี กล่าวโทษเขาในใจ เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วแต่นางเป็นคนของตระกูลฉู่ตลอดไปจู่ๆ ก็ยกมือขึ้น ปรบมือ
ฮูหยินฉู่ให้กำเนิดคุณหนูใหญ่ฉู่หงหลวน คุณหนูรองฉู่ซวง นางอันให้กำเนิดคุณหนูสามฉู่เจียวเจียว คุณหนูสี่ฉู่เชียนหลีในบรรดาลูกสาวสี่คน ฉู่หงหลวนสวยที่สุด ฉลาดที่สุด เป็นที่รักของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายฉู่ตั้งแต่เด็ก อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายฉู่ยิ่งอบรมสั่งสอนด้วยตนเอง ตั้งความหวังไว้สูงมากเขาให้ฉู่หงหลวนแต่งกับรัชทายาท ในอนาคต ต้องสนับสนุนนางเป็นฮองเฮาแน่นอน!แต่ตอนนี้อ๋องเฉินกับรัชทายาทปะทะกันแล้ว รัชทายาทสู้อ๋องเฉินไม่ได้ อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายฉู่อยากช่วยฉู่หงหลวน จึงลงมือจากตัวฉู่เชียนหลีฉู่เชียนหลีถือตั๋วเงินหนาๆ ปึกนี้ไว้อย่างไม่ใส่ใจ เสียงพลิกกระดาษดัง ‘ซ่าๆๆ’กลิ่นเหม็นของทองแดงอบอวล… เหอะ!“ความหมายของใต้เท้าฉู่คือให้ข้ากลับไปเกลี้ยกล่อมอ๋องเฉิน หยุดสู้กับรัชทายาท?” นางเงยหน้าอย่างยิ้มแย้ม มองไปทางอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายฉู่ รอยยิ้มกลับไม่มีความจริงใจคำพูดของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายฉู่สวยหรูมาก“รัชทายาทกับอ๋องเฉินเป็นพี่น้องกัน เจ้ากับหงหลวนก็เป็นพี่น้องกัน และยังเป็นสะใภ้เหมือนกัน ความสัมพันธ์ใกล้ชิดเช่นนี้ น่าจะร่วมมือกันเพื่อชัยชนะ ตระกูลฉู่จึงจะเจริญรุ่งเรือง”ความหมายน
ฉู่เชียนหลีก้มเอว หยิบไม้ตีสุนัขที่ฮ่องเต้พระราชทานขึ้น ใช้แขนเสื้อเช็ดแล้วเช็ดอีก กำแน่น พลันสะบัดแขน ซ่า…เหล็กชั้นดีสามท่อนที่ฝังอยู่ข้างในถูกสะบัดออกมา กลายเป็นกระบองที่ทั้งเล็กและเรียว ลวดลายดอกไม้ที่แกะสลักอยู่ข้างบนสวยงามราวกับเป็นของจริง ทั้งเยือกเย็น ทั้งสวยงาม ทำให้ผิวหนังของทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์หดเกร็ง “ใช่แล้ว” ฉู่เชียนหลีเงยหน้า มองไปทางอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายฉู่อย่างยิ้มแย้ม “เมื่อครู่ท่านพูดอะไรกับข้านะ? สองวันนี้หลับไม่ค่อยสนิท หูก็ไม่ค่อยดีนัก ได้ยินไม่ชัด”นางเอียงศีรษะ เอียงหูเข้าไปใกล้“ท่านพูดอีกรอบ?”นางกล่าวถามอย่างเป็นมิตรและอ่อนโยนมากทว่า การกระทำนี้ ในสายตาของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายฉู่ กลับเป็นการข่มขู่อย่างเปิดเผย!นางถือ ‘กระบี่อาญาสิทธิ์’ ที่ฮ่องเต้พระราชทานไว้ในมือ เขากล้าเอ่ยปากหรือ? กล้าเถียงหรือ? กล้าพูดมากหรือ? กล้าพูดอีกหรือ?ไม้ตีสุนัข ตัดหัวก่อนค่อยรายงาน เหมือนฮ่องเต้มาเยือนด้วยตนเอง ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นหากฉู่เชียนหลีไม่พอใจขึ้นมา ลงมือกับเขา เขาก็ทำได้แค่ยอมถูกตีแต่โดยดี…อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายฉู่เงียบไปหลายวินาที ตอนที่เอ่ยปากอีกครั
รับเงิน จากไป ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายฉู่โมโหมาก แต่ไม่กล้าแม้แต่จะผายลม หน้าบูดบึ้งเหมือนไปกินสิ่งปฏิกูลมา ฮูหยินฉู่กับฉู่ซวงไม่กล้าเอ่ยปาก เหล่าคนรับใช้ยิ่งยืนอยู่ห่างๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ส่วนนางอันกับฉู่เจียวเจียวรีบวิ่งตามออกไป“เสียวฉู่!”“น้องหญิง…”ทั้งสองเรียกได้หวานมากฉู่เชียนหลีเอานิ้วแตะน้ำลาย กำลังนับตั๋วเงิน เมื่อเห็นทั้งสองตามมา เพียงแค่เหลือบมองแวบหนึ่ง ก็นับต่อแล้วหนึ่ง สอง สาม สี่…สิบแปด สิบเก้า…นางอันกับฉู่เจียวเจียวสบตากันแวบหนึ่ง สองแม่ลูกเดินเข้ามาอย่างยิ้มแย้มและอ่อนโยน“เสียวฉู่ เจ้าอยากรู้เรื่องของแม่ผู้ให้กำเนิดเจ้าไม่ใช่หรือ ข้าบอกเจ้าก็สิ้นเรื่อง”นางยิ้มอย่างเป็นมิตร จูงมือฉู่เชียนหลี ไปนั่งคุยกันในศาลาของสวนดอกไม้ฉู่เชียนหลีนับเงินต่อนางอันเห็นท่าทางที่ไม่ใส่ใจของนาง แม้ไม่ชอบท่าทีที่กวนประสาทของนาง แต่ก็ต้องประจบสอพลอนางอย่างหน้าด้านๆฉู่เชียนหลีควบคุมโรคระบาด ได้รับความสำคัญและการประทานรางวัลจากฮ่องเต้ อนาคตไกลไม่มีสิ้นสุดนางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สิบห้าปีก่อน ข้าคลอดลูกในบ้านของชาวบ้านครอบครัวหนึ่ง แต่ลูกสาวที่ข้าคลอดออกมาก
ฉู่เชียนหลีลดเสียงเบา กล่าวต่อด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย“ฉู่เชียนหลี ข้าคลอดเจ้า เลี้ยงเจ้า! เจ้าจำเป็นต้องตอบแทนข้า! ให้อ๋องหลีเป็นขุนนาง ช่วยให้พี่สาวเจ้าได้รับความโปรดปราน! ไม่เช่นนั้น ข้าก็จะปล่อยข่าว เจ้าจิตใจคับแคบ เป็นศัตรูกับแม่แท้ๆ กีดกันพี่สาว ทำลายชื่อเสียงของเจ้า!”นางอัน “...”คำพูดที่นางเคยพูดในตอนนั้น ออกมาจากปากฉู่เชียนหลี ก็เหมือนโดนฝ่ามือเหวี่ยงใส่หน้าดังเพียะๆ แม้แต่หน้านางก็แดงไปถึงรากหู ทั้งอับอายทั้งทำอะไรไม่ได้ แทบอยากหารูมุดเข้าไปในดินเสียเดี๋ยวนี้บ้าจริง!ตอนนั้นนางไม่ควรพูดเช่นนี้!ประเด็นคือตอนนั้น นางก็ไม่รู้ว่าฉู่เชียนหลีจะร้ายกาจเช่นนี้ ไม่เพียงได้รับความโปรดปรานจากอ๋องเฉิน เอาชนะพระชายารองเซียว ยังมีทักษะการแพทย์ที่ลึกล้ำไม่อาจหยั่ง และยังได้รับความสำคัญและการปกป้องจากฮ่องเต้หากรู้แต่แรก นางจะต้องกอดต้นขาฉู่เชียนหลีให้แน่นแน่นอนตอนนี้ เสียดายมาก!โรงหมอเป้าฟู่ในโรคระบาดของเมืองตงหนิงครั้งนี้ โรงหมอเป้าฟู่บริจาคสมุนไพรนับไม่ถ้วนโดยไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ ช่วยเหลือราษฎร สร้างผลงานครั้งใหญ่ และยิ่งได้รับการประทานรางวัลจากฮ่องเต้ เป็นที่เลื่องลือทั่วท
เรือนส่วนหลังอาคารขนาดสามชั้นเล็กๆ ตั้งอยู่ตรงนั้น ได้รับการทำความสะอาดอย่างสะอาดสะอ้าน ไม่มีบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง ค่อนข้างสงบอวิ๋นอิงเดินเข้ามา มองดูห้องมากมายเหล่านี้ เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าลืมถามตำแหน่งของเถ้าแก่จิ่งเดินกลับไปถาม เห็นทุกคนต่างกำลังยุ่ง ผู้ป่วยเยอะมาก ไม่มีใครสนใจนางจึงเดินกลับเรือนส่วนหลังอีกครั้ง เมื่อสังเกตอย่างละเอียด มีประตูบานหนึ่งปิดไม่สนิทเปิดไว้?อวิ๋นอิงเอียงศีรษะ ยกเท้าเดินเข้าไปบางทีอาจจะมีคนอยู่ข้างใน พอดีเลยจะได้ลองถามดูเดินเข้าไปใกล้ ตอนที่กำลังจะยกมือเคาะประตู จากช่องว่างระหว่างประตูสองบานกลับมองเห็น…ภายในห้องถังอาบน้ำหมอกไอร้อนพวยพุ่ง ร่างเงาไหล่กว้างสายหนึ่งกำลังพิงขอบถังอาบน้ำ มือทั้งสองข้างของคนคนนั้นพาดอยู่ข้างๆ อย่างเกียจคร้าน ผมสีดำที่เหมือนกับผ้าชั้นดีห้อยตกลงมา เงางามเป็นประกาย ระหว่างความคลุมเครือ สามารถมองเห็นสัญลักษณ์สีดำบนไหล่หลังของเขาหมาป่า!เป็นรูปสัญลักษณ์หมาป่า!หมาป่าสีดำฝังอยู่บนผิวหนัง ดวงตาสีแดงเข้มเหมือนร้องไห้เป็นเลือด ยิ่งเหมือนมีชีวิต ราวกับกำลังจ้องคนที่อยู่นอกประตู“ซี้ด…”อวิ๋นอิงสะดุ้งตกใจ“ใคร!”
จวนอ๋องเฉินอวิ๋นอิงวิ่งกลับมาตลอดทาง ฝีเท้าลนลาน ในสมองมีภาพดวงตาสีแดงที่ร้องไห้เป็นเลือด จ้องนางราวกับมีชีวิตฉายซ้ำๆ ไม่หยุด รวมถึงผู้ชายที่มีเจตนาฆ่าเปี่ยมล้นในสายตา…หากตอนนั้นนางไม่ได้ทำการช่วยตัวเอง ชีวิตต้องจบลงที่นั่นแน่นอนเขาจะฆ่านางจริงๆ!ผู้ชายคนนั้นอันตรายมาก…เหมือนนางมองเห็นสิ่งที่ไม่ควรมอง ล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกิน ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้จิตใจนางตื่นตระหนก กระสับกระส่าย ก็เหมือนกับไปยุ่งกับของอะไรบางอย่าง ไม่สามารถสะบัดหลุดทั้งชีวิตนางที่เป็นคนโผงผางและไม่กลัวฟ้ากลัวดิน นี่เป็นครั้งแรกที่ตื่นตระหนกวิ่งก้าวยาวเข้าไปในเรือนหานเฟิง กลับไม่ระวังชนใส่เยว่เอ๋อร์ที่เดินออกมา“ว้าย!”เยว่เอ๋อร์โดนชนจนเกือบล้มหน้าคว่ำ นางกุมแขนไว้ เจ็บจนหน้าเบี้ยว “อวิ๋นอิง…ซี้ด…เจ้าเจอผีมาหรือไง…”อวิ๋นอิงหวนคืนสติ รีบประคองเยว่เอ๋อร์“เจ้าไม่เป็นอะไรกระมัง?”“ขอโทษ ขอโทษ เมื่อ…เมื่อครู่ข้ากำลังคิดเรื่องบางอย่าง ก่อนคุณหนูออกจากจวน สั่งให้ข้าไปหาเถ้าแก่จิ่งที่โรงหมอเป้าฟู่ แต่ข้าทำเรื่องพังแล้ว…”เมื่อเยว่เอ๋อร์ได้ยิน ‘เถ้าแก่จิ่ง’ สามคำ ลืมความเจ็บปวดทันที นางรีบเงยหน้าขึ้น“ไ
ในความสลัว มองเห็นใบหน้านางไม่ชัด แต่ฟังแค่เสียงแอบหัวเราะคิกๆ ของนาง ก็รู้ว่าตอนนี้นางได้ใจเพียงใด วอนโดนกระทืบเพียงใดตีไม่ได้ ด่าไม่ได้ ได้แต่ใช้วิธีของเขามาระบายแค้นนี้แล้วฉู่เชียนหลีเหนื่อยจนหอบหายใจ เปลือกตาทั้งสองข้างหนักเหมือนห้อยตะกั่ว“ข้าง่วงแล้ว…”“เฟิงเย่เสวียน ข้าง่วงแล้วจริงๆ เหนื่อยมาก ข้าไม่ไหวแล้ว…”“ไม่ต้องรีบร้อน กลางคืนเพิ่งเริ่มต้น คืนนี้ข้าพาเจ้าสำรวจดินแดนใหม่ๆ เรียนความสามารถใหม่ๆ คนโบราณพูดได้ดี มีความสามารถเยอะไม่หนักตัว เชียนหลีเรียนเยอะๆ”“...”ความสามารถเยอะไม่หนักตัวเขาใช้กันเช่นนี้หรือ?ไสหัวไป!พลันถีบเท้าออกไปเขาคว้าไว้อย่างแม่นยำ พลันยิ้มอย่างชั่วร้าย “เท้าก็ใช่ว่าจะไม่ได้”“?”กลางคืน ทั้งลึกล้ำและยาวนาน เงียบเหมือนน้ำ และเย็นเล็กน้อยบ่าวไพร่ในจวนนอนกันหมดแล้ว เหลือเพียงทหารยามที่เฝ้ายาม ยังคงยืนยามอย่างตื่นตัว เสียงอิๆ อ๊าๆ ของเรือนหานเฟิง ประเดี๋ยวดังประเดี๋ยวเบา ยังคงดังต่อเนื่องนอกเรือนตรงจุดที่สะท้อนแสง บนบันได มีร่างเงาที่ผอมบางและเล็กสายหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้นคืออวิ๋นอิงนางนั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่มีท่าทีง่วงนอน เข่าสองข้างพับ