เฟิงเย่เสวียนค่อยๆ ยื่นมือขวาออกไป วางบนฝ่ามือนางฉู่เชียนหลีเหลือบมองแวบหนึ่ง “ไหน?”เฟิงเย่เสวียนเสียงเบา “นี่”ฉู่เชียนหลีจ้องมือเขาอย่างละเอียด มือข้างนั้นทั้งใหญ่ทั้งสวย ข้อต่อกระดูกชัดเจน เรียวยาวเหมือนข้อไม้ไผ่ ราวกับเป็นงานศิลปะที่ได้รับการแกะสลักอย่างพิถีพิถัน ประณีตจนสามารถมองเห็นขนอย่างชัดเจน สมบูรณ์แบบไร้ตำหนิใดๆ“ไหนละ?”“นี่”“...”เล่นท้ายปริศนากับนาง?พลันฉู่เชียนหลีถลนตา เฟิงเย่เสวียนเหมือนหนูที่เจอแมวทันที พลิกฝ่ามืออย่างเป็นเด็กดี หดนิ้วมือกลับสี่นิ้ว ยื่นนิ้วมือออกไปหนึ่งนิ้ว“ตรงนี้”ฉู่เชียนหลีจับนิ้วมือของเขา ดึงมาถึงตรงหน้า มองอย่างละเอียดใกล้ๆในที่สุดในที่สุด…ก็มองเห็นแล้วตรงขอบเล็บบนนิ้วมือของเฟิงเย่เสวียน จมูกเล็บถูกฉีกออกไปหนึ่งเส้น มีเลือดสีแดงเล็กน้อยผุดออกมานี่?แค่นี้?ฉู่เชียนหลีอุทาน “ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ เหตุใดเจ้าถึงเพิ่งบอกข้าตอนนี้?”เฟิงเย่เสวียนถูกเป็นห่วง เขาขยับเข้าใกล้ฉู่เชียนหลีเหมือนเด็ก ขอคำปลอบใจอย่างน้อยใจ“เชียนหลี เจ็บ”“บาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ไม่เจ็บได้หรือ?” ฉู่เชียนหลีถามกลับอย่างหน้านิ่ง “โชคดีที่เจ้าบอกข้
เขาแค่อยากกอดนาง อยู่กับนาง ใช้การกระทำของตนเอง เดินเข้าไปในใจนางทีละนิดขอแค่นางไม่พยักหน้า เขาก็จะไม่แตะต้องนางต่อให้นางขมวดคิ้วหนึ่งที เม้มปากหนึ่งครั้ง เขาก็จะเคารพนางอย่างเต็มที่วินาทีนี้ เฟิงเย่เสวียนอ่อนโยน มีความอดทน นิสัยดีมาก เหมือนกับยอดภูเขาน้ำแข็งที่ละลาย ความอ่อนโยนทั้งหมดมอบให้ฉู่เชียนหลีเพียงผู้เดียวภายในห้องที่มืดสลัว สองคนนอนหนึ่งเตียง เห็นได้ชัดว่าแออัดร่างกายของทั้งคู่ใกล้กันมาก และแนบติดกันแน่น ฝ่ามือของเขาวางอยู่บนเอวนาง สองมือของนางประหม่าเล็กน้อยไม่มีที่วางลมหายใจอุ่นๆ พ่นใส่หน้าอีกฝ่ายอุ่นร้อน…ทันใดนั้น ฉู่เชียนหลีรู้สึกร้อน อุณหภูมิบนแก้มพุ่งขึ้นสูง เหมือนกับนึ่งสุกแล้ว และยิ่งพลิกตัวอย่างอึดอัด“เวลา…เวลาข้านอนตอนกลางคืน โดยทั่วไปชอบนอนตะแคงซ้าย…”นางรีบหันหลังให้เฟิงเย่เสวียน ดึงผ้าห่มให้ต่ำลง ยื่นใบหน้าออกนอกผ้าห่ม ตากลมเย็นเพื่อคลายร้อนเหตุใดนางจึงพูดติดอ่าง?เวลานี้แม้แต่นางก็ไม่รู้สึกถึงความประหม่าของตนเองแต่วินาทีต่อมา ร่างกายของเฟิงเย่เสวียนแนบเข้ามา โอบกอดนางจากข้างหลังท่านี้ยิ่งใกล้ชิด!แขนยาวทั้งสองข้างกอดร่างเล็กๆ ของนางไว้
ที่แท้การยกนิ้วกลางก็หมายถึงการชื่นชมนี่เอง!หานเฟิงส่ายหน้าอย่างเขินอายเล็กน้อย “ได้รับการยอมรับจากนายท่าน เป็นคุณค่าสูงสุดในการดำรงอยู่ของข้าน้อย!”นับตั้งแต่ติดตามนายท่านมาหลายปี นายท่านเป็นคนเงียบขรึม สีหน้าเฉยชา น้อยมากที่จะกล่าวชื่นชมเขินอายยิ่ง~ไม่ว่าจะเป็นการจับท่านแม่ทัพใหญ่ของฝ่ายศัตรูมาเป็นเชลย ไม่ว่าจะเป็นได้รับชัยชนะจากการศึก ก็สีหน้าเรียบเฉยมาโดยตลอดฉู่เชียนหลีที่จ้องมองฉากนี้อยู่ไกลๆ “...”ราวกับว่านางไม่ควรสอนอะไรมั่วซั่ว...หานเฟิงถอยออกไป เฟิงเย่เสวียนก็ไปจัดการงานราชการ ฉู่เชียนหลีดื่มโจ๊กง่าย ๆ หนึ่งถ้วย แล้วจึงตามออกไปในศาลบรรดาชาวบ้านที่ร้องทุกข์มีประมาณสามสิบกว่าคน ยังมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยที่ยืนมุงดูอยู่ด้านนอกศาล บรรดาขุนนางที่ยืนตัวตรงแน่วทำให้สถานการณ์ดูน่าตกใจ ด้านบนเก้าอี้สูง เฟิงเย่เสวียนกำลังนั่งตัวตรง จัดการกิจธุระอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยคดีที่ถูกใส่ความ คดีที่ยังค้างอยู่ คดีเก่า...รับเอาไว้ทั้งหมด เพิ่มลงไปในบันทึก แล้วค่อยมอบหมายให้คนไปจัดการทีละเรื่องแม้ว่าคนจะมากมาย แต่ชายหนุ่มรับมือกับสถานการณ์อย่างสุขุม ประสิทธิภาพการทำงานยังสูง
คำพูดประโยคนี้ของเฟิงเย่เสวียนฟังดูดีเหลือเกิน พลางทำภารกิจที่ฝ่าบาททรงมอบหมายให้สำเร็จ ยังพลางพูดว่าทำเพื่อนาง แต่สิ่งที่น่าตลกก็คือคิดไม่ถึงว่านางจะเป็นห่วงเขาจนวิ่งแจ้นไปที่หุบเขาเพื่อตามหาเพียงลำพังน่าตลก!ชาวบ้านกำลังทำงาน ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนาง คิดไม่ถึงว่านางจะเป็นฝ่ายเข้าไปร่วมสมทบอย่างหน้าไม่อายก็ไม่รู้ว่าลับหลังนาง ชาวบ้านเขาจะมองนางเป็นตัวตลกขนาดไหนเฮอะ...เขาโกหกได้แนบเนียนจริง ๆ!ฉู่เชียนหลีฉีกริมฝีปากหัวเราะอย่างสมเพช ถอยไปด้านหลังสามก้าว ออกจากฝูงชนหันหลังกลับแล้วก็เดินออกไปด้านนอกจวน“พระชายาอ๋องเฉิน?”เฟิงเจิ้งหลีก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว อยากจะร้องเรียกนาง แต่ในมือกำลังถือสมุด ไม่สามารถปลีกตัวออกไปได้ จึงหยุดชะงักฝีเท้าเหมือนว่าเขาจะสังเกตได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของนางเหมือนว่านางไม่ค่อยดีใจสักเท่าไหร่?หรือว่าเขาพูดอะไรผิดไปหรือ?เมืองเซียงหนานบนท้องถนนตามตรอกซอกซอย ผู้คนพลุกพล่าน คึกคักเป็นอย่างยิ่งบรรดาชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมาต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ นานา“ท่านอ๋องเฉินช่างเป็นคนดีเสียจริง อาหวังที่ได้รับความไม่เป็นธรรมมาสิบปีในที่สุดก็ได้
ฉู่เชียนหลีกำลังเดินเล่นอยู่ในเมือง เป็นเวลาสองสามชั่วยาม พลบค่ำถึงกลับทันทีที่ก้าวเท้าเข้าจวนผู้ตรวจการ ก็เจอกับหานเฟิงที่ท่าทีร้อนรน“โอ้โฮ! ย่าน้อยของข้า นี่ท่านไปไหนมา?”ฉู่เชียนหลีสงสัย “มีธุระอะไร?”หานเฟิงตบหน้าขา “นายท่านรอกินอาหารเย็นกับท่าน รอมาเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว ก็ไม่เห็นท่านสักที ยังคิดว่าท่านเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วเสียอีก กำลังจะสั่งให้คนออกไปตามอยู่เลย”เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของฉู่เชียนหลีก็เย็นชาขึ้นไม่น้อยยกกระโปรงขึ้น ก้าวข้ามธรณีประตู“อ๋องเฉินมาถึงเมืองเซียงหนานแล้ว ใครจะไม่รู้? ตอนนี้ในเมืองแม้แต่หัวขโมยก็ยังไม่กล้าทำตัวอวดดี ใครจะกล้าแตะต้องข้า?”เมื่อเข้าจวน ก็สะบัดกระโปรง สาวเท้าเดินเข้าไปเหตุใดจู่ ๆ หานเฟิงจึงรู้สึกว่าน้ำเสียงของพระชายา...ถึงได้เหมือนถากถางอยู่หน่อย ๆ?เรือนที่ตกแต่งหรูหราฉู่เชียนหลีเข้าห้องก็เห็นเฟิงเย่เสวียนรีบลุกขึ้นยืน“กลับมาแล้วหรือ!”ชายหนุ่มรีบเดินไปหานาง “ไปไหนมา? เหตุใดจึงไม่บอกข้าก่อนสักคำ ปล่อยให้ข้าเป็นห่วงแทบแย่”เขายื่นมือออกไป ตอนที่กำลังจะจับมือของฉู่เชียนหลี ฉู่เชียนหลีกลับเอี้ยวตัวหลบ หลบออกไปอย่างเงียบ
ตอนกลางคืน ทั้งสองแยกเตียงกันหานเฟิงสืบการเดินทางช่วงกลางวันของพระชายา ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ นี่จึงทำให้เฟิงเย่เสวียนนั่งกลุ้มใจตลอดทั้งคืน คิดเรื่องที่ฉู่เชียนหลีโมโห แต่ก็คิดไม่ออกวันรุ่งขึ้นเช้าตรู่“นายท่าน แย่แล้ว! พระชายา พระชายาขี่ม้าเร็ว กลับ กลับเมืองหลวงแล้ว...”“เจ้าว่าอะไรนะ!”บนเก้าอี้ เฟิงเย่เสวียนลุกขึ้นมาทันทีหานเฟิงรีบรายงาน “เพิ่งไปเมื่อครู่นี้ นางกล่าวว่าการลาดตระเวนทางใต้เป็นพระบัญชาของฝ่าบาท นางอยู่ต่อไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ จึงกลับเมืองหลวง ไม่ว่าข้าน้อยจะรั้งอย่างไรก็รั้งไม่อยู่...”ยังไม่ทันพูดจบ เงาดำก็ปรากฏแวบหนึ่ง ชายหนุ่มก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยฉู่เชียนหลีกลับเมืองหลวงแล้ว ใช้เส้นทางลัด เดิน ๆ หยุด ๆ ตลอดทาง เป็นเวลาสามวันกว่าจะถึงแต่เมื่อกลับถึงเมืองหลวง จ้องมองบรรดาผู้คนที่พลุกพล่าน นางไม่อยากกลับจวนอ๋องเฉิน แล้วก็ไม่อยากกลับจวนอัครมหาเสนาบดีฉู่ ผืนดินกว้างใหญ่ไพศาล แต่กลับหาที่ให้ซุกหัวไม่เจอเดินไป เดินมา สุดท้าย ก็หยุดลงที่ด้านนอกโรงหมอประตูของโรงหมอเปิดอยู่ ด้านในมีคนไข้ห้าหกสิบคน คนของสำนักอู๋จี๋บ้างก็ทายา บ้างก็วินิจฉัยอาการ จิ่งอี้ยืนอยู
น้ำเสียงเย็นยะเยือกดึงดูดความสนใจของทุกคน หันหน้ากลับไปมองโดยไม่ได้นัดหมาย ก็เห็นหญิงสาวรูปโฉมงดงาม สวมชุดสีขาวค่อย ๆ เดินเข้ามาใบหน้านั้น..คิ้วราวกับไต้[footnoteRef:1] ดวงตาราวกับดวงดาว จมูกเชิดเล็กน้อย ริมฝีปากราวกับกลีบดอกท้อ ผิวพรรณที่นวลเนียนละเอียด ท่าทางที่บอบบาง เค้าโครงร่างที่งดงาม ไร้ซึ่งจุดบกพร่อง [1: 'กิ่งต้นหลิว' ที่ผ่านการเผาไหม้ก่อนจะมีการทำผงเขียนคิ้วหรือไต้] งามเหลือเกิน!งามราวกับเดินออกมาจากภาพวาดทุกคนเบิกดวงตากว้าง สายตามองตรงไปที่หญิงสาว จนลืมขยับตอนแรกจิ่งอี้ตกตะลึง จากนั้น ดวงตาสองประกายแวววาวลึกซึ้งสำนักอู๋จี๋ทุกคนต่างตกอยู่ในความตกตะลึงที่แท้ คุณหนูที่ไม่มีปานบนใบหน้า ไม่คิดว่ารูปโฉมที่แท้จริงของนางจะงดงามถึงเพียงนี้ งามเสียจนทำให้สตรีทุกนางรู้สึกละอายใจอีกฝ่ายรีบร้อนหยิบเงิน กลับไม่ได้มีเวลาชื่นชมความงามของหญิงสาว ในทางกลับกันยังมีความริษยาอีกด้วย“เจ้าเป็นใคร!”นางจะเอาเงิน เกี่ยวอะไรกับหญิงสาวด้วย?ฉู่เชียนหลีเดินเข้ามาอย่างไม่รีบไม่ร้อน เดินอ้อมหญิงสาวสองสามีภรรยาไป สำรวจทั้งสองคนอย่างไม่ตั้งใจฝีเท้าที่อ่อนช้อยหยุดลงยืนอยู่ด้านหลัง
หากเรื่องไปถึงทางการ พวกเขาสองผัวเมียจะต้องถูกจับ ต้องเข้าคุกแน่ ก็คือคนชั้นต่ำของหมู่บ้าน คงจะไม่มีหน้ามีชีวิตอยู่ต่อไปนางไม่กล้าเอะอะโวยวายอีก แล้วก็ไม่มีมาดอันโอหังแบบก่อนหน้านี้แล้ว คุกเข่าลงไปบนพื้นร้องไห้อย่างโศกเศร้ากล่าว“แม่นาง ข้าไม่ได้เจตนาจะทำเช่นนี้ ข้าหมดหนทางแล้ว...ข้าติดหนี้พนันอยู่หนึ่งร้อยตำลึง ถ้าหากไม่คืนวันนี้ตอนเช้าละก็ ก็ ก็จะเอาชีวิตของข้าไปขัดดอก...”หมอบลงบนพื้นร้องห่มร้องไห้ กำปั้นทุบพื้น กล่าวอย่างเสียใจ“ข้าไม่ได้เจตนาจริง ๆ!”ถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะถูกบังคับอย่างจนใจ ก็ไม่มีทางใช้วิธีสมเพชเช่นนี้อย่างเด็ดขาดหลังจากพวกชาวบ้านเข้าใจความเป็นมาของเรื่องราวแล้ว ต่างพากันใช้สายตาดูถูก เหยียดหยามมองมานี่มันช่างไร้ยางอายเหลือเกิน!ขู่กรรโชกเอาเงิน หนึ่งร้อยตำลึงไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ๆ ตามกฎหมายแล้ว ต้องเข้าไปอยู่ในคุกถึงสามปี!สองผัวเมียคุกเข่าอยู่บนพื้น ร้องไห้ขอร้องให้ไม่เอาเรื่องจางเฟยโมโหมาก “โตมาจนป่านนี้เป็นครั้งแรกที่มีคนมาขู่กรรโชกเอาเงินข้าเช่นนี้!”ฉู่เชียนหลีกลับเอ่ยปากขึ้นทันใด“จางเฟย เอาตั๋วเงินให้นาง”จางเฟยตะลึงงัน “?”อีกฝ่ายตะลึงงัน