“ท่านอ๋อง รายชื่อของขวัญอวยพรจัดแจงออกมาเรียบร้อยแล้วขอรับ พูดถึงก็แปลก จวนอ๋องเฉินส่งของขวัญอวยพรมาสองส่วน” พ่อบ้านถือสมุดพับประทับร้อนสีทองหนึ่งเล่มเดินเข้ามาเขาเปิดไปที่หน้าหนึ่ง ชี้บันทึกการมอบของขวัญด้านบน ครุ่นคิดอย่างไม่เข้าใจ“ตามหลักแล้วจวนอ๋องเฉินมอบหนึ่งส่วนก็พอแล้ว แต่อ๋องเฉินหนึ่งส่วน พระชายาอ๋องเฉินหนึ่งส่วน มีที่ไหนสามีภรรยาแยกกันมอบ น่าแปลก…”แววตาเฟิงเจิ้งหลีเป็นประกายเล็กน้อย รีบกล่าว“นำของขวัญอวยพรที่พระชายาอ๋องเฉินมอบมาให้ข้า!”งานแต่งอ๋องหลี คึกคักต่อเนื่องจนถึงช่วงเย็นยามราตรีมาเยือน แขกเหรื่อแยกย้าย รถม้าสีดำที่เรียบง่ายค่อยๆ ขับมาจอดนอกจวนอ๋องเฉินฉู่เชียนหลีกระโดดลงมาคนแรก ดื่มเหล้าไปเล็กน้อย นางบิดขี้เกียจด้วยอาการมึนเมา จากนั้นก็เดินเข้าจวนไปอย่างสบายใจเซียวจือฮว่าที่ลงมาคนที่สองเห็นแล้ว กล่าวอย่างเอาใจใส่แต่รู้ความ“เฉิน ท่านยังไม่ได้เข้าจวนเลย พี่หญิงกลับมองข้ามท่าน เดินเข้าไปเองแล้ว ไม่เห็นท่านอยู่ในสายตาเกินไปแล้วกระมัง?”เฟิงเย่เสวียนกระโดดลงพื้นอย่างนุ่มนวล ยืนมือไขว้หลัง กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“ในบ้านไม่จำเป็นต้องเคร่งเรื่องพิธีการ”
เรือนข้าง“พระชายา ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ!”เมื่อเห็นฉู่เชียนหลี เยว่เอ๋อร์กับเจ้าดำน้อยกระโจนเข้าไปพลันคิ้วของเยว่เอ๋อร์ขมวดทันที “ท่านเป็นผู้หญิง ดื่มเหล้าได้อย่างไร…และยังดื่มมากเช่นนี้ เหม็นจังเลย!”เจ้าดำน้อยแลบลิ้นแฮ่ๆ เลียใบหน้าฉู่เชียนหลีหนามบนลิ้นของมัน แทงฉู่เชียนหลีจนเจ็บ ทำให้สร่างเมาไปหกเจ็ดส่วน พลันนางกดหัวของเจ้าดำน้อย ก็เริ่มจิกมั่วทันที“หมาป่าตัวผู้ ห้ามลวนลามข้า!”สองมือกดหัวหมาป่าไว้ ตะโกนคำว่าม้าหนึ่งคำ ก็กระโดดขึ้นคร่อมนั่งบนหลังหมาป่า แล้วดึงหูทั้งสองข้างของมัน ไม่ว่าเจ้าดำสะบัดอย่างไรก็สะบัดไม่หลุดเยว่เอ๋อร์หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก รีบไปเตรียมเตาเล็กจุดไฟ ต้มน้ำแกงสร่างเมาทันทีด้านข้าง หนึ่งคนหนึ่งหมาป่าเล่นกันพอประมาณแล้ว ก็พากันเข้าไปผิงไฟกลางคืน ลมเย็นเล็กน้อยฉู่เชียนหลียกก้นนั่งลงบนหางหมาป่าที่มีขนปุกปุย มือเท้าคาง มองดูเปลวไฟที่สั่นไหว ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่“พระชายา ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ?”เยว่เอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะถาม“กำลังคิดเรื่องเสน่ห์ของตัวบุคคลกับการสืบพันธุ์ของมนุษย์”เยว่เอ๋อร์ “?”ที่จริงก็คือเรื่องของหานมู่ซีคนคนนี
ล่าสัตว์ครั้งแรก ฉู่เชียนหลีคาดหวังเล็กน้อย นางได้เตรียมมีดสั้น เชือก เสื้อผ้าและสิ่งต่างๆ แล้วก็จะพาเยว่เอ๋อร์กับเจ้าดำน้อยไปด้วย และ…ทว่าวันต่อมามีหมอมอเฒ่าคนหนึ่งมาจากในวัง “พระชายาอ๋องเฉิน ถงเฟยเรียกพบเจ้าค่ะ”ฉู่เชียนหลีตะลึงงันโดยตรงเยว่เอ๋อร์รีบเข้าไปกระซิบข้างหูเบาๆ “พระชายา ถงเฟยเป็นแม่เลี้ยงที่ดูแลอ๋องเฉินโต และเป็นสาวใช้คนสนิทที่รับใช้เซียวกุ้ยเฟยในตอนนั้น หลังจากเซียวกุ้ยเฟยตาย เนื่องจากนางมีความดีความชอบเลี้ยงดูอ๋องเฉิน จึงถูกฝ่าบาทแต่งตั้งเป็นถงเฟยโดยเฉพาะ”ถงเฟยนับว่าเป็นแม่ครึ่งหนึ่งของอ๋องเฉิน มีพระคุณในการเลี้ยงดูอย่างใหญ่หลวงฉู่เชียนหลีเข้าใจอย่างคร่าวๆ ในคืนงานเลี้ยงฉลองชัย เฟิงเย่เสวียนบอกจะไปเยี่ยมเสด็จแม่ น่าจะเป็นถงเฟยท่านนี้กระมังเพียงแต่นางกับถงเฟยไม่เคยพบกัน และไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ เหตุใดจู่ๆ จึงเรียกนาง?หมอมอแก่ก้มเอวอย่างนอบน้อม “พระชายาอ๋องเฉิน เกี้ยวที่เข้าวังรออยู่นอกจวนแล้ว บ่าวไปรอท่านข้างนอกเจ้าค่ะ”พูดจบก็เดินออกไปแล้วฉู่เชียนหลีขมวดคิ้ว “ถงเฟยเรียกข้ากะทันหัน ต้องมีเรื่องแน่ ยิ่งกว่านั้นไม่ใช่เรื่องดีอะไร ไม่ไปได้หรือไม่?”เยว่เอ
เมื่อน้ำเสียงที่มาพร้อมกับเสียงสะอื้นลอยออกมา ถงเฟยหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กออกมาเช็ดน้ำตาให้เซียวจือฮว่า “ไอ้หยา โตจนป่านนี้แล้ว ยังร้องไห้อีก ไม่อายหรือ?”“ฮือ…”เมื่อได้ยินคำนี้ เซียวจือฮว่ายิ่งร้องไห้หนักพลันอ้าปาก เสียง ‘แง’ ดังเป็นพิเศษ น้ำตาเม็ดใหญ่ราวกับลูกปัดยิ่งไหลลงอย่างต่อเนื่อง“เอาละๆๆ ไม่ร้องแล้ว”“แง!”ฉู่เชียนหลี “...”เซียวจือฮว่าน้อยใจจนเหมือนเด็กที่มีน้ำหนักสามร้อยชั่ง และฉู่เชียนหลีก็คือคนที่รังแกนาง เป็นผู้ก่อเหตุที่ชั่วร้ายถงเฟยปลอบสองสามคำ สุดท้ายปลอบไม่ไหวแล้วจริงๆ หมดหนทางแล้ว จึงมองไปทางฉู่เชียนหลีอย่างช่วยไม่ได้“เด็กคนนี้ ส่งหนังสือเข้าวังตั้งแต่เช้าตรู่ บอกว่าอ๋องเฉินจะไล่นางไปอยู่สวนชานเมือง ไม่อนุญาตให้นางกลับจวนอ๋องเฉินอีก นี่ก็เลยมางอแงกับข้าแล้ว”ฉู่เชียนหลีได้ยินแล้วตะลึงงันเฟิงเย่เสวียนถึงกับยอมไล่เซียวจือฮว่า?ข้างหู เสียงของเขาดังสะท้อนกะทันหัน——‘ให้เวลาข้าหน่อย ข้าจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย’นั่นเขาพูดเล่นไม่ใช่หรือ?เขาถึงกับจะไล่เซียวจือฮว่าจริงๆ?!พริบตานั้น มีความรู้สึกที่แปลกประหลาดเสี้ยวหนึ่งพุ่งพรวดเข้ามาในใจฉู่เชียนหลี
เซียวจือฮว่า “?”ชาติกำเนิดถงเฟยเป็นสามัญชน เนื่องจากเลี้ยงดูอ๋องเฉินมีความดีความชอบ จึงถูกแต่งตั้งเป็นนางสนม อาศัยอยู่ในวัง แต่ว่าความเจริญรุ่งเรืองในวังหลวงไม่ได้บั่นทอนเนื้อแท้ของนาง นางกระทำการอย่างถ่อมตนมาโดยตลอด ใช้ชีวิตเพียงลำพัง น้อยครั้งจะออกจากตำหนัก ปกติเมื่อมีเวลาว่างก็จะสวดมนต์ภาวนาอยู่ในห้องเซียวจือฮว่าไม่พอใจแล้ว “เสด็จแม่…”นางเม้มปาก ท่าทางน้อยใจ “จือฮว่าจะถูกไล่ออกจากจวนอ๋องเฉินอยู่แล้ว…”ถงเฟยตบหลังมือเซียวจือฮว่า กล่าวปลอบอย่างมีความอดทน “จือฮว่า เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจ เมื่อครู่ข้าเพิ่งสั่งสอนพระชายา พระชายานางรู้ว่าควรจะทำอย่างไร”“เสด็จแม่ แต่ว่า…”ถงเฟยพูดขัดทันที“หมอมอ เตรียมน้ำ ล้างมือ! พวกเจ้าสองคนตามข้าไปสวดมนต์ จิตใจสงบแล้ว ปัญหามากมายก็จะคิดได้เอง เมื่อคิดได้แล้ว ก็จะไม่ทะเลาะกันอีก”ชีวิตที่แสนสั้นสามหมื่นกว่าวันของมนุษย์ มีความสุขก็หนึ่งวัน ไม่มีความสุขก็หนึ่งวันเช่นกัน เหตุใดจึงไม่เปิดใจ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเล่า?มักจะถือสาข้อเท็จจริงบนปาก ชนะหรือพ่ายแพ้ในไม่กี่คำ ทำตัวเองโมโห สร้างบาปปาก มีความหมายอะไร?ฉู่เชียนหลีพยักหน้าอย่างเป็นเด็กดี “เจ้
เซียวจือฮว่า “แบๆๆๆๆ”ฉู่เชียนหลี “นำมอฮอลตันนอตอลาเยเย นำมอออลีเย พอลูกิดตีชอปอลาแย…”ทั้งสองนั่งอยู่ข้างหลังถงเฟย สวดมนต์ตามนาง เสียงที่แผ่วเบามากล่องลอยอยู่ในห้องทำสมาธิ กลิ่นธูปเทียนลอยเตะจมูก ทำให้จิตใจสงบเป็นพิเศษไม่มีการทะเลาะไม่มีการโต้เถียงไม่มีการใช้งอแงใช้อุบายปล่อยวางทุกสิ่งในโลกนี้ นอกจากความเป็นความตาย เรื่องอื่นก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ทันใดนั้น จิตใจของฉู่เชียนหลีราวกับเปิดกว้างขึ้นมากหลังจากนั้นครึ่งชั่วยามบทพระสูตรสิ้นสุดหนึ่งจบถงเฟยค่อยๆ ปิดหนังสือสวดมนต์ ว่างลงข้างๆ บักฮื้อ หันมามองทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม “ทั่วหล้า มีข้อพิพาท การแก่งแย่ง คดีความเป็นความตายมากมาย ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ”“แต่เมื่อใจเย็นลง พิจารณาอย่างละเอียด หลายสิ่งหลายอย่างไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง พลังชีวิตของมนุษย์มีขีดจำกัด นำหัวใจไปวางไว้ในตำแหน่งที่ควรจะวาง จึงจะเปลืองแรงน้อยแต่ได้ผลกำไลมาก”นางสั่งสอนด้วยเสียงที่อ่อนโยนฉู่เชียนหลีรับคำสอนอย่างจริงใจ “เสด็จแม่ ท่านพูดถูก เปิดใจให้กว้าง สามารถรองรับแม่น้ำร้อยสาย เมื่อยืนอยู่บนที่สูง สามารถมองได้ไกล จึงเห็นเรื่องราวมาก
“อ่า!”เสียงนี่ไม่ใช่เสียงกำไลแตก แต่เป็นเสียงฝ่ามือที่ดังชัดเจนเสียงร้องนี่ไม่ใช่ปวดใจที่กำไลตกแตก แต่เป็นเสียงกรีดร้องที่เหมือนฆ่าหมูของเซียวจือฮว่าเห็นเพียง เซียวจือฮว่าโดนตบจนหมุนอยู่ตรงที่เดิมสองรอบ สุดท้ายเซล้มลงพื้น ศีรษะเอียงไปด้านหนึ่ง มวยผมเบี้ยว ปิ่นระย้าทองห้อยตกมาอยู่ที่ข้างหู บนใบหน้ายิ่งมีรอยฝ่ามือสีแดงปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อหันไปมองอีกด้าน ฉู่เชียนหลีสวมกำไลเฉียนคุนเข้าข้อมืออย่างใจเย็น จากนั้นนวดฝ่ามือที่เริ่มแดงอย่างเกียจคร้าน ท่าทางสูงศักดิ์ที่เกียจคร้านเหมือนแมวนั่น ราวกับคนที่ลงมือเมื่อครู่ไม่ใช่นางหมอมอเฒ่าสะดุ้งตกใจ แต่เมื่อตั้งสติได้ รีบทำสัญญามือ สั่งให้นางกำนัลหลายคนถอยออกไป ส่วนตนเองก็รีบเข้าไปในห้องทำสมาธิเช่นกัน นางไม่เห็นอะไรเลย…ผ่านไปสักพักเซียวจือฮว่าลูบแก้มที่เจ็บจนชา หันคอที่แข็งทื่อมา เงยหน้ามองไปทางฉู่เชียนหลีที่อยู่เบื้องสูง ตะลึงงันอยู่นาน“เจ้า…เจ้าตบข้า…”เหอะฉู่เชียนหลีหัวเราะอย่างเย็นชา “ข้าเป็นชายาเอก ส่วนเจ้าเป็นอนุ หรือนายหญิงของครอบครัวจัดการอนุเล็กๆ คนหนึ่ง ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าก่อน?”กล้าแตะต้องกำไลเฉียนคุนของนาง
ฉู่เชียนหลีครุ่นคิดสองวินาที ยกเท้ากำลังจะไป นอกตำหนัก มีเสียงรายงานลากยาวดังขึ้น“อ๋องเฉินเสด็จ…”“ท่านอ๋อง!”พลันสีหน้าเซียวจือฮว่าดีใจ จากนั้นเบ้าตาแดงก่ำ กุมหน้าอก รีบวิ่งออกไปข้างนอก“ท่านอ๋อง ท่านต้องออกหน้าแทนฮว่าเอ๋อร์นะ…”เฟิงเย่เสวียนเพิ่งเลิกว่าราชกิจ เมื่อได้ยินเรื่องที่ฉู่เชียนหลีเข้าวัง กลัวว่านางจะรับมือไม่ไหว จึงรีบมาที่ตำหนักกว่างอันทันที ใครจะรู้ว่าเซียวจือฮว่าก็อยู่ด้วยเช่นกันเขาขมวดคิ้ว “เจ้าไปสวนชานเมืองแล้วไม่ใช่หรือ?”พลันเซียวจือฮว่าปวดใจ ยิ่งน้อยใจแล้วแทบรอไม่ไหวที่จะไล่นางไปถึงเช่นนี้เลยหรือ?นางเอียงศีรษะเล็กน้อย แสดงใบหน้าครึ่งที่ได้รับบาดเจ็บของตนเองต่อหน้าเฟิงเย่เสวียน “เดิมทีฮว่าเอ๋อร์อยากเข้าวังเยี่ยมเสด็จแม่ แต่ใครจะรู้ว่าพระชายาคุยไม่ถูกกัน ก็ลงมือกับข้าเลย ข้า…”“ลูกแม่!”พูดไม่ทันจบ ถงเฟยวิ่งออกจากห้องทำสมาธิ กอดเฟิงเย่เสวียนก็เริ่มร้องไห้“ลูกแม่ แม่ไร้ประโยชน์ แม่ทำอะไรไม่ได้จริงๆ พวกนางทะเลาะกันหนักมาก แม่พูดแทรกไม่ได้แม้แต่คำเดียว ห้ามปรามจนเสียงแหบก็ไม่มีประโยชน์ พวกนางสองคนทะเลาะกันในตำหนักกว่างอันถึงขั้นนี้ ไม่สู้ยกตำหนักกว่างอัน