“น้าสะใภ้ของข้าเป็นอะไรหรือ?”หลิงเชียนอี้เพิ่งหนีกลับมา ยังคงงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้ารองแม่ทัพเจียงจ้องมองท่าทางที่สลบไสลไม่ได้สติของหญิงสาว รู้สึกไม่สบายใจ จึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสองวันมานี้คร่าว ๆ หลังจากพูดจบ กล่าวถาม“ท่านโหวน้อย ท่านกลับมาได้อย่างไร?”“ข้า?” หลิงเชียนอี้กุมต้นขาที่ได้รับบาดเจ็บ กล่าว “เดิมทีเมื่อวานนี้ข้าไปหารัชทายาท แต่กลับถูกรัชทายาทรั้งตัวเอาไว้ ต่อมาตอนกลางดึก ตอนที่ข้ากำลังหลับอยู่ จู่ ๆ ก็มีกระสอบมาคลุมหัวข้า แล้วก็ถูกลักพาตัวไป”“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนลักพาตัวข้า มองไม่เห็นอะไรเลย ยังถูกแทงอีกแผล แม่เอ๊ย! เจ็บจะตายชัก!”โชคดีที่เขามีไหวพริบ อาศัยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ อดทนมาได้หลายชั่วยามแล้ว ในที่สุดก็ฝนเชือกจนขาด แล้วหนีกลับมาได้ถ้าหากรู้ว่าใครเป็นคนลักพาตัวเขา เขาจะต้องจับตัวคนนั้น แล้วแทงที่ต้นขามันสักยี่สิบสามสิบที!พูดจบ เขารีบสอบถามสถานการณ์ของฉู่เชียนหลีอย่างเป็นห่วง“ในระหว่างทางที่ข้ากลับมา ได้ยินว่าเจอยารักษาโรคแล้ว? นางกินยาแล้วหรือไม่? เหตุใดนางจึงยังไม่ฟื้น? เหตุใดใบหน้าของนางจึงแดงขนาดนี้?”คำถามที่ยาวเป็นพรวน
ภายในห้องมีเพียงแค่สองคน เงียบสงบเป็นอย่างยิ่งชายหนุ่มไม่ออกห่างจากหน้าเตียงไปแม้แต่ก้าวเดียว สายตาจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าของหญิงสาวไม่กะพริบนางกำลังหมดสติ อุณหภูมิร่างกายสูงเกินกว่าปกติ แก้มทั้งสองข้างแดงก่ำ หายใจไม่สม่ำเสมอ ราวกับกำลังตกอยู่ในฝันร้าย คิ้วขมวดแน่น แต่เหตุใดนางจึงไม่ฟื้นมือทั้งสองข้างประสานกันแน่นอุณหภูมิร่างกายของนางส่งผ่านไปยังมือของเขา โดยการสัมผัส ทำให้หัวใจของเขาจมดิ่งไปถึงจุดต่ำสุด รู้สึกถึงความเงียบเหงาที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเขาจ้องมองนางเงียบ ๆ แบบนี้ นั่งมาหนึ่งวันเต็ม ๆ แล้วพลบค่ำหานอิ๋งเดินทางมาถึงนางรีบจับชีพจรให้ฉู่เชียนหลี ทั้งตรวจร่างกาย สีหน้าหนักใจยิ่ง“นายท่าน โรคระบาดนี้ไม่ได้มีพิษเพียงชนิดเดียว แต่มีพิษร้ายแรงหลายชนิด พวกมันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างตอนนี้ อาการของพระชายาในตอนนี้...”คำพูดไม่สามารถแสดงถึงความร้ายแรงสายตาของชายหนุ่มอึมครึมราวกับขี้เถ้า “ยาถอนพิษ?”“ยา...” หานอิ๋งก้มหน้า “อาจจะต้องใช้เวลาสามวันถึงจะค้นคว้าหัวเชื้อออกมาได้ แต่ปัญหาสำคัญคือพระชายาจะสามารถอดทนได้หรือไม่ รวมทั้งหลังจากสามวัน พิษร้ายแรงภายในร่างกายของนางจะเปล
เป็นอย่างที่คิด!เฟิงเย่เสวียนอยากช่วยฉู่เชียนหลี!ดูไม่ออกจริงๆ น้องเจ็ดที่ไม่ฝักใฝ่เรื่องทางเพศและเงียบขรึมพูดน้อยของเขา สุดท้ายแล้วจะมาตกม้าตายเพราะฉู่เชียนหลี!ฮ่าๆๆ!“ให้เขาเข้ามา…”“อ๊า!”พูดไม่ทันจบ พลันทหารยามที่มารายงานถูกถีบอย่างแรง ลอยกระเด็นเข้าไปในกระโจม กลิ้งติดต่อกันสิบกว่ารอบ ชนโต๊ะคว่ำ จอกเหล้าและเหล้าตกกระจายเกลื่อนพื้นแววตาเฟิงเจิ้งอวี้ขรึมลง เงยหน้ามองในยามราตรีที่มืดสลัว เฟิงเย่เสวียนในชุดผาวสีหมึกถือกระบี่อ่อน เหยียบย่ำยามราตรีเดินเข้ามาทีละก้าว กลิ่นอายอันเยือกเย็นรอบกายแช่แข็งอากาศทีละชุ่นเหล่าทหารยามรู้สึกถึงความผิดปกติ ต่างก็รีบเข้ามายืนเรียงเป็นหน้ากระดานปกป้องรัชทายาทผู้ชายสองคน คนหนึ่งนั่งอยู่ในกระโจม คนหนึ่งยืนอยู่ในยามราตรี ห่างกันเพียงไม่กี่เมตร ดวงตาสี่ข้างประสานกัน สนามรบที่ไร้ควันดินปืนปะทุขึ้นในพริบตา ควันหลงที่กระจายออกไป ทำให้ทุกคนอกสั่นขวัญผวาเฟิงเจิ้งอวี้หรี่ตาลง ลุกขึ้นอย่างยิ้มแย้ม“น้องเจ็ดมาแล้ว?”เขาถามด้วยรอยยิ้ม “แล้วมีเรื่องอะไร? ได้ยินว่าเชียนอี้หนีกลับมาแล้ว? ไม่ได้รับบาดเจ็บก็ดีแล้ว เจ้าโจรชั่วนี่เจ้ากล้ายิ่งนัก ต้องต
“นายท่าน แย่แล้ว คนหนีไปแล้วขอรับ!”ทันใดนั้น นอกประตู หานเฟิงพุ่งพรวดเข้ามาเฟิงเย่เสวียนกวาดมองด้วยหางตา ผลักรัชทายาทออก ยกกระบี่ยาวขึ้น หมุนกายอย่างเยือกเย็นและเดินออกไปข้างนอก ริมฝีปากบางคายคำพูดอันเยือกเย็นออกมาหนึ่งคำ“ตาม!”เพิ่งเดินออกจากกระโจมในป่าทึบที่อยู่ไม่ไกล ร่างเงาที่เพรียวบางสายหนึ่งโผล่ออกมากะทันหัน“ใช่นางหรือไม่!”เสียงใสซื่อและอ่อนเยาว์ของเด็กสาวดังขึ้นเห็นเพียงเด็กสาวผมสั้นชุดสีแดง และถือหอกหงอิง[footnoteRef:1]จับผู้หญิงเหมียวเจียงต่างถิ่นคนหนึ่งไว้ สองมือของนางถูกมัด ปลายอีกด้านของเชือกอยู่ในมือตนเอง [1: ทวนหงอิง ทวนที่มีพู่สีแดงผูกตรงปลาย] เป็นนาง!ผู้หญิงคนที่หลิงเชียนอี้บอกว่าชื่ออูหนู และสงสัยว่าสามารถทำยาแก้พิษ!เวลาไม่คอยท่า กลับเมืองทันทีโรงหมอเฟิงเย่เสวียนผลักผู้หญิงคนนั้นล้มลงหน้าเตียง ชักกระบี่พาดบนคอนาง น้ำเสียงเย็นชา“ช่วยนาง หากเกิดอะไรขึ้นกับนาง ข้าจะทำให้เจ้าตายทั้งเป็น!”อูหนูกวาดมองกระบี่เย็นบนคอแวบหนึ่ง นิ้วมือที่เรียวยาวผลักมันออก มองไปทางเฟิงเย่เสวียน เอ่ยปากด้วยรอยยิ้มลึกที่มีเสน่ห์ “ข้าจะพยายาม”เสียงที่อ่อนโยนไพเราะ
คืนต้นฤดูหนาวอากาศเย็นเป็นพิเศษ ท่ามกลางยามราตรีที่มีหมอกหนาทึบ ไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามีร่างเงาสีหมึกสายหนึ่งออกจากเมืองตงหนิงอย่างเงียบๆระหว่างภูเขาแสงจันทร์นวลสลัว สายน้ำไหลริน ระหว่างไหล่เขา มีน้ำแร่ธรรมชาติหนึ่งบ่อตั้งอยู่ที่นี่ ไอร้อนลอยวนเวียนเหนือผิวน้ำ หมอกควันพวยพุ่ง กิ่งไม้บดบังแสงจันทร์ ราวกับเมฆหมอกในดินแดนแห่งเซียนซ่า…เสียงลงน้ำอันแผ่วเบาในความคลุมเครือ ร่างเพรียวบางของผู้หญิงลงไปในบ่อน้ำพุร้อน หยดน้ำอาบแสง สุกใสเป็นประกาย สะท้อนผิวกายที่ขาวนวลราวไขมันเกาะตัวลมหายใจสองสายประสานกันสิบนิ้วเกี่ยวกันผิวน้ำกระจายคลื่นเป็นระลอก คลื่นน้ำที่กระจายกระทบฝั่ง เกิดเสียง ‘เพี๊ยะ’ ดังขึ้นอย่างชัดเจน ยิ่งกว่านั้นเป็นจังหวะที่สม่ำเสมอลมหายใจ บางทีก็ยาว บางทีก็สั้น บางทีก็หนัก บางทีก็เบาท่ามกลางละอองน้ำ ร่างเงาสองสายปรากฏและหายไปเป็นระยะ คลุมเครือมองเห็นไม่ชัดเจนแสงจันทร์สาดส่อง ทะลุกิ่งก้านไม้ใบ เงากระดํากระด่างส่องเล็ดลอดลงมาเมื่อลมพัด กิ่งก้านสาขาส่งเสียง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ ดังทั้งคืน แสดงให้เห็นถึงความสงบของยามราตรีในป่า เสียงดังดังแล้วดังเล่าเลือนรางท่ามกลางคว
นาง?ติดเชื้อโรคลมหนาว?ไข้สูงไม่ลด?ฉู่เชียนหลีขมวดคิ้ว สัมผัสสภาพร่างกายอย่างละเอียดครู่หนึ่ง เหมือนอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรงจริงๆ เป็นอาการของไข้สูงเพิ่งลดหรือนางป่วยจริงๆ?ไม่ควรเป็นเช่นนี้นี่นา?สภาพร่างกายของนาง มีหรือที่นางจะไม่ชัดเจน?เฟิงเย่เสวียนมองดูท่าทางที่สงสัยของนาง ดวงตากลอกไปมา เอ่ยปากอีกครั้ง“เจ้าน่ะ เพื่อช่วยราษฎร ไม่สนใจแม้แต่ร่างกายของตัวเอง เจ้าไม่ได้พักผ่อนนานแค่ไหนแล้ว ไม่ได้ดื่มน้ำกินข้าวนานแค่ไหนแล้ว เจ้าไม่รู้หรือว่าอะไรควรไม่ควร?”เขาใช้นิ้วจิ้มศีรษะนางด้วยท่าทางขึงขังแล้วกล่าว“แม้เป็นร่างกายที่ถูกหลอมจากเหล็ก ก็ทนต่อการทรมานเช่นนี้ไม่ไหว ต่อไป ข้าไปไหนก็ต้องพาเจ้าไปด้วย ทำให้คนอื่นต้องเป็นห่วงตลอด!”จิ้มศีรษะนางจิ้มจนเจ็บ!คิ้วบางฉู่เชียนหลีขมวดเป็นปม กุมศีรษะไว้หรือนางติดเชื้อลมหนาวจริง?ติดเชื้อลมหนาวแค่ออกกำลังกายก็สามารถรักษาให้หาย? เขาไม่ได้จงใจเอาเปรียบนางจริงๆ?นางเหลือบมองเฟิงเย่เสวียนด้วยความสงสัยเฟิงเย่เสวียนยืดตัวตรง ทำหน้านิ่ง แสดงท่าทางที่จริงจังและมีคุณธรรมเป็นพิเศษ เหลือแต่แกะสลักคำว่า ‘ข้าคือผู้ซื่อสัตย์’ ไว้บนหน้าผากแล้ว
เวลาเดียวกัน ในเมืองตงหนิง ทุกคนกำลังตามหาอย่างร้อนใจ“อ๋องเฉิน!”“พระชายาอ๋องเฉิน!”“พวกท่านอยู่ที่ไหน? อ๋องเฉิน…”บนถนน รองแม่ทัพเจียงพาทหารยามค้นหาไปทั่ว ส่วนหานเฟิงไปที่รัชทายาท แต่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย จิ่งอี้กับจางเฟยก็ตามหาทุกที่ หลิงเชียนอี้ลากขาที่ได้รับบาดเจ็บ เดินกะโผลกกะเผลกตามหา ชาวบ้านได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว ก็รีบมาสมทบ ช่วยกันออกตามหาเช่นกัน“พระชายาอ๋องเฉิน…”“อ๋อง…”“รีบดูตรงนั้น!”ทันใดนั้น ไม่รู้ว่าใครตะโกนเสียงดัง ทำให้ทุกคนหันไปมองพร้อมกัน มองเห็นร่างเงาสีหมึกอันสูงศักดิ์สายหนึ่งกระโดดลงมาจากกำแพงสูง และลงสู่พื้นอย่างมั่นคงเขาคืออ๋องเฉิน!“นายท่าน!”“ท่านน้า!”“อ๋องเฉิน!”คนทั้งกลุ่มก็วิ่งเข้ามาล้อมรอบอย่างรวดเร็ว คนที่เป็นห่วงก็เป็นห่วง คนที่ถามก็ถาม คนที่กังวลก็กังวล สายตาหลายคู่จับจ้องไปที่ทั้งสอง“นายท่าน เมื่อคืนท่านไปไหนมา?”“ท่านน้า น้าสะใภ้ พวกท่านไม่เป็นอะไรกระมัง?”ทุกคนเป็นห่วงฉู่เชียนหลียังขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา ภายใต้สายตามากมายที่จับจ้อง รู้สึกเขินอายเล็กน้อย บิดเอวอยากลงไปแต่ฝ่ามือเฟิงเย่เสวียนออกแรงฉับพลัน อุ้มนางไว้แน่น“ไม
ฉู่เชียนหลีสังเกตเห็นนาง ได้ยินเรื่องที่ตนเองไม่รู้ จากบทสนทนาของพวกเขา“เมื่อคืน?”นางเงยหน้าด้วยความสงสัย “เมื่อคืนพวกเจ้าไปที่รัชทายาท? ใช่แล้ว เรื่องของโรคระบาด…”“จัดการได้พอประมาณแล้ว”เฟิงเย่เสวียนขัดคำพูดนาง ป้องกันไม่ให้นางถามมาก และจบบทสนทนาอย่างรวดเร็ว “ไปตรวจสอบสถานการณ์ที่รัชทายาท หลังจากกลับมาเจ้าก็ล้มป่วย เรื่องโรคระบาดปล่อยให้ข้าจัดการเถอะ เจ้าพักฟื้นร่างกายก่อน เรื่องอื่นไม่ต้องเป็นห่วง”ฉู่เชียนหลีอ้าปาก “แล้ว…”“เจ้าทำดีมาก” เฟิงเย่เสวียนเงยหน้ามองไปทางเด็กสาวเขาเบี่ยงประเด็น และดึงดูดความสนใจของฉู่เชียนหลีได้สำเร็จสายตาฉู่เชียนหลีมองไปที่เด็กสาว “พ่อแม่เจ้าจากไปหมดแล้ว?”เด็กสาวเม้มปาก ค่อยๆ หลุบตาลง ซ่อนความเศร้าไว้ในส่วนลึกของดวงตา “จากไปหมดแล้ว…”บิดาเสียชีวิตเพื่อปกป้องเมืองมารดาเสียชีวิตเพราะติดโรคระบาดสำนักยุทธ์ตระกูลอวิ๋นแยกย้ายแล้วปัจจุบันโดดเดี่ยวเพียงลำพังทันใดนั้น นางพุ่งพรวดมาข้างหน้า พร้อมกับคุกเข่าลง “พระชายาอ๋องเฉิน ท่านจะกลับเมืองหลวง พาข้าไปด้วยเถอะ! ข้ามีวิทยายุทธ์ สามารถปกป้องท่าน!”“ท่านพ่อจากไปแล้ว ข้าไม่มีบ้านแล้ว ข้าไม่รู้