เพียงชั่วข้ามคืน ข่าวลือที่เกี่ยวกับอ๋องหลีแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง และถึงขั้นกระจายไปถึงเมืองอื่น โจษจันไปทั้งเมือง เป็นที่รู้กันทุกคน“ได้ข่าวหรือยัง อ๋องหลีวางแผนฆ่าอ๋องเฉินไม่สำเร็จ…”“สองพี่น้องชิงราชบัลลังก์ เกรงว่าในอีกไม่ช้า จะเกิดการนองเลือดครั้งใหญ่”“ไม่รู้ใครจะชนะ…”“ได้ยินมาว่าอ๋องหลีถูกกักบริเวณแล้ว ฝ่าบาทกำลังตรวจสอบเรื่องนี้ ถ้าหากเป็นความจริง เขาน่าจะถูกลงโทษกระมัง?”“ข้าว่าไม่หรอก เขาเป็นพ่อของพระนัดดาอ๋องโต อายุพระนัดดาองค์โตยังไม่ครบหนึ่งเดือนเลย ฝ่าบาทไม่ไว้หน้าเขา ก็ต้องเห็นแก่พระนัดดาองค์โต อย่างไรก็ไม่ทำอะไรอ๋องหลีแน่นอน…”ความคิดเห็นแตกต่างกันไปทุกคนมีปาก หนึ่งร้อยคน มีหนึ่งร้อยวิธีพูด หนึ่งพันคน มีหนึ่งพันความคิดเห็นจวนอ๋องเฉินรุ่งเช้า กงกงในวังมาถ่ายทอดคำพูดที่จวน บอกว่าให้พระชายาอ๋องเฉินพาลูกสาวฝาแฝดไปเดินเล่นในวังบ้าง ตั้งแต่นางคลอดลูก ฝ่าบาทยังไม่เคยได้ดูเด็กสองคนนี้ดีๆ สักครั้งหลังอาหารเช้าฉู่เชียนหลีอุ้มลูกไว้ ถามเฟิงเย่เสวียน “เจ้าจะไปหรือไม่?”เฟิงเย่เสวียนกล่าว “เมื่อคืนข้าได้รับจดหมายลับ จวนอ๋องหลีกับจวนอัครเสนาบดีฉู่แอบติดต่อกัน ข้
ท่าทางที่โบกมือถีบเท้าด้วยความตื่นเต้น แก้มแดงๆ และดวงตาที่สะอาดเป็นประกายของเจ้าตัวน้อยนั่น ไม่ต้องพูดถึงว่าน่ารักเพียงใด“อุ้ย…”เต๋อเฟยมองตามสายตาของเขา เห็นพระชายาอ๋องเฉิน รู้ความหมายของเด็กคนนี้แล้ว กล่าวอย่างประหลาดใจ“พระชายาอ๋องเฉิน เหมือนจื่อเยี่ยจะชอบเจ้ามากเลยนะ”นางเลี้ยงพระนัดดาองค์โตเกือบสิบวันแล้ว ตลอดหลายวันมานี้ พระนัดดาองค์โตกินอิ่มนอนหลับทุกวัน ไม่เคยร้องไห้ ไม่ต้องห่วงเลยขณะเดียวกัน ก็ไม่เคยตื่นเต้นเช่นนี้เห็นพระชายาอ๋องเฉิน นี่เป็นครั้งแรกที่มีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้ฮ่องเต้ก็หันมามองด้วยความอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน “เจ้าหนูนี่ ตอนเห็นเราที่เป็นปู่คนนี้ ก็ไม่เคยเห็นเขามีความสุขเช่นนี้ หรือหน้าของเรามีแรงดึงดูดสู้พระชายาอ๋องเฉินไม่ได้?”เขาลูบหนวดเคราบนใบหน้าเต๋อเฟย “ฝ่าบาท ตอนที่ท่านใช้หนวดแทงจื่อเยี่ย จื่อเยี่ยไม่ร้องไห้ก็ดีมากแล้ว”ฮ่องเต้ “...”พูดความจริงส่งเดชอะไร“คิกๆ”จื่อเยี่ยน้อยพลางโบกกำปั้น พลางหัวเราะคิกคักใส่ฉู่เชียนหลี และกะพริบตาปริบๆ ไม่หยุด ราวกับพูดได้ในใจเต๋อเฟยหวั่นไหวแล้ว “พระชายาอ๋องเฉิน หรือไม่เจ้ามาอุ้มหน่อย?”ในใจฉู่เชียนหล
เมื่อเยว่เอ๋อร์ได้ยินคำพูดนี้ ก็สะดุ้งด้วยความตกใจ กวาดมองรอบๆ โดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นว่าไม่มีคนในวัง จึงจะถอนใจอย่างโล่งอกนางเดินเข้าไปใกล้พระชายา กล่าวเสียงเบา“พระชายา ในวังคนเยอะหูหลาย ท่านอย่าพูดส่งเดชนะ!”ถ้าหากมีคนได้ยิน ไม่แน่อาจจะใส่ความพระชายาอย่างไรก็ไม่รู้ลูกที่พระชายาอ๋องหลีให้กำเนิด จะคล้ายลูกที่พระชายาอ๋องเฉินให้กำเนิดได้อย่างไร?ต่อให้หน้าตาคล้าย ก็ต้องคล้ายท่านอ๋องฉู่เชียนหลีเม้มปาก “ข้ารู้ ข้าไม่ควรพูดคำพูดประโยคนี้ แต่ตอนที่ข้าอุ้มจื่อเยี่ย สายตาที่เขามองข้า มือของเขาที่จับข้า และรอยยิ้มที่ไร้เดียงสาของเขา ในใจข้ารู้สึกแปลกๆ มันอบอุ่นมากๆ…”ความรู้สึกเช่นนี้แปลกเล็กน้อย อธิบายไม่ถูกเหมือนกับว่านางกับเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยมีความเชื่อมโยงอะไรบางอย่างเยว่เอ๋อร์กล่าว“หรือตอนที่ท่านอุ้มเว่ยซีกับลู่ฉิน ในใจไม่ได้รู้สึกอบอุ่นหรือ?”“ข้า…”ตอนที่นางอุ้มลูกสาวทั้งสองคน ในใจย่อมอบอุ่นมากแต่นางอุ้มเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยไว้ ก็มีความรู้สึกเช่นนี้“เยว่เอ๋อร์ เจ้าไม่รู้หรอก คือ…มันไม่เหมือนกัน ข้า…ข้าไม่รู้จะอธิบายกับเจ้าอย่างไร” ฉู่เชียนหลีไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาอธิบาย
โรงหมอคืนนี้ จิ่งอี้นอนไม่หลับทั้งคืน หัวใจของเขาเหมือนถูกโยนขึ้นกลางอากาศแล้วตกลงมา ความรู้สึกที่เหมือนหายใจไม่ออก เคยเกิดขึ้นแค่ตอนที่จางเฟยตาย บนเตียงอวิ๋นอิงนอนอยู่ตรงนั้นนางเปลี่ยนชุดที่สะอาดแล้ว ผมก็ถูกหวีอย่างเรียบร้อย แต่สีหน้าซีดราวกับกระดาษ ไร้ร่องรอยของเลือด ร่างกายผอมเหมือนหนังหุ้มกระดูก ผ้าห่มคลุมอยู่บนร่างกายของนาง เรียบเหมือนไม่มีคนนอนอยู่นางผอมจนแทบเป็นหนึ่งเดียวกับเตียง ราวกับไม่มีตัวตนจิ่งอี้นั่งลืมตาอยู่ที่หน้าเตียงมาทั้งคืนแล้ว ไม่รู้เพราะเหนื่อยล้า หรือเพราะอะไร เบ้าตาของเขาแดงก่ำ ท่าทางที่เหี้ยมเกรียมนั่น มีความดุร้ายแฝงอยู่หลายส่วนริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรง สายตาเอาแต่จ้องใบหน้าของนางตลอด คืนนี้ หัวใจของเขาสงบอย่างน่าประหลาดเมื่อใจเย็นลง จู่ๆ เขาก็พบว่านางผอมจนน่ากลัว ผอมจนแก้มไม่มีเนื้อ กระดูกก็นูนออกมาแล้วเมื่อใจเย็นลง เขาพบเช่นกันว่านางที่นอนอยู่บนเตียง เหมือนดอกไม้ที่เหี่ยวเฉา ไม่หลงเหลือความสดใสในอดีตในความทรงจำของเขา นางเป็นคนมั่นใจและภาคภูมิใจเสมอไม่กลัวลำบาก กล้าเผชิญหน้าไม่กลัวอันตราย ยิ่งเจ็บยิ่งแกร่งบนใบหน้าของนางไม่เคยปรากฏ
เวลาผ่านไปอย่างเงียบๆ ทีละนิด เงียบจนสามารถได้ยินเสียงหายใจนางหายใจเบามาก หน้าอกที่กระพือขึ้นลงก็เบามาก ท่าทางที่อ่อนแอเช่นนั้น ราวกับแค่ใช้นิ้วจิ้มเบาๆ ก็จะหายไปตามสายลม…เขานั่งอยู่ที่หน้าเตียงหวังว่านางจะฟื้น หวังว่านางจะสามารถลืมตากลับมาเป็นเหมือนเมื่อก่อน ใช้ดวงตาที่เป็นประกายและมีพลังมองเขาแต่เขาก็กลัว…กลัวเผชิญหน้ากับนางกลัวเห็นสายตาที่นางเกลียดชังเขา ยิ่งกลัวไม่รู้จะพูดกับนางอย่างไร…จิ่งอี้ก้มหน้าลงอย่างเจ็บปวด ในแววตาเต็มไปด้วยความขมขื่น“ตกลงข้าควรทำอย่างไร…ข้าทำอะไรลงไป เดินมาถึงขั้นนี้ หัวใจของข้าวุ่นวายและสับสนมาก จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร จะทำอะไร ควรทำอะไร อะไรคือถูก อะไรคือผิด จู่ๆ ข้าก็เหมือนหลงทาง…”ยี่สิบกว่าปีมานี้ ครั้งแรกที่หลงทางตอนเด็ก ถูกคนเหล่านั้นตามล่า เขาอดทนผ่านมาได้ตอนจางเฟยตาย เขาก็อดทนผ่านมาได้แล้วแต่ตอนนี้ อวิ๋นอิง สองคำนี้ก็เหมือนภูเขาลูกใหญ่ที่หนักอึ้ง ทับอยู่บนไหล่ของเขา ทับจนเขาแทบหายใจไม่ออกเฟิ่งหรานที่ยืนอยู่ข้างๆ เม้มมุมปากแน่นเรื่องราวมาถึงขั้นนี้ พูดมากก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อเทียบกับหนีความกลัว ไม่สู้หาทางออกที่ด
จิ่งอี้ชะงักเล็กน้อย มีประกายแปลกๆ แลบผ่านแววตาไม่กล้าพูดถึงอวิ๋นอิง…เมื่อพูดถึงชื่อนี้ เขาร้อนตัว“นาง…” เขากวาดมองประตูห้องที่ปิดสนิท “น่าจะกลับไปแล้วกระมัง”ยิ่งกว่านั้นเขายังไม่รู้ว่าจะอธิบายกับคุณหนูอย่างไร…เยว่เอ๋อร์เกาศีรษะอวิ๋นอิงกลับจวนอ๋องเฉินแล้ว?เหตุใดนางไม่เห็น?สงสัยระหว่างทางที่มา นางกับอวิ๋นอิงเดินคลาดกันกระมัง ในเมื่ออวิ๋นอิงไม่อยู่ที่นี่ เช่นนั้นนางก็สามารถพูดสิ่งที่จะพูดต่อจากนี้ได้อย่างวางใจแล้ว“คุณชายจิ่ง เมื่อคืนอวิ๋นอิงค้างคืนกับท่านหรือ?”เพิ่งถามคำพูดนี้ออกมา ก็รู้สึกได้ว่าสายตาของเขาเย็นลงแล้ว นางรีบกล่าวเสริม“ความหมายของข้าคือ นางค้างคืนที่โรงหมอหรือ? เพราะเมื่อคืนนางไม่ได้กลับจวน พระชายาค่อนข้างเป็นห่วงนาง…”ที่จริงเยว่เอ๋อร์อยากหยั่งเชิงความสัมพันธ์ของจิ่งอี้กับอวิ๋นอิง อยากรู้ว่าพวกเขาพัฒนาไปถึงขั้นใดแล้ว แต่คุณชายจิ่งเฉียบแหลม นางไม่กล้าพูดตรงเกินไปจิ่งอี้ยังคงมองเยว่เอ๋อร์อย่างเย็นชาสายตาเฉียบคม ราวกับสามารถมองทะลุความคิดของเยว่เอ๋อร์ เขาสามารถมองออก นางหนูนี่ไม่ธรรมดาเมื่อคืน ทั้งๆ ที่เขาส่งคนไปแจ้งจวนอ๋องเฉินแล้ว บอกคุณหนูว่า
ในวังพระนัดดาองค์โตไม่สบาย ร้องไห้งอแง ย่อมได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้อย่างยิ่ง เขาทิ้งงานที่กำลังทำ ความสนใจทั้งหมดอยู่ที่เด็กคนนี้เรื่องราวประมาณนี้ตอนเที่ยง หลังจากพระชายาอ๋องเฉินออกจากวัง เดิมทีพระนัดดาองค์โตควรนอนช่วงบ่ายตามปกติ แต่กลับร้องไห้งอแงกล่อมอย่างไรก็ไม่ดีขึ้นป้อนนมแล้วก็ไม่ดีขึ้นร้องไห้ตลอดร้องไห้ไม่หยุดเด็กคนนี้ไม่เคยขี้แยเช่นนี้ฮ่องเต้รู้สึกถึงความผิดปกติ ตามสำนักหมอหลวงทันที และยังแจ้งฉู่เชียนหลีที่มีทักษะการแพทย์ คนทั้งกลุ่มล้อมอยู่ที่หน้าเปลโยก พลางตรวจชีพจรให้พระนัดดาองค์โตเต๋อเฟยโทษตัวเอง“ฝ่าบาท หม่อมฉันดูแลพระนัดดาองค์โตไม่ดี หม่อมฉันละเลยหน้าที่ ฝ่าบาทโปรดลงโทษเพคะ”ฮ่องเต้ประคองร่างกายนางขึ้น“ลุกขึ้นก่อน เรากับเจ้ารู้จักกันสามสิบกว่าปี เจ้าทำงาน เราวางใจ รอดูหมอหลวงว่าอย่างไร”“ขอบพระทัยฝ่าบาท…”ในเปลโยก พระนัดดาองค์โตพลางโบกมือน้อยๆ พลางร้องอุแว้ๆ ร้องไห้จนหน้าแดงก่ำและปากเจ่อ ราวกับติดตั้งเครื่องยนต์ ร้องไห้ไม่หยุดหลังจากนั้นประมาณหนึ่งเค่อหมอหลวงของสำนักหมอหลวงปรึกษากันอยู่ครู่หนึ่ง หมอหญิงเว่ยจึงจะก้าวออกมากล่าว“ฝ่าบาท พวกเรา
เสื้อผ้าที่ฉู่เชียนหลีสวมใส่ ย่อมไม่ได้กลิ่นบนร่างกายตัวเองเมื่อทุกคนกล่าวเช่นนี้ คิ้วของนางก็ขมวดเช่นกันนางมั่นใจและแน่ใจมาก นางไม่เคยใช้ธูปหอมกลิ่นดอกบัว ในจวนก็ไม่เคยซื้อธูปหอมเช่นนี้ บนร่างกายนางไม่มีทางมีกลิ่นเช่นนี้เด็ดขาดหรือว่า…มีคนกำลังวางแผนใส่ความนาง?“เสด็จพ่อ ถ้าหากข้าจะทำร้ายพระนัดดาองค์โต ย่อมต้องถอดเสื้อผ้าชุดนี้ และนำไปเผาทำลายหลักฐานทันที แต่ไม่ใช่เดินเข้าวังอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้” ฉู่เชียนหลีกล่าวฮ่องเต้ย่อมเข้าใจความหมายของนาง แต่ตอนนี้หลักฐานชี้ไปที่นาง เขาจะแก้ต่างให้นางอย่างไร?อีกคนคือหลานชายที่เขาเฝ้ารอมาสิบกว่าปีอีกคนคือพระชายาที่รักลูกสาวที่สุด และยังเป็นแม่บังเกิดเกล้าของลูกสาวฝาแฝดจะให้เขาเข้าข้างใคร?เวลานี้เอง เต๋อเฟยก้าวออกมา“ฝ่าบาท ตอนที่หม่อมฉันเห็นพระชายาอุ้มพระนัดดาองค์โต ท่าทางที่อ่อนโยนและมีเมตตานั่น ไม่เหมือนเสแสร้ง ความรักเช่นนั้น แสร้งแสดงออกมาไม่ได้ บางทีอาจมีคนเล่นสกปรก ใส่ความพระชายาอ๋องเฉิน?”นางวิเคราะห์อย่างใจเย็นฉู่เชียนหลีอึ้งไปครู่หนึ่ง มองไปทางเต๋อเฟยด้วยสายตาประหลาดใจเล็กน้อยพวกนางเคยเจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง นางกลับช
ผู้ชายที่ร่างกายสูงใหญ่งอหัวเข่า คุกเข่าอยู่ตรงหน้าอ๋องหลีอย่างตั้งตรง แม้อยู่ต่ำกว่า แต่ความสูงศักดิ์ที่แผ่ซ่านออกมาจากกระดูก ไม่ลดน้อยลงเลยสักนิดตลอดหลายปีที่ผ่านมา นอกจากคุกเข่าให้ฮ่องเต้และบรรพชน พวกเขาไม่เคยเห็นอ๋องเฉินคุกเข่าให้ใครเฟิงเจิ้งหลีเห็นดังนี้ แหงนหน้าหัวเราะ“ฮ่าๆๆ!”คิดไม่ถึงจริงๆ เขาจะมีวันนี้ด้วยลูกชายที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด แพ้ให้กับลูกชายที่ไม่โปรดปรานที่สุด ไม่สะดุดตาที่สุด และยังถูกทุกคนรังแก ความรู้สึกที่อยู่เหนือกว่าเช่นนี้ ทำให้ในใจเขาสาแก่ใจจริงๆ“ฮ่าๆๆๆ เฟิงเย่เสวียน เจ้าก็มีวันนี้ด้วย!”หัวเราะเสร็จ เขารู้สึกว่าความเย่อหยิ่งของอ๋องเฉินมันขัดตาทั้งๆ ที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบจนต้องคุกเข่า เหตุใดยังอวดดีหยิ่งผยองเช่นนี้?เขาออกคำสั่ง “ก้มหัวเจ้าลงไป”เฟิงเย่เสวียนเม้มปาก ก้มศีรษะลงเขาออกคำสั่งอีกครั้ง “โขกศีรษะ!”“อ๋องหลี ท่านอย่ารังแกให้มันมากนัก! ท่านกับท่านอ๋องของเราเป็นคนรุ่นเดียวกัน ท่านรับการโขกหัวจากเขาไม่ได้! ไม่กลัวบรรพชนรู้แล้ว อายุสั้นหรือ!” พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความโกรธเพิ่งกล่าวจบ ก็ถูกผู้บัญชาการจางถีบจนล้มลงพื้นหลังจากล้มลง ก
“ปล่อยคนของเจ้าแล้ว เจ้าเป็นอิสระแล้ว คืนลูกให้ข้า” ฉู่เชียนหลีจ้องเขาเฟิงเจิ้งหลีเหลือบมองเด็กน้อยในอ้อมแขน ท่าทางที่ร้องไห้จนหน้าแดง เห็นแล้วปวดใจนักคิดว่าแค่นี้ก็จบแล้วหรือ?เขายิ้ม“ฉู่เชียนหลี เหมือนเจ้าจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์นะ?”“?”“……”“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาต่อรองกับข้า? เด็กอยู่ในมือข้า เป็นหรือตายขึ้นอยู่กับข้า ถึงคราวที่เจ้าต้องมาสอนข้าทำงานตั้งแต่เมื่อไร?”สีหน้าฉู่เชียนหลีเคร่งขรึมทันทีเห็นได้ชัด เขาได้คืบจะเอาศอก“เจ้ายังต้องการอะไรอีก?”“ข้าหรือ” เขาเงยหน้าด้วยรอยยิ้ม กวาดมองทุกคน และตำหนักอันหรูหราหลังนี้ วังหลวงที่กว้างใหญ่แห่งนี้ แผ่นดินที่ดีเช่นนี้เขาต้องการอะไร ยังต้องให้พูดอีกหรือ?แต่ว่า มองดูท่าทางที่ร้อนใจของฉู่เชียนหลี เขาเกิดอยากสนุก ต้องการระบายความคับข้องใจที่ได้รับในสองวันนี้ออกมาให้หมดลูบแก้มของเด็กน้อยพลางกล่าว“อยากได้ลูกคืน ไม่มีปัญหา มันก็ต้องดูว่าอ๋องเฉินมีความจริงใจหรือไม่”เงียบไปครู่หนึ่ง“อืม หรือไม่อ๋องเฉินคุกเข่า โขกหัวให้ข้าสามครั้ง ข้าก็คืนลูกให้เจ้า เป็นอย่างไร?”ฉู่เชียนหลีโมโหแล้วด้วยนิสัยที่ยอมหนึ่งก้าว จะเอาสิบก้าวข
“เจ้า!”ฉู่เชียนหลีถูกความเฉยเมยของนางยั่วจนโมโหแล้ว ยิ่งคิดไม่ถึงว่าใต้ฟ้าจะมีแม่ที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้มันก็จริงฉู่เจียวเจียวกับเฟิงเจิ้งหลี ถ้าไม่เหมือนกันก็คงอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่มีอะไรที่พวกเขาสองสามีภรรยาทำไม่ลงรอหลังจากลู่ฉินเติบโต รู้ว่าตัวเองมีแม่เช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะเศร้าเพียงใด!“ฉู่เชียนหลี เฟิงเย่เสวียน พวกเจ้าเลิกพูดไร้สาระได้แล้ว รีบปล่อยตัวอ๋องหลี ความอดทนข้ามีขีดจำกัด!” ฉู่เจียวเจียวกล่าวอย่างเย็นชา“จะเอาชีวิตของลูกชาย หรือจะปล่อยคน พวกเจ้าเลือกเอง”อย่างไรนางก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วไม่ดิ้นรน ตายสถานเดียวดิ้นรน เดิมพัน ยังมีโอกาสสายตาเฟิงเย่เสวียนเคร่งขรึมมาก หางตาเหลือบมองหานเฟิง หานเฟิงเข้าใจทันที เขาซ่อนมือไว้ที่หลัง และทำท่าสัญญาณมือไปที่ด้านหลังมือธนูเตรียมพร้อมจู่ๆ ฉู่เจียวเจียวก็กล่าวเสริมอีกประโยคอย่างเย็นชา “พวกเจ้าสามารถลองดูได้ ดูสิว่าการเคลื่อนไหวของพวกเจ้าไว หรือมีดที่อยู่ในมือข้าเร็ว”“ต่อให้ข้าตาย การฆ่าเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยก็ใช้เวลาแค่พริบตาเดียว”ฉู่เชียนหลีสั่งให้มือธนูหยุดทันที “ปล่อยคน!”อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามผู้หญิงคนนี้มันเป็นผู
พลันฉู่เชียนหลีแน่นหน้าอก“หยุดนะ…”“อย่าเข้ามา!”ฉู่เจียวเจียวถอยหลังสามก้าว มือซ้ายจับเด็ก มือขวาถือมีดสั้น มีดสั้นที่แวววาวจ่ออยู่บนผิวอันบอบบางของเด็ก กรีดจนรอยเลือดออกแล้วเลือดไหลออกมาแล้ว“จู่ๆ เจ้าก็มาเป็นห่วงข้า และยังพยายามอยากอุ้มลูกทุกวิถีทาง ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าไม่ได้มีเจตนาดี”นางยิ้มอย่างเย็นชา“เหอะ! ดูเหมือนฮ่องเต้ที่แกไม่ตายสักทีนั่นเป็นคนบอกเรื่องนี้กับเจ้าสินะ!”ไอ้แก่ เป็นอัมพาตเฉียบพลันยังไม่ยอมอยู่อย่างสงบเสงี่ยมอีกต่อให้รู้ความจริงแล้วอย่างไร?ชีวิตของเด็กคนนี้อยู่ในมือนาง“ฉู่เชียนหลีนะฉู่เชียนหลี เจ้าคิดอย่างไรก็คงคิดไม่ถึงกระมังว่า เจ้าเลี้ยงลูกสาวข้า ข้าเลี้ยงลูกชายเจ้า และก็ต้องขอบคุณลูกชายคนดีคนนี้ของเจ้า กลายเป็นตัวช่วยที่สำคัญของอ๋องหลี” นางเผยอมุมปาก รอยยิ้มนั้นน่ากลัวมากฉู่เชียนหลียืนตัวแข็งอยู่ตรงที่เดิม ไม่กล้าขยับ“เจ้าต้องการอะไร?”ฉู่เชียนหลีจ้องมีดสั้นในมือนาง กลัวว่านางจะพลั้งเผลอกรีดโดนคอของเด็กตั้งครรภ์สิบเดือนลูกชายเป็นก้อนเนื้อชิ้นหนึ่งที่ตกลงมาจากร่างกายนางนางไม่กล้าเดิมพัน และเดิมพันไม่ไหวฉู่เจียวเจียวกล่าว “ข้าต้องก
กลางดึกกำลังถึงช่วงที่คนเงียบสงบ คนกลุ่มหนึ่งวิ่งไปที่ตำหนักเจาหยางราวกับคลื่นยักษ์ ตอนที่ใกล้จะถึง ฉู่เชียนหลีตวาดสั่งให้พวกเขาหยุด“พวกเจ้าอยู่ห่างๆ อยากเข้าใกล้!”พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความเป็นห่วง “พระชายา พวกเราต้องไปเอาพระนัดดาองค์โตกลับมา นั่นเป็นเลือดเนื้อของท่านกับท่านอ๋องนะ”“ข้ารู้!”ก็เพราะรู้ จึงไม่ให้พวกเขาเข้าใกล้“ไปทำอะไรคนเยอะแยะ ถ้าหากบีบจนฉู่เจียวเจียวไม่มีทางเลือก นางทำอะไรขึ้นมา…”ฉู่เชียนหลีแทบจะเป็นบ้าแล้ว ร้อนรนเหมือนมดที่อยู่บนกระทะร้อน ทั้งร้อนใจทั้งไม่สบายใจ น้ำเสียงก็ค่อนข้างฉุนเฉียวไม่อยากพูดมาก วิ่งเข้าไปในตำหนักเจาหยางเพียงลำพัง คนอื่นรออยู่ที่ข้างนอก ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามภายในตำหนักฉู่เจียวเจียวกำลังกล่อมจื่อเยี่ย ฉู่เจียวเจียวมาแล้ว นางมองเด็กน้อยที่อ้วนสมบูรณ์ กล่าวโดยไม่เงยหน้า“พระชายาอ๋องเฉิน ลูกของข้าเพิ่งนอนหลับ ”โปรดให้อภัย ข้าอุ้มเขาไว้ ร่างกายหนัก ไม่สะดวกลุกขึ้นยืน สายตาฉู่เชียนหลีมองไปที่ตัวเด็กเด็กน้อยอ้วนสมบูรณ์ ใบหน้าจ้ำม่ำ คิ้วละเอียดอ่อน หน้าตาที่น่ารักน่าเอ็นดู คล้ายเฟิงเจิ้งเว่ยซีแปดส่วนเหตุใดเมื่อก่อนนางไม่สังเกต
อวิ๋นอิงถูกนางทำเอาตกใจจนหน้าซีด รีบถาม“พระชายา มีอะไรหรือ? เหตุใดกะทันหันเช่นนี้?”“รีบไป!”มือทั้งสองข้างของฉู่เชียนหลีเย็นเฉียบ เสียงนั้นเกือบจะคำรามออกมา แม้แต่คอก็กำลังสั่นสะเทือนคนข้างล่างไม่กล้ารอช้า รีบไปตามหาคนทันทีเฟิงเย่เสวียนประหม่า “เชียนหลี นี่เจ้าเป็นอะไร?”“ข้าอาจจะเข้าใจผิด อาจจะทำผิดพลาด ข้าอาจจะ…ข้า ข้า…” ฉู่เชียนหลีพูดวนไม่ปะติดปะต่อ พูดอยู่ดีๆ เบ้าตาก็แดงแล้วหัวใจเหมือนถูกแมวข่วน กระสับกระส่ายนางกุมเสื้อตรงหน้าอก หายใจอย่างอึดอัดขออย่าให้มันเป็นเรื่องจริง…ขออย่า…นางทรมานจังนางไม่ใช่แม่ที่ดี กลัวรู้ความจริง แต่ก็อยากรู้ความจริงหลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ผู้คนร้อยกว่าคนเข้าวังในคืนนั้น มีคนของจวนอ๋องเฉิน หมอ หมอตำแย ผู้ช่วยหมอ และยังมีองครักษ์ลับ ทหารยาม หมอหญิงเว่ยก็อยู่เมื่อหนึ่งเดือนกว่าก่อน ตอนที่ฉู่เชียนหลีคลอดลูก คนเหล่านี้อยู่ในเหตุการณ์ทุกคนเมื่อฉู่เชียนหลีเห็นพวกเขา รีบถามทันที“วันที่ข้าคลอดลูก เคยมีคนแปลกหน้ามาหรือไม่?”ทุกคนหันมองกันและกัน ล้วนส่ายศีรษะ“พระชายา เรื่องสำคัญอย่างท่านคลอดลูก พวกเราจับตาดูอย่างเข้มงวด ในจวนมีแต่คนข
นางกำนัลรีบนำพู่กันมาฉู่เชียนหลีเอาพู่กันจุ่มน้ำหมึก แล้วใส่ในมือฮ่องเต้ร่างกายของฮ่องเต้เป็นอัมพาต ไม่ควบคุมมือไม่ได้ ไม่สามารถจับพู่กันด้วยซ้ำ ปากของเขาเบี้ยว ใช้แรงทั้งหมดหนีบด้ามพู่กันด้วยนิ้วชี้กับนิ้วกลาง อาศัยแรงกระตุกของร่างกาย ลงพู่กันบนกระดาษอย่างเบี้ยวไปเบี้ยวมาเพียงไม่กี่ขีด เขียนอย่างยากลำบาก บนหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อแนวเฉียง…แนวตั้ง…สองคำ ทั้งหมดสี่ขีดเขียนเสร็จ พู่กันก็ร่วงตกบนพื้น เขาเหนื่อยจนหอบบนเตียง ขยับไม่ได้อีกแล้ว“ลูกชาย…” อวิ๋นอิงอุทานเบาๆ “คนที่ฝ่าบาทคิดถึงคือลูกชาย?”ฉู่เชียนหลีถือกระดาษ แม้สองคำนี้เขียนได้คดเคี้ยวมาก แต่เนื่องจากลายเส้นเรียบง่าย จึงมองออกในปราดเดียวว่ามันคือคำว่า ‘ลูกชาย’นี่เขาอยากบอกอะไรนาง?“หรือเป็นอ๋องหลี?” อวิ๋นอิงคาดเดาฉู่เชียนหลีส่ายศีรษะโดยไม่ต้องคิด“อ๋องหลีวางยาพิษเขา กบฏวังชิงราชบัลลังก์ มีความทะเยอทะยาน ฝ่าบาทไม่มีทางคิดถึงอ๋องหลี”นางกล่าววิเคราะห์“ส่วนอ๋องหลีหลังจากขึ้นบัลลังก์ ไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ องค์ชายท่านอื่นอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีอันตราย ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางคิดถึงองค์ชายท่านอื่น”อวิ๋
ตอนที่ตื่น ก็เป็นเที่ยงของวันใหม่แล้ว เฟิงเย่เสวียนรู้จักเตียงนานแล้ว หลังจากฉู่เชียนหลีกินอะไรง่ายๆ ก็ไปที่สำนักหมอหลวง หมกมุ่นอยู่กับตำราแพทย์พริบตาเดียวก็กลางคืนแล้วนางกำนัลมารายงาน ฮ่องเต้ฟื้นแล้ว ฉู่เชียนหลีไปตำหนักผานหลง ฮ่องเต้นอนตัวเกร็งอยู่บนเตียง นิ้วมือหยิกงอ ร่างกายครึ่งหนึ่งแข็งเหมือนท่อนไม้ ปากก็เบี้ยวจนมีน้ำลายไหลยืดเขาเบิกตากว้างจนลูกตาแทบทะลักออกมาแล้ว นางกำนัลที่ปรนนิบัติกลัวเล็กน้อย ไม่กล้าเข้าไปปรนนิบัติฉู่เชียนหลีเดินเข้ามา“ฝ่าบาททรงฟื้นเมื่อไร”“เมื่อหนึ่งเค่อก่อนเจ้าค่ะ” นางกำนัลตอบ“ดื่มโอสถหรือยัง?”“หนึ่งวันสามมื้อ ป้อนตรงเวลาเจ้าค่ะ”“อืม”นางเดินไปที่หน้าเตียง จับชีพจรของฮ่องเต้ ลักษณะชีพจรคงที่ ไม่มีปัญหาใหญ่อะไร เพียงแต่ร่างกายได้รับหญ้าหมาเฟ้ยมากเกินไป ส่งผลให้ร่างกายชาจนไม่ตอบสนอง อย่างน้อยต้องใช้เวลาอีกครึ่งปี จึงจะสามารถสลายหญ้าหมาเฟ้ยเหล่านี้หมดถึงเวลา ก็สามารถกลับมาเป็นปกติ“ดูแลดีๆ ต้องมีคนเฝ้าอยู่ข้างพระวรกายตลอดอย่างน้อยสองคน” นางกำชับนางกำนัลเวลานี้เอง ที่นอกประตู อวิ๋นอิงอุ้มน้องสาวมาแล้ว“พระชายา ท่านเอาแต่ยุ่งทั้งวัน ลู่ฉิ
ฉู่เชียนหลีมองนาง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าหากไม่ใช่เพราะเจ้า อ๋องหลีก็ไม่สามารถก่อเรื่องมากมายเช่นนี้ เจ้าจะให้ข้าจัดการเจ้าอย่างไรจึงจะดี?”ถ้าไม่มียาอายุวัฒนะ อ๋องหลีจบสิ้นไปนานแล้วและยาชนิดนี้ก็มาจากมือของอูหนูอูหนูยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเย็นชา ยืดอกหลังตรง การแสดงออกบนใบหน้าไม่เย่อหยิ่งแต่ก็ไม่ถ่อมตน นางเป็นคนที่เคยตายมาแล้วหนึ่งครั้ง ย่อมไม่กลัว“จะฆ่าจะแกง เชิญตามสะดวก”นางเงยหน้า หลับตา“เจ้าเป็นผู้ช่วยที่ดีของอ๋องหลี ข้าฆ่าเจ้าทั้งเช่นนี้ จะไม่เสียดายแย่หรือ?” ฉู่เชียนหลีเดินไปที่ตรงหน้านาง “ข้าขอถามเจ้า เจ้าทำอะไรกับฝ่าบาท? เหตุใดจู่ๆ เขาก็เป็นอัมพาตเฉียบพลัน”อูหนูย่อมไม่อยากพูดไม่รอนางเอ่ยปาก ฉู่เชียนหลีเสริมอีกประโยค“ตายเป็นแค่ผลลัพธ์อย่างหนึ่ง แต่ขั้นตอนการตาย ควรตายอย่างไร ขึ้นอยู่กับข้า”“เจ้าสามารถปากแข็ง แต่ปากแข็งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ และยังจะเพิ่มความเจ็บปวด เจ้าเป็นคนฉลาด รู้ว่าควรเลือกอย่างไร”อูหนู “...”ข่มขู่อย่างโจ่งแจ้งถ้าหากนางยอมพูด มอบความตายที่ไม่เจ็บปวดให้นางถ้าหากนางไม่ยอมพูด คิดวิธีทรมานสารพัด เพื่อทำให้นางยอมพูด สุดท้ายก็ตายอยู่