เวลาผ่านไปอย่างเงียบๆ ทีละนิด เงียบจนสามารถได้ยินเสียงหายใจนางหายใจเบามาก หน้าอกที่กระพือขึ้นลงก็เบามาก ท่าทางที่อ่อนแอเช่นนั้น ราวกับแค่ใช้นิ้วจิ้มเบาๆ ก็จะหายไปตามสายลม…เขานั่งอยู่ที่หน้าเตียงหวังว่านางจะฟื้น หวังว่านางจะสามารถลืมตากลับมาเป็นเหมือนเมื่อก่อน ใช้ดวงตาที่เป็นประกายและมีพลังมองเขาแต่เขาก็กลัว…กลัวเผชิญหน้ากับนางกลัวเห็นสายตาที่นางเกลียดชังเขา ยิ่งกลัวไม่รู้จะพูดกับนางอย่างไร…จิ่งอี้ก้มหน้าลงอย่างเจ็บปวด ในแววตาเต็มไปด้วยความขมขื่น“ตกลงข้าควรทำอย่างไร…ข้าทำอะไรลงไป เดินมาถึงขั้นนี้ หัวใจของข้าวุ่นวายและสับสนมาก จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร จะทำอะไร ควรทำอะไร อะไรคือถูก อะไรคือผิด จู่ๆ ข้าก็เหมือนหลงทาง…”ยี่สิบกว่าปีมานี้ ครั้งแรกที่หลงทางตอนเด็ก ถูกคนเหล่านั้นตามล่า เขาอดทนผ่านมาได้ตอนจางเฟยตาย เขาก็อดทนผ่านมาได้แล้วแต่ตอนนี้ อวิ๋นอิง สองคำนี้ก็เหมือนภูเขาลูกใหญ่ที่หนักอึ้ง ทับอยู่บนไหล่ของเขา ทับจนเขาแทบหายใจไม่ออกเฟิ่งหรานที่ยืนอยู่ข้างๆ เม้มมุมปากแน่นเรื่องราวมาถึงขั้นนี้ พูดมากก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อเทียบกับหนีความกลัว ไม่สู้หาทางออกที่ด
จิ่งอี้ชะงักเล็กน้อย มีประกายแปลกๆ แลบผ่านแววตาไม่กล้าพูดถึงอวิ๋นอิง…เมื่อพูดถึงชื่อนี้ เขาร้อนตัว“นาง…” เขากวาดมองประตูห้องที่ปิดสนิท “น่าจะกลับไปแล้วกระมัง”ยิ่งกว่านั้นเขายังไม่รู้ว่าจะอธิบายกับคุณหนูอย่างไร…เยว่เอ๋อร์เกาศีรษะอวิ๋นอิงกลับจวนอ๋องเฉินแล้ว?เหตุใดนางไม่เห็น?สงสัยระหว่างทางที่มา นางกับอวิ๋นอิงเดินคลาดกันกระมัง ในเมื่ออวิ๋นอิงไม่อยู่ที่นี่ เช่นนั้นนางก็สามารถพูดสิ่งที่จะพูดต่อจากนี้ได้อย่างวางใจแล้ว“คุณชายจิ่ง เมื่อคืนอวิ๋นอิงค้างคืนกับท่านหรือ?”เพิ่งถามคำพูดนี้ออกมา ก็รู้สึกได้ว่าสายตาของเขาเย็นลงแล้ว นางรีบกล่าวเสริม“ความหมายของข้าคือ นางค้างคืนที่โรงหมอหรือ? เพราะเมื่อคืนนางไม่ได้กลับจวน พระชายาค่อนข้างเป็นห่วงนาง…”ที่จริงเยว่เอ๋อร์อยากหยั่งเชิงความสัมพันธ์ของจิ่งอี้กับอวิ๋นอิง อยากรู้ว่าพวกเขาพัฒนาไปถึงขั้นใดแล้ว แต่คุณชายจิ่งเฉียบแหลม นางไม่กล้าพูดตรงเกินไปจิ่งอี้ยังคงมองเยว่เอ๋อร์อย่างเย็นชาสายตาเฉียบคม ราวกับสามารถมองทะลุความคิดของเยว่เอ๋อร์ เขาสามารถมองออก นางหนูนี่ไม่ธรรมดาเมื่อคืน ทั้งๆ ที่เขาส่งคนไปแจ้งจวนอ๋องเฉินแล้ว บอกคุณหนูว่า
ในวังพระนัดดาองค์โตไม่สบาย ร้องไห้งอแง ย่อมได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้อย่างยิ่ง เขาทิ้งงานที่กำลังทำ ความสนใจทั้งหมดอยู่ที่เด็กคนนี้เรื่องราวประมาณนี้ตอนเที่ยง หลังจากพระชายาอ๋องเฉินออกจากวัง เดิมทีพระนัดดาองค์โตควรนอนช่วงบ่ายตามปกติ แต่กลับร้องไห้งอแงกล่อมอย่างไรก็ไม่ดีขึ้นป้อนนมแล้วก็ไม่ดีขึ้นร้องไห้ตลอดร้องไห้ไม่หยุดเด็กคนนี้ไม่เคยขี้แยเช่นนี้ฮ่องเต้รู้สึกถึงความผิดปกติ ตามสำนักหมอหลวงทันที และยังแจ้งฉู่เชียนหลีที่มีทักษะการแพทย์ คนทั้งกลุ่มล้อมอยู่ที่หน้าเปลโยก พลางตรวจชีพจรให้พระนัดดาองค์โตเต๋อเฟยโทษตัวเอง“ฝ่าบาท หม่อมฉันดูแลพระนัดดาองค์โตไม่ดี หม่อมฉันละเลยหน้าที่ ฝ่าบาทโปรดลงโทษเพคะ”ฮ่องเต้ประคองร่างกายนางขึ้น“ลุกขึ้นก่อน เรากับเจ้ารู้จักกันสามสิบกว่าปี เจ้าทำงาน เราวางใจ รอดูหมอหลวงว่าอย่างไร”“ขอบพระทัยฝ่าบาท…”ในเปลโยก พระนัดดาองค์โตพลางโบกมือน้อยๆ พลางร้องอุแว้ๆ ร้องไห้จนหน้าแดงก่ำและปากเจ่อ ราวกับติดตั้งเครื่องยนต์ ร้องไห้ไม่หยุดหลังจากนั้นประมาณหนึ่งเค่อหมอหลวงของสำนักหมอหลวงปรึกษากันอยู่ครู่หนึ่ง หมอหญิงเว่ยจึงจะก้าวออกมากล่าว“ฝ่าบาท พวกเรา
เสื้อผ้าที่ฉู่เชียนหลีสวมใส่ ย่อมไม่ได้กลิ่นบนร่างกายตัวเองเมื่อทุกคนกล่าวเช่นนี้ คิ้วของนางก็ขมวดเช่นกันนางมั่นใจและแน่ใจมาก นางไม่เคยใช้ธูปหอมกลิ่นดอกบัว ในจวนก็ไม่เคยซื้อธูปหอมเช่นนี้ บนร่างกายนางไม่มีทางมีกลิ่นเช่นนี้เด็ดขาดหรือว่า…มีคนกำลังวางแผนใส่ความนาง?“เสด็จพ่อ ถ้าหากข้าจะทำร้ายพระนัดดาองค์โต ย่อมต้องถอดเสื้อผ้าชุดนี้ และนำไปเผาทำลายหลักฐานทันที แต่ไม่ใช่เดินเข้าวังอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้” ฉู่เชียนหลีกล่าวฮ่องเต้ย่อมเข้าใจความหมายของนาง แต่ตอนนี้หลักฐานชี้ไปที่นาง เขาจะแก้ต่างให้นางอย่างไร?อีกคนคือหลานชายที่เขาเฝ้ารอมาสิบกว่าปีอีกคนคือพระชายาที่รักลูกสาวที่สุด และยังเป็นแม่บังเกิดเกล้าของลูกสาวฝาแฝดจะให้เขาเข้าข้างใคร?เวลานี้เอง เต๋อเฟยก้าวออกมา“ฝ่าบาท ตอนที่หม่อมฉันเห็นพระชายาอุ้มพระนัดดาองค์โต ท่าทางที่อ่อนโยนและมีเมตตานั่น ไม่เหมือนเสแสร้ง ความรักเช่นนั้น แสร้งแสดงออกมาไม่ได้ บางทีอาจมีคนเล่นสกปรก ใส่ความพระชายาอ๋องเฉิน?”นางวิเคราะห์อย่างใจเย็นฉู่เชียนหลีอึ้งไปครู่หนึ่ง มองไปทางเต๋อเฟยด้วยสายตาประหลาดใจเล็กน้อยพวกนางเคยเจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง นางกลับช
นางกล่าวอย่างยิ้มแย้ม“ความสามารถของอ๋องหลีไม่น้อยเลยจริงๆ กักตัวอยู่ที่จวนอ๋อง รู้ทุกอย่างในวัง นับถือๆ”ทุกคนก้มหน้าลง บนใบหน้าล้วนปรากฏให้เห็นแววที่ซับซ้อนทุกคนล้วนเป็นคนฉลาด มีหรือที่จะฟังความหมายนอกเหนือคำพูดของพระชายาอ๋องเฉินไม่ออกพระนัดดาองค์โตเกิดเรื่อง แปดส่วนเกี่ยวข้องกับจวนอ๋องเฉินทันทีที่พระนัดดาองค์โตเกิดเรื่อง พระชายาอ๋องหลีก็เข้าวัง และยังบอกจะพาพระนัดดาองค์โตกลับไปเลี้ยงอย่างแข็งกร้าว หรือมีการวางแผนมา จุดประสงค์ก็เพื่อรับพระนัดดาองค์โตกลับจวนขอแค่มีพระนัดดาองค์โตอยู่ข้างกาย ฮ่องเต้ต้องเห็นแก่หน้าพระนัดดาองค์โต ลงโทษอ๋องหลีสถานเบาแน่นอนวิธีการลึกล้ำจริงๆ…“เจ้า…พระชายาอ๋องเฉิน เจ้าพูดเหลวไหลอะไร? เหตุใดข้าไม่เข้าใจ…”ฉู่เจียวเจียวกอดลูกในอ้อมแขนแน่น สองมือจับผ้าห่อทารกอย่างกระสับกระส่าย แววตาสั่นไหวร้อนตัวแล้วนางเผลอพูดผิดไปแล้ว ตอนนี้ยิ่งพูดมาก ยิ่งดูมีพิรุธ แต่ถ้าหากไม่พูด ก็เท่ากับยอมรับว่าอ๋องหลีมีปัญหาไม่ใช่หรือ?พูดก็ไม่ใช่ ไม่พูดก็ไม่ใช่บ้าจริง!เมื่อครู่นางปากไวไปหน่อย หลงกลฉู่เชียนหลีแล้ว!“ฟังไม่เข้าใจก็ช่างเถอะ คิดว่าในใจฝ่าบาทรู้ดี” ฉู
ทุกคน “?”“จะเป็นไปได้อย่างไร?!”เต๋อเฟยตะลึงงัน นางยกแขนทั้งสองข้างขึ้น จับแขนเสื้อมาดม ดมซ้ายดมขวา ดมข้างนอกดมข้างใน ก็ไม่ได้กลิ่นบนร่างกายตัวเองเสื้อผ้าของนางสนมในวังหลังล้วนถูกซักโดยสำนักซักผ้า จากนั้นสำนักซักผ้าจะตากแห้ง และรมธูปหอมให้เรียบร้อย จึงจัดส่งกลับตำหนักและเรือนต่างๆธูปหอมมีนางกำนัลบันทึกโดยเฉพาะ ตำหนักของนางไม่เคยใช้ดอกบัว“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่เคยใช้ดอกบัวเพคะ กรมวังรู้ดี สามารถตรวจสอบได้ หรือว่าโจรชั่วนี่ไม่เพียงใส่ความพระชายาอ๋องเฉิน ยังคิดจะใส่ความหม่อมฉันด้วย?”เต๋อเฟยวิเคราะห์อย่างใจเย็นนางคิดจะทำร้ายพระนัดดาองค์โต เท่ากับรนหาที่ตาย อีกทั้งนางก็อายุมากแล้ว ไม่มีความปรารถนาหรือความต้องการ ไม่มีทางลงมือกับพระนัดดาองค์โตเพราะฝ่าบาทเชื่อใจนาง จึงได้มอบพระนัดดาองค์โตให้นางฮ่องเต้ขมวดคิ้วแน่นเรื่องราวมาถึงทางตันฉู่เชียนหลีก็ครุ่นคิดอย่างละเอียดเช่นกันเมื่อช่วงเช้าตอนเข้าวัง นั่งกับฮ่องเต้ในอุทยานหลวงประมาณสองชั่วยาม และกลับตอนเที่ยง นางกับเต๋อเฟยล้วนเคยอุ้มจื่อเยี่ยตอนนั้นเข้าใกล้เต๋อเฟย บนร่างกายเต๋อเฟยไม่มีกลิ่นดอกบัวต่อมา ระหว่างทางออกจากวังเ
เด็กคนนี้คือความมั่นใจของนาง!ฉู่เชียนหลีกลับไม่รู้สึกถึงความรักของแม่จากตัวนางเลยหลังจากมีลูก สำหรับนางแล้ว ลูกสำคัญกว่าทุกสิ่งอย่าง เงินทอง อำนาจ ตำแหน่ง…ไม่มีอะไรเทียบกับลูกได้นางยอมให้ตัวเองทุกข์ทรมาน ก็จะไม่ปล่อยให้ลูกลำบาก ยิ่งไม่มีทางใช้ลูกเป็นเครื่องมือ แสวงผลประโยชน์ให้ตัวเองมองใบหน้าที่บิดเบี้ยวของฉู่เชียนหลี นางกล่าวอย่างเรียบเฉยหนึ่งประโยค“เจ้าเป็นคนคลอด…เฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยจริงหรือ?”“!”ร่างกายฉู่เจียวเจียวสั่นสะท้าน มีแสงบางอย่างแลบผ่านแววตา แน่นหน้าอกไปครู่หนึ่ง“ถ้าหากไม่ใช่เขาดูคล้ายอ๋องหลีกับฝ่าบาท ข้าคงคิดว่าเด็กคนนี้ถูกเจ้ารับเลี้ยงเสียอีก เจ้าช่างเป็นแม่ที่น่ารังเกียจจริงๆ” ฉู่เชียนหลีกวาดมองนางอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ยกเท้าเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรอีกเมื่อฉู่เจียวเจียวได้ยิน หัวใจที่บีบแน่นก็คลายออกอีกครั้งฟู่…คิดว่าฉู่เชียนหลีรู้แล้วเสียอีก…ตกใจหมดเลยดูเหมือน ฉู่เชียนหลีไม่ได้คิดไปในทางนั้น…ถ้าหากฉู่เชียนหลีรู้ความจริง เดิมทีอ๋องเฉินก็ได้รับความสำคัญจากฝ่าบาทอยู่แล้ว และนางยังให้กำเนิดลูกฝาแฝดชายหญิง ไม่เท่ากับว่า ฟ้าลิขิต ดินอำนวย คนสนับสนุน ได้ต
เก็บนางไว้อีกวัน ยังไม่รู้จะสร้างปัญหาอย่างไรอีก!อูหนูล้วงมีดสั้นอันแหลมคมออกจากแขนเสื้อ เลียริมฝีปากเบาๆ มีประกายอันเย็นเยือกแลบผ่านแววตา ฆ่า?นางย่อมไม่ฆ่าฉู่เชียนหลีฉู่เชียนหลีเป็นคนที่อ๋องหลีชอบ ถ้าหากนางฆ่าฉู่เชียนหลี ก็เท่ากับล่วงเกินอ๋องหลีในเมื่อฆ่าไม่ได้ นางก็ใช้วิธีอื่นสั่งสอนนาง“ในเมื่อเจ้ามักจะขัดแข้งขัดขาข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าก็ตัดมือของเจ้า ดูสิต่อไปเจ้าจะรักษาคนอย่างไร!”พลันสายตานางเหี้ยมเกรียม ถือมีดสั้น เหวี่ยงไปที่มือซ้ายของฉู่เชียนหลีซ่า…ทันใดนั้น หนามน้ำแข็งพุ่งออกมา“ซี้ด!”หนามน้ำแข็งแหวกอากาศพุ่งเข้าไปหาอูหนู พลันอูหนูแน่นหน้าอก รีบเบี่ยงร่างกาย หนามน้ำแข็งเฉียดผ่านใบหน้าของนาง รู้สึกเจ็บแสบทันทีเมื่อยกมือจับเลือดไหลแล้วตอนที่มองไป ฉู่เชียนหลีลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้า ท่าทางนั่นดูเกียจคร้านนัก เหมือนคนหมดสติเสียที่ไหนกัน?นางไม่ได้หมดสติ!“เจ้าแกล้งหมดสติ?”อูหนูถอยออกมาสามก้าว จ้องผู้หญิงที่กำลังนวดข้อมือ“ใช่ ตอนอยู่หน้าประตูวัง เพิ่งขึ้นรถม้า ข้าก็รู้สึกถึงความผิดปกติแล้ว ก็เลยใช้แผนซ้อนแผน จะได้ดูว่าใครแอบเล่นตุกติกอยู่เบื้องห
สีหน้าจวินลั่วยวนเปลี่ยนเล็กน้อยเสด็จพี่รองจะช่วยนางเอง นางไม่ได้ขอให้เสด็จพี่รองทำเช่นนี้สักหน่อยเสด็จพี่รองยินดีทำเช่นนี้เอง เหตุใดกลายเป็นความผิดของนางแล้ว?อีกอย่างนะ เขาเป็นพี่ชาย นางเป็นน้องสาว พี่ชายปกป้องน้องสาว มันก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้วไม่ใช่หรือ?“จวินลั่วยวน เจ้ารู้หรือไม่ เจ้ามันไม่รู้จักพอ เจ้าเป็นแค่คนที่รู้จักเอาผลประโยชน์จากคนอื่น แต่ไม่เคยเสียสละ ไม่เคยตอบแทน เมื่อนานวันเข้า ก็กลายเป็นนิสัยเห็นแก่ตัว”“คิดว่าตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง”“เอาแต่ได้อย่างเดียว”“ดูผิวเผินเหมือนเจ้าอยู่ในครอบครัวที่มีความสุข แต่ในความเป็นจริง ก็ไม่รู้เลยว่าอะไรคือความรักและความอบอุ่นในครอบครัว กลับกัน ข้ายังรู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่าแทนองค์ชายรอง”เขายอมเสี่ยงชีวิตช่วยน้องสาวออกมา แต่นางไม่สนใจความเป็นความตายของเขาเลยจวินลั่วยวนโกรธเล็กน้อยพูดถึงคำว่าครอบครัว นางก็จะนึกถึงเรื่องที่นางไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของฮองเฮาหนานยวนคำพูดของฉู่เชียนหลีกำลังเตือนนาง ความสุขที่นางได้รับในปัจจุบัน ล้วนขโมยมาทั้งสิ้น“ข้าควรทำอย่างไร เกี่ยวอะไรกับเจ้า!”นางเถียงกลับอย่างโกรธเคือง“ที่เสด็จพี่รองของ
สิ้นเสียงตะโกน เขาถูกทหารที่โถมเข้ามาปิดล้อมทหารโถมเข้ามาอย่างดุดันราวกับคลื่นยักษ์ กลืนกินเขาเข้าไปในนั้น เขาฟันกระบี่อย่างแน่วแน่ กัดฟันแน่น ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผลและเลือดเขายืนหยัดจนถึงแรงเฮือกสุดท้าย…ฉู่เชียนหลีตกใจมากคิดไม่ถึงว่าองค์ชายรองหนานยวนคนนี้ ต้องเสียสละชีวิตเพื่อน้องสาวแล้วหันมามองจวินลั่วยวน“อ๊ะ!”“ช่วยด้วย!”“รีบไป พวกเรารีบไปเร็ว! ถ้ายังไม่ไป ต้องตายอยู่ที่นี่แน่!”จวินลั่วยวนกลัวจนสติแตกไปแล้ว กุมศีรษะกรีดร้องไม่หยุด ริมฝีปากซีด ยกกระโปรงขึ้นก็วิ่งออกไปข้างนอก “รีบหนีเร็ว! อ๊ะ!”“...”พี่ชายของนางถูกปิดล้อม ชีวิตเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย นางจะไปทั้งเช่นนี้?ฉู่เชียนหลีขมวดคิ้ว แต่นึกถึงคำพูดของจวินอี้หลิน นางทำได้เพียงไล่ตาม“อ๊ะ!”“อ๊ะ!”จวินลั่วยวนพลางวิ่ง พลางกรีดร้อง ซึ่งดึงดูดความสนใจของทหาร มีทหารส่วนหนึ่งแยกตัวออกมาไล่ตามสายตาฉู่เชียนหลีขรึมลง ก้าวไปข้างหน้า “จวินลั่วยวน! หุบปาก!”ร้องต่อไปไม่ได้แล้ว!“เจ้าอยากล่อทุกคนมาหรือ!”“อ๊ะๆ! ข้ากลัว! เลือดเต็มไปหมด! จะตาย…อ๊ะ!”“หุบปาก!”“อ๊ะ!”เพียะ!นางไม่ฟังเลย ฉู่เชียนหลีเห็นทหารที่ม
เหล่าทหารตื่นตัวขึ้นมาทันที ทุกคนพากันหันไปมอง ก็เห็นร่างเงาสีดำวิ่งผ่าน สีหน้าเปลี่ยนฉับพลัน“แย่แล้ว!”“มีคนลอบโจมตี!”เสียงตะโกนทำให้ทุกคนตื่นตัว และคนหกเจ็ดสิบคนที่อยู่ใกล้ที่สุดก็รีบวิ่งมา พบฉู่เชียนหลีและคนอื่นแล้ว“จับพวกเขา!”ชักอาวุธออกมาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ลงมือโดยตรงฉู่เชียนหลีเห็นท่าไม่ดี ทำได้เพียงถือกระบี่ต่อสู้กับพวกเขา“เผด็จศึกโดยเร็ว อย่ายืดเยื้อ เน้นช่วยคนเป็นหลัก!”ยิ่งสู้นาน ก็จะยิ่งดึงดูดคนมามากขึ้นฉวยโอกาสตอนที่การเคลื่อนไหวของที่นี่ยังไม่กระจายออกไป รีบจัดการโดยเร็ว ช่วยอ๋องเฉินออกมา และรีบถอนกำลัง นี่จึงจะเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด“เจ้าค่ะ!”หานอิ๋งชักกระบี่ พาเหล่าองครักษ์ลับพุ่งออกไป เริ่มสู้กับเหล่าทหาร“ลงมือ!”จวินอี้หลินตวาดเบาๆ เขาดึงน้องสาวมาไว้ในอ้อมแขน ใช้มือข้างหนึ่งถือกระบี่ ต่อสู้กับทหารเหล่านั้นจนโกลาหลไปหมดทันใดนั้น ประกายดาบ เงากระบี่ เสียงตะโกน การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดปัง!เคร้ง!“อ่า!”“พู่!”“ฉึก!”ในการต่อสู้ที่ดุเดือด มีคนล้มลง มีคนได้รับบาดเจ็บ มีคนกระอักเลือด ชั้นวาง ท่อนไม้ กาน้ำ ของต่างๆ ล้มเกลื่อนพื้นวุ่นวายไป
หลังจากฉู่เชียนหลีรวบรวมคนในเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะเตรียมตัวออกเดินทาง ได้พบกับองค์ชายรองแคว้นหนานยวนหลังจากรู้จุดประสงค์การมาของเขา นางขมวดคิ้วแน่นองค์ชายรองเข้าร่วม นางย่อมยินดี แต่สายตาของนางมองไปที่จวินลั่วยวนโดยตรง กล่าวอย่างตรงไปตรงมา“นาง ไปไม่ได้”นิ้วชี้ชี้ไปทางจวินลั่วยวนโดยตรง“!”จวินลั่วยวนกระทืบเท้าทันที “เพราะอะไร!”แม้แต่เสด็จพี่รองก็ตอบตกลงแล้ว นางไปได้ไม่ได้ เกี่ยวอะไรกับฉู่เชียนหลี?“อ๋องเฉินถูกจับ พวกเราเป็นพันธมิตรกัน ข้าช่วยออกแรงอีกส่วนมันจะเป็นอะไร? เจ้าคิดว่าอาศัยแค่เจ้าคนเดียว สามารถช่วยอ๋องเฉินได้หรือ?”“การมีคนเพิ่มขึ้นหนึ่งคน ก็เท่ากับมีกำลังเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน จิตใจเจ้าคับแคบมาก ช่วยเปิดใจหน่อยได้หรือไม่?”เมื่อหานอิ๋งได้ยินคำพูดนี้ ก็จะพุ่งเข้าไปด้วยความหงุดหงิดทันทีพระชายาของพวกเขา ถึงคราวที่คนนอกจะมาสั่งสอนตั้งแต่เมื่อไร?คนที่ท่านอ๋องยังไม่ยอมตำหนิเลย จะปล่อยให้ขยะอย่างนางมารังแกได้อย่างไร?“หานอิ๋ง”ฉู่เชียนหลีห้ามนาง มีปัญหาน้อยลงดีกว่ามีปัญหาเพิ่ม อย่าทะเลาะกัน“พระชายา…”“ช่างเถอะ”จวินอี้หลินจับมือของจวินลั่วยวนแล้วก
เนื่องจากอ๋องเฉินถูกจับ บรรยากาศในทำเนียบจึงตึงเครียดมาก ทุกคนตั้งสติ ฟังคำสั่งของพระชายา ยืนเฝ้าประจำจุดของตัวเองอย่างเข้มงวดฉู่เชียนหลีออกคำสั่งปิดข่าว ห้ามแพร่งพรายเด็ดขาด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความตื่นตระหนกที่ไม่จำเป็นนอกทำเนียบอีกด้านของถนนจวินลั่วยวนนั่งอยู่บนบันได ระหว่างเข่าที่ชนกัน มีลูกอมที่เพิ่งซื้อมาวางอยู่หลายถุงนางกัดไม้เสียบเล็กๆ ไว้ พลางเลียลูกอม ดวงตาที่สวยงามคู่นั้น มองเห็นที่ทหารที่วิ่งไปวิ่งมาด้วยสีหน้าร้อนใจ จากประตูใหญ่ของทำเนียบที่เปิดกว้าง เหมือนกับว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นนางหรี่ตาเลียมุมปาก“หวานจัง”ซวงซวงกล่าวเสียงเบา “องค์หญิง ขนมนี่หวานเกินไป ท่านกินน้อยหน่อย ระวังฟันผุนะเจ้าคะ”“ซวงซวง ขนมนี่ไม่หวาน ความหมายของข้าคือ ข้ามีความสุข”จวินลั่วยวนลุกขึ้นยืน โยนถุงลูกอมให้ซวงซวง อมไว้ในปากหนึ่งชิ้น เดินกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขซวงซวงสงสัยมีความสุข?มีความสุขอะไร?ก็แค่กินขนม ก็มีความสุขเช่นนี้แล้ว? หรือเป็นเพราะองค์ชายรองมา องค์หญิงมีความสุขมาก?ศาลาพักม้าจวินลั่วยวนเพิ่งกลับมา เห็นผู้ชายคนหนึ่งที่ท่าทางเหมือนรองแม่ทัพ กำลังรายง
ฉู่เชียนหลีเป็นคนประเภทชอบลงมือทำ พูดแล้วก็ทำเลยบ่ายวันนั้น อวิ๋นอิงก็ไปซื้อเรียนสำหรับเด็กมาแล้ว ในหนังสือมีภาพว่า และตัวอักษรขนาดใหญ่ เหมาะกับเด็กอายุสามสี่ขวบที่เพิ่งหัดอ่านฉู่เชียนหลีถือหนังสือ สอนเด็กทั้งสองอย่างอดทน“แมลงปอ”“เว่ยซี จื่อเยี่ย ดู อันนี้เรียกว่าแมลงปอ มีปีกยาวๆ หนึ่งคู่ และยังมีตาที่โต”“นี่คือผีเสื้อ มา อ่านตามแม่ ฮวาหูเตี๋ย”เว่ยซีมองนมจนน้ำลายไหล ดูน่าสงสารมากจื่อเยี่ยอ้าปากส่งเสียงอีอาๆ แต่พูดไม่ชัด ไม่สามารถออกเสียงที่ถูกต้อง หัดพูดจนแก้มสีชมพูจะกลายเป็นสีแดงแล้ว“ฮวา…ฝู…ฝู…ฝูเตี๋ย…”“ไม่ถูก ฮวาหูเตี๋ย”“ฮวา…ฝู…เตีย…เตียเตี่ย!”พลันจื่อเยี่ยตาเป็นประกาย จู่ๆ ก็โบกมือน้อยเหมือนผีเสื้อกระพือปีก ปากก็ตะโกนอย่างสนุกสนาน“เตียเตี่ย!”ความหมายของเขาเหมือนกำลังบอกว่า เตียเตี่ย[1]เป็นผีเสื้อ “...”อวิ๋นอิงอุ้มเจี๋ยวเจี๋ยวยืนดูที่ข้างๆ รู้สึกเพียงภาพนี้โหดร้ายและไร้มนุษยธรรมมาก จู่ๆ ก็สงสารเว่ยซีกับจื่อเยี่ยอย่างอธิบายไม่ถูกเด็กบ้านอื่นเริ่มเรียนตอนอายุห้าขวบแต่ของพระชายา หนึ่งขวบก็เริ่มเรียนแล้วนางก้มหน้า มองใบหน้าเล็กของลูกสาว กล่าวเสียงเบา
สองวันต่อจากนั้น ค่อนข้างสงบเพียงแต่สงครามกำลังจะปะทุขึ้นแล้ว เมื่อครึ่งเดือนก่อน อ๋องเฉินยึดเมืองเจียหนานได้ในคราวเดียว เพื่อโต้ตอบ ฮ่องเต้หลีเลือกที่จะร่วมมือกับแคว้นซีอวี้ ได้รับม้าศึก อาวุธ และยอดทหารที่หนึ่งคนสามารถสู้สิบคน เตรียมพร้อมลงสนามรบทุกเมื่อ สงครามดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ“กลับมาอย่างปลอดภัยนะ”ฉู่เชียนหลีผูกสายรัดเอวของเสื้อเกราะอ่อน สวมเสื้อเพ้าชั้นนอก และจัดแจงให้เฟิงเย่เสวียน ก่อนออกเดินทาง โอบเอวของเขาไม่ยอมปล่อยเป็นเวลานานเฟิงเย่เสวียนลูบศีรษะน้อยๆ ของนาง“อยู่บ้านดูแลเว่ยซีกับจื่อเยี่ยให้ดี อย่างมากข้าไปสองวันก็กลับ”“ระวังตัวด้วย”“อืม”จูบกลางหว่างคิ้วของนาง ถือกระบี่เดินจากไปฉู่เชียนหลีไปส่งถึงประตูใหญ่ กระทั่งมองไม่เห็นแผ่นหลังของเขา จึงจะกลับจวนร่างกายของอวิ๋นอิงฟื้นตัวได้ดี สีหน้าก็ดูดีขึ้นมาก มีกู่แพทย์คอยบำรุงรักษา สุขภาพของนางค่อยๆ ดีขึ้น และไม่กระอักเลือดแล้ว“พระชายา งานเลี้ยงอายุครบหนึ่งปีของเว่ยซีกับจื่อเยี่ย จะเชิญใครบ้างเจ้าค่ะ?” อวิ๋นอิงกำลังวางแผนพริบตาเดียว ยังเหลืออีกเจ็ดวัน เจ้าเด็กน้อยทั้งสองก็จะอายุหนึ่งปีแล้วเวลาผ่านไปเร็วมาก
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าจวินลั่วยวนเปลี่ยนฉับพลัน กลิ่นอายรอบกายขรึมลง มีความตื่นตระหนกสายหนึ่งแลบผ่านแววตาอย่างรวดเร็วพริบตาเดียวไม่นานก็สงบลง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ“ท่านหมายความว่าอย่างไร?”“นี่ท่านพูดอะไรของท่าน!”นางสะบัดมือของจวินชิงอวี่หลุด ลุกขึ้นยืน ทั่วร่างเต็มไปด้วยความโกรธที่ถูกปรักปรำ“ข้าเป็นน้องสาวแท้ๆ ของท่าน ท่านกลับคิดว่าข้าทำเรื่องที่ไร้มโนธรรมเช่นนี้? เสด็จพี่สาม ก่อนที่ท่านจะพูด เคยถามใจตัวเองดูหรือไม่!”นางคำรามออกมาอย่างแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม ดวงตาก็กลายเป็นสีแดงไปแล้วจวินชิงอวี่รักนางมาก ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยตำหนินางแม้แต่คำเดียวแต่…“ยวนเอ๋อร์ เดิมทีคนที่วางยา เป็นคนตัดฟืนของทำเนียบเจียงหนาน รับคำสั่งจากฮองเฮาตงหลิง วางยาพิษทำร้ายพี่น้องฝาแฝด ถูกพระชายาอ๋องเฉินจับได้”“แต่เมื่อวานเจ้าส่งคนไปทำเนียบ คนตัดฟืนคนนี้ก็มาอยู่ที่ศาลาพักม้าแล้ว”“กลางคืน เสด็จแม่ก็ถูกพิษแล้ว”นำทั้งหมดนี้มาเชื่อมโยงกัน จะไม่ให้เขาสงสัยได้อย่างไร?จวินลั่วยวนเบิกตากว้าง“ข้าเป็นห่วงความร่วมมือของแคว้นหนานยวนกับอ๋องเฉิน ส่งคนไปลองถามดู ท่านกลับคิดว่าข้าติดสิ
ความจริงเป็นไปตามที่ฉู่เชียนหลีคาดการณ์หลังจากจวินชิงอวี่ตามจวินลั่วยวนทัน ปลอบใจนางอยู่นาน เขารับประกันและใช้คำพูดดีๆ สารพัด จึงจะสามารถทำให้น้องสาวหายโกรธกลับถึงศาลาพักมา ก็พลบค่ำแล้วฮองเฮาหนานยวนฟื้นแล้ว“เสด็จแม่ ท่านฟื้นแล้ว!”“เสด็จแม่ ท่านรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่? เจ็บคอหรือไม่?”จวินชิงอวี่ถามอย่างประหม่า จวินลั่วยวนรินน้ำอุ่นมาหนึ่งแก้ว ทั้งสองเฝ้าอยู่ที่หน้าเตียง มองมารดาด้วยความห่วงใยฮองเฮาหนานยวนรู้สึกเจ็บแบบแสบร้อนในลำคอ แค่ขยับเล็กน้อยก็เจ็บแสบมาก แม้กลืนน้ำก็เจ็บจนหน้าซีดนางเม้มปาก ไม่พูดสักคำจวินชิงอวี่จับมือของนาง กล่าวอย่างปวดใจ“เสด็จแม่ ท่านไม่ต้องกังวล พวกเราใช้ยาที่ดีที่สุดแล้ว ต้องดีขึ้นแน่นอน ทักษะการแพทย์ของพระชายาอ๋องเฉินเลิศล้ำ มีนางอยู่ ท่านจะต้องหายดีแน่นอน”จวินลั่วยวนพยักหน้า“ใช่แล้ว เสด็จแม่ ท่านก็อย่าเสียใจไปเลย อีกสามถึงห้าปีก็หายแล้ว”“...”คำพูดนี้ ฟังดูก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรแต่หากตั้งใจฟัง สำหรับฮองเฮาหนานยวนที่ชอบร้องเพลง ไม่ใช่จงใจพูดเสียดสีหรอกหรือ?ฮองเฮาหนานยวนถือแก้วน้ำ พิงอยู่ตรงหัวเตียง ค่อยๆ หลุบตา พูดไม่ออก และไม่อยา