“อดทนหน่อย ในไม่ช้าก็เร็วข้าจะมั่งคั่งในชั่วข้ามคืน!”“...”พึ่งนางคลอดลูกสิบคนทำมาให้ครอบครัวร่ำรวย?เลิกคิดไปได้เลยฉู่เชียนหลีรีบกินอาหารในชามให้หมดอย่างรวดเร็ว จากนั้นไปเลือกของขวัญที่ค่อนข้างเหมาะสมหนึ่งชิ้นในห้องเก็บ หลังจากใส่เข้าไปในกล่องของขวัญ ก็ออกจากจวนแล้วเมืองหลวงบนถนน บรรดาชาวบ้านสัญจรไปมา คึกคักครึกโครม และหัวข้อสนทนาในหมู่ของพวกเขาไม่มีอะไรมากไปกว่า : โรคติดต่อ รัชทายาทพระมหากรุณาธิคุณ รัชทายาททรงมีความเมตตามาก…ต้องยอมรับว่า การกระทำนี้ของรัชทายาทได้ใจราษฎรจำนวนมากฉู่เชียนหลีนั่งอยู่บนเกี้ยว แบ่งเวลาว่างนำอุปกรณ์ตรวจสอบในกำไลเฉียนคุนออกมาพลันเมื่อดู สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยไวรัสกลายพันธุ์แล้ว!แต่ตอนนี้อยู่บนเกี้ยว ศึกษาอย่างละเอียดไม่ทัน ศึกษาขึ้นมาก็ต้องใช้เวลาสองสามวัน จึงจำเป็นต้องเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน รอกลับจากจวนอ๋องเฟิงค่อยศึกษาโรคประหลาดนี้เพิ่งเก็บอุปกรณ์ตรวจสอบ หางตาเหลือบมองออกไปข้างนอกผ่านช่องว่างม่านหน้าต่างโดยไม่ได้ตั้งใจ เห็นคนกลุ่มใหญ่ล้อมวงส่งเสียงเอะอะโวยวาย หนวกหูมากและตำแหน่งที่พวกเขาล้อมไว้คือ…นั่นมันโรงหมอของนางไม่ใช่หรือ?“ห
คนทั้งกลุ่มเริ่มทะเลาะกัน เจ้าหนึ่งปาก ข้าหนึ่งปาก ส่วนชาวบ้านมุงดูเรื่องสนุกทะเลาะกันหนักมากในฝูงชน ฉู่เชียนหลีกวาดมองทุกคนแวบหนึ่ง เดินไปยังตำแหน่งที่ค่อนข้างสูง โผล่ศีรษะออกมาครึ่งหนึ่ง และกวักมือให้จิ่งอี้หน้าประตูโรงหมอ จิ่งอี้สังเกตเห็นอย่างตาดีพลันก้มหน้า จากไปอย่างเงียบๆหลังจากนั้นครู่หนึ่ง มารวมตัวกับฉู่เชียนหลีท่ามกลางเสียงเอะอะของฝูงชน“คุณหนู ท่านมาได้อย่างไร?”“เกิดอะไรขึ้น?” ฉู่เชียนหลีใช้คางชี้ไปทางโรงหมอจิ่งอี้กล่าวอย่างกระชับได้ใจความ “หลายวันก่อน พวกเราทำตามที่ท่านบอก กว้านซื้ออ้ายเฉ่าหลายร้อยชั่งในราคาที่ต่ำมาก ตอนนี้เกิดโรคติดต่อ ชาวบ้านต้องการอ้ายเฉ่าอย่างเร่งด่วน กิจการโรงหมอของเราดีมาก”“หมอแก่พวกนั้นเลยอิจฉา”ภายใต้ความอิจฉา จึงมาใส่ความให้เสียชื่อเสียงอ้ายเฉ่าหลายร้อยชั่ง ขายจนหมด จำนวนเงินสองหมื่นตำลึง!ทั้งชีวิตของคนทั่วไปก็ไม่สามารถหาเงินได้มากเช่นนี้ พวกเขาย่อมอิจฉาเป็นเรื่องธรรมดาฉู่เชียนหลีจับคาง ครุ่นคิดครู่หนึ่ง มีความคิด ‘คิดการใหญ่ต้องทำให้รากฐานมั่นคง แล้วค่อยสร้างความรุ่งโรจน์’เอ่ยปากกะทันหัน “แจกจ่ายอ้ายเฉ่าในโรงหมอให้ชาวบ้าน
“นี่…”หมอหลวงอ้าปาก ก็ตื่นตระหนกทันที มีเหงื่อเอ่อล้นออกมาจากหน้าผาก “นี่…”ร่างกายของเขาสั่นแล้ว ชั่วขณะไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร สายตาที่ปกปิดมองไปทางสาวใช้ที่ยืนอยู่ในห้อง อยากพูดแต่ก็ไม่พูดพระชายาอ๋องเฟิงรู้สึกขบขัน “ทำไม? มีอะไรที่ไม่สะดวกพูด หรือในท้องข้ามีเด็กสองคน?”“พระชายาอ๋องเฟิง…”หมอหลวงตกใจจนเกือบหัวใจวาย“พอแล้วๆ” พระชายาอ๋องเฟิงยกมือ “พวกเจ้าถอยออกไป”“เจ้าค่ะ” บรรดาสาวใช้ลุกขึ้นยืน หลังจากถอนสายบัวคำนับ ทุกคนถอยออกไป และปิดประตูห้อง เหลือเพียงพระชายาอ๋องเฟิงกับหมอหลวงสองคนหมอหลวงลดเสียงเบา จึงจะเอ่ยปาก“พระชายาอ๋องเฟิง ข้าน้อยตรวจชีพจรท่านอย่างละเอียดสี่รอบ…สี่รอบ…ชีพจรของท่านค่อนข้างเบา บางครั้งก็เหมือนไม่มี เกิดจากทารกในครรภ์ไม่มั่นคง ไม่…ไม่สามารถจับเส้นเลือดของทารก ตำแหน่งฝังตัวของทารกในท้องท่านผิดปกติ เกรงว่า…ไม่สามารถอยู่รอด…”คำพูดช่วงแรก พระชายาอ๋องเฟิงยังคงจับเล็บที่กลมมนอย่างยิ้มแย้มแต่เมื่อฟังถึงสี่คำสุดท้าย สีหน้าเปลี่ยนฉับพลัน เสียงแสบแก้วหูเหมือนฟ้าผ่า“เจ้าพูดอะไรนะ!”ถึงขั้นกล้าแช่งนาง!“นี่เป็นครั้งแรกในรอบแปดปีที่ข้าตั้งครรภ์ จะคลอดไม
จวนอ๋องเฟิงพระชายาอ๋องเฟิงมีครรภ์ ทายาทผู้สืบทอดราชวงศ์ สิ่งสำคัญของบ้านเมือง ท่ามกลางสังคม เมื่อข่าวแพร่กระจายออกไป ขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อยและชนชั้นสูงของเมืองหลวงมาร่วมแสดงความยินดีคนที่มอบของขวัญก็มอบของขวัญ คนที่มาอวยพรก็มาอวยพรคึกคักมากภายในห้องโถงพ่อบ้านวิ่งเข้าวิ่งออกไม่หยุด ต้อนรับแขกสำคัญทุกท่าน ของขวัญที่ได้รับกองเต็มอยู่บนโต๊ะจนไม่มีที่วาง เหมือนกับภูเขาลูกเล็ก“สวรรค์มีตา อายุพระชายาอ๋องเฟิงใกล้ยี่สิบเจ็ดแล้ว ในที่สุดก็ตั้งครรภ์…”“นี่ต้องมาติดความโชคดีหน่อย”“ใช่แล้ว เฮ้อ ข้าคลอดลูกมาสามคน ล้วนเป็นผู้หญิง ท่านพี่ของข้าคาดหวังลูกชายทุกวัน คาดหวังจนผมขาวแล้ว…”บรรดาสตรีดื่มชาไปพลาง สนทนากันไปพลาง“พระชายาอ๋องเฉินมาถึงแล้ว…”นอกประตูห้องโถง เสียงรายงานของเด็กรับใช้ดังขึ้น ทุกคนหยุดชะงักพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ต่างมองออกไปข้างนอกพร้อมกัน มองเห็นผู้หญิงร่างผอมบางสวมชุดสีขาว ถือกล่องของขวัญเดินมาแต่ไกลสิ่งแรกที่สังเกตเห็น หนีไม่พ้นใบหน้าที่อัปลักษณ์นั่นแต่ฉู่เชียนหลีถ่อมตนมาก ไม่มีท่าทีที่จะก่อปัญหา หลังจากวางของขวัญลง ก็เลือกที่นั่งตรงมุมนั่งลง ไม่ได้พูดอะไรมา
มีหรือที่ฉู่เชียนหลีจะไม่เข้าใจความหมายของนาง?นางนวดขมับเบาๆ เอียงศีรษะ แสร้งถามด้วยความสงสัย “ตัวตน? ตัวตนอะไร?”นางเหมือนไม่รู้อะไรเลย กล่าวถามอย่างอยากรู้อยากเห็น“หรือแม่ของท่านคบชู้กับผู้ชายข้างนอก ทำเรื่องอะไรที่ผิดต่อจวนอัครมหาเสนาบดีฉู่ฝ่ายซ้าย?”“!”พลันสีหน้าฉู่เจียวเจียวเปลี่ยนสวรรค์!คำพูดเช่นนี้จะพูดส่งเดชไม่ได้!“อืม…ข้าเดาว่าท่านน่าจะอยากรู้เรื่องของอ๋องหลีกระมัง” ฉู่เชียนหลีเหมือนเข้าใจฉับพลัน “ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เมื่อวานอ๋องหลีบอกกับข้าว่า…”ความอยากรู้อยากเห็นของฉู่เจียวเจียวถูกกระชากออกมา ตอนที่กำลังเงี่ยหูฟัง พลันคำพูดฉู่เชียนหลีเปลี่ยนกะทันหัน“ไม่ได้พูดอะไร”“...”มองดูฉู่เชียนหลีที่คว้าเมล็ดแตงโมมาหนึ่งกำมือ เริ่มแทะอย่างสบายใจ สีหน้าฉู่เชียนหลีมืดจนน่าเกลียดจงใจ!นังแพศยาคนนี้จงใจแน่นอน!หรือนางไม่อยากรู้ความจริงเกี่ยวกับตัวตนของนาง?ไม่อยากตามหามารดาผู้ใหญ่กำเนิดของตนเองหรือ?ตามที่คาดการณ์ : ฉู่เชียนหลีอยากรู้เบาะแสของมารดาผู้ให้กำเนิด จำเป็นต้องเชื่อฟังและทำตามคำสั่งนางแต่โดยดี แต่เหตุใดท่าทางของฉู่เชียนหลีจึงเหมือนไม่ใส่ใจเล
ฉู่เชียนหลี “?”ครั้งแรกที่ได้พบพระชายาอ๋องเฟิง คือวันที่รัชทายาทเลือกพระชายารองในวังหลวง พระชายาอ๋องเฟิงด่านางอัปลักษณ์ ว่านางไม่ได้รับความโปรดปราน ดูถูกนาง นางก็โต้กลับไปอย่างไม่อ่อนข้อ ทั้งสองเผชิญหน้าตาต่อตา ฟันต่อฟันนี่ไม่เจอแค่ไม่กี่วัน พระชายาอ๋องเฟิงก็อ่อนโยนกับนางเช่นนี้แล้ว?สายตาของทุกคนมองไปทางฉู่เชียนหลีขอแค่เด็กในท้องพระชายาอ๋องเฟิงเป็นผู้ชาย ก็จะเป็นพระราชนัดดาคนโต สถานะทะยานสู่จุดสูงสุด ไม่มีใครเทียบได้ นางให้ความสำคัญต่อฉู่เชียนหลีเช่นนี้ คือเกียรติของฉู่เชียนหลี“น้องหญิงสี่ พระชายาอ๋องเฟิงกำลังเรียกเจ้า” ในที่นั่ง ฉู่หงหลวนเอ่ยปากด้วยรอยยิ้มต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ หากฉู่เชียนหลีไม่ไป ก็ไม่เท่ากับไม่เห็นพระชายาอ๋องเฟิงอยู่ในสายตา?ฉู่เชียนหลีค่อยๆ ลุกขึ้น กวาดมองทุกคนแวบหนึ่ง ยกเท้าเดินไปข้างหน้าพระชายาอ๋องเฟิงมองนางด้วยรอยยิ้มมือของนางวางอยู่บนท้อง ลูบอย่างอ่อนโยน เหมือนกับว่าหลังจากมีลูก นางก็เปลี่ยนไปแล้ว กลายเป็นมารดาที่จิตใจดีมีเมตตา แต่คำพูดที่พูดออกมา…“พระชายาอ๋องเฉินก็ต้องพยายามนะ เอาอกเอาใจอ๋องเฉินให้ดี ที่จริงเมื่อดับเทียน หน้าตาผู้หญิงก็เหม
เหล่าคนรับใช้ยกน้ำชาและขนมเข้ามา ทุกคนเริ่มสนทนากัน โดยส่วนใหญ่แล้วล้วนกำลังชมพระชายาอ๋องเฟิงด้านนี้ พระชายาอ๋องติ้งกับฉู่เชียนหลีก็เริ่มสนทนาเช่นกัน“ได้ยินมาว่าเจ้ามีความรู้เรื่องทักษะการแพทย์?”“เรียนกับใคร?”“เหตุใดเจ้าไม่ลองรักษาหน้าของตัวเอง? ทั่วหล้ามีผู้หญิงคนใดไม่รักงาม ต่อให้ไม่ทำเพื่อผู้ชาย ก็ต้องมีชีวิตเพื่อตัวเอง”เสียงพระชายาอ๋องติ้งอ่อนโยน น้ำเสียงก็นุ่มนวลมาก ให้ความรู้สึกน่าใกล้ชิดมากฉู่เชียนหลีส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้ม “มีคำคำหนึ่งพูดได้ดีไม่ใช่หรือ หมอไม่รักษาตัวเอง”“อืม มันก็จริง” พระชายาอ๋องติ้งพยักหน้าเงียบๆ เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่เวลาเดียวกัน ฉู่เชียนหลีก็กำลังสังเกตสีหน้านางเช่นกันแม้โหงวเฮ้งของพระชายาอ๋องติ้งจะดี ใบหน้าอวบอิ่ม ร่างกายสมบูรณ์ ดวงตามีชีวิตชีวา แต่ตาโหลเล็กน้อย สีหน้าซีดไปทางเหลือง ขาดชีพจรสำคัญสองจุด อยากที่จะตั้งครรภ์เล่ากันว่านางแต่งงานกับอ๋องติ้งสี่ปีแล้ว ยังไม่มีลูกเสียทีเมื่อครู่พระชายาอ๋องติ้งช่วยนาง นางเกิดความหวังดี กล่าวเสนอแนะ“ข้าพอมีความรู้ทักษะการแพทย์จริง ค่อนข้างชำนาญเรื่องทั่วไปของผู้หญิง หากพระชายาอ๋องติ้งไม่ถือ
พระชายาอ๋องติ้งได้ยินแล้ว ก็เผลอหัวเราะออกมาก็จริง อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายฉู่ไม่ให้ความสำคัญ ฮูหยินฉู่ไม่รัก นางอันมารดาผู้ให้กำเนิดก็ลำเอียง สถานการณ์เช่นนี้แตกต่างอะไรกับไม่มีพ่อไม่มีแม่ช่างเป็นเด็กที่มีชีวิตขมขื่นจริงๆ“ข้าน้อยหยางอันคำนับพระชายาอ๋องเฟิง รับบัญชาฝ่าบาท มาตรวจชีพจรให้ท่าน!”ระหว่างพูดคุย หมอหลวงคนหนึ่งถือกล่องยาเดินเข้ามาพระชายาอ๋องเฟิงกับฉู่หงหลวนสบตากันแวบหนึ่ง มองไปทางหมอหลวงหยางโดยไม่ได้นัดหมาย หมอหลวงหยางก้มหน้าโดยไม่รู้ตัว เหมือนตัวสั่นอย่างตื่นตระหนกเล็กน้อย… “มาเถอะ” พระชายาอ๋องเฟิงยื่นมือออกไปหมอหลวงก้มศีรษะต่ำมาก เดินออกไปข้างหน้า คุกเข่าหนึ่งข้าง หยิบผ้าโปร่งบางผืนหนึ่งออกมาอย่างระมัดระวัง แล้วคลุมบนข้อมือที่ขาวเรียวของพระชายาอ๋องเฟิง จึงจะยื่นมือออกไปตรวจชีพจรทุกคนล้วนมองด้วยความเป็นห่วงหลังจากเวลาประมาณดื่มชาครึ่งถ้วย“หมอหลวงหยาง ท่านเป็นหมอหลวงที่มีทักษะการแพทย์ดีที่สุดในสำนักหมอหลวง ลูกของข้าเป็นอย่างไร?” พระชายาอ๋องเฟิงถามด้วยรอยยิ้มในใจหมอหลวงหยางกลับตื่นตระหนกมากก่อนหน้านี้เขาก็ได้วินิจฉัยชีพจรให้พระชายาอ๋องเฟิงแล้วนี่คือตายตอ