ฉู่เชียนหลียกมือขึ้น ปิดแก้มเอาไว้ หัวเราะบาง ๆ “รูปโฉมล้วนเป็นสิ่งที่บิดามารดาให้มา สวยก็ดี อัปลักษณ์ก็ช่าง แต่อย่างไรก็ไม่ควรกลายเป็นสิ่งที่ใช้ตัดสินคนคนหนึ่ง”คนคนหนึ่งหน้าตาสวยงาม ก็ชมนาง ชอบนาง เข้าใกล้นางคนหนึ่งอัปลักษณ์ ก็รังแกนาง ลดคุณค่าของนาง เหยียบย่ำนางสายตาที่มองคนไม่ควรมองอย่างผิวเผินเช่นนี้ แทนที่จะมองกันด้วยรูปโฉม สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือจิตวิญญาณที่น่าสนใจ ระดับความรู้ความสามารถของตน ข้อดีในตัวเองจิ่งอี้ได้รับการสั่งสอน “ทุกคนมักกล่าวกันว่าคุณหนูสี่แห่งตระกูลฉู่...”ชื่อเสียฉาวโฉ่พวกนั้นไม่พูดดีกว่า“มีเพียงตอนที่ใกล้ชิดคนคนหนึ่งเท่านั้น จึงจะเข้าใจคนนั้น จิ่งอี้ อย่าได้เข้าใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งจากปากของคนอื่นอย่างเด็ดขาด” ฉู่เชียนหลีปิดสมุดบัญชีลงเหลือบตาขึ้นมองเขา กล่าวอย่างจริงจัง “เจ้าทำบัญชีได้ดีมาก ข้ามองออกว่า เจ้าเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่น แต่กลับอยู่ภายในโรงหมอเล็ก ๆ แห่งนี้ของข้า ไม่รู้สึกน้อยใจสักนิดเชียวหรือ...”“คุณหนู!”จิ่งอี้สังเกตเห็นว่านางกำลังจะพูดต่อ จึงเอ่ยวาจาตัดบทนางน้ำเสียงแข็งกร้าวและไม่พอใจ“ถ้าหากท่านพูดจาโง่ ๆ อีก ข้า...
สายตาของเฟิงเย่เสวียนเคร่งขรึม จ้องมองใบหน้างามที่อยู่ตรงหน้าอย่างล้ำลึก กล่าวถามเสียงขรึม“ขอถามแม่นาง พวกเราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนใช่หรือไม่?”ลางสังหรณ์ของเขาไม่เคยผิดพลาดต้องเคยเจอกันแน่นอน!ฉู่เชียนหลีหลุบตาลง รีบสะกดความประหลาดใจในดวงตาลงไปอย่างรวดเร็ว จงใจดัดเสียง เอ่ยปากพูด“บุรุษมักจะชวนคุยเช่นนี้ เมื่อเจอสตรีหน้าตางดงาม”ไม่ได้พูดอะไรอีก ก็ก้มหน้าก้มตาเก็บห่อยาเฟิงเย่เสวียนได้ฟังประโยคนี้ ก็เลิกคิ้วเล็กน้อยปฏิเสธไม่ได้ นางงามมากจริง ๆ พูดจาก็เหน็บแนมมากเช่นกัน แต่ว่าตอนนี้เขามีเรื่องเร่งด่วนอยู่ ไม่มีเวลาคุยกับนางต่อรีบเก็บถุงยาทั้งหมดขึ้นมาแล้วคืนให้นาง “ขอถามชื่อของแม่นาง?”ฉู่เชียนหลีคว้าเอาถุงยา ไม่อยากจะพูดกับเขาต่อแม้แต่ประโยคเดียว“เด็กกำพร้า ไม่มีชื่อ!”พูดจบ หันหลังกลับแล้วก็เดินจากไปแหวกฝูงชน เดินไปอย่างรวดเร็วเฟิงเย่เสวียนยืนอยู่กับที่ จ้องมองแผ่นหลังของหญิงสาวที่ถูกฝูงชนบดบัง จนกระทั่งลับสายตา ถึงได้เรียกคืนสายตาในเวลานี้ บริเวณไม่ไกลนัก หานเฟิงวิ่งเข้ามา“นายท่าน ทหารองครักษ์เงาได้กระจายตัวไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว ทันทีที่พระชายาปรากฏตัว ก็จะ
เป็นร้านเสื้อผ้าร้านหนึ่ง ภายในร้านจัดวางไปด้วยผ้าแพรผ้าต่วนมากมาย รวมทั้งเสื้อผ้าที่ตัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากเรื่องปิดถนน ทุกคนต่างก้าวเข้ามามุงดูฉู่เชียนหลีมุดหัวเข้าไปทันที จากนั้นก็ฉวยหยิบเสื้อผ้าตัวหนึ่งวิ่งขึ้นไปทางชั้นสอง“เสื้อผ้าตัวนี้ ข้าขอซื้อ”เจ้าของร้านอึ้งไปทันที “เอ่อ ท่าน...”ปัง...ยังไม่ทันพูดจบ เงินก้อนหนึ่งก็ถูกโยนลงไปบนโต๊ะ แม้แต่หน้าตาของหญิงสาวก็ยังไม่ทันเห็นชัดเจน หญิงสาวก็หายตัวไปบริเวณหัวมุมของชั้นสองชั้นสอง เป็นห้องส่วนตัวเล็ก ๆ ที่แยกอิสระ เป็นห้องสำหรับพักผ่อนของแขก และลองเสื้อผ้าโดยเฉพาะทันทีที่ขาของฉู่เชียนหลีก้าวเข้าไปในห้องส่วนตัว จากนั้น ก็เห็นทหารองครักษ์เงาวิ่งเจ้ามาในร้านเสื้อผ้า“มีคำสั่งให้ตรวจค้น!”เสียงฝีเท้าที่วุ่นวายวิ่งตรงขึ้นมาที่ชั้นสอง ประตูห้องส่วนตัวแต่ละห้องถูกผลักออกปัง!ทันทีที่หานเฟิงผลักประตูห้องส่วนตัวห้องสุดท้ายออก เงยหน้าไปก็เห็นรูปร่างที่เพรียวบาง นั่งหันหลังให้เขาเงาที่สะท้อนอยู่ภายในใจกระจกสัมฤทธิ์ ก็คือใบหน้าที่คุ้นเคยจนไม่รู้จะคุ้นเคยอย่างไร“พระชายา!”ที่แท้ก็อยู่ที่นี่!ฉู่เชียนหลีหันหน้ากลับมาอย่า
ไม่เคยมีใครกล้าดูถูกเขา และมองข้ามเขาเช่นนี้มาก่อนไม่มีเคยมีใครทำเช่นนี้!“ข้าไม่ได้เรียกท่านให้รีบกลับมาเสียหน่อย ข้าเรียกท่านกลับมางั้นหรือ?” มือทั้งสองข้างฉู่เชียนหลีออกแรงผลักแผ่นอกของเขาออก ถอยหลังได้ก็จะวิ่งหนี“ฉู่เชียนหลี!”เฟิงเย่เสวียนจับหัวไหล่เอาไว้ พยายามกดนางกลับลงไปบนเก้าอี้“ในใจของข้ามีเจ้า ถึงได้เป็นห่วงเจ้า อย่าท้าทายความอดทนของข้า!” เขามองลงต่ำ น้ำเสียงเคร่งขรึมมาก ราวกับว่าเพียงแค่ฉู่เชียนหลีพูดอีกแม้แต่ประโยคเดียว เขาก็จะระเบิดอารมณ์ฉู่เชียนหลีราวกับได้ยินเรื่องตลกอะไรในใจของเขามีนาง?นอกจากตัวนางเองแล้ว ก็ไม่เชื่อใครหน้าไหนทั้งนั้นไม่ว่าเขาจะรักนางก็ดี จะวางแผนร้ายต่อนางก็ดี เธอไม่สนใจ มองทุกอย่างออกหมดแล้ว“ข้าเพียงแค่ทำเรื่องที่อยากทำเท่านั้นเอง ท่านจะมาโมโหใส่ข้าทำไม? หรือว่าข้าเดินกี่ก้าว กินข้าวกี่คำ ทำอะไร ดูอะไร หายใจกี่ครั้ง ต้องรายงานให้ท่านทราบทุกอย่าง?”“ข้ากำลังพูดถึงเรื่องที่เจ้ากลับมาจากเมืองเซียงหนานตามลำพัง!”อย่าพูดเรื่องที่เหลวไหลพวกนี้“เจ้าไม่แม้แต่จะบอกกล่าวก็กลับมา เจ้าเห็นข้าเป็นอะไร? ไม่รู้ว่าข้าจะเป็นห่วงหรือ?” ชายหนุ่มซั
เฟิงเย่เสวียน “ห้ามพูดคำหยาบ ข้าพูดกับเจ้า จำได้แล้วหรือไม่?”“...”คนที่ทำเรื่องเลวทรามเห็นชัด ๆ ว่าเป็นเขา เขายังมีหน้ามาทำท่าทางสั่งสอนนางอีกประสาท!การหัวเราะครั้งนี้ หัวเราะจนนางลืมความโมโหไปจนหมดสิ้นอันที่จริง เขาได้รับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้ไปเมืองเซียงหนานเพื่อตามหาตัวหมอผีอวี๋เจวี๋ยจื่อ เป็นนางเองที่ทำเกินไป ถึงได้โมโห นางโมโหที่ตัวเองรู้สึกซาบซึ้งใจมากเกินไป เชื่อใจง่ายเกินไปกลับมาหลายวันนี้ นางคิดตกแล้วว่าจะไม่มีทางเชื่อคำใครง่าย ๆ อีกแต่ว่า การกระทำเมื่อครู่นี้ของเขาดูตลกจริง ๆ ฉู่เชียนหลีหัวเราะจนแทบลุกไม่ขึ้น “อยู่ดี ๆ ท่านไปตีคนอื่นทำไม ท่านเป็นบ้าหรือ ถ้าหากหากเป็นองครักษ์คนนั้นละก็ ข้าคงพุ่งเข้าหาท่านแล้วจะ...”“หืม?”เสียงพูดที่ยิ่งเบาลงเรื่อย ๆ สายตาของชายหนุ่มที่หรี่เล็กลงก็ยิ่งอันตรายขึ้นเรื่อย ๆ เสียงคำว่า ‘หืม’ ที่แฝงไปด้วยการตักเตือนออกมาจากลำคอ หางเสียงลากยาว ราวกับกำลังถือดาบเล่มใหญ่ที่ไร้รูปร่างเล่มหนึ่ง วางพาดที่บนลำคอของฉู่เชียนหลีฉู่เชียนหลี “...”ยังข่มขู่นางอีกผู้ชายสารเลว!เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ก่อนหน้านี้ข้าไปร้านขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปร
ผู้ชายเชื่อฟัง รู้ความ ในเวลาเดียวกันก็ลึกซึ้งเสียจนหัวใจของฝ่าบาท ยิ่งรู้สึกละลายใจยิ่งกว่าเดิมวางฎีกาในมือลง ถอนหายใจ เรื่องที่ผ่านไปแล้วเอ่ยอีกก็ไม่มีประโยชน์ เด็กคนนี้เฉลียวฉลาด หวังแค่เพียงในใจของเขาไม่ได้เกลียดเขาจริง ๆ เป็นการเชื่อฟังอย่างแท้จริงฝ่าบาทพุ่งเป้าไปที่เรื่องของการลาดตระเวนทางใต้ ได้ทำข้อสรุป หลังจากชมทั้งสองคน ก็เอ่ยเรื่องที่เป็นห่วงขึ้น“ตามหาตัวหมอผีอวี๋เจวี๋ยจื่อเจอหรือไม่?”เฟิงเย่เสวียนกล่าว “เขาเสียชีวิตแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เขาไม่พูดให้มากความ เพียงแค่พูดสั้น ๆ ไม่กี่ประโยคเท่านั้นหลังพูดจบ เขาเดินไปที่ข้างกายของฝ่าบาท กระซิบที่ข้างหูไม่กี่ประโยค...ดวงตาของฝ่าบาทเคร่งขรึม ไม่ได้พูดอะไรมาก โบกมือ คนทั้งสองก็ถอยออกไปหลังจากที่เขาจัดการเรื่องการลาดตระเวนทางใต้เรียบร้อย การนั่งเอนหลังพิงพนักอย่างสบายเมื่อครู่ ก็มีเสียงไออู้อี้ดังขึ้น“แค่ก แค่ก ๆ !”“ฝ่าบาท” หัวหน้าขันทีที่รีบยกน้ำชาร้อนถ้วยหนึ่งมาถวาย วางไว้ใกล้มือของฮ่องเต้ แล้วเดินมาที่ด้านหลังเขา ช่วยตบที่แผ่นหลังของเขาเบา ๆ เพื่อผ่อนคลายอาการฝ่าบาทไอติดต่อกันอีกหลายครั้ง ถึงอาการดีขึ้น สีหน้าดูซีดข
จวนอัครมหาเสนาบดีฉู่วันนี้เป็นวันมงคล สินสอดทองหมั้นของจวนอ๋องหลีส่งมาถึงแล้ว~ถึงแม้ว่าอ๋องหลีจะไม่ได้รับความโปรดปรานตั้งแต่เด็ก แต่ขนาดของสินสอดทองหมั้นถือว่าจัดได้อย่างเคร่งครัด จำนวนเท่ากันกับตอนที่องค์ชายองค์อื่นสมรสบรรดาคนรับใช้กำลังวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบา“คนหนึ่งเป็นคุณหนูที่เกิดจากอนุ คนหนึ่งเป็นท่านอ๋องที่ไม่ได้รับความโปรดปราน ทั้งสองคนช่างเหมาะสมกันเสียเหลือเกิน”“ถูกต้อง ข้าสามารถจินตนาการได้เลยว่า หลังจากที่คุณหนูสามแต่งงานออกไป อยู่ด้วยกันกับอ๋องหลี เฝ้าเรือนหลังใหญ่หลังนั้นของจวนอ๋อง อยู่โดดเดี่ยวไปจนแก่”“พรืด...”พวกคนรับใช้แอบหัวเราะ ทันใดนั้น น้ำเสียงเย็นยะเยือกก็ดังลอดเข้ามา“กำลังวิพากษ์วิจารณ์อะไรกันอยู่หรือ!”คนรับใช้พวกนั้นเงยหน้ามองด้วยจิตใต้สำนึก ตกใจจนสั่นเทาไปทั้งตัว แต่ละคนรีบหุบปากสนิท ไม่กล้าพูดมากอีกแม้แต่คำเดียวฉู่เจียวเจียวเดินเข้ามาด้วยใบหน้าบึ้งตึง กวาดสายตามองทุกคนอย่างเย็นชา“พวกสารเลวเช่นพวกเจ้าชอบนินทาลับหลัง ในเมื่อชอบพูดนัก เช่นนั้นข้าจะให้พวกเจ้าได้พูดเสียจนพอใจ”“ใครก็ได้ ตัดลิ้นของพวกมันทิ้งแล้วเอาไปให้หมากิน!”คนรับใช้ทั้งสี่
ตบไม่ได้หากลงไม้ลงมือไป ถึงเวลา ตอนที่ฝ่าบาทเข้าร่วมงานแต่งงานของอ๋องหลีแล้วทรงทอดพระเนตรเห็นละก็...แต่ถ้าไม่ตบ ความโมโหภายในใจของนางก็ไม่สามารถหายไปได้โมโหจะตายอยู่แล้ว!“คุณหนูสาม พระชายาอ๋องเฉินมาแล้ว ตอนนี้อยู่กับฮูหยินอัน” เวลานี้ เด็กรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามารายงานฉู่เจียวเจียวเลิกคิ้วทีหนึ่ง ยกมือขึ้นอย่างสง่างาม“น้องสาวคนนี้ของข้ากลับมาแล้ว ไปกันเถอะ”สาวใช้ประคองนางพลางเดินออกไป พลางถอนหายใจอย่างไม่ตั้งใจ“เฮ้อ ชีวิตของคนเราช่างไม่แน่นอนเสียจริง พวกเราสองพี่น้องเป็นลูกอนุ แต่กลับได้เป็นถึงพระชายา นี่เกรงว่าจะเป็นเพราะเกิดมาพร้อมกับบุญวาสนา”ฉู่ซวง “!”คำพูดประโยคนี้เห็นได้ชัดว่าพูดให้นางฟัง!หานมู่ซีเป็นผู้ชายที่เธอชอบมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้ว่าตอนนี้เขายังไม่ประสบความสำเร็จ แต่เป็นเพราะมีบิดาคอยสนับสนุน ไม่ช้าก็เร็วพี่มู่ซีจะต้องทำให้คนต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่ฉู่เจียวเจียวนังแพศยา ยังไม่ทันเป็นพระชายาอ๋องหลี ก็โอ้อวดแสนยานุภาพต่อหน้าของนางเสียแล้วฉู่ซวงหรี่ดวงตา มองภาพเบื้องหลังของฉู่เจียวเจียวที่เดินออกไป สายตาฉายแววความโหดร้ายเป็นอย่างยิ่งออกมาแวบหนึ่งอยากจะให้
“เสด็จแม่!”จวินลั่วยวนลุกขึ้นยืน จับเอวที่ล้มจนเจ็บ ไม่ต้องพูดถึงว่าโกรธเคืองเพียงใดเดินเข้าไป จับแขนของมารดา กล่าวอย่างโมโห“นางผลักหม่อมฉัน!”“เมื่อครู่นางจงใจผลักหม่อมฉัน!”ทุกคนเจอนาง ล้วนนอกน้อม เชื่อฟัง สรรเสริญเยินยอ ตั้งแต่เล็กจนโต แม้แต่เสด็จพ่อเสด็จแม่ก็ไม่เคยตีนางเลยถูกพระชายาอ๋องเฉินที่ตัวเล็กๆ คนหนึ่งรังแก จะให้นางกล้ำกลืนลงไปได้อย่างไร?น่าโมโห!นางเดินเข้าไปจะผลักฉู่เชียนหลีโดยไม่ปล่อยให้มีโอกาสได้อธิบาย “ยวนเอ๋อร์!”ฮองเฮาหนานยวนจับข้อมือของลูกสาว หยุดนางไว้แล้วกล่าวเสียงเบา “เมื่อครู่พระชายาอ๋องเฉินไม่ได้ตั้งใจ พวกเจ้าแค่โต้เถียงกันเล็กน้อย ไม่ควรจริงจัง”องค์หญิงจิตใจกว้างขวาง ไม่จำเป็นต้องถือสาเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้จวินลั่วยวนเบิกตากว้างเสด็จแม่ไม่ช่วยนาง?“เสด็จแม่ ท่านเลอะเลือนแล้วหรือ?” นางถามอย่างไม่กล้าเชื่อ “หม่อมฉันถูกรังแกใต้จมูกท่าน ท่านยังพูดแทนคนร้ายอีก?”ตกลงใครจึงจะเป็นลูกสาวของนางกันแน่?ฮองเฮาหนานยวนเม้มปาก มองไปทางฉู่เชียนหลีที่ยืนอยู่ข้างๆไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อเห็นใบหน้าของเด็กคนนี้ มีความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด แค่เห็นห
สีหน้าฉู่เชียนหลีสงบ ดูสบายๆ“องค์หญิงมีเรื่องให้กังวลมากมายจริงๆ” นางกล่าวอย่างเรียบเฉย “เจ้าไม่รู้เรื่องภายในของแคว้นตงหลิง อย่ายุ่งให้มากจะดีกว่า”การต่อสู้ระหว่างเฟิงเจิ้งหลีกับเฟิงเย่เสวียน จะไม่หยุดหลงเพียงเพราะคืนเฟิงเจิ้งลู่ฉินเฟิงเจิ้งลู่ฉินมีแต่จะกลายเป็นเครื่องสังเวยที่ไม่รู้อะไรจวิ้นลั่วยวนขมวดคิ้ว“เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่มีเหตุผล กลับพูดเหมือนตัวเองมีเหตุผล”“แล้วแต่เจ้าจะพูดอย่างไร”นางจะไม่คืนเฟิงเจิ้งลู่ฉินจวิ้นลั่วยวนยิ่งขมวดคิ้วแน่นแล้ว “ถ้าหากเกิดสงครามจริง คนที่ทำให้เกิดการต่อสู้คือเจ้า คนที่ทำให้ราษฎรต้องพลัดถิ่นก็คือเจ้า เพราะเจ้าคนเดียว จะทำให้ผู้บริสุทธิ์มากมายต้องตาย”สายตาฉู่เชียนหลีขรึมลงมือที่อยู่ในแขนเสื้อกำหมัดแน่น กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“เจ้าตั้งใจมาเจียงหนาน ก็เพื่อทำสงครามไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงตั้งตนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว?”“เจ้า!”“เจ้ายืนตำหนิข้าบนบรรทัดฐานของศีลธรรม แต่ขณะเดียวกันก็คอยยุแหยง พลางห้ามปรามสงคราม พลางเคลื่อนย้ายกำลังทหาร ไม่รู้สึกว่ามันน่าอายหรือ?”“...”จวินลั่วยวนพูดไม่ออกแล้วนางพบว่าฉู่เชียนหลีคนนี้ปากร้ายจริงๆ โ
ฉู่เชียนหลีจากไปห้าที่หก เจียงเป่ยประกาศหนังสือสงครามต่อเจียงหนาน เนื้อหามีอยู่ว่า คืนองค์หญิงเฟิงเจิ้งลู่ฉินภายในสามวัน ไม่คืนยกทัพบุกโจมตีเหตุผลเห็นสมควรอย่างยิ่งขอลูกสาวของตัวเองคืนหลังจากฉู่เชียนหลีรู้ อารมณ์สับสนอย่างบอกไม่ถูก เพราะนางรู้ว่าเฟิงเจิ้งหลีไม่ได้รักเฟิงเจิ้งลู่ฉิน เขาแค่ต้องการใช้ข้ออ้างขอลูกสาวคืน เพื่อบุกโจมตีเจียงหนาน“พระชายา ทำอย่างไรดี?”อวิ๋นอิงถามพื้นห้องถูกปูด้วยพรมหนาๆ เด็กทั้งสามคนวิ่งเล่นบนนั้น สะดุดล้ม ชนกัน กระแทกกัน ถูกพรมปกป้องอย่างดี ไม่ได้รับบาดเจ็บหลายวันที่อยู่ด้วยกัน เด็กทั้งสามคนคุ้นเคยกันแล้ว และเล่นด้วยกันอย่างมีความสุขเจ้าไล่ข้า ข้าไล่เจ้าคลานไป คลานมาเจ้าแย่งขวดนมของข้า ข้าหยิกหน้าของเจ้า พูดอีอาๆ แม้ไม่มีใครฟังเข้าใจฉู่เชียนหลีนั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะ มองไปทางลู่ฉินลู่ฉินคลอดก่อนกำหนด รูปร่างผอมและยังมีโรคหัวใจ เหมือนกับตุ๊กตาที่อ่อนแอตัวหนึ่งเฟิงเจิ้งหลีไม่รักนาง ฉู่เจียวเจียวไม่ชอบนาง ถ้าหากนางกลับเจียงเป่ย ยังไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไร…ขณะที่นางกำลังกังวล ลู่ฉินที่กำลังคลานเล่นเหมือนรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง คลานไปที่ตรงหน้า
เฟิงเจิ้งหลีมาถึงตำหนักของไท่ซ่างหวงเหมือนไท่ซ่างหวงคาดการณ์ไว้นานแล้ว กำลังนั่งพิงบนหัวเตียงรอเขา สายตาของสองพ่อลูกบรรจบกันกลางอากาศเกิดความเงียบขึ้นชั่วพริบตาผ่านไปครู้หนึ่ง เฟิงเจิ้งหลีเดินเข้าไปอย่างเหนื่อยล้า “เหตุใดไม่ไป?”เขาทิ้งร่างกายที่หนักอึ้งนั่งลงไป ระหว่างคิ้วเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แม้แต่เสียงพูดก็แหบ โดยรวมแล้วดูโทรมมากราวกับบาดเจ็บสาหัสสำหรับเขานั่น ถูกคนที่ชอบและเชื่อใจที่สุดหักหลังและทิ้ง ก็คือการทำร้าย ทิ้ง…เขาเกลียดคำนี้ที่สุดในชีวิตไท่ซ่างหวงมองดูลูกชายที่คล้ายเขาห้าส่วนตรงหน้า และคล้ายมารดาของเขาห้าส่วน พริบตาเดียว ลูกชายก็โตเช่นนี้แล้ว และเขาก็ขาดความรักมากมายเหลือเกินในดวงตาที่ขุ่นมัว เผยให้เห็นความรู้สึกผิดหลายส่วน“ถ้าหากข้าไปแล้ว เจ้าจะไม่เหลือญาติแม้แต่คนเดียว”“!”ร่างกายเฟิงเจิ้งหลีสั่นสะท้าน แผ่นหลังแข็งฉับพลันญาติ…ตั้งแต่เล็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านพ่อใช้คำนี้เรียกความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา“หลีเอ๋อร์ ข้ารู้ หลายปีมานี้ พ่อติดค้างเจ้าเยอะมาก พ่อให้ความสำคัญกับบ้านเมืองจนมองข้ามเจ้า ในใจพ่อรู้สึกผิดนัก” ไท่ซ่างหวงกล่าวอย่า
คืนแรกที่ออกจากเมืองหลวงฉู่เชียนหลีนอนไม่หลับ…เมืองหลวงอันไกลโพ้นที่อยู่อีกฟากของแม่น้ำอูหลาน วังหลวงจุดเทียนสว่างไสวในยามค่ำคืนที่มืดมิด เหล่านางกำนัลถือโคมไฟ ก้มหน้าเดินผ่านยังเงียบๆ ไม่มีใครกล้าพูดมากตำหนักเจาหยางทุกที่มืดมิด ไร้ผู้คน และไม่มีเทียนแม้แต่เล่มเดียว เหมือนกับถูกความมืดกลืนกิน เงียบราวกับดินแดนไร้ผู้คนแต่ท่ามกลางความมืดนั่น กลับมีเสียงหายใจเย็นๆ สายหนึ่งเบาจนแทบไม่ได้ยิน เฟิงเจิ้งหลีนั่งอยู่บนบันได ร่างกายของเขากลมกลืนกับความมืดจนมองเห็นแทบไม่ชัด ดวงตาคู่นั้นฉายแสงในความมืด ราวกับจมอยู่ในเหวลึกอันไร้ที่สิ้นสุดในอดีตที่นี่เคยมีเสียงหัวเราะของเด็กๆ เคยมีรอยยิ้มของนาง ท่าทางที่อ่อนโยนของนาง และเสียงอันนุ่มนวลที่พูดคุยกับเขา ภาพเหล่านั้นเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานทั้งหมดยังคงอยู่ในสมองของเขา ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาชัดเจนมากตราตรึงมากนางเคยพูด อยู่ข้างกายเขา รู้สึกสบายใจมากนางเคยพูด จื่อเยี่ยชอบเขา นางก็จะดีกับเขานางเคยพูด…คำพูดไพเราะนางเป็นคนพูด เรื่องใจร้ายก็นางเป็นคนทำล้วนเป็นนาง!ฉู่เชียนหลี!โกหกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาเชื่อครั้งแล้วครั้
“คุณหนูอย่าคิดมาก แม้องค์หญิงแคว้นหนานยวนท่านนี้น่ารังเกียจไปบ้าง แต่นางทำงานเสร็จ ก็น่าจะกลับแคว้นแล้ว ก็แค่เจอกันชั่วคราว ทำอะไรไม่ได้หรอก” จิ่งอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมฉู่เชียนหลีไม่ได้คิดมากอย่างไรก็ตามผู้ชายอย่างเฟิงเย่เสวียนที่อายุยังน้อย รูปร่างหน้าตาโดดเด่น มีฐานะมีอิทธิพล สมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง มีผู้หญิงมากมายชอบก็เป็นเรื่องปกติถ้านางจะถือสา คนมากมายเช่นนั้น จะถือสาไหวได้อย่างไร?นางนึกถึงเรื่องของกู่แพทย์ มองจิ่งอี้อย่างจริงจัง เห็นสีหน้าของเขาค่อนข้างซีดเหมือนคนป่วย ก็รู้แล้วว่าเขากำลังใช้ร่างกายตัวเองเลี้ยงกู้แพทย์“เลี้ยงรอดหรือไม่?” นางถามเบาๆมีการบันทึกในตำราโบราณ กู่แพทย์ชนิดนี้อ่อนแอเลี้ยงยาก เผลอไม่ระวังนิดเดียวก็จะตาย สิ่งที่ทำมาก่อนหน้านี้ก็เปล่าประโยชน์จิ่งอี้หลุบตา เสียงเบามาก“เลี้ยงแล้วสามสิบกว่าตัว ในที่สุดก็เลี้ยงรอดสองตัว…”กู่แพทย์สองตัวนี้ ตอนนี้ถูกเขาเก็บไว้ในหน้าอก พกติดตัวไปทุกที่ ต่อให้เป็นเวลานอน ก็จะนำออกมาดูเป็นระยะกลัวว่าพลั้งเผลอนิดเดียว พวกมันก็จะตายฉู่เชียนหลีเหลือบมอง “อวิ๋นอิงรู้หรือไม่?”“นางไม่รู้ขอรับ คุณหนู อย่าพูดถ
เป็นเด็กผู้หญิงอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปีใบหน้างดงาม การแต่งกายดูขี้เล่นแต่ยังคงสูงศักดิ์ มัดมวยผมและถักเปียหางม้า ซึ่งบ่งบอกว่านางยังไม่แต่งงาน กระโดดออกมาปรากฏตัว ท่าทางที่สดใสร่าเริงนั่น ทำให้ดูเข้าถึงได้ง่ายมากฉู่เชียนหลีเหลือบมอง“เจ้าคือ…”“ข้าชื่อจวินลั่วยวน เป็นองค์หญิงแคว้นหนานยวน”นางแนะนำตัวเอง เสียงนั่นเหมือนนกขมิ้นที่บินออกจากหุบเขา สดใสไพเราะ“อ๋องเฉินกับฮ่องเต้ตงหลิงสู้กัน เสด็จพ่อให้ข้ามาช่วยอ๋องเฉินที่เจียงหนาน ก็เพราะข้าแทรกแซง ฮ่องเต้ตงหลิงจึงให้ความสำคัญกับศึกเมืองเทียนสู่เป็นพิเศษ และลงสนามรบด้วยตัวเอง”ไม่เช่นนั้น ยังไม่สามารถล่อฮ่องเต้ตงหลิงออกมาได้ล่อเสือออกจากถ้ำ พระชายาอ๋องเฉินจึงสามารถกลับมาอย่างปลอดภัยพูดถึงก็ล้วนเป็นผลงานของนางฉู่เชียนหลีเข้าใจแล้วองค์หญิงของแคว้นหนานยวนท่านนี้ ได้ยินมานานแล้วว่าเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของฮ่องเต้หนานยวน เป็นแก้วตาดวงใจที่เหมือนไข่มุกงามบนฝ่ามือ ถูกเอาใจใส่อย่างดีตั้งแต่เด็ก“รบกวนองค์หญิงแล้ว” นางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ถือเป็นมารยาทจวินลั่วยวนประหลาดใจเล็กน้อย “?”แค่นี้?ไม่มีแล้ว?พูดแค่สี่คำก็แสดงความขอบค
เด็กน้อยที่ดูกลัวๆ ในตอนแรก เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เหมือนกับเจอที่พึ่งพิง เบ้าตาแดงก่ำ มุดเข้าไปในอ้อมแขนของนาง“อุแว้!”ร้องไห้เสียงดังนางกลัวมากแม่ของนางไม่อยู่ นางถูกคนรับใช้โยนไปโยนมา กินไม่อิ่ม นอนไม่หลับ และยังไม่กล้าร้องไห้ เพราะไม่มีใครกล่อมนางอย่างอ่อนโยนและอดทนเหมือนท่านแม่ในที่สุดก็ได้กลิ่นที่คุ้นเคยแล้วไม่สามารถควบคุมความน้อยใจที่กดเอาไว้ได้อีกต่อไป ปล่อยโฮร้องไห้“ฮือๆ…”สองมือจับเสื้อฉู่เชียนหลี มุดเข้าไปในอกของนางก็ร้องไห้อวิ๋นอิงยกมือขวาขึ้น รีบรับรองทันที “พระชายาวางใจได้ ตอนที่ท่านไม่อยู่ พวกเราดูแลลู่ฉินอย่างดี ไม่มีใครรังแกนางแน่นอน นางน่าจะคิดถึงท่านมาก จึงร้องไห้เช่นนี้”“ท่านไม่รู้หรอก แม้ลู่ฉินยังเล็ก แต่นางรู้ว่าใครเป็นใคร นางจะเอาท่านคนเดียว พึ่งพาท่าน คิดถึงท่าน”หัวใจฉู่เชียนหลีละลายตั้งแต่เด็กคนนี้เกิดมา นางเลี้ยงเองกับมือมาโดยตลอด และความเชื่อใจและการพึ่งพาที่เด็กมีต่อนาง ก็คือการตอบแทนที่ดีที่สุด“ไม่ร้องนะ”นางเช็ดน้ำตาเบาๆ “แม่กลับมาแล้ว ต่อไปจะไม่ไปอีกแล้ว”ในเมื่อเฟิงเจิ้งหลีกับฉู่เจียวเจียวไม่เอาเด็กคนนี้ นางเลี้ยงเอง“แม่…”เสียง
ท้ายที่สุดเฟิงเจิ้งหลีก็ไม่ได้ลงมือกองทัพทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากันในระยะไกลทั้งเช่นนี้เฟิงเย่เสวียนกอดฉู่เชียนหลีไว้ จับเชือกบังเหียนม้าแน่น ขี่ม้าจากไปเฟิงเจิ้งหลียืนอยู่ที่ข้างแม่น้ำ ร่างกายที่บอบบางถูกลมเย็นพัดจนเสื้อคลุมพลิ้วไหว สีหน้าซีดเผือด แววตาอ่อนล้า มุมปากยังมีคราบเลือด ยืนมองนิ่งๆ ทั้งเช่นนี้…มอง…รอหลังจากขบวนของอ๋องเฉินหายลับตา เขายังคงยืนอยู่ข้างแม่น้ำ เนิ่นนานก็ไม่ขยับสองเท้าหนักเหมือนถูกถ่วงด้วยตะกั่ว สายตามองตรงไปข้างหน้ากลิ่นอายรอบตัวขรึมมาก สีหน้าแยกไม่ออกว่าดีใจหรือโกรธชั่วขณะ ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากหรือเข้าไป…เจียงหนาน เมืองน้ำ[1] อากาศเย็นสบาย สภาพแวดล้อมดีมากขบวนตรงไปที่ทำเนียบ“ท่านอ๋องกลับมาแล้ว!”“พระชายา?!”เมื่อคนที่เข้ามาต้อนรับเห็นฉู่เชียนหลี แต่ละคนเบิกตากว้างด้วยความตกใจก่อน แต่หลังจากนั้นก็ดีใจ“พระชายากลับมาแล้ว!”“พระชายากลับมาแล้ว!”เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังก้องไปทั่วท้องฟ้า จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย ข่าวแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วอวิ๋นอิง จิ่งอี้ เฟิ่งหราน คนมากมายรีบมาไม่เจอครึ่งปี มิตรภาพยังคงอยู่“พระชายา ในที่สุ