หานเฟิงออกโรงเอง เขาจับหานมู่ซี “คุณชายหาน ล่วงเกินแล้ว!”ทุกคนตกใจจะโบยจริงหรือ?ไม่ใช่กระมัง!บิดาของหานมู่ซีมาอย่างเร่งรีบ ได้ยินคำพูดของอ๋องเฉิน เขาตกใจมาก ทั้งคำนับทั้งโขกศีรษะ และขอความเมตตา“อ๋องเฉินโปรดใจเย็น! เจ้าลูกสุนัขเขาไม่มีเจตนาล่วงเกินพระชายาอ๋องเฉินขอรับ!”หานเฟิงได้ยินแล้ว ถามกลับอย่างเย็นชา “ฮืม? ไม่มีเจตนา? ความหมายของใต้เท้าหานคือพระชายาไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ เป็นฝ่ายล่อลวงคุณชายหานอย่างนั้นหรือ?”“ข้า…”บิดาของหานมู่ซีชะงักทันที ไม่กล้าพูดอีกหานเฟิงจับหานมู่ซีที่พยายามดิ้นรนมือไขว้หลังออกไป ที่เกิดเหตุ ทุกคนหันไปมองหน้ากัน ไม่มีใครกล้าพูดอะไรมาก และยิ่งไม่กล้าคาดเดาความหมายของอ๋องเฉินส่งเดชฉู่เชียนหลีสะบัดมือเฟิงเย่เสวียนออก พลางนวดข้อมืออย่างเกียจคร้าน พลางถอนหายใจกล่าวอย่างใจเย็น“เฮ้อ สังคมเสื่อมโทรมลงทุกวัน ทุกคนช่างตาบอดจริงๆ ทองคำที่ส่องประกายวิบวับไม่เอา กลับชอบเก็บของเก่า คนคนนี้น่าจะเป็นพวกหน้าโง่กระมัง”มือเท้าเอว แกว่งเท้าเล็ก เดินจากไปอย่างสบายใจแล้วทุกคน “...”คำพูดนี้กำลังด่าพวกเขาไม่ใช่หรือ?แต่เมื่อลองคิดดีๆ ก็มีเหตุผลนะ!หากพวก
ภายในห้องหอ ได้รับการประดับประดาจนกลายเป็นสีแดงทั้งห้อง เหมาะแก่การยินดีเป็นพิเศษตามกฎแล้ว ผู้หญิงออกเรือน มารดาห้ามตามมาด้วย แต่ฉู่เจียวเจียวอาศัยเรื่องนี้ หยั่งเชิงความรักที่อ๋องหลีมีต่อนาง อ๋องหลีตอบตกลงให้นางอันมาอยู่ด้วยอ๋องหลีตามใจนาง เท่ากับอ๋องหลีรักนางนางอันอยู่กับลูกสาว สอนขั้นตอนและกฎเกณฑ์ของคืนเข้าหอ เมื่อพูดถึงเรื่องบางเรื่อง ฉู่เจียวเจียวยังเขินอายจนหน้าแดง…ก๊อกๆ… นอกประตู เสียงที่นอบน้อมดังขึ้น“ฮูหยินอัน เกือบจะได้เวลาแล้ว ท่านควรไปแล้ว”ฉู่เจียวเจียวจะต้องเผชิญหน้าอ๋องหลีคนเดียวแล้ว คิดแล้วก็เขินอายจริงๆนางอันตบหลังมือนาง ลุกขึ้นยืน “เจียวเจียว จำคำพูดที่แม่พูดกับเจ้าเมื่อครู่ให้ดี ไม่ต้องกลัว อ๋องหลีมีเจ้าแค่คนเดียว เขาจะโปรดปรานเจ้าคนเดียว ข้าจะไปดูว่าทางฉู่เชียนหลีเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”ปัจจุบัน อ๋องหลีลาดตระเวนทางใต้ ได้รับการยอมรับจากฮ่องเต้ เพิ่งได้แสดงความสามารถเชื่อว่าด้วยความสามารถของอ๋องหลี จะต้องโดดเด่นท่ามกลางเหล่าองค์ชายแน่นอนฉู่เจียวเจียววางสองมือทับกันบนหัวเข่า นั่งตัวตรงอย่างสง่างาม ใช้สายตาส่งนางอันออกไป“ท่านแม่ ท่านไปดูสภาพที่น่าเ
จบสิ้นแล้ว!สมองของฉู่เจียวเจียวว่างเปล่าไปชั่วพริบตา : มีผู้ชายแปลกหน้าปรากฏตัวในห้องพระชายาอ๋องหลี แม้จะไม่ได้เกิดอะไรขึ้น แต่มีคนมากมายเช่นนี้ดูอยู่ เมื่อเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป ชื่อเสียงป่นปี้!ผู้หญิงเมื่อชื่อเสียงเสื่อมเสีย ไม่ต่างอะไรกับตาย!นางเพิ่งแต่งกับอ๋องหลี ยังไม่ได้เสพสุขแม้แต่วันเดียว นางจะจบสิ้นเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด!ฉู่เจียวเจียวกำเสื้อผ้าที่หน้าอก พุ่งพรวดเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าอ๋องหลี กล่าวอธิบาย“อ๋องหลี ข้าไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ จู่ๆ เขาก็เข้ามาในห้องหอ เจตนามิดีมิร้าย โชคดีที่ข้าโยนแจกันแตก ไล่เขาออกไป!”ชุดแต่งงานบนร่างกายนางยังอยู่ในสภาพที่เรียบร้อยดี ไม่มีกระดุมหลุดแม้แต่หนึ่งเม็ด นี่คือเครื่องพิสูจน์ที่ดีที่สุดนางบริสุทธิ์!ชายหนุ่มที่ล้มอยู่ตรงโถงทางเดิน เขากุมข้อมือที่มีเลือดไหลทะลักอย่างเจ็บปวด กล่าวเสียงแหบ“ท่านอ๋อง พระชายาเป็นคนส่งแถบกระดาษให้ข้า สั่งให้ข้ามาห้องหอขอรับ ไม่เช่นนั้น ต่อให้ข้ามีความกล้ามากเพียงใด ข้าก็ไม่กล้าคิดเกินเลยต่อพระชายาแม้แต่น้อย!”เขาหอบหายใจไปพลาง หยิบกระดาษที่ถูกพับไว้หนึ่งแผ่นออกจากหน้าอกไปพลางสีหน้าเฟิงเจิ้งหลีมืดมน ริ
สองแม่ลูกออกคำสั่งฉู่เชียนหลีอย่างชอบธรรม ท่าทางที่มันควรจะเป็นเช่นนี้ เหมือนกำลังออกคำสั่งทาสรับใช้ที่ซื้อมาด้วยเงินฉู่เชียนหลีกลับยิ้มแล้วตกลงใครขอร้องใครกันแน่?ยังมองสถานการณ์ไม่ออกอีกหรือ?นางเผยอมุมปากขึ้นอย่างเย็นชา ฝ่ามือจับแขนนางอันไว้ โน้มตัวอย่างใจเย็น น้ำเสียงที่เบาแต่แปลกประหลาดดังขึ้นข้างหูนางอัน “นี่คือท่าทีของการขอร้องหรือ?”ร่างนางอันสั่นสะท้าน เงยหน้าอย่างตะลึงงัน มองใบหน้าที่ใกล้เพียงแค่เอื้อมและอัปลักษณ์นี้ไม่อยากเชื่อว่าคำพูดนี้ออกมาจากปากของฉู่เชียนหลีวินาทีต่อมา ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ น้ำตาทะลักออกมาเหมือนน้ำพุ“ฉู่เชียนหลี จิตใจเจ้าอำมหิตนัก นี่เจ้ากำลังจะบอกว่าจะทิ้งพี่สาวโดยไม่สนใจหรือ? เกิดเป็นคนจะเนรคุณคนเช่นนี้ไม่ได้ นึกถึงปีนั้น ตอนที่ข้าตั้งครรภ์เจ้า ในฤดูหนาว…”“ในฤดูหนาว ท่านไปซักเสื้อผ้าที่บ่อน้ำ กินข้าวบูดอาหารบูด ถูกฮูหยินหาเรื่อง สู้ชีวิตเพื่อข้า จนเป็นป่วยโรค ข้าดื่มเลือดของท่านโต หากข้าไม่เชื่อฟัง ก็คือคนเนรคุณ”ฉู่เชียนหลีขัดคำพูดของนาง ยิ่งกว่านั้นอย่างท่องออกมาอย่างชำนาญนางอันชะงักไปครู่หนึ่งทั้งๆ ที่เป็นคำพูดสำหรับขอความดีความช
สีหน้าชายหนุ่มซีดขาวราวกับกระดาษ “ข้า ข้าไม่อยากตาย…พระชายาสั่งให้ข้ามาห้องหอจริงๆ ข้าไม่ได้โกหก พระชายาเป็นคน…อ้า!” ฉู่เชียนหลีตบไหล่ชายหนุ่มคนนั้น“จ้องไว้!”พลันเสียงตวาดเบาๆ ทำเอาชายหนุ่มมองไปที่นาฬิกาพกโดยไม่รู้ตัวนาฬิกาพกแกว่งซ้ายแกว่งขวา สายตาของเขามองตามอย่างควบคุมไม่ได้ เมื่อเวลาค่อยๆ ผ่านไป เขารู้สึกวิงเวียน เหมือนตกเข้าไปในวังวนขนาดใหญ่อยากดิ้นรน แต่กลับไม่มีแรงอยากตะโกนสุดเสียง แต่กลับอ้าปากไม่ได้สติของเขาค่อยๆ เลือนราง…ทุกคนมองดูภาพนี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น สีหน้าของแต่ละคนแปลกใหม่ โตจนป่านนี้แล้วไม่เคยเห็นเรื่องที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อนนี่กำลังทำอะไร?มีประโยชน์อะไร?ฉู่เชียนหลีพลางแกว่งนาฬิกาพก พลางพูดชี้นำเสียงเบา “ผ่อนคลาย ผ่อนคลาย ตอนนี้เจ้าอยู่บนทุ่งหญ้าผืนใหญ่แล้ว แสงแดดอบอุ่น ม้ายกกลีบเท้า เจ้าเพลิดเพลินกับการวิ่งไปอย่างอิสระของม้ามาก…”มองดูสายตาของชายหนุ่มค่อยๆ หย่อนยาน เริ่มเหม่อลอยเกือบพอประมาณแล้วพลันนางจับนาฬิกาพก เปลี่ยนประเด็นกะทันหัน “มีคนสั่งให้เจ้ามาห้องหอของอ๋องหลีใช่หรือไม่?”ใบหน้าของเขางงงวย ศีรษะโยกเยกเบาๆ เหมือนศพเดินได้ท
งานแต่งอ๋องหลี ที่ห้องหอมี ‘บทแทรก’ เช่นนั้นเข้ามา อารมณ์ที่อยากร่วมสนุกของบรรดาแขกก็ถูกบั่นทอนลงไปเจ็ดส่วนเช่นกันระหว่างงานเลี้ยง ทุกคนกินข้าวและสนทนากัน ไม่มีเรื่องอื่นเกิดขึ้นอีกฉู่เชียนหลีกัดตะเกียบ ไร้ความอยากอาหาร แต่กลับครุ่นคิดอะไรบางอย่างอย่างจริงจังแทนเฟิงเย่เสวียนคีบเนื้อปลาหนึ่งชิ้น ใส่ชามของนาง “กำลังคิดอะไร”“คนที่อยากทำร้ายฉู่เจียวเจียวคือใครกันแน่”ชายหนุ่มคนนั้นพูดถึงครึ่งหนึ่ง ก็ตายกะทันหัน และเนื้อหาที่อยู่บนจดหมายน้อยคืออะไร อีกอย่าง ตอนอ๋องหลีจัดการเรื่องนี้ การกระทำว่องไว แต่ไม่มีอารมณ์ของความโกรธหรือดีใจใดๆ เลยนึกถึงตรงนี้ คิ้วของฉู่เชียนหลียิ่งขมวดแน่นแล้ว“เจ้ารู้สึกว่าตรงไหนมันแปลกๆ หรือไม่ ความบริสุทธิ์ของฉู่เจียวเจียวถูกดูหมิ่น เหมือนอ๋องหลีจะไม่สนใจเลย?”“เมื่อก่อน ข้าสนใจเจ้าหรือ?” เฟิงเย่เสวียนเปลี่ยนมาที่ประเด็นนี้กะทันหันนึกถึงเมื่อก่อน…ช่างน่าเวทนาเกินกว่าจะทนดู!นางแต่งเข้าจวนอ๋องเฉินสามเดือน เซียวจือฮว่าแค่หุบปากหลุบตา ไม่ว่านางทำผิดหรือไม่ ก็จะถูกทุบตีอย่างหนักโดยไม่แยกแยะผิดถูก“ตอนนี้ เกี่ยวกับเรื่องของเจ้า ข้ารู้ทุกอย่างทะลุปรุโ
เมื่อสิ้นเสียงหัวเราะที่มีความหมายลึกซึ้ง จ้องมองดวงตาทั้งคู่ของนางอัน ทำให้หัวใจนางอันสั่นสะท้าน หลบเลี่ยงโดยไม่รู้ตัวและก็เพราะปฏิกิริยาเล็กๆ น้อยๆ ที่ละเอียดอ่อนนี้ ทุกอย่างอยู่นอกเหนือคำพูดฉู่เชียนหลีหมดความอดทน ยื่นมือออกไปโดยตรง“ของที่ข้าต้องการ”ก่อนหน้านี้ นางตอบตกลงช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของฉู่เจียวเจียว ส่วนนางอันจะมอบอยากถอนพิษปานบนใบหน้าให้นาง นางอันกุมแขนเสื้อข้างซ้าย สองเท้าเดินถอยหลังหนึ่งก้าวเล็ก มีท่าทีของการกลับคำอย่างคลุมเครือ“ยา ยานั่น…มันใช่ว่าวันสองวันก็สามารถปรุงเสร็จได้เสียที่ไหน? ปานนี้อยู่กับเจ้ามาสิบกว่าปีแล้ว หากมันสามารถขจัดออกไปง่ายเช่นนั้น มีหรือที่ข้าจะไม่ให้เจ้า? ทั่วหล้ามีแม่คนไหนบ้างที่ไม่อยากให้ลูกของตัวเองได้ดี?”คำพูดเหล่านี้พูดได้สวยงามมาก แสดงถึงความห่วงใยที่แม่คนหนึ่งมีต่อลูกได้อย่างเปี่ยมล้นแต่เมื่อเข้าหูฉู่เชียนหลี คำแปลที่ได้รับ :ฉู่เจียวเจียวเป็นผู้บริสุทธิ์ ส่วนข้าไม่รักษาคำพูด ไม่อยากมอบยาถอนพิษให้เจ้าแล้วข้ายืนกรานไม่ให้ เจ้าก็ทำอะไรข้าไม่ได้ข้าเป็นแม่ของเจ้า เจ้าคงไม่เอามีดมาจี้คอบีบคั้นข้ากระมังแววตาของฉู่เชียนหลี
นางอันเบิกตากว้าง ดวงตาแทบหลุดออกมาแล้ว ตกใจจนเกือบหายใจไม่ออกกลิ่นอายอันน่ายำเกรงที่ส่งมาจากตัวนาง ความรุนแรงที่บอกไม่ถูกตรงหว่างคิ้วนั่น น้ำเสียงที่เย็นชาจนถึงขีดสุดนั่น ราวกับนำความหวาดกลัวไปให้จิตวิญญาณที่อยู่ในส่วนลึกของนางนางรู้สึกหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน…ใบมีดบางแต่เย็นเฉียบจ่ออยู่ตรงคอ นางรู้สึกเพียงมือเท้าเย็นวูบ ร่างกายสั่นสะท้าน ราวกับถูกแขวนอยู่กลางอากาศ สามารถตกลงมาตายได้ทุกเมื่อ“เออ…เออ…” ตกใจจนพูดอะไรไม่ออกฉู่เชียนหลีเหลือบมองนาง “ข้าจะนับถึงสาม เจ้าให้หรือไม่ให้?”เมื่อสิ้นเสียง ก็อ้าปากทันที“สาม!”พริบตานั้น นางกำมีดผ่าตัดแน่น จ่อไปที่กระเดือกของนางอัน นางอันส่งเสียงที่เหมือนดิ้นรนก่อนตายออกมา“ให้เจ้า!”กึก…นางเข่าอ่อนล้มคุกเข่าลงพื้น ขวดยาสีขาวกลิ้งออกมาจากแขนเสื้อ คลานอยู่บนพื้นอย่างอ่อนระทวย กุมหน้าอก หอบหายใจอย่างแรง สีหน้าซีดขาวราวกับคนตายฉู่เชียนหลีก้มลงไปเก็บขวดยา จากนั้นเปิดออกลองดมดมแค่ทีเดียว ก็รู้ว่าเป็นของจริงหรือของปลอมนางอันตกใจจนไม่เหลือสภาพชิ้นดีก็ไหนว่านับสามไม่ใช่หรือ?หนึ่งกับสองล่ะ?เมื่อครู่ นางไม่มีโอกาสแม้แต่จ