“อ่า!”เสียงนี่ไม่ใช่เสียงกำไลแตก แต่เป็นเสียงฝ่ามือที่ดังชัดเจนเสียงร้องนี่ไม่ใช่ปวดใจที่กำไลตกแตก แต่เป็นเสียงกรีดร้องที่เหมือนฆ่าหมูของเซียวจือฮว่าเห็นเพียง เซียวจือฮว่าโดนตบจนหมุนอยู่ตรงที่เดิมสองรอบ สุดท้ายเซล้มลงพื้น ศีรษะเอียงไปด้านหนึ่ง มวยผมเบี้ยว ปิ่นระย้าทองห้อยตกมาอยู่ที่ข้างหู บนใบหน้ายิ่งมีรอยฝ่ามือสีแดงปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อหันไปมองอีกด้าน ฉู่เชียนหลีสวมกำไลเฉียนคุนเข้าข้อมืออย่างใจเย็น จากนั้นนวดฝ่ามือที่เริ่มแดงอย่างเกียจคร้าน ท่าทางสูงศักดิ์ที่เกียจคร้านเหมือนแมวนั่น ราวกับคนที่ลงมือเมื่อครู่ไม่ใช่นางหมอมอเฒ่าสะดุ้งตกใจ แต่เมื่อตั้งสติได้ รีบทำสัญญามือ สั่งให้นางกำนัลหลายคนถอยออกไป ส่วนตนเองก็รีบเข้าไปในห้องทำสมาธิเช่นกัน นางไม่เห็นอะไรเลย…ผ่านไปสักพักเซียวจือฮว่าลูบแก้มที่เจ็บจนชา หันคอที่แข็งทื่อมา เงยหน้ามองไปทางฉู่เชียนหลีที่อยู่เบื้องสูง ตะลึงงันอยู่นาน“เจ้า…เจ้าตบข้า…”เหอะฉู่เชียนหลีหัวเราะอย่างเย็นชา “ข้าเป็นชายาเอก ส่วนเจ้าเป็นอนุ หรือนายหญิงของครอบครัวจัดการอนุเล็กๆ คนหนึ่ง ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าก่อน?”กล้าแตะต้องกำไลเฉียนคุนของนาง
ฉู่เชียนหลีครุ่นคิดสองวินาที ยกเท้ากำลังจะไป นอกตำหนัก มีเสียงรายงานลากยาวดังขึ้น“อ๋องเฉินเสด็จ…”“ท่านอ๋อง!”พลันสีหน้าเซียวจือฮว่าดีใจ จากนั้นเบ้าตาแดงก่ำ กุมหน้าอก รีบวิ่งออกไปข้างนอก“ท่านอ๋อง ท่านต้องออกหน้าแทนฮว่าเอ๋อร์นะ…”เฟิงเย่เสวียนเพิ่งเลิกว่าราชกิจ เมื่อได้ยินเรื่องที่ฉู่เชียนหลีเข้าวัง กลัวว่านางจะรับมือไม่ไหว จึงรีบมาที่ตำหนักกว่างอันทันที ใครจะรู้ว่าเซียวจือฮว่าก็อยู่ด้วยเช่นกันเขาขมวดคิ้ว “เจ้าไปสวนชานเมืองแล้วไม่ใช่หรือ?”พลันเซียวจือฮว่าปวดใจ ยิ่งน้อยใจแล้วแทบรอไม่ไหวที่จะไล่นางไปถึงเช่นนี้เลยหรือ?นางเอียงศีรษะเล็กน้อย แสดงใบหน้าครึ่งที่ได้รับบาดเจ็บของตนเองต่อหน้าเฟิงเย่เสวียน “เดิมทีฮว่าเอ๋อร์อยากเข้าวังเยี่ยมเสด็จแม่ แต่ใครจะรู้ว่าพระชายาคุยไม่ถูกกัน ก็ลงมือกับข้าเลย ข้า…”“ลูกแม่!”พูดไม่ทันจบ ถงเฟยวิ่งออกจากห้องทำสมาธิ กอดเฟิงเย่เสวียนก็เริ่มร้องไห้“ลูกแม่ แม่ไร้ประโยชน์ แม่ทำอะไรไม่ได้จริงๆ พวกนางทะเลาะกันหนักมาก แม่พูดแทรกไม่ได้แม้แต่คำเดียว ห้ามปรามจนเสียงแหบก็ไม่มีประโยชน์ พวกนางสองคนทะเลาะกันในตำหนักกว่างอันถึงขั้นนี้ ไม่สู้ยกตำหนักกว่างอัน
ฉู่เชียนหลี “เจ้าฝันไปเถอะ!”——จะไปล่าสัตว์หรือไม่ไปมีแค่สองอย่าง ตะกร้าธนูเหรอ? ฉันอูลาร่านา·ฉู่เชียนหลีไม่มีทางแบก!เฟิงเย่เสวียน “...”ขันทีที่อยู่ด้านข้างกลับถลนตาทั้งคู่อ๋องเฉินจับก้นพระชายาอ๋องเฉินกลางวันแสกๆ ในวังหลวง… เฟิงเย่เสวียนหันไปมองฉับพลัน เขาด่าทอ “มองอะไร ตาเฒ่า!”“!”เบญจมาศขันทีหดเกร็ง รีบก้มศีรษะลง ไม่กล้าพูดมากแม้แต่คำเดียว เดินนำทางอยู่ด้านหน้าอย่างนอบน้อมอุทยานดอกไม้ฉู่เชียนหลีเดินเข้าไป ตอนที่เฟิงเย่เสวียนจะเดินตาม ขันทีเข้ามาขวางไว้“อ๋องเฉินโปรดหยุดก่อน ฝ่าบาทบอกว่าต้องการพบพระชายาอ๋องเฉิน ไม่ได้บอกว่าจะเรียกท่าน”เขา “...”มีเรื่องอะไรที่ลูกชายแท้ๆ อย่างเขาฟังไม่ได้?ภายในอุทยานดอกไม้ ทิวทัศน์รื่นรมย์ โครงสร้าง การตกแต่ง ฮวงจุ้ยล้วนเป็นเลิศ ภูเขาจำลองตั้งตระหง่าน สายน้ำไหลริน ดอกไม้เบ่งบาน แสงแดดอบอุ่นอีกด้านหนึ่งของทางเดินที่ปูด้วยหินกรวด ร่างเงาสีเหลืองสว่างสายหนึ่งนั่งอย่างสุขุมอยู่ตรงนั้นฉู่เชียนหลีรีบเดินเข้าไป“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอฝ่าบาทอายุยืนหมื่นปี หมื่นหมื่นปี”ฮ่องเต้เงยหน้าขึ้น ม้วนเก็บหนังสือที่อยู่ในมือ จากนั้นวางลง ถามด้วยร
ฉู่เชียนหลี “...”อยากได้แต่กลับแสดงออกอย่างอ้อมค้อนเช่นนี้? เพียงแต่ จะเอาของของนางก็ต้องมีอะไรมาแลกฉู่เชียนหลีกลอกตาเบาๆ ทันใดนั้นก็ถอนสายบัว กล่าวอย่างจริงใจ“แค่เสด็จพ่อทรงเกษมสำราญ ก็คือวาสนาขอหม่อมฉันแล้วเพคะ แม้นาฬิกาพกเรือนนี้จะเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษของท่านแม่ มีความหมายที่สำคัญมาก แต่ขอแค่เสด็จพ่อพอพระทัย หม่อมฉันยินดีถวายทุกอย่างเพคะ!”เมื่อฮ่องเต้ได้ยินคำพูดนี้ นาฬิกาพกเรือนเล็กๆ หนักพันชั่งขึ้นมาทันทีมันคือมรดกตกทอดของตระกูลสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ เขาจะมีหน้าไปรับไว้ได้อย่างไร?รีบคืนกลับไปทันที “เมียเจ้าเจ็ด ในเมื่อมารดาของเจ้าเป็นคนมอบให้ เจ้าก็รีบเอากลับไปเก็บไว้เถอะ เราไม่เอา!”“การได้รับการโปรดปรานจากเสด็จพ่อ ก็คือความหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการดำรงอยู่ของนาฬิกาพกเรือนนี้เพคะ”ฉู่เชียนหลีใช้สองมือดันนาฬิกาพกกลับไป กล่าวอย่างรู้ความมาก“ทรงเป็นถึงโอรสสวรรค์ ทุกสิ่งบนแคว้นตงหลิงล้วนเป็นของพระองค์ หม่อมฉันจะกล้าผูกขาดไว้เพียงคนเดียวได้อย่างไร? ต่อให้เป็นของดีแค่ไหน มีเพียงอยู่บนมือของคนมีความสามารถ จึงจะดึงประโยชน์ออกมาได้มากที่สุด”“เสด็จพ่อ ท่านโปรดรับไว
หลังจากฉู่เชียนหลีคุกเข่าทูลลา ก็หมุนกายเดินจากไป ฮ่องเต้เล่นนาฬิกาพกด้วยความสนใจ พลิกขึ้นพลิกลงและซ้ายขวา เต๋อฝูยืนอยู่ด้านข้าง สีหน้าตระหนกตกใจเป็นพิเศษเขาอ้าปาก อยากพูดแต่ก็ลังเล“ฝ่า ฝ่าบาท…ความหมายของพระองค์คือ พระชายาอ๋องเฉินจะเอาไม้นั่นไปตี ตี…ตี…”คำพูดที่เหลือ เขาตกใจจนไม่กล้าพูดออกมาฮ่องเต้พ่นลมออกจากจมูกอย่างไม่สบอารมณ์ “นางกล้าโกหกแม้แต่เรา ยังมีอะไรที่นางไม่กล้าทำอีก?” “หา!” เต๋อฝูยิ่งกลัวแล้ว “นาง นางโกหกอะไรพระองค์หรือพ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่องเต้เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ว่าเจ้าโง่เขลา เจ้าก็โง่เขลาจริงๆ แม่ฉู่เชียนหลีไม่รักนางตั้งแต่เด็ก แต่ชอบพี่สาวคนโต หากแม่นางมีมรดกตกทอดอะไรจริงๆ ก็คงให้ฉู่เจียวเจียวนานแล้ว ยังจะถึงคราวของฉู่เชียนหลีหรือ?”ดังนั้น คำพูดเมื่อครู่ของฉู่เชียนหลีคือกำลังโกหกเขานางหนูน้อย อายุแค่นี้ แต่กลับรู้จักใช้ประโยชน์ความปรารถนาของเขา แสวงหาผลประโยชน์สูงสุดให้ตนเอง นี่ไม่ใช่เรื่องที่ใครก็กล้าทำเหอะๆ!นิสัยนี่ ไม่รู้ว่าเก่งกว่าขุนนางในราชสำนักกี่คน เขาชอบเต๋อฝู “...”ยอมรับความโง่เขลาของตนเองแต่เหตุใดฝ่าบาทจึงไม่เปิดโปงพระชายาอ๋องเฉิน ทั้งๆ ท
เฟิงเย่เสวียน “...”เขายืนตัวตรง เห็นนางกุมท้องหัวเราะเสียงดัง ท่าทางที่หัวเราะจนฟันทั้งสองแถวยื่นออกมา เกิดความรู้สึกอยากบีบคอนางให้ตายกะทันหันกล้าหลอกเขา!โมโหจนกัดฟัน “เดิมทีตั้งใจจะพาเจ้าไปล่าสัตว์ที่ชานเมือง แต่ดูจากการแสดงออกของพระชายา ดูเหมือนไม่อยากไปล่าสัตว์มากนัก”ฉู่เชียนหลียิ้มแย้ม ทั้งซนทั้งร้าย“เช่นนั้นไม่ไปก็แล้วกัน เพราะอย่างไรข้าก็ไม่ชอบล่าสัตว์ ข้าเป็นผู้หญิงนะ ผู้หญิง ข้ากลับไปเย็บปักถักร้อยที่จวนดีกว่า”พูดจบก็ไปแล้ว“?”ไปทั้งเช่นนี้แล้ว?ไปแล้ว?ไร้ความเมตตา!เฟิงเย่เสวียนหน้าบึ้งอยู่ห้านาที กัดฟันกรามดังกรอดช่างเถอะ ลูกผู้ชายอกสามศอก ไม่ถือสาผู้หญิง!เขาก้าวเท้ายาวไล่ตามออกไป หิ้วคอเสื้อหลังฉู่เชียนหลี “ไปล่าสัตว์กัน”“เอ๋? ท่านบอกไม่ไปไม่ใช่หรือ? เหตุใดจู่ๆ ก็จะไป? ท่านมันเหมือนยายแก่ขี้งอน…”“หุบปาก!”“...”หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามจูงม้า พาผู้ติดตามไปด้วยหลายคน ขบวนที่เรียบง่ายกลุ่มหนึ่งออกจากเมือง ไปตามถนนเส้นเล็กเข้าสู่เขตป่าชานเมือง ดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้าลอดผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้ สาดส่องลงบนพื้น สะท้อนแสงและเงาสีสันหลากหลาย อ่อนโยนและสบา
โดยทั่วไปแล้วผู้หญิงขี่ม้าไม่เป็น และยิ่งขี่ม้ายิงธนูไม่เป็น การล่าสัตว์มักจะเป็นเวลาที่ผู้ชายแสดงเสน่ห์ ความสามารถ และความกล้าหาญส่วนตัวเขายังไม่ทันง้างธนู ฉู่เชียนหลีก็ผ่านไปแล้วห้าด่าน ล่าไปแล้วหกตัว ไม่เพียงทักษะการขี่ม้าดี ทักษะธนูยิ่งดีเหตุใดเมื่อก่อนเขาจึงไม่รู้ว่านางขี่ม้ายิงธนูเป็น?หานเฟิงกับเยว่เอ๋อร์ และยังมีเจ้าดำน้อย ล้วนไปตามอยู่ข้างหลังฉู่เชียนหลี ปรบมือดังเพียะๆ กลายเป็นกองให้กำลังใจ ส่วนเขาโดดเดี่ยวเพียงลำพัง ไม่มีใครเหลียวแลเขากระตุกบังเหียนแน่น ไล่ตามออกไป“อากาศดีมาก เหมาะแก่การล่าสัตว์ พวกเรามาแข่งกัน เป็นอย่างไร?”“หือ?” ฉู่เชียนหลีลดมือที่กำลังง้างธนูลง มีประกายแห่งความสนใจปรากฏขึ้นในแววตาหลายส่วน “แข่งอย่างไร?” “ใครยิงเหยื่อได้มากกว่าใครชนะ ผู้ชนะสามารถเรียกร้องจากอีกฝ่ายได้หนึ่งข้อ และอีกฝ่ายต้องตอบตกลงอย่างไม่มีเงื่อนไข กล้าแข่งหรือไม่?”สี่คำสุดท้าย มันคือกลยุทธ์ยั่วยุฉู่เชียนหลีไม่ใช่คุณหนูที่ถูกเลี้ยงดูในเรือนส่วนหลัง ความปรารถนาของแพ้ชนะถูกกระตุ้นทันที คันธนูยาวเคาะหน้าผาก ยิ้มอย่างยั่วยุ“ยินดีอย่างยิ่ง”เมื่อสิ้นเสียง ก็กระตุกม้าวิ่งไป
“ไม่เป็นไรกระมัง” เฟิงเย่เสวียนเงยหน้า ในแววตาเต็มไปด้วยความร้อนรน “มีตรงไหนได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”เขารีบจับไหล่นาง จับแขนนาง ตรวจดูตั้งแต่หัวจรดเท้า“ข้าสบายดี” โชคดีที่หลบได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นโดนงูพิษกัดแน่เฟิงเย่เสวียนเห็นว่านางไม่เป็นอะไร ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจ จึงจะถอนหายใจอย่างโล่งอก คลายร่างที่ทับอยู่บนร่างกายฉู่เชียนหลี ฉู่เชียนหลีเพิ่งจะมารู้สึกถึงความหนักทีหลังผู้ชายคนนี้ต้องหนักห้าร้อยชั่งแน่เลย!สองมือฉู่เชียนหลียันหน้าอกเขา “ท่านลุกก่อน…อ่า!”เพิ่งดันขึ้นห้าเซนติเมตร ก็หมดแรงแล้ว ร่างกายของเฟิงเย่เสวียนทับลงไปอีกครั้งใบหน้าที่หล่อเหลาจนมนุษย์และเทพโกรธเคืองขยายใหญ่ต่อหน้า!ละเอียดอ่อนจนสามารถมองเห็นแม้แต่รูขุมขน!จากดวงตาสีหมึกของเขา นางมองเห็นตนเองอย่างชัดเจน…ร่างกายสองร่างแนบชิดติดกันแน่นจนแยกไม่ออก ห่างกันใกล้มาก ปลายจมูกของเฟิงเย่เสวียนชิดปลายจมูกฉู่เชียนหลี ริมฝีปากทั้งสองห่างกันแค่เส้นผมเส้นเดียวพริบตานั้น ราวกับอากาศหยุดนิ่ง…ลมหายใจที่นุ่มนวลพ่นใส่ใบหน้าของอีกฝ่าย อุ่นๆ จางๆ ทว่าอุณหภูมิกับพุ่งสูงขึ้นในพริบตา ราวกับเปลวไฟอันร้อนแรง จุดประก
“ไม่รู้ว่าเจ้ากำลังหาใคร? ข้าเดินทางมาเจียงหนาน พาคนมาด้วยไม่น้อย ไม่แน่อาจสามารถช่วยอะไรเจ้าได้บ้าง”ฉู่เชียนหลีลังเลเล็กน้อยผู้มาเยือนคือแขก ยังไปรบกวนคนอื่นอีก รู้สึกเกรงใจจริงๆฮองเฮาหนานยวนเหมือนมองความคิดนางออก พลันยิ้มอย่างอ่อนโยน“พระชายาอ๋องเฉิน แคว้นหนานยวนกับอ๋องเฉินมีความสัมพันธ์ทางการร่วมมือ เจ้าไม่ต้องเกรงใจ”“เห็นเจ้าใช้คนมากมายเช่นนี้ แถมยังปิดเมือง คนผู้นี้น่าจะสำคัญมากกระมัง ไม่ต้องลังเลแล้ว ทุกเวลามีค่า อย่าปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาสหนี”มันก็จริงตามหาคนสำคัญกว่าฉู่เชียนหลีก็ไม่ลังเลอีก กล่าวตรงๆ “เป็นเด็กทารกที่เพิ่งคลอด เป็นลูกสาวของสาวใช้ข้า…”หลังจากฮองเฮาหนานยวนเข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ ก็สั่งให้คนของตัวเองไปช่วยอีกแรงทันทีขณะเดียวกัน ก็เหลือบมองพระชายาอ๋องเฉินท่านนี้อีกหลายครั้งนางดีกับคนรับใช้เช่นนี้มาโดยตลอด?เป็นเพียงสาวใช้คนหนึ่ง นางสามารถทำถึงขั้นปิดเมืองเลยมองออกได้ไม่ยากว่านางเป็นคนให้ความสำคัญกับมิตรภาพ ใครก็ตามที่อยู่ในสายตาของนาง ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น คนเช่นนี้ทำให้คนไว้ใจได้ง่าย ทำให้คนอยากเข้าหา อยากทำความรู้จักสมัยนี้ คนที่มีตำแหน่งมีอ
ต้องเป็นฝีมือเขาแน่!อวิ๋นอิงฝืนยันร่างกายที่อ่อนแรงขึ้น เดินไปข้างหน้าอย่างโซซัดโซเซสองสามก้าว เกือบหมดสติล้มลง“ฮูหยินน้อย!” หมอตำแยรีบเข้าไปประคองนาง “เลือดของเจ้ายังไม่หยุดไหลเลย ลงจากเตียงไม่ได้…”พูดไม่ทันจบ อวิ๋นอิงปัดมือหมอตำแยทิ้ง วิ่งออกไปข้างนอกอย่างสุดชีวิตไม่มีใครสามารถแย่งลูกสาวที่นางต้องแลกมาด้วยชีวิต!นางไม่มีพ่อแม่แล้ว สูญเสียคนที่รักที่สุด นางไม่เหลืออะไรแล้ว ลูกสาวเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่นางจะมีชีวิตอยู่รอดต่อไปใครกล้าแย่งความหวังของนาง นางก็สู้ตายกับคนคนนั้น!หมอตำแยงไล่ตามไปถึงหน้าประตู มองดูนางวิ่งออกไปอย่างโซซัดโซเซ รู้สึกงงงวยไปหมด“เด็ก เด็ก…เด็กคนนี้มันอะไรกันแน่…แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น? รอก่อน! ยังไม่ได้จ่ายค่ารักษาเลยนะ!”“...”บนถนนชาวบ้านเห็นผู้หญิงที่มีเลือดเปื้อนตามร่างกายวิ่งล้มลุกคลุกคลาน คิดว่าเป็นคนบ้าที่มาจากไหนก็ไม่รู้ แต่ละคนตกใจจนพากันหลบ กลัวตัวเองจะติดความโชคร้ายอวิ๋นอิงเหนื่อยมาก ร่างกายถึงขีดจำกัดแล้ว ศีรษะหนักราวกับพันชั่ง ขาทั้งสองข้างล้าจนอ่อนไปหมดแล้ว อาศัยแค่ความแน่วแน่ ต่อให้คลานอย่างสุดชีวิตก็ต้องคลานไปให้ถึงทำเนีย
อวิ๋นอิงรีบปิดปากวิ่งหนี ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่น้อย ทุกวินาทีที่อยู่ในทำเนียบ รู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองตัวเองอยู่ตลอดเวลาโดยเฉพาะท้องเด็กคนนี้ยังไม่ทันเกิด ก็ตกไปอยู่ในแผนของผู้อื่นแล้วนางนอนไม่หลับทั้งคืนรอจนรุ่งสาง นางรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก ถ้าหากฝืนยื้อ นางยื้อจิ่งอี้ไม่ไหว หลังจากคิดซ้ำๆ ทิ้งจดหมายไว้หนึ่งฉบับ จากไปเงียบๆ แล้วนางอยากไปจากเจียงหนานหาสถานที่ที่เงียบสงบและไม่มีใครรู้จักนาง คลอดเด็กคนนี้ออกมา และเลี้ยงดูเขาไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งทางโลก ไม่อยากสนใจอะไรทั้งสิ้น ไปอยู่สถานที่ใหม่ เริ่มต้นใหม่จากไปอย่างเร่งด่วน พกเพียงเงินมือข้างหนึ่งจับท้อง ฝีเท้าเร่งรีบ เตรียมไปเช่ารถม้าหนึ่งคัน แต่ตอนเดินไปถึงตรงหัวมุม ไม่ระวังถูกเด็กที่เล่นอยู่ตรงนั้นชนท้อง“ซี้ด!”ความเจ็บแล่นไปทั่วร่างมีกระแสอุ่นๆ สายหนึ่งไหลออกจากร่างกายช่วงล่างสีหน้าอวิ๋นอิงเปลี่ยนฉับพลัน มือจับเสื้อผ้าตรงท้องตามสัญชาตญาณ สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ตกวูบ เจ็บจนจับกำแพง ทรุดนั่งลงบนพื้นอย่างเข่าอ่อนชาวบ้านที่เดินผ่านมาเห็น กล่าวด้วยความตกใจ“แม่นาง เจ้าไม่เป็นอะไรกระมัง?”“ข้างล
เสียงของเขาทุ้มและเหนื่อยมาก ทั้งที่เพิ่งอายุยี่สิบหกปี แต่ดวงตาที่เต็มไปด้วยความผันผวน เหมือนชายชราใกล้ตายที่ผ่านอะไรมามากมาย นั่งอยู่บนบันได มองดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆ ลับขอบฟ้า รอคอยความตายที่จะมาถึงเฟิ่งหรานรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่งความรัก เป็นสิ่งที่อันตรายจริงๆชาตินี้เขายอมไม่แตะต้องผู้หญิงเลย“เช่นนั้นก็ไปเถอะ” เขากล่าว “อวิ๋นอิงเกลียดเจ้า เจ้าฝืนอยู่ข้างกายนาง มีแต่จะคอยย้ำเตือนความเจ็บปวดที่นางเคยได้หลับ เกรงว่ามีแต่จะยิ่งเกลียดเจ้า”“พวกเรากลับแคว้นกันเถอะ”กลับแคว้นซีอวี้กลับไปในที่ที่ควรกลับ กลับไปทำสิ่งที่ควรทำ ลืม…คนที่ควรลืมเฟิ่งหรานกล่าว “บางทีไปจากนาง จึงจะสามารถทำให้นางสบายใจจริงๆ ชีวิตจึงจะนับว่าดีขึ้นจริงๆ เจ้าก็ควรกลับแคว้น ทวงคืนสิ่งที่เป็นของเจ้าคืนแล้ว”“ข้าไปหาพระชายา ขอให้นางช่วยรักษากล่องเสียงของเจ้า”“ไม่ต้องแล้ว” จิ่งอี้ปฏิเสธอย่างเรียบเฉยกล่องเสียงที่พังแล้ว เขาไม่อยากรักษายาพิษที่อวิ๋นอิงป้อนเองกับมือ มันหวานเหมือนน้ำผึ้ง ชาตินี้เขาจะไม่รักษา“อวิ๋นอิงเกลียดข้า ก็ให้พิษนี่อยู่ในร่างกายข้า ให้ความเกลียดของนางมีที่ระบาย เช่นนี้จึงจะสามารถทำใ
จิ่งอี้ค่อยๆ หลุบตาลง ความดีใจเมื่อครู่หายไป เหลือเพียงความเศร้าในแววตาของเขา…เขากล้าขอให้อวิ๋นอิงให้อภัยได้อย่างไร?เขาทำกับอวิ๋นอิงเช่นนั้น ทำร้ายนางเช่นนั้น เปลี่ยนเป็นเขา ก็ไม่มีทางให้อภัยตัวเองอวิ๋นอิงเกลียดเขา มันก็สมควรแล้วอวิ๋นอิงวางยาเขา ทำลายกล่องเสียงของเขา เมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาเคยทำ มันต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเขาแค่สูญเสียกล่องเสียงแต่ความเจ็บปวดทางจิตใจและจิตวิญญาณที่อวิ๋นอิงได้รับ ไม่สามารถลบเลือนได้ทั้งชีวิต“เป็นความผิดของข้า ล้วนเป็นความผิดของข้า…”ไม่ว่าอวิ๋นอิงทำอะไร เขาก็พร้อมรับทุกอย่างนี่คือผลลัพธ์ที่เขาควรได้รับ“ไม่เป็นไร…สมควรแล้ว…อวิ๋นอิงทำถูก…ข้าไม่โทษนาง นางรังเกียจข้า นางเกลียดข้า นางอยากเอาชีวิตข้า ข้ารู้ ข้ารู้ทุกอย่าง…เฟิ่งหราน ข้าไม่เกลียดนาง จริงนะ…ข้า…”เสียงของเขาแข็งขึ้นเรื่อยๆ เบ้าตาก็แดงอย่างรวดเร็วมีหมอกปกคลุมพร่ามัวน้ำตาไหลออกมาพลันเฟิ่งหรานแน่นหน้าอกรู้จักกันนานเช่นนี้ เคยเห็นจิ่งอี้หลั่งน้ำตาแม้แต่หยดเดียวตั้งแต่เมื่อไร? ถูกพ่อแท้ๆ ทิ้ง เขาไม่ร้องไห้ จางเฟยตา เขาก็ไม่ร้องไห้ตอนนี้ เวลานี้ น้ำตาตกเหมือนสายฝน!ผู้ชา
“อ๋อ อวิ๋นอิง”เฟิ่งหรานรู้ว่าเขาเป็นห่วง จึงกล่าวโดยไม่อ้อมค้อมแล้ว“เดิมทีนางหนูนั่นเกลียดเจ้ามาก พูดอะไรก็ไม่ยอมให้อภัยเจ้า แต่ข้าพบว่าเมื่อคืนนางแอบมาเยี่ยมเจ้า ตอนที่จากไป ตาแดงเหมือนเคยร้องไห้”อวิ๋นอิงเอาหน้า ดังนั้นจึงแอบมาตอนกลางคืนเขาหยอกล้อด้วยรอยยิ้ม“ข้าว่าแปดส่วนพวกเจ้าไปกันรอด”“นี่ก็ถือว่าเจ้ายอมเสียสละชีวิต ใช้ความรักของตัวเองทำให้นางหวั่นไหว ตอนนี้ก็ใกล้จะคลอดแล้ว ถ้าหากพวกเจ้าสามารถคืนดีกันได้ เมื่อเด็กคนนี้เกิดมา พ่อเอ็นดู แม่รักใคร่ ไม่ต้องพูดถึงว่ามีความสุขเพียงใดแล้ว”“จึงมอบครอบครัวที่สมบูรณ์ให้เด็ก อย่าให้เด็กเดินตามรอยพวกเรา…”พวกเขาล้วนเป็นคนโชคร้าย รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดของครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์อย่าปล่อยให้ความโชคร้ายของตัวเอง ต้องไปเกิดขึ้นกับเด็กมีประกายความตื่นเต้นฉายในแววตาจิ่งอี้นางมาเยี่ยมเขาแล้ว!ในที่สุดนางก็ยอมให้อภัยเขาแล้วหรือ!เขาตื่นเต้นจนไม่สามารถระงับอารมณ์ ดึงผ้าห่มออกก็จะลุกขึ้นเฟิ่งหรานรีบกดเขาไว้ “เจ้าเพิ่งฟื้น ร่างกายยังอ่อนแอมาก อย่าขยับส่งเดช เจ้าอยากตายหรือ?”จิ่งอี้กล่าว “ดี ใจ…”เสียงยังคงแหบแห้ง “ต่อให้ดีใจ ก็ไม
ช้อนแล้วช้อนแล้ว กระทั่งเห็นก้นถ้วยหลังจากป้อนหมดแล้ว อวิ๋นอิงวางถ้วยยา เช็ดมุมปากของเขา ตอนที่นิ้วสัมผัสโดนผิวหนัง เย็นเหมือนน้ำแข็ง…นี่ไม่ใช่อุณหภูมิร่างกายของคนปกติบางทีเขาอาจจะไม่มีวันฟื้นแล้วจริงๆรู้สึกแสบจมูกเล็กน้อย“เพราะเหตุใดเจ้าต้องใช้เลือดหัวใจของตัวเอง เลี้ยงกู่แพทย์เพื่อข้า? เพราะเหตุใดต้องดื่มยาพิษขวดนั้น ความเป็นความตายของข้าเกี่ยวอะไรกับเจ้า? ทั้งๆ ที่เจ้าไม่ต้องทำเช่นนั้น”“ความโอ่อ่าในอดีตของเจ้าล่ะ? ความเฉียบคมของเจ้าล่ะ? ความแข็งแกร่งของเจ้าล่ะ? ความเด็ดขาดที่หนึ่งหนึ่งไม่เป็นสองของเจ้าล่ะ? ถ้าหากข้าตายแล้ว ก็เป็นไปตามที่เจ้าต้องการไม่ใช่หรือ? เหตุใดเจ้าต้องสนใจข้า?”“จิ่งอี้ ถ้าหากเจ้ายังทำกับข้าเหมือนเมื่อก่อน ข้าจะเกลียดเจ้าไปตลอดชีวิตจริงๆ เกลียดเจ้าจนตาย แต่ต่อมาเจ้าเปลี่ยนไปแล้ว…”“พอเจ้าดีกับข้า ข้าก็…ใจอ่อนแล้ว…”อวิ๋นอิงหลุบตา พูดเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่แข็งเล็กน้อยตัวตนของนาง เป็นเด็กผู้หญิงที่ไร้เดียงสาและตรงไปตรงมา!ใครดีกับนาง นางก็ดีกับคนนั้นท้องใกล้จะเก้าเดือนแล้ว อีกประมาณครึ่งเดือนก็น่าจะคลอดแล้ว นางไม่สามารถลบเลือนความจริงที่จิ่งอี้เ
เฟิงเจิ้งลู่ฉินกลับแคว้นวันที่สามฉู่เชียนหลียังไม่ค่อยชิน ตอนที่ดูจื่อเยี่ยกับเว่ยซีเล่นด้วยกัน มักจะนึกถึงร่างเงาน้อยๆ ที่สามวันที่สี่ เกิดสงครามขึ้นที่ริมแม่น้ำอูหลานอีกครั้ง เฟิงเย่เสวียนยุ่งจนไม่ได้พักทุกวัน นอกจากเวลานอน เวลาอื่นไม่เห็นแม้แต่เงา ส่วนนางก็อยู่บ้านเลี้ยงลูก และคอยเฝ้าดูอาการบาดเจ็บของจิ่งอี้จวินลั่วยวนก็หาโอกาสทุกวัน…แต่น่าเสียดาย เกิดสงครามขึ้น อ๋องเฉินยุ่งมาก นางไม่มีโอกาสเข้าใกล้เลยเป็นเช่นนี้ติดต่อกันหลายวัน รอจนรู้สึกเบื่อ นางกลับเริ่มหันมาสนใจฉู่เชียนหลีแทน พบว่าหลายวันนี้ ฉู่เชียนหลีมักจะไปที่เรือนหลังหนึ่งเกิดความอยากรู้อยากเห็นจึงฉวยโอกาสตอนที่ฉู่เชียนหลีไม่อยู่ แอบเข้าไปในเรือนทันทีที่เข้าไป ก็พบกับผู้ชายคนหนึ่งที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียง“เอ๋?”ฉู่เชียนหลีเฝ้าผู้ชายคนนี้ทุกวัน คนคนนี้น่าจะสำคัญกับนางมากกระมัง?เดินเข้าไปดูอย่างละเอียดใกล้ๆหน้าตาไม่เลว แต่หน้าซีดไปหน่อย ถ้าหากไม่ใช่เพราะหน้าอกของเขายังมีการกระพือขึ้นลงเบาๆ นางเกือบคิดว่าเป็นศพนอนอยู่บนเตียง“บาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ เหตุใดยังไม่ตาย?”นางชะโงกศีรษะด้วยความอยากรู้อยากเห็น
นางกำนัลรีบอุ้มเด็กเดินเข้าไปฉู่เจียวเจียวรับมาเบาๆ “ฉินเอ๋อร์เป็นเด็กดีนะ ไม่ร้องแล้ว เสด็จแม่อยู่นี่”ตบหลังปลอบใจนางเบาๆทว่าลู่ฉินยิ่งร้องไห้หนักแล้ว“อุแว้!”อ้าปาก เสียงร้องไห้ดังเป็นพิเศษ น้ำตาร่วงเป็นเม็ดๆ ราวกับลูกปัดที่เชือกขาดแก้มทั้งสองข้างแดงก่ำ“อุแว้! ฮือๆ…”นางสะอึกสะอื้น นางกระสับกระส่ายจู่ๆ ก็มาถึงสภาพแวดล้อมที่ไม่รู้จัก รู้สึกไม่ปลอดภัย นางไม่อยากอยู่ที่นี่ นางอยากกลับไปหาท่านแม่“ไม่ร้อง เป็นเด็กดีนะ” ฉู่เจียวเจียวกล่อมนาง “เจ้าเป็นองค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวของแคว้นตงหลิง เรียกลมได้ลม เรียกฝนได้ฝน น้ำตาก็เหมือนกับเมล็ดถั่วทองคำ จะร้องไห้ส่งเดชได้อย่างไร?”“เจ้าเลิกร้องได้แล้ว เสด็จแม่ซื้อเครื่องประดับให้เจ้าสองชุด เป็นอย่างไร?”เฟิงเจิ้งลู่ฉิน “อุแว้!”นางกำนัลที่อยู่ข้างๆ “...”อยากพูดแต่ก็ลังเลเห็นได้ชัดว่าฉู่เจียวเจียวเลี้ยงลูกไม่เป็น ไม่มีประสบการณ์ และกล่อมไม่เป็น แม้แต่ท่าอุ้มของนางก็ดูแข็งมาก“ถ้ายังไม่พอ ซื้อบ้านในเมืองหลวงให้เจ้าสองหลัง? ถ้าหากเจ้ารู้สึกเหงา ข้าก็ให้ลูกๆ ของขุนนางเข้าวังมาเล่นกับเจ้า”ฉู่เจียวเจียวกล่อมนาง“วันนี้เป็นวันด