เมื่อคำถามนี้ออกไป ทำให้หัวใจของทุกคนหนักอึ้งเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน พระชายาทานยาทันที แต่กลับหมดสติไม่ฟื้น แต่ภายในหนึ่งชั่วยามนี้ ชาวบ้านมากมายกินยาไปแล้ว ก็ทยอยดีขึ้นแล้วแต่พระชายาไม่เพียงไม่ฟื้น ยังไข้สูงไม่ลดเลยอีกด้วย สติสัมปชัญญะไม่ชัดเจน เหมือนกับ...รุนแรงกว่าเดิม?แต่เป็นไปได้อย่างไร?นี่คือยาถอนพิษที่พระชายาศึกษามาเองกับมือ บรรดาชาวบ้านต่างก็ดีขึ้นแล้ว เหตุใดพระชายาจึงไม่ดีขึ้นนะ?หรือว่ามีตรงไหนไม่ถูกต้อง?รองแม่ทัพเจียงครุ่นคิดดูครู่หนึ่ง กล่าวแนะนำเสียงเบา “เถ้าแก่จิ่ง สมุนไพรขาดไปหรือไม่? ต้มให้พระชายาลองกินดูอีกสักชาม?”ตัวตนก่อนหน้าที่มาเมืองตงหนิงของจิ่งอี้คือเถ้าแก่ของโรงหมอเป้าฟู่ มาเพื่อวินิจฉัยโรค ช่วยคนโดยไม่เก็บเงินตอนนี้ไม่มีคนรู้ความเกี่ยวข้องของฉู่เชียนหลีกับโรงหมอเป้าฟู่ แล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าฉู่เชียนหลีมีสำนักอู๋จี๋อยู่ในมือจิ่งอี้ขมวดคิ้ว ส่ายหน้า“เป็นยาสามส่วนของพิษ ภายในสี่ชั่วยาม กินมากไม่ได้”ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งชั่วยามแล้ว ต้องรอหลังจากสามชั่วยาม ถึงจะกินได้อีกครั้งรองแม่ทัพเจียงร้อนใจ “เช่นนั้นจะทำอย่างไร! ทุกคนกินยาต่างก็ดีขึ้นแล้ว ก็ม
“น้าสะใภ้ของข้าเป็นอะไรหรือ?”หลิงเชียนอี้เพิ่งหนีกลับมา ยังคงงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้ารองแม่ทัพเจียงจ้องมองท่าทางที่สลบไสลไม่ได้สติของหญิงสาว รู้สึกไม่สบายใจ จึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสองวันมานี้คร่าว ๆ หลังจากพูดจบ กล่าวถาม“ท่านโหวน้อย ท่านกลับมาได้อย่างไร?”“ข้า?” หลิงเชียนอี้กุมต้นขาที่ได้รับบาดเจ็บ กล่าว “เดิมทีเมื่อวานนี้ข้าไปหารัชทายาท แต่กลับถูกรัชทายาทรั้งตัวเอาไว้ ต่อมาตอนกลางดึก ตอนที่ข้ากำลังหลับอยู่ จู่ ๆ ก็มีกระสอบมาคลุมหัวข้า แล้วก็ถูกลักพาตัวไป”“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนลักพาตัวข้า มองไม่เห็นอะไรเลย ยังถูกแทงอีกแผล แม่เอ๊ย! เจ็บจะตายชัก!”โชคดีที่เขามีไหวพริบ อาศัยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ อดทนมาได้หลายชั่วยามแล้ว ในที่สุดก็ฝนเชือกจนขาด แล้วหนีกลับมาได้ถ้าหากรู้ว่าใครเป็นคนลักพาตัวเขา เขาจะต้องจับตัวคนนั้น แล้วแทงที่ต้นขามันสักยี่สิบสามสิบที!พูดจบ เขารีบสอบถามสถานการณ์ของฉู่เชียนหลีอย่างเป็นห่วง“ในระหว่างทางที่ข้ากลับมา ได้ยินว่าเจอยารักษาโรคแล้ว? นางกินยาแล้วหรือไม่? เหตุใดนางจึงยังไม่ฟื้น? เหตุใดใบหน้าของนางจึงแดงขนาดนี้?”คำถามที่ยาวเป็นพรวน
ภายในห้องมีเพียงแค่สองคน เงียบสงบเป็นอย่างยิ่งชายหนุ่มไม่ออกห่างจากหน้าเตียงไปแม้แต่ก้าวเดียว สายตาจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าของหญิงสาวไม่กะพริบนางกำลังหมดสติ อุณหภูมิร่างกายสูงเกินกว่าปกติ แก้มทั้งสองข้างแดงก่ำ หายใจไม่สม่ำเสมอ ราวกับกำลังตกอยู่ในฝันร้าย คิ้วขมวดแน่น แต่เหตุใดนางจึงไม่ฟื้นมือทั้งสองข้างประสานกันแน่นอุณหภูมิร่างกายของนางส่งผ่านไปยังมือของเขา โดยการสัมผัส ทำให้หัวใจของเขาจมดิ่งไปถึงจุดต่ำสุด รู้สึกถึงความเงียบเหงาที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเขาจ้องมองนางเงียบ ๆ แบบนี้ นั่งมาหนึ่งวันเต็ม ๆ แล้วพลบค่ำหานอิ๋งเดินทางมาถึงนางรีบจับชีพจรให้ฉู่เชียนหลี ทั้งตรวจร่างกาย สีหน้าหนักใจยิ่ง“นายท่าน โรคระบาดนี้ไม่ได้มีพิษเพียงชนิดเดียว แต่มีพิษร้ายแรงหลายชนิด พวกมันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างตอนนี้ อาการของพระชายาในตอนนี้...”คำพูดไม่สามารถแสดงถึงความร้ายแรงสายตาของชายหนุ่มอึมครึมราวกับขี้เถ้า “ยาถอนพิษ?”“ยา...” หานอิ๋งก้มหน้า “อาจจะต้องใช้เวลาสามวันถึงจะค้นคว้าหัวเชื้อออกมาได้ แต่ปัญหาสำคัญคือพระชายาจะสามารถอดทนได้หรือไม่ รวมทั้งหลังจากสามวัน พิษร้ายแรงภายในร่างกายของนางจะเปล
เป็นอย่างที่คิด!เฟิงเย่เสวียนอยากช่วยฉู่เชียนหลี!ดูไม่ออกจริงๆ น้องเจ็ดที่ไม่ฝักใฝ่เรื่องทางเพศและเงียบขรึมพูดน้อยของเขา สุดท้ายแล้วจะมาตกม้าตายเพราะฉู่เชียนหลี!ฮ่าๆๆ!“ให้เขาเข้ามา…”“อ๊า!”พูดไม่ทันจบ พลันทหารยามที่มารายงานถูกถีบอย่างแรง ลอยกระเด็นเข้าไปในกระโจม กลิ้งติดต่อกันสิบกว่ารอบ ชนโต๊ะคว่ำ จอกเหล้าและเหล้าตกกระจายเกลื่อนพื้นแววตาเฟิงเจิ้งอวี้ขรึมลง เงยหน้ามองในยามราตรีที่มืดสลัว เฟิงเย่เสวียนในชุดผาวสีหมึกถือกระบี่อ่อน เหยียบย่ำยามราตรีเดินเข้ามาทีละก้าว กลิ่นอายอันเยือกเย็นรอบกายแช่แข็งอากาศทีละชุ่นเหล่าทหารยามรู้สึกถึงความผิดปกติ ต่างก็รีบเข้ามายืนเรียงเป็นหน้ากระดานปกป้องรัชทายาทผู้ชายสองคน คนหนึ่งนั่งอยู่ในกระโจม คนหนึ่งยืนอยู่ในยามราตรี ห่างกันเพียงไม่กี่เมตร ดวงตาสี่ข้างประสานกัน สนามรบที่ไร้ควันดินปืนปะทุขึ้นในพริบตา ควันหลงที่กระจายออกไป ทำให้ทุกคนอกสั่นขวัญผวาเฟิงเจิ้งอวี้หรี่ตาลง ลุกขึ้นอย่างยิ้มแย้ม“น้องเจ็ดมาแล้ว?”เขาถามด้วยรอยยิ้ม “แล้วมีเรื่องอะไร? ได้ยินว่าเชียนอี้หนีกลับมาแล้ว? ไม่ได้รับบาดเจ็บก็ดีแล้ว เจ้าโจรชั่วนี่เจ้ากล้ายิ่งนัก ต้องต
“นายท่าน แย่แล้ว คนหนีไปแล้วขอรับ!”ทันใดนั้น นอกประตู หานเฟิงพุ่งพรวดเข้ามาเฟิงเย่เสวียนกวาดมองด้วยหางตา ผลักรัชทายาทออก ยกกระบี่ยาวขึ้น หมุนกายอย่างเยือกเย็นและเดินออกไปข้างนอก ริมฝีปากบางคายคำพูดอันเยือกเย็นออกมาหนึ่งคำ“ตาม!”เพิ่งเดินออกจากกระโจมในป่าทึบที่อยู่ไม่ไกล ร่างเงาที่เพรียวบางสายหนึ่งโผล่ออกมากะทันหัน“ใช่นางหรือไม่!”เสียงใสซื่อและอ่อนเยาว์ของเด็กสาวดังขึ้นเห็นเพียงเด็กสาวผมสั้นชุดสีแดง และถือหอกหงอิง[footnoteRef:1]จับผู้หญิงเหมียวเจียงต่างถิ่นคนหนึ่งไว้ สองมือของนางถูกมัด ปลายอีกด้านของเชือกอยู่ในมือตนเอง [1: ทวนหงอิง ทวนที่มีพู่สีแดงผูกตรงปลาย] เป็นนาง!ผู้หญิงคนที่หลิงเชียนอี้บอกว่าชื่ออูหนู และสงสัยว่าสามารถทำยาแก้พิษ!เวลาไม่คอยท่า กลับเมืองทันทีโรงหมอเฟิงเย่เสวียนผลักผู้หญิงคนนั้นล้มลงหน้าเตียง ชักกระบี่พาดบนคอนาง น้ำเสียงเย็นชา“ช่วยนาง หากเกิดอะไรขึ้นกับนาง ข้าจะทำให้เจ้าตายทั้งเป็น!”อูหนูกวาดมองกระบี่เย็นบนคอแวบหนึ่ง นิ้วมือที่เรียวยาวผลักมันออก มองไปทางเฟิงเย่เสวียน เอ่ยปากด้วยรอยยิ้มลึกที่มีเสน่ห์ “ข้าจะพยายาม”เสียงที่อ่อนโยนไพเราะ
คืนต้นฤดูหนาวอากาศเย็นเป็นพิเศษ ท่ามกลางยามราตรีที่มีหมอกหนาทึบ ไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามีร่างเงาสีหมึกสายหนึ่งออกจากเมืองตงหนิงอย่างเงียบๆระหว่างภูเขาแสงจันทร์นวลสลัว สายน้ำไหลริน ระหว่างไหล่เขา มีน้ำแร่ธรรมชาติหนึ่งบ่อตั้งอยู่ที่นี่ ไอร้อนลอยวนเวียนเหนือผิวน้ำ หมอกควันพวยพุ่ง กิ่งไม้บดบังแสงจันทร์ ราวกับเมฆหมอกในดินแดนแห่งเซียนซ่า…เสียงลงน้ำอันแผ่วเบาในความคลุมเครือ ร่างเพรียวบางของผู้หญิงลงไปในบ่อน้ำพุร้อน หยดน้ำอาบแสง สุกใสเป็นประกาย สะท้อนผิวกายที่ขาวนวลราวไขมันเกาะตัวลมหายใจสองสายประสานกันสิบนิ้วเกี่ยวกันผิวน้ำกระจายคลื่นเป็นระลอก คลื่นน้ำที่กระจายกระทบฝั่ง เกิดเสียง ‘เพี๊ยะ’ ดังขึ้นอย่างชัดเจน ยิ่งกว่านั้นเป็นจังหวะที่สม่ำเสมอลมหายใจ บางทีก็ยาว บางทีก็สั้น บางทีก็หนัก บางทีก็เบาท่ามกลางละอองน้ำ ร่างเงาสองสายปรากฏและหายไปเป็นระยะ คลุมเครือมองเห็นไม่ชัดเจนแสงจันทร์สาดส่อง ทะลุกิ่งก้านไม้ใบ เงากระดํากระด่างส่องเล็ดลอดลงมาเมื่อลมพัด กิ่งก้านสาขาส่งเสียง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ ดังทั้งคืน แสดงให้เห็นถึงความสงบของยามราตรีในป่า เสียงดังดังแล้วดังเล่าเลือนรางท่ามกลางคว
นาง?ติดเชื้อโรคลมหนาว?ไข้สูงไม่ลด?ฉู่เชียนหลีขมวดคิ้ว สัมผัสสภาพร่างกายอย่างละเอียดครู่หนึ่ง เหมือนอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรงจริงๆ เป็นอาการของไข้สูงเพิ่งลดหรือนางป่วยจริงๆ?ไม่ควรเป็นเช่นนี้นี่นา?สภาพร่างกายของนาง มีหรือที่นางจะไม่ชัดเจน?เฟิงเย่เสวียนมองดูท่าทางที่สงสัยของนาง ดวงตากลอกไปมา เอ่ยปากอีกครั้ง“เจ้าน่ะ เพื่อช่วยราษฎร ไม่สนใจแม้แต่ร่างกายของตัวเอง เจ้าไม่ได้พักผ่อนนานแค่ไหนแล้ว ไม่ได้ดื่มน้ำกินข้าวนานแค่ไหนแล้ว เจ้าไม่รู้หรือว่าอะไรควรไม่ควร?”เขาใช้นิ้วจิ้มศีรษะนางด้วยท่าทางขึงขังแล้วกล่าว“แม้เป็นร่างกายที่ถูกหลอมจากเหล็ก ก็ทนต่อการทรมานเช่นนี้ไม่ไหว ต่อไป ข้าไปไหนก็ต้องพาเจ้าไปด้วย ทำให้คนอื่นต้องเป็นห่วงตลอด!”จิ้มศีรษะนางจิ้มจนเจ็บ!คิ้วบางฉู่เชียนหลีขมวดเป็นปม กุมศีรษะไว้หรือนางติดเชื้อลมหนาวจริง?ติดเชื้อลมหนาวแค่ออกกำลังกายก็สามารถรักษาให้หาย? เขาไม่ได้จงใจเอาเปรียบนางจริงๆ?นางเหลือบมองเฟิงเย่เสวียนด้วยความสงสัยเฟิงเย่เสวียนยืดตัวตรง ทำหน้านิ่ง แสดงท่าทางที่จริงจังและมีคุณธรรมเป็นพิเศษ เหลือแต่แกะสลักคำว่า ‘ข้าคือผู้ซื่อสัตย์’ ไว้บนหน้าผากแล้ว
เวลาเดียวกัน ในเมืองตงหนิง ทุกคนกำลังตามหาอย่างร้อนใจ“อ๋องเฉิน!”“พระชายาอ๋องเฉิน!”“พวกท่านอยู่ที่ไหน? อ๋องเฉิน…”บนถนน รองแม่ทัพเจียงพาทหารยามค้นหาไปทั่ว ส่วนหานเฟิงไปที่รัชทายาท แต่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย จิ่งอี้กับจางเฟยก็ตามหาทุกที่ หลิงเชียนอี้ลากขาที่ได้รับบาดเจ็บ เดินกะโผลกกะเผลกตามหา ชาวบ้านได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว ก็รีบมาสมทบ ช่วยกันออกตามหาเช่นกัน“พระชายาอ๋องเฉิน…”“อ๋อง…”“รีบดูตรงนั้น!”ทันใดนั้น ไม่รู้ว่าใครตะโกนเสียงดัง ทำให้ทุกคนหันไปมองพร้อมกัน มองเห็นร่างเงาสีหมึกอันสูงศักดิ์สายหนึ่งกระโดดลงมาจากกำแพงสูง และลงสู่พื้นอย่างมั่นคงเขาคืออ๋องเฉิน!“นายท่าน!”“ท่านน้า!”“อ๋องเฉิน!”คนทั้งกลุ่มก็วิ่งเข้ามาล้อมรอบอย่างรวดเร็ว คนที่เป็นห่วงก็เป็นห่วง คนที่ถามก็ถาม คนที่กังวลก็กังวล สายตาหลายคู่จับจ้องไปที่ทั้งสอง“นายท่าน เมื่อคืนท่านไปไหนมา?”“ท่านน้า น้าสะใภ้ พวกท่านไม่เป็นอะไรกระมัง?”ทุกคนเป็นห่วงฉู่เชียนหลียังขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา ภายใต้สายตามากมายที่จับจ้อง รู้สึกเขินอายเล็กน้อย บิดเอวอยากลงไปแต่ฝ่ามือเฟิงเย่เสวียนออกแรงฉับพลัน อุ้มนางไว้แน่น“ไม
มีดพาดอยู่บนคอนาง คมมีดที่เย็นเฉียบส่องประกายด้วยแสงเย็นยะเยือก ราวกับว่านางแค่ออกแรงเล็กน้อย ก็จะตัดเส้นเลือดอันบอบบางของนางทันทีเฟิงเจิ้งหลีกำลังจะเข้าใกล้พลันมือของนางก็ออกแรงกด “ถ้าหากเจ้ายังต้องการจับตัวเฟิงเย่เสวียน เก็บข้าไว้ดีกว่า ถ้าหากข้าเป็นอะไรไป เกรงว่าเจ้าไม่สามารถควบคุมเฟิงเย่เสวียนแล้ว”เขาชะงักเล็กน้อยข่มขู่?มันก็จริง เฟิงเย่เสวียนหนีออกจากเมืองแล้ว แม้เขาเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่เฟิงเย่เสวียนมีที่ดินศักดินา มีกำลังทหาร สามารถตั้งตนเป็นอ๋อง ถ้าหากสู้กันจริงๆ ใช่ว่าเขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของเฟิงเย่เสวียนเสมอไปแต่ว่า นางรังเกียจเขาเช่นนี้เลยหรือ?ถึงขั้นยอมใช้คอของตัวเองมาขู่เขา? เขาก็ขมวดคิ้วแน่น กล่าวอย่างเย็นชา“เจ้ากล้าตายหรือ? ไม่ต้องการจื่อเยี่ยแล้ว?”“ใครบ้างที่อยากตาย? แต่ถ้าหากต้องอยู่อย่างอัปยศ ไม่สู้ตายเสียดีกว่า ให้ทุกอย่างมันจบสิ้นเสีย”“เจ้า!”ในแววตาของเขามีความโกรธเอ่อล้นออกมา อยากเข้าไป แต่เท้ากลับยืนแข็งอยู่ตรงที่เดิมมองดูนางที่เชิดคางเล็กน้อย และมือที่กำแน่นอย่างดึงดัน ความโกรธติดอยู่ในอก ไม่สามารถระบายออกมา ทำให้เขาอัดอั้นจนรู้สึกทรมานบ้า
“ตาม!” ผู้บัญชาการจางกระทืบเท้าตะโกนเสียงดัง “รีบตาม! ขี่ม้าที่เร็วที่สุด ต้องจับอ๋องเฉินกลับมาให้ได้!”“รับทราบ!”เปิดประตูเมือง ทหารรักษาพระองค์ไล่ตามอย่างรวดเร็วเฟิงเจิ้งหลีหยิบธนูมาหนึ่งคัน ดึงลูกธนู เล็งยามค่ำคืนอันมืดสลัวที่อยู่นอกเมือง แต่ทันใดนั้นก็ถูกฉู่เชียนหลีกระแทกอย่างแรงธนูพลาดเป้าเขาหัวเราะอย่างเย้ยหยัน โยนธนูลงบนพื้น กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ“หนี หนีไปเลย ทั้งแคว้นตงหลิงเป็นของข้าแล้ว ข้าดูสิว่าเจ้าจะสามารถหนีไปถึงไหน!”ใต้ฟ้าอันกว้างใหญ่ ล้วนเป็นของกษัตริย์เขาจะจับเฟิงเย่เสวียนได้ในสักวัน“เฟิงเจิ้งหลี เจ้ามันเป็นคนบ้าที่เสียสติจริงๆ โลกนี้มีผลกรรมเสมอ สักวันเจ้าจะถูกสิ่งที่เจ้าทำตามสนอง”คนที่เสียสละ สักวันจะได้ผลตอบแทนคนที่กระทำความชั่ว สักวันจะต้องชดใช้ไม่ใช่กรรมไม่ตามสนอง แค่ยังไม่ถึงเวลาเฟิงเจิ้งหลีคว้าแขนของฉู่เชียนหลี พลันดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน บีบคางของนาง “เหมือนเจ้าแทบรอไม่ไหวที่จะเห็นข้าตกต่ำแล้วนะ”“แต่น่าเสียดาย คนดีอายุสั้น คนชั่วอายุยืนพันปี ข้าต้องอยู่รอดต่อไป จะรอดูว่าเฟิงเย่เสวียนตายต่อหน้าข้าอย่างไร”ฉู่เชียนหลีถูกบังคับให้เงยหน้าขึ้น
ทุกคนรออยู่ที่นอกประตูเมือง เฟิงเย่เสวียนขี่ม้าเข้าไปใกล้ สายตาจ้องฉู่เชียนหลีอย่างลึกซึ้งหลายวินาทีฉู่เชียนหลียิ้มระหว่างทั้งสองคน คำพูดมากมายไม่จำเป็นต้องพูด แค่สบตากัน ก็สามารถเข้าใจกันแล้วผ่านไปครู่หนึ่งเขาถอนสายตากลับ กระตุกม้าให้หยุดลง โน้มกายและเอื้อมมือไปรับลูก“ส่งเขาให้ข้า”เฟิงเจิ้งหลียิ้มได้อ่อนโยนมาก ก้าวไปข้างหน้าครึ่งก้าวอย่างเชื่อฟัง ยกมือทั้งสองข้างขึ้นเล็กน้อย ส่งเด็กที่อยู่ในมือออกไป“น้องเจ็ด เดินทางปลอดภัย”เขาเน้นเสียงคำว่า ‘ปลอดภัย’ เป็นพิเศษ เหมือนมีความหมายที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่อ๋องเฉินยื่นมือออกมาแล้ว ขณะที่กำลังจะสัมผัสโดนเด็ก เฟิงเจิ้งหลีปล่อยมือกะทันหันทันใดนั้นเด็กสูญเสียแรงยึดเหนี่ยว ร่วงลงไปโดยตรง!“จื่อเยี่ย!”พลันเฟิงเย่เสวียนแน่นหน้าอก กระโดดลงจากม้าด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด ก็เห็นอ๋องหลีรับเด็กไว้แล้ว และก็เพราะพริบตาที่เขาเผลอนี้ จึงถูกธนูลับดอกหนึ่งยิงเข้าที่สะบักฉึก…“อาเฉิน!”“ท่านอ๋อง!”เหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหัน ไม่มีใครรับมือทันเวลาเฟิงเจิ้งหลีใช้มือซ้ายอุ้มเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ย มือขวาจับตัวฉู่เชียนหลี ถอยหลังเจ็ดแปดก้าว ขณะ
เฟิงเย่เสวียนเดินออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว “ปล่อยฉู่เชียนหลีกับเด็ก ข้าอยู่เอง เจ้าจับฉู่เชียนหลีไม่มีประโยชน์ มีเพียงจับข้าเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถนั่งราชบัลลังก์ได้อย่างมั่นคง”เฟิงเจิ้งหลีเย้ยหยัน“อย่ามาต่อรองกับข้า ข้ายอมถอยให้แล้ว ถ้าหากยังได้คืบจะเอาศอก ข้าไม่ถือสาที่จะพินาศไปพร้อมกัน”ฉู่เชียนหลีรีบถอยกลับมาจับข้อมือเฟิงเย่เสวียน กล่าวเสียงเบา “เจ้าพาจื่อเยี่ยไป!”“เชียนหลี…”“คนที่เขาต้องการคือข้า มีเพียงเจ้าไปและมีชีวิตรอดต่อไปเท่านั้น จึงจะมีโอกาสพลิกสถานการณ์ จื่อเยี่ยไปแล้ว ข้าจึงจะวางใจ ถึงเวลานั้น เขาก็ไม่มีข้อได้เปรียบอีก และไม่จำเป็นต้องกลัวเขาอีกแล้ว” ฉู่เชียนหลีวิเคราะห์เบาๆ อย่างฉับไวเฟิงเจิ้งหลีไม่มีทางฆ่านางใช้นางคนเดียว แลกกับความปลอดภัยของจื่อเยี่ย แลกกับความปลอดภัยของทุกคน อย่างไรก็ดีกว่าสู้กันตายไปข้างหนึ่ง เลือดนองเหมือนแม่น้ำไม่ใช่ว่านางจะถูกขังอยู่ในเมืองหลวงตลอดไปตราบใดที่ยังมีชีวิต ก็มีโอกาสเฟิงเย่เสวียนรู้ผลได้ผลเสียในนี้ เด็กคนนี้อย่างไรก็ต้องช่วย แต่เขาจะทิ้งฉู่เชียนหลีไว้คนเดียวได้อย่างไร“เชียนหลี ข้ามันไร้ประโยชน์”“ข้าไม่อนุญาตให้เจ
เมื่อพรรคของอ๋องหลีได้ยินเช่นนี้ ก็กลัวทันทีดูท่าทีของพระชายาอ๋องเฉิน นี่กำลังจะเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่ในวังชัดๆ!ฆ่าคนติดต่อกันสองคน ไม่กระพริบตาแม้แต่ทีเดียวเลือดกระเซ็นโดนใบหน้า ก็เย็นเฉียบท่าทางที่ชั่วร้ายเหมือนปีศาจนั่น ทำให้ขุนนางหลายคนเกิดความกลัว ลองถามคนทั่วหล้า จะมีสักกี่คนที่ไม่กลัว? อยู่ต่อหน้าความเป็นความตาย ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัวพวกเขาไม่อยากตายขุนนางคนหนึ่งกลัวจนพูดติดอ่าง“อ๋อง อ๋องหลี…อย่างไรเด็กที่อยู่ในมือท่านก็เป็นพระนัดดาองค์โต เป็นสายเลือดของราชวงศ์ ถ้าหากฆ่าเขา ในวันข้างหน้า มลทินของท่านจะถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ เกรงว่าจะถูกคนรุ่นหลังด่าทอต่อๆ กันเป็นหมื่นปี”ขุนนางอีกคนก็กล่าวเสียงสั่น“อ๋องเฉินโปรดพิจารณา…”ถ้าหากสู้กันจริงๆ พวกเขาสู้ไม่ไหวอ๋องเฉินมีฮ่องเต้หนุนหลัง มีกองทัพ มีกำลังทหาร อ๋องเฉินเป็นฝ่ายได้เปรียบทุกด้านในมืออ๋องหลี นอกจากพระนัดดาองค์โต ก็ไม่มีเบี้ยอย่างอื่นแล้ว อีกทั้ง ทหารรักษาพระองค์ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ทหารองครักษ์เงาของอ๋องเฉินเมื่อไรที่สู้กัน พวกเขาจะตายกันหมดไม่จำเป็นต้องตายไปครั้งหนึ่ง บางครั้ง เมื่อเห็นว่าพอแล้วก
เฟิงเย่เสวียนแค่ขมวดคิ้วทีหนึ่ง ก็ข่มความเจ็บปวดนี้ลงไปผู้บัญชาการจางฟาดอย่างดุร้ายลองคิดดูเขาที่เป็นขุนนางคนหนึ่ง สามารถใช้แส้ฟาดองค์ชายที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด นี่เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจเพียงใด พูดคำนี้ออกไป เขาสามารถอวดสามสิบปียิ่งฟาดยิ่งรู้สึกสนุก ยิ่งฟาดยิ่งแรงเพี๊ยะ!เพี๊ยะๆๆ!ทุกคนร้อนใจจนกระทืบเท้า แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไป อ๋องหลีบ้าไปแล้ว เขาไม่ใช่อ๋องหลีที่เข้าถึงได้ง่ายอีกแล้ว!ฉู่เชียนหลีเพิ่งคิดจะกระโจนเข้าไป ก็ถูกอ๋องหลีสั่งให้คนคุมตัวไปยืนอยู่ข้างๆ บังคับให้นางมองดูต่อหน้าต่อตา“ฉู่เชียนหลี ข้าเคยบอกแล้ว เจ้าจะต้องเสียใจ คนไร้ประโยชน์อย่างเฟิงเย่เสวียน แม้แต่ลูกชายก็ปกป้องไม่ได้ มีประโยชน์อะไร”แววตาเฟิงเจิ้งหลีเปล่งแสงที่บ้าคลั่ง“เขาเป็นแค่คนไร้ประโยชน์ ฝ่าบาทจะให้ความสำคัญกับคนไร้ประโยชน์เช่นนี้ได้อย่างไร? ฉู่เชียนหลี เจ้าว่าเจ้าตาบอดใช่หรือไม่? เจ้าดูสภาพที่สะบักสะบอมของเขาตอนนี้ เหมือนสุนัขตัวหนึ่ง เจ้าก็ยังชอบเขา เช่นนั้นเจ้าก็เป็นสุนัขตัวเมียที่แพศยา”เขายิ้มอย่างชั่วร้าย สิ่งที่พูดออกมายิ่งไม่น่าฟังทุกคนตาแดง อยากพุ่งเข้าไปสับอ๋องหลีเป็นชิ้นๆ เสีย
ผู้ชายที่ร่างกายสูงใหญ่งอหัวเข่า คุกเข่าอยู่ตรงหน้าอ๋องหลีอย่างตั้งตรง แม้อยู่ต่ำกว่า แต่ความสูงศักดิ์ที่แผ่ซ่านออกมาจากกระดูก ไม่ลดน้อยลงเลยสักนิดตลอดหลายปีที่ผ่านมา นอกจากคุกเข่าให้ฮ่องเต้และบรรพชน พวกเขาไม่เคยเห็นอ๋องเฉินคุกเข่าให้ใครเฟิงเจิ้งหลีเห็นดังนี้ แหงนหน้าหัวเราะ“ฮ่าๆๆ!”คิดไม่ถึงจริงๆ เขาจะมีวันนี้ด้วยลูกชายที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด แพ้ให้กับลูกชายที่ไม่โปรดปรานที่สุด ไม่สะดุดตาที่สุด และยังถูกทุกคนรังแก ความรู้สึกที่อยู่เหนือกว่าเช่นนี้ ทำให้ในใจเขาสาแก่ใจจริงๆ“ฮ่าๆๆๆ เฟิงเย่เสวียน เจ้าก็มีวันนี้ด้วย!”หัวเราะเสร็จ เขารู้สึกว่าความเย่อหยิ่งของอ๋องเฉินมันขัดตาทั้งๆ ที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบจนต้องคุกเข่า เหตุใดยังอวดดีหยิ่งผยองเช่นนี้?เขาออกคำสั่ง “ก้มหัวเจ้าลงไป”เฟิงเย่เสวียนเม้มปาก ก้มศีรษะลงเขาออกคำสั่งอีกครั้ง “โขกศีรษะ!”“อ๋องหลี ท่านอย่ารังแกให้มันมากนัก! ท่านกับท่านอ๋องของเราเป็นคนรุ่นเดียวกัน ท่านรับการโขกหัวจากเขาไม่ได้! ไม่กลัวบรรพชนรู้แล้ว อายุสั้นหรือ!” พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความโกรธเพิ่งกล่าวจบ ก็ถูกผู้บัญชาการจางถีบจนล้มลงพื้นหลังจากล้มลง ก
“ปล่อยคนของเจ้าแล้ว เจ้าเป็นอิสระแล้ว คืนลูกให้ข้า” ฉู่เชียนหลีจ้องเขาเฟิงเจิ้งหลีเหลือบมองเด็กน้อยในอ้อมแขน ท่าทางที่ร้องไห้จนหน้าแดง เห็นแล้วปวดใจนักคิดว่าแค่นี้ก็จบแล้วหรือ?เขายิ้ม“ฉู่เชียนหลี เหมือนเจ้าจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์นะ?”“?”“……”“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาต่อรองกับข้า? เด็กอยู่ในมือข้า เป็นหรือตายขึ้นอยู่กับข้า ถึงคราวที่เจ้าต้องมาสอนข้าทำงานตั้งแต่เมื่อไร?”สีหน้าฉู่เชียนหลีเคร่งขรึมทันทีเห็นได้ชัด เขาได้คืบจะเอาศอก“เจ้ายังต้องการอะไรอีก?”“ข้าหรือ” เขาเงยหน้าด้วยรอยยิ้ม กวาดมองทุกคน และตำหนักอันหรูหราหลังนี้ วังหลวงที่กว้างใหญ่แห่งนี้ แผ่นดินที่ดีเช่นนี้เขาต้องการอะไร ยังต้องให้พูดอีกหรือ?แต่ว่า มองดูท่าทางที่ร้อนใจของฉู่เชียนหลี เขาเกิดอยากสนุก ต้องการระบายความคับข้องใจที่ได้รับในสองวันนี้ออกมาให้หมดลูบแก้มของเด็กน้อยพลางกล่าว“อยากได้ลูกคืน ไม่มีปัญหา มันก็ต้องดูว่าอ๋องเฉินมีความจริงใจหรือไม่”เงียบไปครู่หนึ่ง“อืม หรือไม่อ๋องเฉินคุกเข่า โขกหัวให้ข้าสามครั้ง ข้าก็คืนลูกให้เจ้า เป็นอย่างไร?”ฉู่เชียนหลีโมโหแล้วด้วยนิสัยที่ยอมหนึ่งก้าว จะเอาสิบก้าวข
“เจ้า!”ฉู่เชียนหลีถูกความเฉยเมยของนางยั่วจนโมโหแล้ว ยิ่งคิดไม่ถึงว่าใต้ฟ้าจะมีแม่ที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้มันก็จริงฉู่เจียวเจียวกับเฟิงเจิ้งหลี ถ้าไม่เหมือนกันก็คงอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่มีอะไรที่พวกเขาสองสามีภรรยาทำไม่ลงรอหลังจากลู่ฉินเติบโต รู้ว่าตัวเองมีแม่เช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะเศร้าเพียงใด!“ฉู่เชียนหลี เฟิงเย่เสวียน พวกเจ้าเลิกพูดไร้สาระได้แล้ว รีบปล่อยตัวอ๋องหลี ความอดทนข้ามีขีดจำกัด!” ฉู่เจียวเจียวกล่าวอย่างเย็นชา“จะเอาชีวิตของลูกชาย หรือจะปล่อยคน พวกเจ้าเลือกเอง”อย่างไรนางก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วไม่ดิ้นรน ตายสถานเดียวดิ้นรน เดิมพัน ยังมีโอกาสสายตาเฟิงเย่เสวียนเคร่งขรึมมาก หางตาเหลือบมองหานเฟิง หานเฟิงเข้าใจทันที เขาซ่อนมือไว้ที่หลัง และทำท่าสัญญาณมือไปที่ด้านหลังมือธนูเตรียมพร้อมจู่ๆ ฉู่เจียวเจียวก็กล่าวเสริมอีกประโยคอย่างเย็นชา “พวกเจ้าสามารถลองดูได้ ดูสิว่าการเคลื่อนไหวของพวกเจ้าไว หรือมีดที่อยู่ในมือข้าเร็ว”“ต่อให้ข้าตาย การฆ่าเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยก็ใช้เวลาแค่พริบตาเดียว”ฉู่เชียนหลีสั่งให้มือธนูหยุดทันที “ปล่อยคน!”อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามผู้หญิงคนนี้มันเป็นผู