ในความสลัว มองเห็นใบหน้านางไม่ชัด แต่ฟังแค่เสียงแอบหัวเราะคิกๆ ของนาง ก็รู้ว่าตอนนี้นางได้ใจเพียงใด วอนโดนกระทืบเพียงใดตีไม่ได้ ด่าไม่ได้ ได้แต่ใช้วิธีของเขามาระบายแค้นนี้แล้วฉู่เชียนหลีเหนื่อยจนหอบหายใจ เปลือกตาทั้งสองข้างหนักเหมือนห้อยตะกั่ว“ข้าง่วงแล้ว…”“เฟิงเย่เสวียน ข้าง่วงแล้วจริงๆ เหนื่อยมาก ข้าไม่ไหวแล้ว…”“ไม่ต้องรีบร้อน กลางคืนเพิ่งเริ่มต้น คืนนี้ข้าพาเจ้าสำรวจดินแดนใหม่ๆ เรียนความสามารถใหม่ๆ คนโบราณพูดได้ดี มีความสามารถเยอะไม่หนักตัว เชียนหลีเรียนเยอะๆ”“...”ความสามารถเยอะไม่หนักตัวเขาใช้กันเช่นนี้หรือ?ไสหัวไป!พลันถีบเท้าออกไปเขาคว้าไว้อย่างแม่นยำ พลันยิ้มอย่างชั่วร้าย “เท้าก็ใช่ว่าจะไม่ได้”“?”กลางคืน ทั้งลึกล้ำและยาวนาน เงียบเหมือนน้ำ และเย็นเล็กน้อยบ่าวไพร่ในจวนนอนกันหมดแล้ว เหลือเพียงทหารยามที่เฝ้ายาม ยังคงยืนยามอย่างตื่นตัว เสียงอิๆ อ๊าๆ ของเรือนหานเฟิง ประเดี๋ยวดังประเดี๋ยวเบา ยังคงดังต่อเนื่องนอกเรือนตรงจุดที่สะท้อนแสง บนบันได มีร่างเงาที่ผอมบางและเล็กสายหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้นคืออวิ๋นอิงนางนั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่มีท่าทีง่วงนอน เข่าสองข้างพับ
พร้อมกับเสียงร้องที่น่าเวทนาดังขึ้น ร่างกายของชายคนนั้นลอยกระเด็นออกไปหลายเมตร ชนใส่กำแพงอย่างแรง แล้วตกลงมากระแทกพื้น กระอักเลือดโดยตรง“นายท่าน!”หานเฟิงพาองครักษ์ลับวิ่งมาอย่างรวดเร็ว ชักกระบี่กระโจนเข้าหาชายคนนั้นโดยตรงพลันสายตาชายคนนั้นเหี้ยมเกรียม รีบกัดยาพิษที่ซ่อนอยู่ในปากแตก“อ๊า!”ร่างกายกระตุกอย่างหนักหลังจากนั้นสองวินาที...ตายหานเฟิงก้าวเท้ายาวเดินเข้าไปค้นตัว แต่ไม่พบสิ่งของใดๆ ที่เป็นประโยชน์ เห็นได้ชัดว่าคนคนนี้มีการเตรียมตัวมาเขาเก็บกระบี่ยาว ก้าวเท้ายาวเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าชายชุดผาวสีหมึก คุกเข่ากล่าวขอโทษ“นายท่าน ข้าน้อยละเลยหน้าที ไม่ได้เฝ้าระวังอย่างเข้มงวด นายท่านโปรดลงโทษ!”บนบันไดสามขั้นเฟิงเย่เสวียนยืนมือไพล่หลัง บนใบหน้าหล่อเย็นชามีอารมณ์เฉยเมย เหลือบมองคนตายแวบหนึ่งสวมชุดเด็กรับใช้แฝงตัวเข้าจวนอ๋องประมาทเลินเล่อจริงๆ!และบ่าวไพร่ทั้งหมดของจวนอ๋องอยู่ภายใต้การดูแลของพ่อบ้าน“บอกให้พ่อบ้านหยางทำงานรัดกุมหน่อย หากเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง เรียกเขาหิ้วหัวมาหาข้า” น้ำเสียงเฟิงเย่เสวียนเย็นชาจนถึงขีดสุด หนาวเย็นยิ่งกว่ายามราตรีในฤดู
ไม่นาน หานอิ๋งก็มาหลังจากคำนับ ก็ตรวจชีพจรให้ฉู่เชียนหลี นางจับชีพจรไปพลาง กวาดมองไปทางเฟิงเย่เสวียนเหมือนขอคำแนะนำไปพลางนางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย มือจับชีพจร นิ่งเงียบเป็นเวลานานฉู่เชียนหลีเงยหน้าขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ เหมือนพบเบาะแสบางอย่างสองคนนี้แอบส่งสัญญาณกันต่อหน้านาง?สื่อสารทางสายตา? คิ้วบางขมวดเล็กน้อย เอ่ยปากกะทันหัน “ทักษะการแพทย์แม่นางหานอิ๋งเหนือคน ตรวจชีพจรกลับต้องใช้เวลานานเช่นนี้เลยหรือ?”หานอิ๋งชะงักเล็กน้อย รีบชักมือกลับ ยิ้มจางๆ“พระชายาสถานะพิเศษ นายท่านก็ยืนดูอยู่ตรงนี้ เพื่อความปลอดภัย ข้าน้อยต้องเคร่งครัดเป็นพิเศษ”อธิบายเช่นนี้นับว่าสมเหตุสมผลฉู่เชียนหลีลดข้อมือ ปัดแขนเสื้อลงไป “เป็นอย่างไร?”“อาการของท่าน…” หานอิ๋งเหลือบมองเฟิงเย่เสวียนแวบหนึ่ง จึงจะกล่าว “เกิดจากเหนื่อยล้ามากเกินไป แค่พักผ่อนให้เพียงพอสองสามวัน ก็สามารถฟื้นฟูกำลังวังชาเจ้าค่ะ”ฉู่เชียนหลีขมวดคิ้วเมื่อก่อนใช้พละกำลังเกินตัว ก็ไม่เห็นจะเหนื่อยเช่นนี้มาก่อนแม้หลังกลับจากเมืองตงหนิง นางกับเฟิงเย่เสวียนเล่นไพ่ บรรเลงเพลงกันทุกคืน แต่ทุกวันก็นอนหลับเต็มอิ่มเห็นใดเฟิงเย่เสวียนกระปรี
เก็บเด็กคนนี้ไว้ไม่ได้…เฟิงเย่เสวียนมองดูประกายแห่งความคาดหวังในแววตานาง ลำคอเหมือนถูกบีบ หายใจไม่ออก แววตาเจ็บปวด เม้มริมฝีปากบางแน่นผ่านไปครู่หนึ่ง จึงจะเอ่ยปากอย่างลำบาก“เชียนหลี ข้า…ไม่ชอบเด็ก”เมื่อสิ้นเสียง รอยยิ้มบนใบหน้าฉู่เชียนหลีแข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด เยว่เอ๋อร์กับอวิ๋นอิงก็ตะลึงงันเช่นกันความรักระหว่างพระชายากับท่านอ๋อง ทุกคนเห็นกันหมด คนสองคนอยู่ด้วยกันเพราะรัก ให้กำเนิดลูกที่ตกผลึกจากความรัก ไม่มีอะไรมีความสุขมากไปกว่านี้แล้วแต่ท่านอ๋องกลับ…พริบตานั้น ฉู่เชียนหลีราวกับหูฝาด รอยยิ้มค้างอยู่ที่มุมปาก เอ่ยปากอย่างเหม่อๆ“เจ้า…เมื่อครู่พูดอะไรนะ…”เหมือนนางจะฟังผิด?เฟิงเย่เสวียนปวดใจมาก มือที่ห้อยอยู่ในแขนเสื้อกำหมัดแน่น พยายามข่มความเจ็บปวดในแววตา จับมือสองข้างของนางแล้วกล่าว“เชียนหลี ข้ารู้สึกว่าตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว รูปแบบการใช้ชีวิตของพวกเราดีมาก สบาย อิสระ สงบ ข้าไม่อยากเปลี่ยนแปลง”ฟังคำพูดของเขา ฉู่เชียนหลีรู้สึกเพียงเลือดในร่างกายเย็นลงทีละนิด ไม่ชอบเด็ก? แต่มาวุ่นวายกับนางทั้งวันทั้งคืน?ไม่ชอบเด็ก แต่จะนอนกับนาง?ไม่อยากเปลี่ยนแปลงสภาพที่เป็นอยู
เยว่เอ๋อร์กับอวิ๋นอิงสบตากันแวบหนึ่ง ย่อมรู้สึกถึงความผิดปกติ ก้าวออกมาข้างหน้า“พระชายา ท่าน…ไม่เป็นอะไรกระมัง?” สาวใช้สองคนอยากพูดแต่ก็ลังเลนี่คือเรื่องของท่านอ๋องกับพระชายา ไม่ใช่เรื่องที่คนนอกอย่างพวกนางสองคนจะยื่นมือเข้าไปยุ่งได้ อยากเป็นห่วง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากตรงไหน แต่จะมองดูพระชายาทรมานต่อหน้าต่อตาก็ไม่ได้เช่นกันฉู่เชียนหลีหลับตา สูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที กลืนเสียงสะอื้นในลำคอลงไปนางปรับอารมณ์อย่างรวดเร็ว หันกายกลับมา ลุกขึ้นด้วยสีหน้าปกติ พลิกตัวลงจากเตียง“ข้าจะเป็นอะไร?”นางรู้สึกดีมากเฟิงเย่เสวียนพูดถึง ไม่จำเป็นต้องผูกมัด รักษาสภาพที่เป็นอยู่ ต่างฝ่ายต่างได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ และยังได้รับความสุขทางกาย อย่างอื่นล้วนไม่สำคัญใช่พวกเขาคือคู่นอนเป็นนางที่ไม่รู้จักสถานะของตนเอง อยากได้ของที่นอกเหนือจากเรื่องเพศ ที่จริงขอแค่ปลงแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่ต้องใส่ใจ“ข้าจะออกไปเดินเล่น”“พระชายา…”“พวกเจ้าไม่ต้องตามมา”ฝีเท้าเยว่เอ๋อร์กับอวิ๋นอิงชะงักยืนอยู่ที่เดิม มองดูแผ่นหลังที่ค่อยๆ เดินจากไปของฉู่เชียนหลี ผอมบาง บอบบาง น่าปวดใจนัก ในดวงตาของทั้งคู่เต็มไป
ฉู่เชียนหลีอึ้งไปพักหนึ่ง เงยหน้าขึ้น ตอนที่เห็นผู้มา นางอึ้งอีกครั้งทำไมเป็นเขาอีกแล้ว?เหตุใดทุกครั้งที่อารมณ์ไม่ดี เขาจะปรากฏตัวเสมอ?“ท่านมาได้อย่างไร?” เอวของนางค่อยๆ ยืดขึ้น นั่งตัวตรงขึ้นสามส่วน ให้ตนเองแลดูค่อนข้างมีชีวิตชีวาเฟิงเจิ้งหลีก้าวเท้าเดินไปข้างๆ นาง ยกชายเสื้อขึ้นเล็กน้อย นั่งลงบนบันไดที่อยู่ข้างๆ“เดิมทีออกมาเดินเล่น เห็นเจ้านั่งเหม่ออยู่ตรงนี้คนเดียว และยังสวมใส่บางเช่นนี้ มีอะไรไม่พอใจหรือ?”เขาถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและอดทนฉู่เชียนหลีเม้มปาก สายตาหันไปที่ทะเลสาบอีกครั้งบนทะเลสาบ มีใบไม้แห้งสีเหลืองกลุ่มหนึ่ง กำลังลอยไปตามสายลมที่พัดเบาๆ ประเดี๋ยวนิ่ง ประเดี๋ยวขยับ ประเดี๋ยวลอยไปทางซ้าย ประเดี๋ยวลอยไปทางขวา ไร้จุดหมาย ไร้ทิศทาง เหมือนนางมากนางก็สับสนมากเช่นกันนางเม้มปาก เสียงเบามาก “จู่ๆ ข้าก็ไม่รู้ว่าควรทำอะไร ยิ่งไม่รู้ความหมายที่ตัวเองมาที่นี่คืออะไร?”ไม่มีบ้านและไม่มีอะไรต้องห่วงเหมือนว่าสิ่งที่พยายามทั้งหมดไร้ความหมาย เพราะไม่มีใครสมควรให้นางทำเช่นนี้ตอนที่รู้ว่าตนเองอาจตั้งครรภ์ พริบตานั้น หัวใจของนางนุ่มนวลมาก เซลล์ทั่วร่างพลุ่งพล่
“แต่ว่า อยู่กับคนที่เหมาะสมกับตนเอง ก็สำคัญเช่นกัน...”เขาจ้องมองสีหน้าของนาง คำพูดที่พูดออกมาแฝงไปด้วยการหยั่งเชิงนางกับอ๋องเฉินไม่ใช่คนโลกเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นสามีภรรยากัน ก็มีเรื่องขัดแย้งกันมากมาย ทั้งสองคนสังคมต่างกัน ทัศนคติและความเห็นต่างกันฉู่เชียนหลีเม้มริมฝีปาก จู่ ๆ ก็ลุกขึ้น“ดึกแล้ว ท่านทำงานเถอะ ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนข้า”พูดจบ ก็เดินจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ก้มหน้า เงียบขรึม ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ดูอึมครึมเป็นอย่างยิ่งเฟิงเจิ้งหลีจ้องมองแผ่นหลังที่เดินจากไปของนาง หยุดชะงักคำพูดที่กำลังจะพูดออกมาอันที่จริง เมื่อครู่นี้เขาอยากจะพูด...บางที พวกเขาถึงจะเป็นคนประเภทเดียวกัน...ประสบการณ์แบบเดียวกัน ตัวตนแบบเดียวกัน ชีวิตลำบากแบบเดียวกัน หลบอยู่ในมุมมืดเพื่อเลียแผลแบบเดียวกัน เหมือนเห็นเงาสะท้อนของตนเอง...ตอนที่เผชิญหน้ากับนาง หัวใจของเขาราวกับเชือกที่ดึงเอาไว้ไม่อยู่ เพียงแค่นิดเดียวก็จะเคลื่อนไหว แต่...กลับขยับไม่ได้...ฤดูหนาวของเมืองหลวงเย็นยะเยือกและเงียบเหงากว่าฤดูอื่น ๆ ผู้คนที่สัญจรบนท้องถนนน้อยลงมาก หรืออาจเป็นเพราะอากาศที่หนาวเหน็บ นอกเสียจากช
“!”ไม่คิดเลยว่าตั้งฉายาให้นางมั่ว ๆ!เจ้าสิหูตึง!อวิ๋นอิงอดทนต่อความเจ็บปวดบริเวณหน้าอก จับมือของเขาเอาไว้ “ไปพบพระชายากับข้า!”“เจ้าบาดเจ็บ!”หลิงเชียนอี้แรงเยอะกว่านาง กดไหล่ทั้งสองข้างของนางเอาไว้ กดนางให้นั่งลงบนขั้นบันได ฉีกเสื้อผ้าของตนเองออกมาหลายชิ้น พันรอบเอวของนางหนึ่งสองสามสี่ห้ารอบผูกปม!ขี้เหร่มาก...อวิ๋นอิงทำหน้าไม่พอใจ มีใครห้ามเลือดแบบนี้บ้าง?“ผ้าไม่ได้ฆ่าเชื้อสัมผัสถูกบาดแผล จะเกิดการติดเชื้อ อาจจะสาหัสกว่าเดิม ข้าเรียนมาจากเสียวฉู่ แผลแค่นี้ไม่ถึงตายหรอก” นางแกะผ้าที่อยู่บนเอวออก ทีละรอบ ๆ อย่างรังเกียจ แล้วโยนลงไปบนพื้นหลิงเชียนอี้เม้มปาก จ้องมองผ้าเปื้อนเลือดที่อยู่บนพื้น รู้สึกว่าตัวเองโง่เขลาสิ้นดีเรื่องอะไรก็จัดการได้ไม่ดี อีกทั้งยิ่งช่วยก็ยิ่งยุ่ง“เจ้าก็คิดว่าข้าไม่มีประโยชน์มากเช่นกันใช่หรือไม่?”ทันใดนั้น น้ำเสียงของเขาเบาลง หดหู่ราวกับตกลงมาที่จุดต่ำสุดอวิ๋นอิงชะงักไปเล็กน้อยเหลือบตาขึ้น เห็นหนุ่มน้อยก้มหน้า บรรยากาศรอบตัวอึมครึมมาก เนื่องจากเพิ่งร้องไห้ไป ใบหน้าของเขาแดงก่ำ ดวงตาบวมแดง มีน้ำตาเม็ดเล็ก ๆ เกาะอยู่บนขนตา รู้สึกกดดันมาก
อันธพาลเจ็บจนกรีดร้องเหมือนหมูโดนเชือด “อ๊ะๆ!”ยังไม่ทันได้พักหายใจ ก็โดนถีบจนไปกลิ้งอยู่บนพื้น รองเท้าปักลายดอกไม้เหยียบลงบนหน้าอก หนักจนทำให้เขาหายใจไม่ออก กระอักเลือดออกมา“พู่!”เขากอดต้นขาของอวิ๋นอิง อยากดิ้นให้หลุด แต่หาของอวิ๋นอิงกดทับอยู่บนร่างกายของเขาเหมือนเหล็กกล้า และเขาก็เหมือนกับปลาตัวหนึ่งที่ถูกตอกตะปูอยู่บนเขียง พยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แต่ก็ดิ้นไม่หลุดเจอผีแล้ว!ทั้งที่นางผอมเช่นนี้ เหตุใดจึงมีแรงมากเช่นนี้?ผู้หญิงคนนี้ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือ?ชาวบ้านก็ตะลึงเช่นกันอวิ๋นอิงอุ้มลูกสาวไว้ด้วยมือข้างเดียว ค่อยๆ ก้มลง ยกฝ่ามืออีกข้าง เหวี่ยงไปที่ใบหน้าของอันธพาลโดยตรง“ข้าสั่งให้เจ้าเก็บ”เพียะ!“ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ?”เพียะ!“หูหนวกหรือ?”เพียะ!หนึ่งประโยค หนึ่งฝ่ามือ ตบจนอันธพาลหันซ้ายหันขวา มุมปากแตกมีเลือดไหล หูอื้อ สะบักสะบอมเหมือนสุนัขจรจัดตัวหนึ่ง ไม่หลงเหลือความฮึกเหิมของก่อนหน้านี้เลย“ลูกพี่!”ลิ่วล้อสามคนคว้าโต๊ะเก้าอี้และท่อนไม้ที่อยู่ข้างๆ ฟาดไปทางอวิ๋นอิงอย่างแรงอวิ๋นอิงกระโดนหมุนตัวเตะพวกเขาสามคนจนลอยกระเด็นออกไปไกลเจ็ดแปดเมตร โดยไม่หั
ตงหลิงเจียงหนาน ทำเนียบสามเดือนที่พระชายาจากไป อ๋องเฉินเอาแต่เก็บตัว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก หานเฟิงต้องรับผิดชอบงานแทนทุกอย่าง เมื่อนานวันเข้า โลกภายนอกต่างกำลังคาดเดา จิตใจของอ๋องเฉินได้รับกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น เกรงว่าเหลือเวลาอีกไม่นานแล้วช่วงนี้ ในที่สุดอาการบาดเจ็บของจิ่งอี้ก็ดีขึ้นแล้วอาการบาดเจ็บทางกระดูกหรือเส้นเอ็น ต้องรักษาอย่างน้อยหนึ่งร้อยวันในที่สุดกระดูกซี่โครงที่หักสองซี่ก็หายดีแล้ว สามารถขี่ม้าได้แล้ว ตอนนั้นเขาบอกว่าจะนำทัพกลับแคว้นซีอวี้ทันทีแต่ก่อนไป เขาถามเหมือนไม่ใส่ใจ“เหตุใดไม่เจอแม่นางอวิ๋นอิงเลย?”จ้านหูจริงจังขึ้นมาทันที เขาตอบ“องค์ชายใหญ่ ข้าจะส่งคนไปสืบเดี๋ยวนี้!”“ไม่ต้อง”หลังจากปฏิเสธอย่างเฉยเมย ปีนขึ้นหลังม้า ขี่ออกไปคนเดียวแล้วจ้านหู “?”หมายความว่าอย่างไร?ตอนที่องค์ชายใหญ่หมดสติ แม้อวิ๋นอิงบอกว่าไม่สนใจ แต่แอบมาเยี่ยมองค์ชายใหญ่ตอนดึกดื่นเวลาที่ไม่มีคนองค์ชายใหญ่ก็อีกคน ทั้งที่คิดถึงอวิ๋นอิง แต่ไม่ยอมรับในใจของพวกเขาสองคนล้วนมีอีกฝ่าย ลูกสาวก็อายุเกือบครึ่งขวบแล้ว เหตุใดไม่ลองเปิดใจสักนิดแล้วอยู่ด้วยกันเลย
คืนแรกที่มาถึงต่างโลก ฉู่เชียนหลีฝันในความฝัน นางอยู่บนสนามรบ สู้จนตัวตาย เลือดไหลเป็นแม่น้ำ น่าสลดใจนัก…ในความฝัน นางได้ต่อสู้ร่วมกับชายคนหนึ่งที่มองไม่เห็นใบหน้า ร่วมเป็นร่วมตาย และยังมีเสียงที่นุ่มนิ่มของเด็ก เรียก ‘ท่านแม่’ ครั้งแล้วครั้งเล่าในความฝัน ราวกับนางได้รับความอยุติธรรมครั้งใหญ่ หัวใจเจ็บปวด และพยายามอธิบายสุดชีวิต แต่พวกคนที่เรียกตัวเองว่า ‘ครอบครัว’ ไม่เชื่อนาง และยังบีบคั้นนางสู่เส้นทางที่สิ้นหวังในความฝัน…มีคนกำลังเรียกนาง‘เชียนหลี…เชียนหลี…’ฉึก!ฉู่เชียนหลีลืมตาฉับพลัน ท้องฟ้าข้างนอกสว่างแล้ว แสงแดดอุ่นๆ ยามเช้าสาดส่องเข้ามา สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของอากาศ สงบมากนางรู้สึกเวียนศีรษะ และแน่นหน้าอกราวกับนางอยู่ในความฝันอันยาวนานจริงๆนางได้รับความอยุติธรรมนางถูกคนในครอบครัวฆ่าตายแต่เหตุใดนางจำผู้ชายที่เรียกนาง และภาพที่เรียกนางว่า ‘ท่านแม่’ ไม่ได้เลย“องค์หญิง ท่านตื่นแล้ว”เมื่ออ้ายอ้ายได้ยินเสียง ถือกะละมังน้ำอุ่นกับเครื่องใช้เข้ามาปรนนิบัติฉู่เชียนหลีนวดขมับ อยู่ในอาการเหม่อลอย แขนขาอ่อนแรง ไม่มีแรงขยับ ดึงผ้าห่มออก ลงจากเตียง สวมรองเท้
สาวใช้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รีบฝนหมึกอย่างเชื่อฟังมองดูองค์หญิงรีบหยิบพู่กัน เขียนอะไรบางอย่าง ท่าทางที่รีบร้อนนั่น เมื่อก่อนเวลาที่นังเป็นห่วงคุณชายเซิ่น ยังไม่รีบร้อนเช่นนี้เลยองค์หญิงกระโดดสระน้ำ หมดสติไปสามวัน หลังจากฟื้น ก็เปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย?นิสัยเปลี่ยนไปน้ำเสียงเปลี่ยนไปแต่เมื่อลองตั้งใจมอง องค์หญิงยังคงเป็นองค์หญิง ยังคงเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยฉู่เชียนหลีเขียนอย่างรวดเร็ว…อ๋องเฉินเป็นอย่างไรบ้าง ข้าอยู่แคว้นหนานยวน…พลางเขียน พลางกล่าวอย่างรีบร้อน “รีบไปหาคน ช่วยข้าส่งจดหมายฉบับนี้ไปให้อ๋องเฉินที่ตงหลิงเจียงหนาน”นางอยากบอกความจริงกับเฟิงเย่เสวียน ต่อให้ตนลืมแล้ว แต่เฟิงเย่เสวียนจำนางได้เขาจะต้องมาหานางแน่นอนไม่ช้าก็เร็วสักวัน พวกเขาครอบครัวสี่คนจะอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา“อ๋องเฉินแห่งตงหลิงเจียงหนาน?”สาวใช้เกาศีรษะด้วยความสงสัย “องค์หญิง ท่านส่งจดหมายให้อ๋องเฉินทำไม? ท่านรู้จักอ๋องเฉินตั้งแต่เมื่อไร?”ฉู่เชียนหลีรีบกล่าว“อธิบายกับเจ้าไม่ได้ แต่ความสัมพันธ์ของข้ากับอ๋องเฉินไม่ธรรมดา…อ๋องเฉิน? อ๋องเฉินตงหลิง?”เงยหน้าฉับพลัน“ข้ารู้จักอ๋องเฉ
ทุกคน “...”สีหน้าฮ่องเต้หนานยวนดูไม่ดีนัก เซิ่ยซือเฉินเป็นแค่บัณฑิตคนหนึ่ง เพื่อบัณฑิตคนหนึ่ง ต้องทุ่มสุดตัวเช่นนี้เลย ต้องตื่นเต้นเช่นนี้เลย?ในฐานะองค์หญิง ไม่ควรมองให้ไกลกว่านี้หน่อยหรือ?เพื่อป้องกันจวินลั่วยวนทำร้ายตัวเอง เขาออกคำสั่ง มัดมือและเท้าของนางโดยตรงจวินลั่วยวนขยับไม่ได้แล้วเห็นท่าทางที่จะยิ้มไม่ยิ้มของฉู่เชียนหลี และยังเลิกคิ้วอย่างยั่วยุ นางโมโหจนแทบกัดลิ้นฆ่าตัวตายหลังจากเหตุการณ์ที่วุ่นวาย ไปจากตำหนักองค์หญิงฉู่เชียนหลีกับหลิงอี้ซิงเดินเคียงข้างกันจากไป เมื่ออารมณ์ดี จังหวะการเดินก็ผ่อนคลายเป็นพิเศษ อดไม่ได้ที่จะฮัมเพลงเบาๆฮัมไปฮัมมา จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าหลิงอี้ซิงเป็นผู้มีจิตใจเมตตา อุทิศตนให้กับความดีและคุณธรรมหยุดฝีเท้าหันไปถาม “ท่านพี่ ท่านน่าจะเห็นกระมัง ว่าข้าจงใจรังแกจวินลั่วยวน?”หลิงอี้ซิงเดินตามปกติ สายตามองไปข้างหน้า พยักหน้าอย่างเกียจคร้าน ตอบสั้นๆ เพียงคำเดียว“อืม”“ท่านไม่รู้สึกว่าข้านิสัยไม่ดีหรือ?”เขาหยุดเดินหันมามองนาง กล่าวอย่างจริงจัง “ที่เจ้ารังแกนาง นั่นก็ต้องเป็นเพราะนางล่วงเกินเจ้าก่อนแน่นอน ล้วนเป็นความผิดของนาง”เขาไ
“ยวนเอ๋อร์! ยวนเอ๋อร์!” ฮ่องเต้หนานยวนร้อนใจจนหน้าถอดสี “ใครก็ได้ ใครก็ได้รีบมาเร็ว ยวนเอ๋อร์เสียเลือดมากเกินไป หมดสติไปแล้ว!”จวินลั่วยวนที่ ‘เสียเลือดมากเกินไปจนหมดสติ’ “...”เจ้าน่ะสิที่เสียเลือดมากเกินไปเจ้าเสียเลือดมากเกินไปทั้งครอบครัว!หมอหลวงมาอย่างรวดเร็ว หลังจากทำแผลให้จวินลั่วยวนเสร็จ ถอนหายใจด้วยความกังวล “สามเดือนแล้ว ในที่สุดเอ็นขององค์หญิงก็เชื่อมต่อกัน คิดไม่ถึงว่าขาดอีกแล้ว ความพยายามในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาล้วนสูญเปล่า” ต่อจากนี้ก็ต้องใช้เวลาอีกสามเดือน เปิดบาดแผล บำรุงเอ็นทุกวันเมื่อฉู่เชียนหลีได้ยินคำนี้ เบ้าตาแดงฉับพลัน“ล้วนเป็นความผิดของข้า…”นางดึงชายเสื้อของหลิงอี้ซิง กล่าวเสียงสะอึก“ท่านพี่ ข้ามันไม่ดี ต้องเป็นเพราะเรื่องของคุณชายเซิ่นแน่ องค์โกรธข้า ไม่ชอบข้า จึงฟาดมือของตัวเองใส่เสา เพื่อเป็นการแสดงความรังเกียจต่อข้า”“ข้าทำร้ายนาง ฮือๆ…”หลิงอี้ซิงรักน้องสาว ทุกคนในแคว้นหนานยวนรู้เรื่องนี้แล้วฮ่องเต้หนานยวนกล่าวโทษนางได้อย่างไร?กลับกัน เขายังต้องขอร้องหลิงอี้ซิงทักษะการทำนายของหลิงอี้ซิงมีเพียงหนึ่งเดียวในใต้ฟ้า ตลอดหลายปีที่เขานั่งตำแหน
ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน นางค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้เตียง จวินลั่วยวนนอนหลับแล้ว ไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน หน้าซีดซูบผอม เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกฉู่เชียนหลีเหลือบมองแวบหนึ่ง“เหตุใดข้อมือของนางยังมีเลือด?”สามเดือนแล้ว แผลยังไม่หาย?นางกำนัลที่อยู่ข้างๆ ตอบ“หมอหลวงบอกว่า จะใช้ยาพิเศษรักษาเอ็นมือและเท้าที่ขาดขององค์หญิง จำเป็นต้องเปิดแผล ขยับเอ็นที่ขาดไปรวมกันทุกวัน จนกระทั่งเชื่อมต่อกัน”“ฮืม?”ฉู่เชียนหลีเลิกคิ้วด้วยความสนใจเช่นนี้ก็เท่ากับว่า จวินลั่วยวนต้องทนกับความเจ็บปวดที่ใช้มีดเปิดปากแผลทุกวันติดต่อกันสามเดือนเต็มๆ น่าสังเวชน่าจะเจ็บมากกระมัง?นางค่อยๆ นั่งลง จับข้อมือของจวินลั่วยวนเบาๆ มองผ้าพันแผลที่ถูกพันห้าหกรอบอย่างครุ่นคิดทันใดนั้นออกแรงกดที่นิ้ว“ซี้ด…!”จวินลั่วยวนเจ็บจนตื่น ลืมตาทันทีฉู่เชียนหลีรีบปล่อยมือ “โอ๊ย…ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจแตะตัวท่าน ดูท่านเจ็บมากเลยนะ ขอโทษจริงๆ”“!”หลินเหยี่ยมาอยู่ในตำหนักของนางได้อย่างไร?นางรังเกียจผู้หญิงคนนี้ที่สุด!อาศัยที่พี่ชายของตัวเองเป็นราชครู แสร้งทำเป็นช่วยเหลือชาวบ้าน ทำแต่ความดีทุกวัน มีแต่คนบอกว่าองค์หญ
เซิ่นสือเฉิน “?”เหตุใดวันนี้รู้สึกว่าหลิงเหยี่ยแปลกๆ?เมื่อก่อนนางชอบเขามากเลยไม่ใช่หรือ? เวลาที่เขาอ่านหนังสือ นางชอบมาอยู่ข้างๆ ฝนหมึกพัดลมให้เขา เวลาที่เขาเขียนหนังสือ นางชอบแอบที่นอกหน้าต่าง จับจิ้งหรีดเล่น เวลาที่เขางีบหลับ นางมักจะชงชาหิมะชั้นดีมาให้เขานางยังบอกว่าจะแต่งงานกับเขาคนเดียวเหตุใดแค่วันเดียว ก็ปล่อยวางได้แล้ว?“องค์หญิงหลิง ข้าขอโทษ” เขากล่าวอย่างรู้สึกผิดที่จริงเขาก็ชอบหลิงเหยี่ยเช่นกัน แต่องค์หญิงยวนบอกเขาว่าหลิงเหยี่ยนิสัยไม่ดี ชอบรังแกคนรับใช้ หาเรื่องชาวบ้าน ใส่ร้ายโยนความผิดให้ผู้อื่นด้วยวิธีที่น่ารังเกียจ และทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายเขาเป็นคนเรียนหนังสือ นิสัยซื่อตรง ไม่สามารถยอมรับคนที่จิตใจอำมหิตอย่างหลิงเหยี่ยเมื่อเปรียบเทียบกัน เขาชอบจวินลั่วยวนที่ไร้เดียงสา จิตใจดี และร่าเริงมากกว่า“เมื่อก่อนท่านส่งข้าเรียนหนังสือ ช่วยข้าหาอาจารย์ ใช้เส้นสาย ทำให้ข้าสอบติดขุนนาง…บุญคุณส่วนนี้ ข้า ข้าทำได้เพียงตอบแทนท่านชาติหน้าแล้ว…”ฉู่เชียนหลียิ้มอย่างอ่อนโยน“ไม่เป็นไร แค่เรื่องเล็กน้อย”“ได้ยินมาว่าองค์หญิงยวนได้รับบาดเจ็บ พวกเราเข้าวังไปดูนางกันเ
องค์หญิง?คุณชายเซิ่น?ฉู่เชียนหลีไม่ได้รับความทรงจำใดๆ เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก สับสนและงงงวยเล็กน้อยยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีเสียงฝีเท้าที่ยุ่งเหยิงและเสียงต่อต้านดังมาจากนอกประตู “ใต้เท้าหลิง! ใต้เท้าหลิง ต่อให้ท่านบีบคั้นข้าจนตาย ข้าก็ไม่แต่งงานกับนาง!”“ตั้งแต่ต้นจนจบ ในใจข้ามีเพียงองค์หญิงยวนเอ๋อร์เท่านั้น!”ยวนเอ๋อร์?องค์หญิง?ฉู่เชียนหลีเงยหน้ามองไป เห็นชายหนุ่มสวมชุดเพ้าสีขาวและที่ครอบผมหยก กำลังลากผู้ชายที่ท่าทางสุภาพเหมือนคนเรียนหนังสือเข้ามานางตระหนักถึงบางอย่าง รีบดึงสาวใช้ที่อยู่ข้างกายมาถามเบาๆ“ที่นี่คือแคว้นหนานยวน?”สาวใช้ “?”องค์หญิงเป็นอะไรไป?เหตุใดถามคำถามเช่นนี้?“องค์หญิง ท่าน…”“อย่าพูดไร้สาระ ตอบข้า!”สาวใช้ตกใจ รีบกล่าว “ท่านคือหลิงเหยี่ย องค์หญิงต่างแซ่ของแคว้นหนานยวน ใต้เท้าคือมหาราชครูของแคว้นหนวนยวน เป็นพี่ชายแท้ๆ ของท่าน เพราะใต้เท้าชำนาญการทำนาย เคยช่วยแคว้นสามครั้ง สร้างคุณประโยชน์มากมาย ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์หญิงต่างแซ่…”คำพูดที่เหลือ ฉู่เชียนหลีมองข้ามโดยตรงสิ่งเดียวที่นางคิดคือ นางถูกส่งมาเป็นองค์หญิงต่างแซ่ อีกท