คำพูดประโยคนี้ของเฟิงเย่เสวียนฟังดูดีเหลือเกิน พลางทำภารกิจที่ฝ่าบาททรงมอบหมายให้สำเร็จ ยังพลางพูดว่าทำเพื่อนาง แต่สิ่งที่น่าตลกก็คือคิดไม่ถึงว่านางจะเป็นห่วงเขาจนวิ่งแจ้นไปที่หุบเขาเพื่อตามหาเพียงลำพังน่าตลก!ชาวบ้านกำลังทำงาน ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนาง คิดไม่ถึงว่านางจะเป็นฝ่ายเข้าไปร่วมสมทบอย่างหน้าไม่อายก็ไม่รู้ว่าลับหลังนาง ชาวบ้านเขาจะมองนางเป็นตัวตลกขนาดไหนเฮอะ...เขาโกหกได้แนบเนียนจริง ๆ!ฉู่เชียนหลีฉีกริมฝีปากหัวเราะอย่างสมเพช ถอยไปด้านหลังสามก้าว ออกจากฝูงชนหันหลังกลับแล้วก็เดินออกไปด้านนอกจวน“พระชายาอ๋องเฉิน?”เฟิงเจิ้งหลีก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว อยากจะร้องเรียกนาง แต่ในมือกำลังถือสมุด ไม่สามารถปลีกตัวออกไปได้ จึงหยุดชะงักฝีเท้าเหมือนว่าเขาจะสังเกตได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของนางเหมือนว่านางไม่ค่อยดีใจสักเท่าไหร่?หรือว่าเขาพูดอะไรผิดไปหรือ?เมืองเซียงหนานบนท้องถนนตามตรอกซอกซอย ผู้คนพลุกพล่าน คึกคักเป็นอย่างยิ่งบรรดาชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมาต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ นานา“ท่านอ๋องเฉินช่างเป็นคนดีเสียจริง อาหวังที่ได้รับความไม่เป็นธรรมมาสิบปีในที่สุดก็ได้
ฉู่เชียนหลีกำลังเดินเล่นอยู่ในเมือง เป็นเวลาสองสามชั่วยาม พลบค่ำถึงกลับทันทีที่ก้าวเท้าเข้าจวนผู้ตรวจการ ก็เจอกับหานเฟิงที่ท่าทีร้อนรน“โอ้โฮ! ย่าน้อยของข้า นี่ท่านไปไหนมา?”ฉู่เชียนหลีสงสัย “มีธุระอะไร?”หานเฟิงตบหน้าขา “นายท่านรอกินอาหารเย็นกับท่าน รอมาเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว ก็ไม่เห็นท่านสักที ยังคิดว่าท่านเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วเสียอีก กำลังจะสั่งให้คนออกไปตามอยู่เลย”เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของฉู่เชียนหลีก็เย็นชาขึ้นไม่น้อยยกกระโปรงขึ้น ก้าวข้ามธรณีประตู“อ๋องเฉินมาถึงเมืองเซียงหนานแล้ว ใครจะไม่รู้? ตอนนี้ในเมืองแม้แต่หัวขโมยก็ยังไม่กล้าทำตัวอวดดี ใครจะกล้าแตะต้องข้า?”เมื่อเข้าจวน ก็สะบัดกระโปรง สาวเท้าเดินเข้าไปเหตุใดจู่ ๆ หานเฟิงจึงรู้สึกว่าน้ำเสียงของพระชายา...ถึงได้เหมือนถากถางอยู่หน่อย ๆ?เรือนที่ตกแต่งหรูหราฉู่เชียนหลีเข้าห้องก็เห็นเฟิงเย่เสวียนรีบลุกขึ้นยืน“กลับมาแล้วหรือ!”ชายหนุ่มรีบเดินไปหานาง “ไปไหนมา? เหตุใดจึงไม่บอกข้าก่อนสักคำ ปล่อยให้ข้าเป็นห่วงแทบแย่”เขายื่นมือออกไป ตอนที่กำลังจะจับมือของฉู่เชียนหลี ฉู่เชียนหลีกลับเอี้ยวตัวหลบ หลบออกไปอย่างเงียบ
ตอนกลางคืน ทั้งสองแยกเตียงกันหานเฟิงสืบการเดินทางช่วงกลางวันของพระชายา ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ นี่จึงทำให้เฟิงเย่เสวียนนั่งกลุ้มใจตลอดทั้งคืน คิดเรื่องที่ฉู่เชียนหลีโมโห แต่ก็คิดไม่ออกวันรุ่งขึ้นเช้าตรู่“นายท่าน แย่แล้ว! พระชายา พระชายาขี่ม้าเร็ว กลับ กลับเมืองหลวงแล้ว...”“เจ้าว่าอะไรนะ!”บนเก้าอี้ เฟิงเย่เสวียนลุกขึ้นมาทันทีหานเฟิงรีบรายงาน “เพิ่งไปเมื่อครู่นี้ นางกล่าวว่าการลาดตระเวนทางใต้เป็นพระบัญชาของฝ่าบาท นางอยู่ต่อไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ จึงกลับเมืองหลวง ไม่ว่าข้าน้อยจะรั้งอย่างไรก็รั้งไม่อยู่...”ยังไม่ทันพูดจบ เงาดำก็ปรากฏแวบหนึ่ง ชายหนุ่มก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยฉู่เชียนหลีกลับเมืองหลวงแล้ว ใช้เส้นทางลัด เดิน ๆ หยุด ๆ ตลอดทาง เป็นเวลาสามวันกว่าจะถึงแต่เมื่อกลับถึงเมืองหลวง จ้องมองบรรดาผู้คนที่พลุกพล่าน นางไม่อยากกลับจวนอ๋องเฉิน แล้วก็ไม่อยากกลับจวนอัครมหาเสนาบดีฉู่ ผืนดินกว้างใหญ่ไพศาล แต่กลับหาที่ให้ซุกหัวไม่เจอเดินไป เดินมา สุดท้าย ก็หยุดลงที่ด้านนอกโรงหมอประตูของโรงหมอเปิดอยู่ ด้านในมีคนไข้ห้าหกสิบคน คนของสำนักอู๋จี๋บ้างก็ทายา บ้างก็วินิจฉัยอาการ จิ่งอี้ยืนอยู
น้ำเสียงเย็นยะเยือกดึงดูดความสนใจของทุกคน หันหน้ากลับไปมองโดยไม่ได้นัดหมาย ก็เห็นหญิงสาวรูปโฉมงดงาม สวมชุดสีขาวค่อย ๆ เดินเข้ามาใบหน้านั้น..คิ้วราวกับไต้[footnoteRef:1] ดวงตาราวกับดวงดาว จมูกเชิดเล็กน้อย ริมฝีปากราวกับกลีบดอกท้อ ผิวพรรณที่นวลเนียนละเอียด ท่าทางที่บอบบาง เค้าโครงร่างที่งดงาม ไร้ซึ่งจุดบกพร่อง [1: 'กิ่งต้นหลิว' ที่ผ่านการเผาไหม้ก่อนจะมีการทำผงเขียนคิ้วหรือไต้] งามเหลือเกิน!งามราวกับเดินออกมาจากภาพวาดทุกคนเบิกดวงตากว้าง สายตามองตรงไปที่หญิงสาว จนลืมขยับตอนแรกจิ่งอี้ตกตะลึง จากนั้น ดวงตาสองประกายแวววาวลึกซึ้งสำนักอู๋จี๋ทุกคนต่างตกอยู่ในความตกตะลึงที่แท้ คุณหนูที่ไม่มีปานบนใบหน้า ไม่คิดว่ารูปโฉมที่แท้จริงของนางจะงดงามถึงเพียงนี้ งามเสียจนทำให้สตรีทุกนางรู้สึกละอายใจอีกฝ่ายรีบร้อนหยิบเงิน กลับไม่ได้มีเวลาชื่นชมความงามของหญิงสาว ในทางกลับกันยังมีความริษยาอีกด้วย“เจ้าเป็นใคร!”นางจะเอาเงิน เกี่ยวอะไรกับหญิงสาวด้วย?ฉู่เชียนหลีเดินเข้ามาอย่างไม่รีบไม่ร้อน เดินอ้อมหญิงสาวสองสามีภรรยาไป สำรวจทั้งสองคนอย่างไม่ตั้งใจฝีเท้าที่อ่อนช้อยหยุดลงยืนอยู่ด้านหลัง
หากเรื่องไปถึงทางการ พวกเขาสองผัวเมียจะต้องถูกจับ ต้องเข้าคุกแน่ ก็คือคนชั้นต่ำของหมู่บ้าน คงจะไม่มีหน้ามีชีวิตอยู่ต่อไปนางไม่กล้าเอะอะโวยวายอีก แล้วก็ไม่มีมาดอันโอหังแบบก่อนหน้านี้แล้ว คุกเข่าลงไปบนพื้นร้องไห้อย่างโศกเศร้ากล่าว“แม่นาง ข้าไม่ได้เจตนาจะทำเช่นนี้ ข้าหมดหนทางแล้ว...ข้าติดหนี้พนันอยู่หนึ่งร้อยตำลึง ถ้าหากไม่คืนวันนี้ตอนเช้าละก็ ก็ ก็จะเอาชีวิตของข้าไปขัดดอก...”หมอบลงบนพื้นร้องห่มร้องไห้ กำปั้นทุบพื้น กล่าวอย่างเสียใจ“ข้าไม่ได้เจตนาจริง ๆ!”ถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะถูกบังคับอย่างจนใจ ก็ไม่มีทางใช้วิธีสมเพชเช่นนี้อย่างเด็ดขาดหลังจากพวกชาวบ้านเข้าใจความเป็นมาของเรื่องราวแล้ว ต่างพากันใช้สายตาดูถูก เหยียดหยามมองมานี่มันช่างไร้ยางอายเหลือเกิน!ขู่กรรโชกเอาเงิน หนึ่งร้อยตำลึงไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ๆ ตามกฎหมายแล้ว ต้องเข้าไปอยู่ในคุกถึงสามปี!สองผัวเมียคุกเข่าอยู่บนพื้น ร้องไห้ขอร้องให้ไม่เอาเรื่องจางเฟยโมโหมาก “โตมาจนป่านนี้เป็นครั้งแรกที่มีคนมาขู่กรรโชกเอาเงินข้าเช่นนี้!”ฉู่เชียนหลีกลับเอ่ยปากขึ้นทันใด“จางเฟย เอาตั๋วเงินให้นาง”จางเฟยตะลึงงัน “?”อีกฝ่ายตะลึงงัน
ฉู่เชียนหลียกมือขึ้น ปิดแก้มเอาไว้ หัวเราะบาง ๆ “รูปโฉมล้วนเป็นสิ่งที่บิดามารดาให้มา สวยก็ดี อัปลักษณ์ก็ช่าง แต่อย่างไรก็ไม่ควรกลายเป็นสิ่งที่ใช้ตัดสินคนคนหนึ่ง”คนคนหนึ่งหน้าตาสวยงาม ก็ชมนาง ชอบนาง เข้าใกล้นางคนหนึ่งอัปลักษณ์ ก็รังแกนาง ลดคุณค่าของนาง เหยียบย่ำนางสายตาที่มองคนไม่ควรมองอย่างผิวเผินเช่นนี้ แทนที่จะมองกันด้วยรูปโฉม สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือจิตวิญญาณที่น่าสนใจ ระดับความรู้ความสามารถของตน ข้อดีในตัวเองจิ่งอี้ได้รับการสั่งสอน “ทุกคนมักกล่าวกันว่าคุณหนูสี่แห่งตระกูลฉู่...”ชื่อเสียฉาวโฉ่พวกนั้นไม่พูดดีกว่า“มีเพียงตอนที่ใกล้ชิดคนคนหนึ่งเท่านั้น จึงจะเข้าใจคนนั้น จิ่งอี้ อย่าได้เข้าใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งจากปากของคนอื่นอย่างเด็ดขาด” ฉู่เชียนหลีปิดสมุดบัญชีลงเหลือบตาขึ้นมองเขา กล่าวอย่างจริงจัง “เจ้าทำบัญชีได้ดีมาก ข้ามองออกว่า เจ้าเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่น แต่กลับอยู่ภายในโรงหมอเล็ก ๆ แห่งนี้ของข้า ไม่รู้สึกน้อยใจสักนิดเชียวหรือ...”“คุณหนู!”จิ่งอี้สังเกตเห็นว่านางกำลังจะพูดต่อ จึงเอ่ยวาจาตัดบทนางน้ำเสียงแข็งกร้าวและไม่พอใจ“ถ้าหากท่านพูดจาโง่ ๆ อีก ข้า...
สายตาของเฟิงเย่เสวียนเคร่งขรึม จ้องมองใบหน้างามที่อยู่ตรงหน้าอย่างล้ำลึก กล่าวถามเสียงขรึม“ขอถามแม่นาง พวกเราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนใช่หรือไม่?”ลางสังหรณ์ของเขาไม่เคยผิดพลาดต้องเคยเจอกันแน่นอน!ฉู่เชียนหลีหลุบตาลง รีบสะกดความประหลาดใจในดวงตาลงไปอย่างรวดเร็ว จงใจดัดเสียง เอ่ยปากพูด“บุรุษมักจะชวนคุยเช่นนี้ เมื่อเจอสตรีหน้าตางดงาม”ไม่ได้พูดอะไรอีก ก็ก้มหน้าก้มตาเก็บห่อยาเฟิงเย่เสวียนได้ฟังประโยคนี้ ก็เลิกคิ้วเล็กน้อยปฏิเสธไม่ได้ นางงามมากจริง ๆ พูดจาก็เหน็บแนมมากเช่นกัน แต่ว่าตอนนี้เขามีเรื่องเร่งด่วนอยู่ ไม่มีเวลาคุยกับนางต่อรีบเก็บถุงยาทั้งหมดขึ้นมาแล้วคืนให้นาง “ขอถามชื่อของแม่นาง?”ฉู่เชียนหลีคว้าเอาถุงยา ไม่อยากจะพูดกับเขาต่อแม้แต่ประโยคเดียว“เด็กกำพร้า ไม่มีชื่อ!”พูดจบ หันหลังกลับแล้วก็เดินจากไปแหวกฝูงชน เดินไปอย่างรวดเร็วเฟิงเย่เสวียนยืนอยู่กับที่ จ้องมองแผ่นหลังของหญิงสาวที่ถูกฝูงชนบดบัง จนกระทั่งลับสายตา ถึงได้เรียกคืนสายตาในเวลานี้ บริเวณไม่ไกลนัก หานเฟิงวิ่งเข้ามา“นายท่าน ทหารองครักษ์เงาได้กระจายตัวไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว ทันทีที่พระชายาปรากฏตัว ก็จะ
เป็นร้านเสื้อผ้าร้านหนึ่ง ภายในร้านจัดวางไปด้วยผ้าแพรผ้าต่วนมากมาย รวมทั้งเสื้อผ้าที่ตัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากเรื่องปิดถนน ทุกคนต่างก้าวเข้ามามุงดูฉู่เชียนหลีมุดหัวเข้าไปทันที จากนั้นก็ฉวยหยิบเสื้อผ้าตัวหนึ่งวิ่งขึ้นไปทางชั้นสอง“เสื้อผ้าตัวนี้ ข้าขอซื้อ”เจ้าของร้านอึ้งไปทันที “เอ่อ ท่าน...”ปัง...ยังไม่ทันพูดจบ เงินก้อนหนึ่งก็ถูกโยนลงไปบนโต๊ะ แม้แต่หน้าตาของหญิงสาวก็ยังไม่ทันเห็นชัดเจน หญิงสาวก็หายตัวไปบริเวณหัวมุมของชั้นสองชั้นสอง เป็นห้องส่วนตัวเล็ก ๆ ที่แยกอิสระ เป็นห้องสำหรับพักผ่อนของแขก และลองเสื้อผ้าโดยเฉพาะทันทีที่ขาของฉู่เชียนหลีก้าวเข้าไปในห้องส่วนตัว จากนั้น ก็เห็นทหารองครักษ์เงาวิ่งเจ้ามาในร้านเสื้อผ้า“มีคำสั่งให้ตรวจค้น!”เสียงฝีเท้าที่วุ่นวายวิ่งตรงขึ้นมาที่ชั้นสอง ประตูห้องส่วนตัวแต่ละห้องถูกผลักออกปัง!ทันทีที่หานเฟิงผลักประตูห้องส่วนตัวห้องสุดท้ายออก เงยหน้าไปก็เห็นรูปร่างที่เพรียวบาง นั่งหันหลังให้เขาเงาที่สะท้อนอยู่ภายในใจกระจกสัมฤทธิ์ ก็คือใบหน้าที่คุ้นเคยจนไม่รู้จะคุ้นเคยอย่างไร“พระชายา!”ที่แท้ก็อยู่ที่นี่!ฉู่เชียนหลีหันหน้ากลับมาอย่า