ร้านอัญมณีตามชื่อร้านเลย ข้างในมีอัญมณี ไข่มุก สายสร้อยและสิ่งของล้ำค่าอย่างอื่นมากมาย คุณภาพดีเยี่ยม พวกมันถูกแปรรูปขัดเกลา ทำเป็นเครื่องประดับที่สวยงามต่างๆปิ่นปักผม กำไล ปิ่นระย้า ต่างหู แหวน…อลังการมากมายนับไม่ถ้วนเครื่องประดับต่างๆ ถูกวางเรียงรายอยู่ในชั้นวาง ประณีตและมีมูลค่าในเวลาเดียวกันภายในร้าน มีแขกไม่น้อยพอฉู่เชียนหลีเพิ่งพาเยว่เอ๋อร์กับพ่อบ้านก้าวเข้าไป ก็มีลูกจ้างคนหนึ่งเดินเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม“คุณหนู อยากดูเครื่องประดับแบบไหนขอรับ เครื่องประดับศีรษะ? เครื่องประดับหู? หรือบนมือ หรือตรงส่วนอื่นๆ”ฉู่เชียนหลีกวาดสายตามองแวบหนึ่ง ยกเท้าเดินไปทางชั้นวางที่ใกล้ที่สุด“ดูไปเรื่อยๆ”ภายในชั้นวาง แหวนสำหรับสวมนิ้วก้อยที่ฝังพลอยทับทิมตั้งอยู่ในกล่องผ้าแพร จี้หัวเสือนักษัตรที่แกะสลักจากทองคำวางอยู่ตรงนั้น และยังมีปิ่นขนนกหงส์แกว่งไปมา และยังมี…เยอะมากจนตาลายตั้งแต่เล็กจนโต เยว่เอ๋อร์ยังไม่เคยเห็นเครื่องประดับมากมายเช่นนี้ อดไม่ได้ที่จะชี้จี้ทองนักษัตรหัวเสือชิ้นนั้นด้วยความชอบ ดวงตาลุกวาวเป็นประกาย“พระชายา ดูสิ น่ารักจัง! คุณหนูสามเกิดปีเสือ นางต้องชอบแน่นอน!
“น้องหญิง ข้าจะบอกเจ้านะ ชั้นหนึ่งของร้านอัญมณีแห่งนี้ล้วนเป็นของทั่วไป ของดีจริงๆ อยู่บนชั้นสอง”ฉู่เจียวเจียวควงแขนฉู่เชียนหลีด้วยรอยยิ้ม สองพี่น้องขึ้นไปบนชั้นสองอย่างสนิทสนมลูกจ้างเจ็ดแปดคนเดินตามหลังอย่างถ่อมตนเป็นพิเศษ ทั้งยกน้ำชา ทั้งรินน้ำดื่ม ทั้งแนะนำอย่างละเอียด ปรนนิบัติแขกสำคัญทั้งสองท่านอย่างเอาใจใส่ชั้นสอง สิ่งของที่จัดวางล้วนเป็นของคุณภาพชั้นเยี่ยม ฉู่เจียวเจียวถูกใจปิ่นระย้าทองขนนกหงส์ที่วางอยู่ตรงกลางชั้นวางในปราดเดียว “น้องหญิง เจ้าดู!”งามมาก!หรูหรามาก!ลูกจ้างรีบก้าวออกมาข้างหน้าอย่างตาดี กล่าวอธิบาย “สายตาคุณหนูสามเฉียบแหลมยิ่งนัก! ขนนกหงส์ชิ้นนี้ของสมบัติประจำร้านของเรา โครงของมันแกะสลักมาจากซากกระดูกหงส์โบราณ บนขนนกทุกเส้นฝังพลอยทับทิมแปดด้านอันประณีต ดูดซับแสงแห่งฟ้าดิน ส่องทะลุสีสันแห่งสรรพสิ่ง…”เขาอธิบายเป็นชุดเมื่อดูราคา : สองหมื่นตำลึงในอกของฉู่เจียวเจียวมีตั๋วเงินค่าหนึ่งพันกว่าตำลึง แต่สายตากลับจ้องขนนกหงส์ที่เปล่งประกายชิ้นนี้ไม่กะพริบตา ราวกับถูกตรึงอยู่ตรงนั้น ขยับไปไหนไม่ได้แล้วในแววตาเต็มไปด้วยความกระหายงามมาก!หากในวันแต่งงาน
ฉู่เจียวเจียวควงแขนฉู่เชียนหลีมาถึงชั้นหนึ่ง ข้างหลังมีลูกจ้างเดินตามเจ็ดแปดคน บนโต๊ะจ่ายเงิน มีกล่องหีบห่อยี่สิบกว่าใบวางอยู่ตรงนั้น การใช้จ่ายอย่างใจป้ำดึงดูดสายตาที่อิจฉาของแขกไม่น้อยยิ่งมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เบาๆ“เครื่องประดับทุกชิ้นในร้านอัญมณีราคาแพงมาก สามารถซื้อหนึ่งชิ้นก็ร่ำรวยมากแล้ว คุณหนูสามฉู่ถึงกับซื้อยี่สิบกว่าชิ้นในคราวเดียว!”“สวรรค์ ช่างอิจฉานัก นี่ต้องใช้เงินเท่าไร นางต้องมีเงินเท่าไร!”“ใกล้จะถึงงานแต่งของคุณหนูสามฉู่กับอ๋องหลีแล้ว ข้าได้ยินมาว่าอ๋องหลีโปรดปรานคุณหนูสามฉู่มาก ยิ่งกว่านั้นยังนำเงินเก็บทั้งหมดของตัวเองออกมา เพียงเพื่อปลอบหญิงงามยิ้ม”“ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก…”ปลายหูฉู่เจียวเจียวขยับเล็กน้อย เก็บเอาคำพูดเหล่านั้นเข้าหูทั้งหมด คางที่หยิ่งผยองเชิดขึ้น รับความสนใจอย่างเต็มที่ ราวกับตนเองก็คือดวงจันทร์ที่แขวนอยู่บนท้องฟ้านางควงแขนฉู่เชียนหลี พูดเสียงดัง “คิดเงิน!”เถ้าแก่ยิ้มจนตาหรี่เหลือแค่รอยแยกเส้นเดียวแล้ว ลูกคิดเสียงดังต๊อกๆ“คุณหนูสาม ทั้งหมดสี่หมื่นสามพันตำลึงขอรับ ไม่ทราบว่าเป็นเงินสด หรือตั๋วเงินฝากเฉียนจวง[footnoteRef:1]? จะให้พวกเราช่วยส
ออกจากร้านอัญมณีตามถนนตอกซอกซอยเต็มไปด้วยผู้คนสัญจรไปมา พ่อค้าแม่ค้าตะโกนเร่ขายของ สินค้านานาชนิดล้นหลาม คึกคักมากฉู่เชียนหลีพลางเดินพลางดูเยว่เอ๋อร์เดินตามอยู่ข้างๆ นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในร้านอัญมณีก่อนหน้านี้ นางอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย“พระชายา คุณหนูสามซื้อเครื่องประดับราคาสี่หมื่นสามพันตำลึงในคราวเดียว นางมีเงินมากมายเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อไร?”คิดตามเบี้ยเดือนเดือนละห้าตำลึงของคุณหนูสาม ต่อให้นางไม่กินไม่ดื่มสิบชาติ ก็ไม่มีปัญญาซื้อมากมายเช่นนั้นอันอี๋เหนียงก็ไม่มีเงินมากเช่นนั้นอ๋องหลีจะจัดงานแต่งครั้งใหญ่ จำเป็นต้องใช้เงิน ยิ่งไม่มีทางมีเงินเหลือให้คุณหนูสามแล้วฉู่เชียนหลีเดินไปเรื่อยๆ “นางอยากให้ข้าจ่าย”“หา นี่…” เยว่เอ๋อร์ประหลาดใจ“ตั้งแต่เล็กจนโต นางวางท่าบาตรใหญ่กับข้าจนเคยตัว เมื่อก่อน นางสั่งให้ข้าทำอะไร ต่อให้ข้าไม่ยินยอม ก็จะบังคับให้ข้าทำ นางติดนิสัยพูดหนึ่งไม่เป็นสอง คิดว่าวันนี้ข้าจะจ่ายเงินให้เงิน”เมื่อเยว่เอ๋อร์ได้ยินคำพูดนี้ ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “นางรังแกท่านเช่นนี้ ท่านยังจะเลือกของขวัญแต่งงานให้นางด้วยตัวเองอีก?”“ใครว่าข้าจะมอบให้ฉู่เ
ทองหนึ่งตำลึงเท่ากับเงินหนึ่งร้องตำลึง ทองแท่งแท่งนี้อย่างน้อยก็สองชั่ง เท่ากับหนึ่งแสนตำลึง…นี่มันล้ำค่าเกินไปแล้ว!“เจ้าไปเอาทองมากมายเช่นนี้มาจากไหน?” เฟิงเย่เสวียนถามอย่างตะลึงงัน“ตอนกลับจากเมืองเซียงหนาน บังเอิญเจอถ้ำแห่งหนึ่ง เก็บมาจากที่นั่น”เฟิงเย่เสวียนหน้าบึ้ง “เจ้าเห็นข้าเป็นคนโง่หรือ?”ฉู่เชียนหลีถอนหายใจ มองหน้าเขาอย่างสัตย์จริง “ท่านอ๋อง ข้าจะโกหกท่านได้อย่างไร? ข้าคือคนที่ซื่อสัตย์ที่สุดในโลกแล้ว”——นายมันคนโง่อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?——มีที่ไหนแต่งงานมอบเจ้าแม่กวนอิมปางประทานบุตร? ฉันว่านายแต่งงานมาตั้งนานแล้ว ก็ยังไม่เห็นมีลูกสักคน เจ้าแม่กวนอิมปางประทานบุตรองค์นี้เก็บไว้ให้นายใช้เองน่าจะเหมาะกว่า เขากัดฟัน “...ฉู่เชียนหลี!”“ข้าอยู่นี่!” ฉู่เชียนหลีขานรับเสียงดัง “ไม่ทราบว่าท่านอ๋องมีอะไรจะสั่ง? มีเรื่องสงสัยอะไรหรือ? ข้าจะบอกทุกอย่างที่ข้ารู้ จะไม่ปิดบังแม้แต่น้อย”——มีแต่คนไร้ความสามารถ ถึงจะตะโกนชื่อคนอื่นด้วยความโกรธแบบนี้! แยกเขี้ยวโชว์กรงเล็บ วางมาดใหญ่โตให้คนดู คนมีของเขาลงมือตั้งนานแล้ว!“...”เขาลงมือได้หรือ?เขากล้าลงมือหรือ?ผู้หญิงคนนี้ปากคอ
ทุกคนส่งเสียงฮือฮาอย่างคึกคัก บางคนอยากเห็นเจ้าสาว บางคนอยากจุดประทัด บางคนอยากตะโกน เจ้าคำ ข้าคำวุ่นวายไปหมด สายตาของเฟิงเจิ้งหลีกลับหยุดอยู่ที่ตัวฉู่เชียนหลีดวงตาที่อ่อนโยนในอดีตคู่นั้น ในวันนี้ ภายใต้การหนุนเสริมของชุดมงคลสีแดงขนาดใหญ่ เวลานี้ หยุดนิ่งอยู่บนร่างกายฉู่เชียนหลี ราวกับมีความหมายลึกซึ้งที่คลุมเครือแฝงอยู่… หลังจากนั้นสองนาทีฉู่เชียนหลีที่อยู่ในฝูงชนราวกับรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เงยหน้าหันไปมองก็เห็นเจ้าบ่าวพลิกตัวลงจากม้า เดินไปทางเกี้ยว รับเจ้าสาวออกมามองซ้ายมองขวา ทุกคนต่างกำลังส่งเสียงฮือฮาอย่างคึกคักเมื่อครู่ใครจ้องนาง?หรือนางคิดไปเอง?รับเจ้าสาวเข้าประตูไหว้ฟ้าดินพิธีเสร็จสิ้น…หลังจากเสร็จสิ้นพิธีแต่ละขั้นตอน เจ้าสาวถูกประคองเข้าห้องหอ บรรดาแขกถือจอกเหล้ากรูกันเข้าไป“ขอแสดงความยินดีกับอ๋องหลี!”“ยินดีด้วย ยินดีด้วย!”“ขอน้อมแสดงความยินดีกับอ๋องหลี พระชายาอ๋องหลี รักกันตลอดไป มีลูกในเร็ววัน…”แม้อ๋องหลีไม่ได้รับความโปรดปราน แต่พิธีแต่งงานของเขาจัดอย่างเคร่งครัดตามกฎขององค์ชาย และช่วงก่อน เขายังตามอ๋องเฉินไปลาดตระเวนทางใต้ด้วยแม้ตอนนี้เขาไม่
“ทั่วหล้า เจ้าไม่เชื่อใครก็ได้ แต่สิ่งที่ไม่ควรสงสัยมากที่สุดก็คือความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้า!”หานมู่ซีเดินพุ่งพรวดเข้าไป ยัดปิ่นปักผมที่แกะสลักเป็นรูปปลาใส่มือนาง“ตั้งแต่เล็กจนโต เจ้าชอบกินปลาที่สุด แม้เป็นลายปักบนเสื้อผ้า รูปบนรองเท้า หรือแม้แต่ปิ่นปักผม เจ้าก็ชอบปลาน้อย”“เจ้าบอกว่าปลาน้อยอยู่ในน้ำมันเป็นอิสระ ไม่มีข้อผูกมัดใดๆ เป็นสิ่งที่เจ้าชอบที่สุด!”สิ่งที่นางเคยพูด เขาจำได้ทั้งหมดความชอบของนาง เขารู้ทุกอย่างเขารักนางมากจริงๆ!ไม่ไกลออกไป เซียวจือฮว่าซ่อนอยู่ตรงนั้น เก็บภาพทุกอย่างเข้าไปในดวงตา…ฉู่เชียนหลีสะบัดปิ่นออก “หากเจ้าชอบข้า ก็อย่ามารบกวนข้าอีก การปรากฏตัวของเจ้ามีแต่จะทำให้ข้าลำบาก!”“เจ้ากำลังพูดเพราะโกรธ” หานมู่ซีมองนาง “คำพูดใดของเจ้าเป็นของจริง คำพูดใดของเจ้าเป็นของปลอม มีหรือที่ข้ายังจะไม่รู้? เจ้าวางใจได้ ข้าจะพยายามปีนขึ้นไปให้สูง แต่งเจ้าเป็นภรรยาในวันข้างหน้า”“...”ประสาท!ฉู่เชียนหลีด่าทอก็ไม่ยอมไป จะตีก็ลงมือไม่ได้ ผู้ชายหน้าด้านเหมือนแมลงวัน บินไปบินมาส่งเสียงหึ่งๆ อยู่ข้างหู น่ารำคาญมากทันใดนั้น เสียงตะคอกสายหนึ่งดังขึ้นกลางอากาศ“พวกเจ้
บนชั้นสองของเรือนที่งามเรียบง่าย ที่นี่เป็นที่ตั้งของเรือนหอนางอันมาอยู่กับลูกสาว กระทั่งก่อนเข้าหอจึงจะสามารถไปจากที่นี่ มองจากชั้นสองที่อยู่เบื้องสูงลงไป ที่จริง ก่อนหน้านี้นางเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดหานมู่ซีเป็นฝ่ายเข้าหาฉู่เชียนหลีฉู่เชียนหลีต่อต้านมาโดยตลอด เป็นหานมู่ซีที่พยายามเข้าไปเกาะแกะเหมือนปลิงดูดเลือดมองดูคนกลุ่มใหญ่กำลังมุ่งดูที่ไม่ไกลออกไปนัก นางขมวดคิ้ว จะลุกขึ้นทันที“ท่านแม่ อย่าไป!”ฉู่เจียวเจียวที่สวมชุดแต่งงานคว้ามือนางอันไว้ พลันดึงนางกลับมา สั่งให้หมอมอแก่สองคนออกจากห้อง จึงจะกล่าว“ข้ารู้ว่าท่านอยากไปทำอะไร แต่จับชู้ต้องจับเป็นคู่ อ๋องเฉินเห็นกับตาตัวเอง ท่านคิดว่าอ๋องเฉินจะยอมฟังคำพูดของท่านหรือ?”“ทั่วหล้า มีผู้ชายคนไหนบ้างที่สามารถอดทนต่อความอัปยศเช่นนี้?”หากเป็นนาง จะหย่าฉู่เชียนหลีทันทีแน่นอนยิ่งกว่านั้นเป็นอ๋องเฉิน?ฉู่เชียนหลีถูกหย่าแน่!นางอันมองออกไปข้างนอก อยู่ห่างกันพอสมควร จึงฟังไม่ชัดว่าคนเหล่านั้นกำลังพูดอะไร “ข้าไปช่วยนางอธิบายสักสองคำ ฉู่เชียนหลีเป็นพระชายาอ๋องเฉิน บางทีในวันข้างหน้าอาจสามารถช่วยเจ้า…”“นางเป็นแค่คนไม่รู้จั
จิ่งอี้ค่อยๆ หลุบตาลง ความดีใจเมื่อครู่หายไป เหลือเพียงความเศร้าในแววตาของเขา…เขากล้าขอให้อวิ๋นอิงให้อภัยได้อย่างไร?เขาทำกับอวิ๋นอิงเช่นนั้น ทำร้ายนางเช่นนั้น เปลี่ยนเป็นเขา ก็ไม่มีทางให้อภัยตัวเองอวิ๋นอิงเกลียดเขา มันก็สมควรแล้วอวิ๋นอิงวางยาเขา ทำลายกล่องเสียงของเขา เมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาเคยทำ มันต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเขาแค่สูญเสียกล่องเสียงแต่ความเจ็บปวดทางจิตใจและจิตวิญญาณที่อวิ๋นอิงได้รับ ไม่สามารถลบเลือนได้ทั้งชีวิต“เป็นความผิดของข้า ล้วนเป็นความผิดของข้า…”ไม่ว่าอวิ๋นอิงทำอะไร เขาก็พร้อมรับทุกอย่างนี่คือผลลัพธ์ที่เขาควรได้รับ“ไม่เป็นไร…สมควรแล้ว…อวิ๋นอิงทำถูก…ข้าไม่โทษนาง นางรังเกียจข้า นางเกลียดข้า นางอยากเอาชีวิตข้า ข้ารู้ ข้ารู้ทุกอย่าง…เฟิ่งหราน ข้าไม่เกลียดนาง จริงนะ…ข้า…”เสียงของเขาแข็งขึ้นเรื่อยๆ เบ้าตาก็แดงอย่างรวดเร็วมีหมอกปกคลุมพร่ามัวน้ำตาไหลออกมาพลันเฟิ่งหรานแน่นหน้าอกรู้จักกันนานเช่นนี้ เคยเห็นจิ่งอี้หลั่งน้ำตาแม้แต่หยดเดียวตั้งแต่เมื่อไร? ถูกพ่อแท้ๆ ทิ้ง เขาไม่ร้องไห้ จางเฟยตา เขาก็ไม่ร้องไห้ตอนนี้ เวลานี้ น้ำตาตกเหมือนสายฝน!ผู้ชา
“อ๋อ อวิ๋นอิง”เฟิ่งหรานรู้ว่าเขาเป็นห่วง จึงกล่าวโดยไม่อ้อมค้อมแล้ว“เดิมทีนางหนูนั่นเกลียดเจ้ามาก พูดอะไรก็ไม่ยอมให้อภัยเจ้า แต่ข้าพบว่าเมื่อคืนนางแอบมาเยี่ยมเจ้า ตอนที่จากไป ตาแดงเหมือนเคยร้องไห้”อวิ๋นอิงเอาหน้า ดังนั้นจึงแอบมาตอนกลางคืนเขาหยอกล้อด้วยรอยยิ้ม“ข้าว่าแปดส่วนพวกเจ้าไปกันรอด”“นี่ก็ถือว่าเจ้ายอมเสียสละชีวิต ใช้ความรักของตัวเองทำให้นางหวั่นไหว ตอนนี้ก็ใกล้จะคลอดแล้ว ถ้าหากพวกเจ้าสามารถคืนดีกันได้ เมื่อเด็กคนนี้เกิดมา พ่อเอ็นดู แม่รักใคร่ ไม่ต้องพูดถึงว่ามีความสุขเพียงใดแล้ว”“จึงมอบครอบครัวที่สมบูรณ์ให้เด็ก อย่าให้เด็กเดินตามรอยพวกเรา…”พวกเขาล้วนเป็นคนโชคร้าย รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดของครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์อย่าปล่อยให้ความโชคร้ายของตัวเอง ต้องไปเกิดขึ้นกับเด็กมีประกายความตื่นเต้นฉายในแววตาจิ่งอี้นางมาเยี่ยมเขาแล้ว!ในที่สุดนางก็ยอมให้อภัยเขาแล้วหรือ!เขาตื่นเต้นจนไม่สามารถระงับอารมณ์ ดึงผ้าห่มออกก็จะลุกขึ้นเฟิ่งหรานรีบกดเขาไว้ “เจ้าเพิ่งฟื้น ร่างกายยังอ่อนแอมาก อย่าขยับส่งเดช เจ้าอยากตายหรือ?”จิ่งอี้กล่าว “ดี ใจ…”เสียงยังคงแหบแห้ง “ต่อให้ดีใจ ก็ไม
ช้อนแล้วช้อนแล้ว กระทั่งเห็นก้นถ้วยหลังจากป้อนหมดแล้ว อวิ๋นอิงวางถ้วยยา เช็ดมุมปากของเขา ตอนที่นิ้วสัมผัสโดนผิวหนัง เย็นเหมือนน้ำแข็ง…นี่ไม่ใช่อุณหภูมิร่างกายของคนปกติบางทีเขาอาจจะไม่มีวันฟื้นแล้วจริงๆรู้สึกแสบจมูกเล็กน้อย“เพราะเหตุใดเจ้าต้องใช้เลือดหัวใจของตัวเอง เลี้ยงกู่แพทย์เพื่อข้า? เพราะเหตุใดต้องดื่มยาพิษขวดนั้น ความเป็นความตายของข้าเกี่ยวอะไรกับเจ้า? ทั้งๆ ที่เจ้าไม่ต้องทำเช่นนั้น”“ความโอ่อ่าในอดีตของเจ้าล่ะ? ความเฉียบคมของเจ้าล่ะ? ความแข็งแกร่งของเจ้าล่ะ? ความเด็ดขาดที่หนึ่งหนึ่งไม่เป็นสองของเจ้าล่ะ? ถ้าหากข้าตายแล้ว ก็เป็นไปตามที่เจ้าต้องการไม่ใช่หรือ? เหตุใดเจ้าต้องสนใจข้า?”“จิ่งอี้ ถ้าหากเจ้ายังทำกับข้าเหมือนเมื่อก่อน ข้าจะเกลียดเจ้าไปตลอดชีวิตจริงๆ เกลียดเจ้าจนตาย แต่ต่อมาเจ้าเปลี่ยนไปแล้ว…”“พอเจ้าดีกับข้า ข้าก็…ใจอ่อนแล้ว…”อวิ๋นอิงหลุบตา พูดเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่แข็งเล็กน้อยตัวตนของนาง เป็นเด็กผู้หญิงที่ไร้เดียงสาและตรงไปตรงมา!ใครดีกับนาง นางก็ดีกับคนนั้นท้องใกล้จะเก้าเดือนแล้ว อีกประมาณครึ่งเดือนก็น่าจะคลอดแล้ว นางไม่สามารถลบเลือนความจริงที่จิ่งอี้เ
เฟิงเจิ้งลู่ฉินกลับแคว้นวันที่สามฉู่เชียนหลียังไม่ค่อยชิน ตอนที่ดูจื่อเยี่ยกับเว่ยซีเล่นด้วยกัน มักจะนึกถึงร่างเงาน้อยๆ ที่สามวันที่สี่ เกิดสงครามขึ้นที่ริมแม่น้ำอูหลานอีกครั้ง เฟิงเย่เสวียนยุ่งจนไม่ได้พักทุกวัน นอกจากเวลานอน เวลาอื่นไม่เห็นแม้แต่เงา ส่วนนางก็อยู่บ้านเลี้ยงลูก และคอยเฝ้าดูอาการบาดเจ็บของจิ่งอี้จวินลั่วยวนก็หาโอกาสทุกวัน…แต่น่าเสียดาย เกิดสงครามขึ้น อ๋องเฉินยุ่งมาก นางไม่มีโอกาสเข้าใกล้เลยเป็นเช่นนี้ติดต่อกันหลายวัน รอจนรู้สึกเบื่อ นางกลับเริ่มหันมาสนใจฉู่เชียนหลีแทน พบว่าหลายวันนี้ ฉู่เชียนหลีมักจะไปที่เรือนหลังหนึ่งเกิดความอยากรู้อยากเห็นจึงฉวยโอกาสตอนที่ฉู่เชียนหลีไม่อยู่ แอบเข้าไปในเรือนทันทีที่เข้าไป ก็พบกับผู้ชายคนหนึ่งที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียง“เอ๋?”ฉู่เชียนหลีเฝ้าผู้ชายคนนี้ทุกวัน คนคนนี้น่าจะสำคัญกับนางมากกระมัง?เดินเข้าไปดูอย่างละเอียดใกล้ๆหน้าตาไม่เลว แต่หน้าซีดไปหน่อย ถ้าหากไม่ใช่เพราะหน้าอกของเขายังมีการกระพือขึ้นลงเบาๆ นางเกือบคิดว่าเป็นศพนอนอยู่บนเตียง“บาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ เหตุใดยังไม่ตาย?”นางชะโงกศีรษะด้วยความอยากรู้อยากเห็น
นางกำนัลรีบอุ้มเด็กเดินเข้าไปฉู่เจียวเจียวรับมาเบาๆ “ฉินเอ๋อร์เป็นเด็กดีนะ ไม่ร้องแล้ว เสด็จแม่อยู่นี่”ตบหลังปลอบใจนางเบาๆทว่าลู่ฉินยิ่งร้องไห้หนักแล้ว“อุแว้!”อ้าปาก เสียงร้องไห้ดังเป็นพิเศษ น้ำตาร่วงเป็นเม็ดๆ ราวกับลูกปัดที่เชือกขาดแก้มทั้งสองข้างแดงก่ำ“อุแว้! ฮือๆ…”นางสะอึกสะอื้น นางกระสับกระส่ายจู่ๆ ก็มาถึงสภาพแวดล้อมที่ไม่รู้จัก รู้สึกไม่ปลอดภัย นางไม่อยากอยู่ที่นี่ นางอยากกลับไปหาท่านแม่“ไม่ร้อง เป็นเด็กดีนะ” ฉู่เจียวเจียวกล่อมนาง “เจ้าเป็นองค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวของแคว้นตงหลิง เรียกลมได้ลม เรียกฝนได้ฝน น้ำตาก็เหมือนกับเมล็ดถั่วทองคำ จะร้องไห้ส่งเดชได้อย่างไร?”“เจ้าเลิกร้องได้แล้ว เสด็จแม่ซื้อเครื่องประดับให้เจ้าสองชุด เป็นอย่างไร?”เฟิงเจิ้งลู่ฉิน “อุแว้!”นางกำนัลที่อยู่ข้างๆ “...”อยากพูดแต่ก็ลังเลเห็นได้ชัดว่าฉู่เจียวเจียวเลี้ยงลูกไม่เป็น ไม่มีประสบการณ์ และกล่อมไม่เป็น แม้แต่ท่าอุ้มของนางก็ดูแข็งมาก“ถ้ายังไม่พอ ซื้อบ้านในเมืองหลวงให้เจ้าสองหลัง? ถ้าหากเจ้ารู้สึกเหงา ข้าก็ให้ลูกๆ ของขุนนางเข้าวังมาเล่นกับเจ้า”ฉู่เจียวเจียวกล่อมนาง“วันนี้เป็นวันด
ขบวนของอ๋องหลีลงจากสะพาน ถอนกำลังอย่างรวดเร็ว พวกเขามาอย่างเร่งรีบ และจากไปอย่างเร่งรีบ หายไปในความมืดอย่างว่องไวฉู่เชียนหลียืนอยู่ตรงที่เดิมบนสะพานลมแรง อากาศเย็นในยามค่ำคืนลมหนาวลอยมา พัดชายเสื้อของนางปลิวขึ้น ความเย็นปะทะใบหน้า ไร้ซึ่งความอบอุ่น ระหว่างคิ้วของนางเต็มไปด้วยความกังวลนางไม่ต้องการให้เกิดสงครามและยิ่งไม่ต้องการให้นางเป็น…ต้นเหตุของสงคราม“เชียนหลี”เฟิงเย่เสวียนเดินมา ดึงกระชับเสื้อให้นางจากข้างหลัง อุ้มนางขึ้นม้า หมุนกายกลับเจียงหนาน“เลิกห่วงลู่ฉินได้แล้ว หลังจากนางกลับไป ชีวิตไม่แย่ไปกว่าตอนนี้แน่นอน”ด้านหนึ่งฉู่เชียนหลีเป็นห่วงเฟิงเจิ้งลู่ฉิน อีกด้านหนึ่งคือกังวลคำพูดที่เฟิงเจิ้งหลีพูดทิ้งท้านก่อนไปเป็นอย่างที่คิดความกังวลกลายเป็นจริงวันถัดมาเกิดสงครามขึ้นในเมืองแห่งหนึ่งแถบชายแดนเจียงหนานตอนกลางคืนกะทันหัน เนื่องจากไม่มีสัญญาณแจ้งเตือนใดๆ เมืองจึงถูกยึดโดยไม่ทันตั้งตัวในชั่วข้ามคืน และมีการปักธงของฮ่องเต้หลีบนกำแพงเมืองเมืองถูกยึดครอง ราษฎรอพยพมีการส่งข่าวกลับเจียงหนานอย่างเร่งด่วน เฟิงเย่เสวียนจัดการเรื่องนี้ทันทีตอนที่ฉู่เชียนหลีรู้ ก
ถึงกำหนดเวลาสามวันแล้วทางอ๋องเฉินตกลงที่จะส่งองค์หญิงลู่ฉินคืน เฟิงเจิ้งหลีมารับด้วยตัวเอง กองทัพทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันที่บนสะพานแม่น้ำอูหลานฝั่งนี้ของแม่น้ำคืออ๋องเฉินพร้อมด้วยกองทัพที่อาวุธครบมือ เตรียมพร้อมรับมือกับเหตุฉุกเฉินตลอดเวลาอีกฟากของแม่น้ำคือคนของอ๋องหลี ซึ่งมีทหารมายมากราวกับคลื่นสีดำเช่นเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายแข็งแกร่งพอกันฉู่เชียนหลีอุ้มเฟิงเจิ้งลู่ฉินที่ยังเด็ก เดินขึ้นสะพานภายใต้การคุ้มกันขององครักษ์ลับเฟิงเจิ้งหลีขี่ม้าขึ้นไป ทั้งสองสบตาห่างกันเจ็ดแปดเมตรเมื่อเจ็ดวันก่อน เขายืนอยู่ที่ริมแม่น้ำ มองดูนางจากไปต่อหน้าต่อตาเจ็ดวันต่อมา พบกันใหม่อีกครั้งนางยังคงเป็นนาง“แม่” ลู่ฉินน้อยใช้ดวงตาที่รู้ความและบริสุทธิ์กวาดมองสภาพแวดล้อมที่ไม่รู้จักด้วยความสงสัย กอดคอและมุดเข้าไปในอ้อมแขนของมารดาอย่างกระสับกระส่ายฉู่เชียนหลีหลุบตา“ข้าไม่ใช่แม่เจ้า…”เสียงเบามากๆ มีเพียงนางที่ได้ยิน“แม่?”ลู่ฉินเงยหน้ามองมารดาอย่างไร้เดียงสา กล่าวด้วยเสียงที่นุ่มนิ่ม “กลับ กลับบ้าน…กลับ”มือน้อยๆ จับเสื้อของนางทันใดนั้น ฉู่เชียนหลีแน่นหน้า อยากเด็ดขาด แต่ทำไม่ลงแล้ว ทั้
สองมือจะสามารถอุ้มเด็กสามคนได้อย่างไร?ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เพื่อแสดงความยุติธรรม เช่นนั้นก็ไม่อุ้มเลยสักคน ลูบศีรษะน้อยๆ ของพวกเขา ถือเป็นการแสดงความรักต่อพวกเขาแล้วเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยแบะปาก หันหน้าอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย คลานไปเล่นคนเดียวเองแล้วเฟิงเจิ้งเว่ยซีอีอาๆ ก็ไปเล่นกับเขาเฟิงเจิ้งลู่ฉินมองไปทางพี่สาวและน้องชาย หลังจากกะพริบตาปริบๆ เข้าไปกอดขาของบิดา ร้องด้วยเสียงที่นุ่มนิ่ม“พ่อ…”คิ้วของเฟิงเย่เสวียนขมวดเล็กน้อย เวลาเผชิญหน้ากับเด็กคนนี้ เขารู้สึกสับสนมากลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ก้มลงไปอุ้มเด็กขึ้นมามือน้อยๆ ของลู่ฉินกอดคอของเขา จากนั้นยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มเขาอย่างติดคนมั๊วะ…“พ่อ! อุ้ม…พ่อ…”เสียงพูดอาๆ ยังไม่ชัดมากนัก แต่การพึ่งพาและความชอบที่ลูกมีต่อพ่อ การกระทำของนางได้แสดงทุกอย่างออกมาแล้วเฟิงเย่เสวียนเม้มปากแน่นแม้แต่ฉู่เชียนหลีที่นั่งอยู่ข้างๆ สายตาก็ขรึมลงแล้วทั้งสองเงียบ แต่บรรยากาศที่หนักอึ้งอบอวลในอากาศแล้ว…เหลือเวลาพรุ่งนี้อีกหนึ่งวัน ก็ถึงกำหนดเฟิงเจิ้งหลีขอลูกคืนแล้วถ้าหากไม่คืน ก็จะเดินทัพถ้าหากเฟิงเจิ้งลู่ฉินนิสัยดื้อรั้นเอาแต่ใจ และ
ภายในห้องผ่านไปแล้วสองชั่วยามเต็มๆ ในที่สุดฉู่เชียนหลีก็วางมือ เช็ดเหงื่อบนหน้าผากอย่างเหนื่อยล้า ส่วนจิ่งอี้นอนหมดสติอยู่บนเตียงลมหายใจแผ่วเบาการขึ้นลงของหน้าอกก็เบามาก บาวจนแทบมองไม่เห็น ใบหน้าซีดเผือกเหมือนกับคนตาย ราวกับเป็นศพที่แข็งทื่อร่างหนึ่งโชคดีมากรอดมาได้ส่วนจะฟื้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเจตนาสวรรค์ฉู่เชียนหลีเปิดประตู เดินออกไปข้างนอก เฟิ่งหรานและคนอื่นกรูกันเข้ามาอย่างแทบรอไม่ไหว หลังจากรู้สถานการณ์คร่าวๆ คนของสำนักอู๋จี๋รีบเข้าไปเยี่ยมเฟิ่งหรานยืนอยู่ที่หน้าประตู เงยหน้ามองแวบหนึ่ง ไม่ได้เข้าไป“ข้าพยายามแล้ว” ฉู่เชียนหลีถอนหายใจเบาๆถ้าหากฟื้น ก็ไม่มีอะไรน่ากังวลถ้าหากไม่ฟื้น…เฟิ่งหรานหลุบตา “ข้ารู้…”เขาแค่คิดไม่ถึงว่าจิ่งอี้ที่สามารถมองข้ามกระทั่งความชอบธรรมของบ้านเมือง สุดท้ายกลับมาเสียท่าเพราะผู้หญิงนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในหลายปีนี้…เขากล่าวเบาๆ “คุณหนูไม่มีอะไรจะถามหรือ?”ถามอะไร?เพราะเหตุใดจึงถูกจับ?คนพวกนั้นเป็นใคร?ฐานะของจิ่งอี้ฉู่เชียนหลีแค่เหลือบมองเขาแวบหนึ่งหลังจากเฟิ่งหรานลังเลครู่หนึ่ง ก็ไม่ปิดบังอีก เขาสารภาพทุกอย่าง “ที่จริ