ท่าทางที่โบกมือถีบเท้าด้วยความตื่นเต้น แก้มแดงๆ และดวงตาที่สะอาดเป็นประกายของเจ้าตัวน้อยนั่น ไม่ต้องพูดถึงว่าน่ารักเพียงใด“อุ้ย…”เต๋อเฟยมองตามสายตาของเขา เห็นพระชายาอ๋องเฉิน รู้ความหมายของเด็กคนนี้แล้ว กล่าวอย่างประหลาดใจ“พระชายาอ๋องเฉิน เหมือนจื่อเยี่ยจะชอบเจ้ามากเลยนะ”นางเลี้ยงพระนัดดาองค์โตเกือบสิบวันแล้ว ตลอดหลายวันมานี้ พระนัดดาองค์โตกินอิ่มนอนหลับทุกวัน ไม่เคยร้องไห้ ไม่ต้องห่วงเลยขณะเดียวกัน ก็ไม่เคยตื่นเต้นเช่นนี้เห็นพระชายาอ๋องเฉิน นี่เป็นครั้งแรกที่มีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้ฮ่องเต้ก็หันมามองด้วยความอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน “เจ้าหนูนี่ ตอนเห็นเราที่เป็นปู่คนนี้ ก็ไม่เคยเห็นเขามีความสุขเช่นนี้ หรือหน้าของเรามีแรงดึงดูดสู้พระชายาอ๋องเฉินไม่ได้?”เขาลูบหนวดเคราบนใบหน้าเต๋อเฟย “ฝ่าบาท ตอนที่ท่านใช้หนวดแทงจื่อเยี่ย จื่อเยี่ยไม่ร้องไห้ก็ดีมากแล้ว”ฮ่องเต้ “...”พูดความจริงส่งเดชอะไร“คิกๆ”จื่อเยี่ยน้อยพลางโบกกำปั้น พลางหัวเราะคิกคักใส่ฉู่เชียนหลี และกะพริบตาปริบๆ ไม่หยุด ราวกับพูดได้ในใจเต๋อเฟยหวั่นไหวแล้ว “พระชายาอ๋องเฉิน หรือไม่เจ้ามาอุ้มหน่อย?”ในใจฉู่เชียนหล
เมื่อเยว่เอ๋อร์ได้ยินคำพูดนี้ ก็สะดุ้งด้วยความตกใจ กวาดมองรอบๆ โดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นว่าไม่มีคนในวัง จึงจะถอนใจอย่างโล่งอกนางเดินเข้าไปใกล้พระชายา กล่าวเสียงเบา“พระชายา ในวังคนเยอะหูหลาย ท่านอย่าพูดส่งเดชนะ!”ถ้าหากมีคนได้ยิน ไม่แน่อาจจะใส่ความพระชายาอย่างไรก็ไม่รู้ลูกที่พระชายาอ๋องหลีให้กำเนิด จะคล้ายลูกที่พระชายาอ๋องเฉินให้กำเนิดได้อย่างไร?ต่อให้หน้าตาคล้าย ก็ต้องคล้ายท่านอ๋องฉู่เชียนหลีเม้มปาก “ข้ารู้ ข้าไม่ควรพูดคำพูดประโยคนี้ แต่ตอนที่ข้าอุ้มจื่อเยี่ย สายตาที่เขามองข้า มือของเขาที่จับข้า และรอยยิ้มที่ไร้เดียงสาของเขา ในใจข้ารู้สึกแปลกๆ มันอบอุ่นมากๆ…”ความรู้สึกเช่นนี้แปลกเล็กน้อย อธิบายไม่ถูกเหมือนกับว่านางกับเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยมีความเชื่อมโยงอะไรบางอย่างเยว่เอ๋อร์กล่าว“หรือตอนที่ท่านอุ้มเว่ยซีกับลู่ฉิน ในใจไม่ได้รู้สึกอบอุ่นหรือ?”“ข้า…”ตอนที่นางอุ้มลูกสาวทั้งสองคน ในใจย่อมอบอุ่นมากแต่นางอุ้มเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยไว้ ก็มีความรู้สึกเช่นนี้“เยว่เอ๋อร์ เจ้าไม่รู้หรอก คือ…มันไม่เหมือนกัน ข้า…ข้าไม่รู้จะอธิบายกับเจ้าอย่างไร” ฉู่เชียนหลีไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาอธิบาย
โรงหมอคืนนี้ จิ่งอี้นอนไม่หลับทั้งคืน หัวใจของเขาเหมือนถูกโยนขึ้นกลางอากาศแล้วตกลงมา ความรู้สึกที่เหมือนหายใจไม่ออก เคยเกิดขึ้นแค่ตอนที่จางเฟยตาย บนเตียงอวิ๋นอิงนอนอยู่ตรงนั้นนางเปลี่ยนชุดที่สะอาดแล้ว ผมก็ถูกหวีอย่างเรียบร้อย แต่สีหน้าซีดราวกับกระดาษ ไร้ร่องรอยของเลือด ร่างกายผอมเหมือนหนังหุ้มกระดูก ผ้าห่มคลุมอยู่บนร่างกายของนาง เรียบเหมือนไม่มีคนนอนอยู่นางผอมจนแทบเป็นหนึ่งเดียวกับเตียง ราวกับไม่มีตัวตนจิ่งอี้นั่งลืมตาอยู่ที่หน้าเตียงมาทั้งคืนแล้ว ไม่รู้เพราะเหนื่อยล้า หรือเพราะอะไร เบ้าตาของเขาแดงก่ำ ท่าทางที่เหี้ยมเกรียมนั่น มีความดุร้ายแฝงอยู่หลายส่วนริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรง สายตาเอาแต่จ้องใบหน้าของนางตลอด คืนนี้ หัวใจของเขาสงบอย่างน่าประหลาดเมื่อใจเย็นลง จู่ๆ เขาก็พบว่านางผอมจนน่ากลัว ผอมจนแก้มไม่มีเนื้อ กระดูกก็นูนออกมาแล้วเมื่อใจเย็นลง เขาพบเช่นกันว่านางที่นอนอยู่บนเตียง เหมือนดอกไม้ที่เหี่ยวเฉา ไม่หลงเหลือความสดใสในอดีตในความทรงจำของเขา นางเป็นคนมั่นใจและภาคภูมิใจเสมอไม่กลัวลำบาก กล้าเผชิญหน้าไม่กลัวอันตราย ยิ่งเจ็บยิ่งแกร่งบนใบหน้าของนางไม่เคยปรากฏ
เวลาผ่านไปอย่างเงียบๆ ทีละนิด เงียบจนสามารถได้ยินเสียงหายใจนางหายใจเบามาก หน้าอกที่กระพือขึ้นลงก็เบามาก ท่าทางที่อ่อนแอเช่นนั้น ราวกับแค่ใช้นิ้วจิ้มเบาๆ ก็จะหายไปตามสายลม…เขานั่งอยู่ที่หน้าเตียงหวังว่านางจะฟื้น หวังว่านางจะสามารถลืมตากลับมาเป็นเหมือนเมื่อก่อน ใช้ดวงตาที่เป็นประกายและมีพลังมองเขาแต่เขาก็กลัว…กลัวเผชิญหน้ากับนางกลัวเห็นสายตาที่นางเกลียดชังเขา ยิ่งกลัวไม่รู้จะพูดกับนางอย่างไร…จิ่งอี้ก้มหน้าลงอย่างเจ็บปวด ในแววตาเต็มไปด้วยความขมขื่น“ตกลงข้าควรทำอย่างไร…ข้าทำอะไรลงไป เดินมาถึงขั้นนี้ หัวใจของข้าวุ่นวายและสับสนมาก จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร จะทำอะไร ควรทำอะไร อะไรคือถูก อะไรคือผิด จู่ๆ ข้าก็เหมือนหลงทาง…”ยี่สิบกว่าปีมานี้ ครั้งแรกที่หลงทางตอนเด็ก ถูกคนเหล่านั้นตามล่า เขาอดทนผ่านมาได้ตอนจางเฟยตาย เขาก็อดทนผ่านมาได้แล้วแต่ตอนนี้ อวิ๋นอิง สองคำนี้ก็เหมือนภูเขาลูกใหญ่ที่หนักอึ้ง ทับอยู่บนไหล่ของเขา ทับจนเขาแทบหายใจไม่ออกเฟิ่งหรานที่ยืนอยู่ข้างๆ เม้มมุมปากแน่นเรื่องราวมาถึงขั้นนี้ พูดมากก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อเทียบกับหนีความกลัว ไม่สู้หาทางออกที่ด
จิ่งอี้ชะงักเล็กน้อย มีประกายแปลกๆ แลบผ่านแววตาไม่กล้าพูดถึงอวิ๋นอิง…เมื่อพูดถึงชื่อนี้ เขาร้อนตัว“นาง…” เขากวาดมองประตูห้องที่ปิดสนิท “น่าจะกลับไปแล้วกระมัง”ยิ่งกว่านั้นเขายังไม่รู้ว่าจะอธิบายกับคุณหนูอย่างไร…เยว่เอ๋อร์เกาศีรษะอวิ๋นอิงกลับจวนอ๋องเฉินแล้ว?เหตุใดนางไม่เห็น?สงสัยระหว่างทางที่มา นางกับอวิ๋นอิงเดินคลาดกันกระมัง ในเมื่ออวิ๋นอิงไม่อยู่ที่นี่ เช่นนั้นนางก็สามารถพูดสิ่งที่จะพูดต่อจากนี้ได้อย่างวางใจแล้ว“คุณชายจิ่ง เมื่อคืนอวิ๋นอิงค้างคืนกับท่านหรือ?”เพิ่งถามคำพูดนี้ออกมา ก็รู้สึกได้ว่าสายตาของเขาเย็นลงแล้ว นางรีบกล่าวเสริม“ความหมายของข้าคือ นางค้างคืนที่โรงหมอหรือ? เพราะเมื่อคืนนางไม่ได้กลับจวน พระชายาค่อนข้างเป็นห่วงนาง…”ที่จริงเยว่เอ๋อร์อยากหยั่งเชิงความสัมพันธ์ของจิ่งอี้กับอวิ๋นอิง อยากรู้ว่าพวกเขาพัฒนาไปถึงขั้นใดแล้ว แต่คุณชายจิ่งเฉียบแหลม นางไม่กล้าพูดตรงเกินไปจิ่งอี้ยังคงมองเยว่เอ๋อร์อย่างเย็นชาสายตาเฉียบคม ราวกับสามารถมองทะลุความคิดของเยว่เอ๋อร์ เขาสามารถมองออก นางหนูนี่ไม่ธรรมดาเมื่อคืน ทั้งๆ ที่เขาส่งคนไปแจ้งจวนอ๋องเฉินแล้ว บอกคุณหนูว่า
ในวังพระนัดดาองค์โตไม่สบาย ร้องไห้งอแง ย่อมได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้อย่างยิ่ง เขาทิ้งงานที่กำลังทำ ความสนใจทั้งหมดอยู่ที่เด็กคนนี้เรื่องราวประมาณนี้ตอนเที่ยง หลังจากพระชายาอ๋องเฉินออกจากวัง เดิมทีพระนัดดาองค์โตควรนอนช่วงบ่ายตามปกติ แต่กลับร้องไห้งอแงกล่อมอย่างไรก็ไม่ดีขึ้นป้อนนมแล้วก็ไม่ดีขึ้นร้องไห้ตลอดร้องไห้ไม่หยุดเด็กคนนี้ไม่เคยขี้แยเช่นนี้ฮ่องเต้รู้สึกถึงความผิดปกติ ตามสำนักหมอหลวงทันที และยังแจ้งฉู่เชียนหลีที่มีทักษะการแพทย์ คนทั้งกลุ่มล้อมอยู่ที่หน้าเปลโยก พลางตรวจชีพจรให้พระนัดดาองค์โตเต๋อเฟยโทษตัวเอง“ฝ่าบาท หม่อมฉันดูแลพระนัดดาองค์โตไม่ดี หม่อมฉันละเลยหน้าที่ ฝ่าบาทโปรดลงโทษเพคะ”ฮ่องเต้ประคองร่างกายนางขึ้น“ลุกขึ้นก่อน เรากับเจ้ารู้จักกันสามสิบกว่าปี เจ้าทำงาน เราวางใจ รอดูหมอหลวงว่าอย่างไร”“ขอบพระทัยฝ่าบาท…”ในเปลโยก พระนัดดาองค์โตพลางโบกมือน้อยๆ พลางร้องอุแว้ๆ ร้องไห้จนหน้าแดงก่ำและปากเจ่อ ราวกับติดตั้งเครื่องยนต์ ร้องไห้ไม่หยุดหลังจากนั้นประมาณหนึ่งเค่อหมอหลวงของสำนักหมอหลวงปรึกษากันอยู่ครู่หนึ่ง หมอหญิงเว่ยจึงจะก้าวออกมากล่าว“ฝ่าบาท พวกเรา
เสื้อผ้าที่ฉู่เชียนหลีสวมใส่ ย่อมไม่ได้กลิ่นบนร่างกายตัวเองเมื่อทุกคนกล่าวเช่นนี้ คิ้วของนางก็ขมวดเช่นกันนางมั่นใจและแน่ใจมาก นางไม่เคยใช้ธูปหอมกลิ่นดอกบัว ในจวนก็ไม่เคยซื้อธูปหอมเช่นนี้ บนร่างกายนางไม่มีทางมีกลิ่นเช่นนี้เด็ดขาดหรือว่า…มีคนกำลังวางแผนใส่ความนาง?“เสด็จพ่อ ถ้าหากข้าจะทำร้ายพระนัดดาองค์โต ย่อมต้องถอดเสื้อผ้าชุดนี้ และนำไปเผาทำลายหลักฐานทันที แต่ไม่ใช่เดินเข้าวังอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้” ฉู่เชียนหลีกล่าวฮ่องเต้ย่อมเข้าใจความหมายของนาง แต่ตอนนี้หลักฐานชี้ไปที่นาง เขาจะแก้ต่างให้นางอย่างไร?อีกคนคือหลานชายที่เขาเฝ้ารอมาสิบกว่าปีอีกคนคือพระชายาที่รักลูกสาวที่สุด และยังเป็นแม่บังเกิดเกล้าของลูกสาวฝาแฝดจะให้เขาเข้าข้างใคร?เวลานี้เอง เต๋อเฟยก้าวออกมา“ฝ่าบาท ตอนที่หม่อมฉันเห็นพระชายาอุ้มพระนัดดาองค์โต ท่าทางที่อ่อนโยนและมีเมตตานั่น ไม่เหมือนเสแสร้ง ความรักเช่นนั้น แสร้งแสดงออกมาไม่ได้ บางทีอาจมีคนเล่นสกปรก ใส่ความพระชายาอ๋องเฉิน?”นางวิเคราะห์อย่างใจเย็นฉู่เชียนหลีอึ้งไปครู่หนึ่ง มองไปทางเต๋อเฟยด้วยสายตาประหลาดใจเล็กน้อยพวกนางเคยเจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง นางกลับช
นางกล่าวอย่างยิ้มแย้ม“ความสามารถของอ๋องหลีไม่น้อยเลยจริงๆ กักตัวอยู่ที่จวนอ๋อง รู้ทุกอย่างในวัง นับถือๆ”ทุกคนก้มหน้าลง บนใบหน้าล้วนปรากฏให้เห็นแววที่ซับซ้อนทุกคนล้วนเป็นคนฉลาด มีหรือที่จะฟังความหมายนอกเหนือคำพูดของพระชายาอ๋องเฉินไม่ออกพระนัดดาองค์โตเกิดเรื่อง แปดส่วนเกี่ยวข้องกับจวนอ๋องเฉินทันทีที่พระนัดดาองค์โตเกิดเรื่อง พระชายาอ๋องหลีก็เข้าวัง และยังบอกจะพาพระนัดดาองค์โตกลับไปเลี้ยงอย่างแข็งกร้าว หรือมีการวางแผนมา จุดประสงค์ก็เพื่อรับพระนัดดาองค์โตกลับจวนขอแค่มีพระนัดดาองค์โตอยู่ข้างกาย ฮ่องเต้ต้องเห็นแก่หน้าพระนัดดาองค์โต ลงโทษอ๋องหลีสถานเบาแน่นอนวิธีการลึกล้ำจริงๆ…“เจ้า…พระชายาอ๋องเฉิน เจ้าพูดเหลวไหลอะไร? เหตุใดข้าไม่เข้าใจ…”ฉู่เจียวเจียวกอดลูกในอ้อมแขนแน่น สองมือจับผ้าห่อทารกอย่างกระสับกระส่าย แววตาสั่นไหวร้อนตัวแล้วนางเผลอพูดผิดไปแล้ว ตอนนี้ยิ่งพูดมาก ยิ่งดูมีพิรุธ แต่ถ้าหากไม่พูด ก็เท่ากับยอมรับว่าอ๋องหลีมีปัญหาไม่ใช่หรือ?พูดก็ไม่ใช่ ไม่พูดก็ไม่ใช่บ้าจริง!เมื่อครู่นางปากไวไปหน่อย หลงกลฉู่เชียนหลีแล้ว!“ฟังไม่เข้าใจก็ช่างเถอะ คิดว่าในใจฝ่าบาทรู้ดี” ฉู
สีหน้าจวินลั่วยวนเปลี่ยนเล็กน้อยเสด็จพี่รองจะช่วยนางเอง นางไม่ได้ขอให้เสด็จพี่รองทำเช่นนี้สักหน่อยเสด็จพี่รองยินดีทำเช่นนี้เอง เหตุใดกลายเป็นความผิดของนางแล้ว?อีกอย่างนะ เขาเป็นพี่ชาย นางเป็นน้องสาว พี่ชายปกป้องน้องสาว มันก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้วไม่ใช่หรือ?“จวินลั่วยวน เจ้ารู้หรือไม่ เจ้ามันไม่รู้จักพอ เจ้าเป็นแค่คนที่รู้จักเอาผลประโยชน์จากคนอื่น แต่ไม่เคยเสียสละ ไม่เคยตอบแทน เมื่อนานวันเข้า ก็กลายเป็นนิสัยเห็นแก่ตัว”“คิดว่าตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง”“เอาแต่ได้อย่างเดียว”“ดูผิวเผินเหมือนเจ้าอยู่ในครอบครัวที่มีความสุข แต่ในความเป็นจริง ก็ไม่รู้เลยว่าอะไรคือความรักและความอบอุ่นในครอบครัว กลับกัน ข้ายังรู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่าแทนองค์ชายรอง”เขายอมเสี่ยงชีวิตช่วยน้องสาวออกมา แต่นางไม่สนใจความเป็นความตายของเขาเลยจวินลั่วยวนโกรธเล็กน้อยพูดถึงคำว่าครอบครัว นางก็จะนึกถึงเรื่องที่นางไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของฮองเฮาหนานยวนคำพูดของฉู่เชียนหลีกำลังเตือนนาง ความสุขที่นางได้รับในปัจจุบัน ล้วนขโมยมาทั้งสิ้น“ข้าควรทำอย่างไร เกี่ยวอะไรกับเจ้า!”นางเถียงกลับอย่างโกรธเคือง“ที่เสด็จพี่รองของ
สิ้นเสียงตะโกน เขาถูกทหารที่โถมเข้ามาปิดล้อมทหารโถมเข้ามาอย่างดุดันราวกับคลื่นยักษ์ กลืนกินเขาเข้าไปในนั้น เขาฟันกระบี่อย่างแน่วแน่ กัดฟันแน่น ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผลและเลือดเขายืนหยัดจนถึงแรงเฮือกสุดท้าย…ฉู่เชียนหลีตกใจมากคิดไม่ถึงว่าองค์ชายรองหนานยวนคนนี้ ต้องเสียสละชีวิตเพื่อน้องสาวแล้วหันมามองจวินลั่วยวน“อ๊ะ!”“ช่วยด้วย!”“รีบไป พวกเรารีบไปเร็ว! ถ้ายังไม่ไป ต้องตายอยู่ที่นี่แน่!”จวินลั่วยวนกลัวจนสติแตกไปแล้ว กุมศีรษะกรีดร้องไม่หยุด ริมฝีปากซีด ยกกระโปรงขึ้นก็วิ่งออกไปข้างนอก “รีบหนีเร็ว! อ๊ะ!”“...”พี่ชายของนางถูกปิดล้อม ชีวิตเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย นางจะไปทั้งเช่นนี้?ฉู่เชียนหลีขมวดคิ้ว แต่นึกถึงคำพูดของจวินอี้หลิน นางทำได้เพียงไล่ตาม“อ๊ะ!”“อ๊ะ!”จวินลั่วยวนพลางวิ่ง พลางกรีดร้อง ซึ่งดึงดูดความสนใจของทหาร มีทหารส่วนหนึ่งแยกตัวออกมาไล่ตามสายตาฉู่เชียนหลีขรึมลง ก้าวไปข้างหน้า “จวินลั่วยวน! หุบปาก!”ร้องต่อไปไม่ได้แล้ว!“เจ้าอยากล่อทุกคนมาหรือ!”“อ๊ะๆ! ข้ากลัว! เลือดเต็มไปหมด! จะตาย…อ๊ะ!”“หุบปาก!”“อ๊ะ!”เพียะ!นางไม่ฟังเลย ฉู่เชียนหลีเห็นทหารที่ม
เหล่าทหารตื่นตัวขึ้นมาทันที ทุกคนพากันหันไปมอง ก็เห็นร่างเงาสีดำวิ่งผ่าน สีหน้าเปลี่ยนฉับพลัน“แย่แล้ว!”“มีคนลอบโจมตี!”เสียงตะโกนทำให้ทุกคนตื่นตัว และคนหกเจ็ดสิบคนที่อยู่ใกล้ที่สุดก็รีบวิ่งมา พบฉู่เชียนหลีและคนอื่นแล้ว“จับพวกเขา!”ชักอาวุธออกมาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ลงมือโดยตรงฉู่เชียนหลีเห็นท่าไม่ดี ทำได้เพียงถือกระบี่ต่อสู้กับพวกเขา“เผด็จศึกโดยเร็ว อย่ายืดเยื้อ เน้นช่วยคนเป็นหลัก!”ยิ่งสู้นาน ก็จะยิ่งดึงดูดคนมามากขึ้นฉวยโอกาสตอนที่การเคลื่อนไหวของที่นี่ยังไม่กระจายออกไป รีบจัดการโดยเร็ว ช่วยอ๋องเฉินออกมา และรีบถอนกำลัง นี่จึงจะเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด“เจ้าค่ะ!”หานอิ๋งชักกระบี่ พาเหล่าองครักษ์ลับพุ่งออกไป เริ่มสู้กับเหล่าทหาร“ลงมือ!”จวินอี้หลินตวาดเบาๆ เขาดึงน้องสาวมาไว้ในอ้อมแขน ใช้มือข้างหนึ่งถือกระบี่ ต่อสู้กับทหารเหล่านั้นจนโกลาหลไปหมดทันใดนั้น ประกายดาบ เงากระบี่ เสียงตะโกน การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดปัง!เคร้ง!“อ่า!”“พู่!”“ฉึก!”ในการต่อสู้ที่ดุเดือด มีคนล้มลง มีคนได้รับบาดเจ็บ มีคนกระอักเลือด ชั้นวาง ท่อนไม้ กาน้ำ ของต่างๆ ล้มเกลื่อนพื้นวุ่นวายไป
หลังจากฉู่เชียนหลีรวบรวมคนในเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะเตรียมตัวออกเดินทาง ได้พบกับองค์ชายรองแคว้นหนานยวนหลังจากรู้จุดประสงค์การมาของเขา นางขมวดคิ้วแน่นองค์ชายรองเข้าร่วม นางย่อมยินดี แต่สายตาของนางมองไปที่จวินลั่วยวนโดยตรง กล่าวอย่างตรงไปตรงมา“นาง ไปไม่ได้”นิ้วชี้ชี้ไปทางจวินลั่วยวนโดยตรง“!”จวินลั่วยวนกระทืบเท้าทันที “เพราะอะไร!”แม้แต่เสด็จพี่รองก็ตอบตกลงแล้ว นางไปได้ไม่ได้ เกี่ยวอะไรกับฉู่เชียนหลี?“อ๋องเฉินถูกจับ พวกเราเป็นพันธมิตรกัน ข้าช่วยออกแรงอีกส่วนมันจะเป็นอะไร? เจ้าคิดว่าอาศัยแค่เจ้าคนเดียว สามารถช่วยอ๋องเฉินได้หรือ?”“การมีคนเพิ่มขึ้นหนึ่งคน ก็เท่ากับมีกำลังเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน จิตใจเจ้าคับแคบมาก ช่วยเปิดใจหน่อยได้หรือไม่?”เมื่อหานอิ๋งได้ยินคำพูดนี้ ก็จะพุ่งเข้าไปด้วยความหงุดหงิดทันทีพระชายาของพวกเขา ถึงคราวที่คนนอกจะมาสั่งสอนตั้งแต่เมื่อไร?คนที่ท่านอ๋องยังไม่ยอมตำหนิเลย จะปล่อยให้ขยะอย่างนางมารังแกได้อย่างไร?“หานอิ๋ง”ฉู่เชียนหลีห้ามนาง มีปัญหาน้อยลงดีกว่ามีปัญหาเพิ่ม อย่าทะเลาะกัน“พระชายา…”“ช่างเถอะ”จวินอี้หลินจับมือของจวินลั่วยวนแล้วก
เนื่องจากอ๋องเฉินถูกจับ บรรยากาศในทำเนียบจึงตึงเครียดมาก ทุกคนตั้งสติ ฟังคำสั่งของพระชายา ยืนเฝ้าประจำจุดของตัวเองอย่างเข้มงวดฉู่เชียนหลีออกคำสั่งปิดข่าว ห้ามแพร่งพรายเด็ดขาด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความตื่นตระหนกที่ไม่จำเป็นนอกทำเนียบอีกด้านของถนนจวินลั่วยวนนั่งอยู่บนบันได ระหว่างเข่าที่ชนกัน มีลูกอมที่เพิ่งซื้อมาวางอยู่หลายถุงนางกัดไม้เสียบเล็กๆ ไว้ พลางเลียลูกอม ดวงตาที่สวยงามคู่นั้น มองเห็นที่ทหารที่วิ่งไปวิ่งมาด้วยสีหน้าร้อนใจ จากประตูใหญ่ของทำเนียบที่เปิดกว้าง เหมือนกับว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นนางหรี่ตาเลียมุมปาก“หวานจัง”ซวงซวงกล่าวเสียงเบา “องค์หญิง ขนมนี่หวานเกินไป ท่านกินน้อยหน่อย ระวังฟันผุนะเจ้าคะ”“ซวงซวง ขนมนี่ไม่หวาน ความหมายของข้าคือ ข้ามีความสุข”จวินลั่วยวนลุกขึ้นยืน โยนถุงลูกอมให้ซวงซวง อมไว้ในปากหนึ่งชิ้น เดินกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขซวงซวงสงสัยมีความสุข?มีความสุขอะไร?ก็แค่กินขนม ก็มีความสุขเช่นนี้แล้ว? หรือเป็นเพราะองค์ชายรองมา องค์หญิงมีความสุขมาก?ศาลาพักม้าจวินลั่วยวนเพิ่งกลับมา เห็นผู้ชายคนหนึ่งที่ท่าทางเหมือนรองแม่ทัพ กำลังรายง
ฉู่เชียนหลีเป็นคนประเภทชอบลงมือทำ พูดแล้วก็ทำเลยบ่ายวันนั้น อวิ๋นอิงก็ไปซื้อเรียนสำหรับเด็กมาแล้ว ในหนังสือมีภาพว่า และตัวอักษรขนาดใหญ่ เหมาะกับเด็กอายุสามสี่ขวบที่เพิ่งหัดอ่านฉู่เชียนหลีถือหนังสือ สอนเด็กทั้งสองอย่างอดทน“แมลงปอ”“เว่ยซี จื่อเยี่ย ดู อันนี้เรียกว่าแมลงปอ มีปีกยาวๆ หนึ่งคู่ และยังมีตาที่โต”“นี่คือผีเสื้อ มา อ่านตามแม่ ฮวาหูเตี๋ย”เว่ยซีมองนมจนน้ำลายไหล ดูน่าสงสารมากจื่อเยี่ยอ้าปากส่งเสียงอีอาๆ แต่พูดไม่ชัด ไม่สามารถออกเสียงที่ถูกต้อง หัดพูดจนแก้มสีชมพูจะกลายเป็นสีแดงแล้ว“ฮวา…ฝู…ฝู…ฝูเตี๋ย…”“ไม่ถูก ฮวาหูเตี๋ย”“ฮวา…ฝู…เตีย…เตียเตี่ย!”พลันจื่อเยี่ยตาเป็นประกาย จู่ๆ ก็โบกมือน้อยเหมือนผีเสื้อกระพือปีก ปากก็ตะโกนอย่างสนุกสนาน“เตียเตี่ย!”ความหมายของเขาเหมือนกำลังบอกว่า เตียเตี่ย[1]เป็นผีเสื้อ “...”อวิ๋นอิงอุ้มเจี๋ยวเจี๋ยวยืนดูที่ข้างๆ รู้สึกเพียงภาพนี้โหดร้ายและไร้มนุษยธรรมมาก จู่ๆ ก็สงสารเว่ยซีกับจื่อเยี่ยอย่างอธิบายไม่ถูกเด็กบ้านอื่นเริ่มเรียนตอนอายุห้าขวบแต่ของพระชายา หนึ่งขวบก็เริ่มเรียนแล้วนางก้มหน้า มองใบหน้าเล็กของลูกสาว กล่าวเสียงเบา
สองวันต่อจากนั้น ค่อนข้างสงบเพียงแต่สงครามกำลังจะปะทุขึ้นแล้ว เมื่อครึ่งเดือนก่อน อ๋องเฉินยึดเมืองเจียหนานได้ในคราวเดียว เพื่อโต้ตอบ ฮ่องเต้หลีเลือกที่จะร่วมมือกับแคว้นซีอวี้ ได้รับม้าศึก อาวุธ และยอดทหารที่หนึ่งคนสามารถสู้สิบคน เตรียมพร้อมลงสนามรบทุกเมื่อ สงครามดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ“กลับมาอย่างปลอดภัยนะ”ฉู่เชียนหลีผูกสายรัดเอวของเสื้อเกราะอ่อน สวมเสื้อเพ้าชั้นนอก และจัดแจงให้เฟิงเย่เสวียน ก่อนออกเดินทาง โอบเอวของเขาไม่ยอมปล่อยเป็นเวลานานเฟิงเย่เสวียนลูบศีรษะน้อยๆ ของนาง“อยู่บ้านดูแลเว่ยซีกับจื่อเยี่ยให้ดี อย่างมากข้าไปสองวันก็กลับ”“ระวังตัวด้วย”“อืม”จูบกลางหว่างคิ้วของนาง ถือกระบี่เดินจากไปฉู่เชียนหลีไปส่งถึงประตูใหญ่ กระทั่งมองไม่เห็นแผ่นหลังของเขา จึงจะกลับจวนร่างกายของอวิ๋นอิงฟื้นตัวได้ดี สีหน้าก็ดูดีขึ้นมาก มีกู่แพทย์คอยบำรุงรักษา สุขภาพของนางค่อยๆ ดีขึ้น และไม่กระอักเลือดแล้ว“พระชายา งานเลี้ยงอายุครบหนึ่งปีของเว่ยซีกับจื่อเยี่ย จะเชิญใครบ้างเจ้าค่ะ?” อวิ๋นอิงกำลังวางแผนพริบตาเดียว ยังเหลืออีกเจ็ดวัน เจ้าเด็กน้อยทั้งสองก็จะอายุหนึ่งปีแล้วเวลาผ่านไปเร็วมาก
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าจวินลั่วยวนเปลี่ยนฉับพลัน กลิ่นอายรอบกายขรึมลง มีความตื่นตระหนกสายหนึ่งแลบผ่านแววตาอย่างรวดเร็วพริบตาเดียวไม่นานก็สงบลง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ“ท่านหมายความว่าอย่างไร?”“นี่ท่านพูดอะไรของท่าน!”นางสะบัดมือของจวินชิงอวี่หลุด ลุกขึ้นยืน ทั่วร่างเต็มไปด้วยความโกรธที่ถูกปรักปรำ“ข้าเป็นน้องสาวแท้ๆ ของท่าน ท่านกลับคิดว่าข้าทำเรื่องที่ไร้มโนธรรมเช่นนี้? เสด็จพี่สาม ก่อนที่ท่านจะพูด เคยถามใจตัวเองดูหรือไม่!”นางคำรามออกมาอย่างแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม ดวงตาก็กลายเป็นสีแดงไปแล้วจวินชิงอวี่รักนางมาก ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยตำหนินางแม้แต่คำเดียวแต่…“ยวนเอ๋อร์ เดิมทีคนที่วางยา เป็นคนตัดฟืนของทำเนียบเจียงหนาน รับคำสั่งจากฮองเฮาตงหลิง วางยาพิษทำร้ายพี่น้องฝาแฝด ถูกพระชายาอ๋องเฉินจับได้”“แต่เมื่อวานเจ้าส่งคนไปทำเนียบ คนตัดฟืนคนนี้ก็มาอยู่ที่ศาลาพักม้าแล้ว”“กลางคืน เสด็จแม่ก็ถูกพิษแล้ว”นำทั้งหมดนี้มาเชื่อมโยงกัน จะไม่ให้เขาสงสัยได้อย่างไร?จวินลั่วยวนเบิกตากว้าง“ข้าเป็นห่วงความร่วมมือของแคว้นหนานยวนกับอ๋องเฉิน ส่งคนไปลองถามดู ท่านกลับคิดว่าข้าติดสิ
ความจริงเป็นไปตามที่ฉู่เชียนหลีคาดการณ์หลังจากจวินชิงอวี่ตามจวินลั่วยวนทัน ปลอบใจนางอยู่นาน เขารับประกันและใช้คำพูดดีๆ สารพัด จึงจะสามารถทำให้น้องสาวหายโกรธกลับถึงศาลาพักมา ก็พลบค่ำแล้วฮองเฮาหนานยวนฟื้นแล้ว“เสด็จแม่ ท่านฟื้นแล้ว!”“เสด็จแม่ ท่านรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่? เจ็บคอหรือไม่?”จวินชิงอวี่ถามอย่างประหม่า จวินลั่วยวนรินน้ำอุ่นมาหนึ่งแก้ว ทั้งสองเฝ้าอยู่ที่หน้าเตียง มองมารดาด้วยความห่วงใยฮองเฮาหนานยวนรู้สึกเจ็บแบบแสบร้อนในลำคอ แค่ขยับเล็กน้อยก็เจ็บแสบมาก แม้กลืนน้ำก็เจ็บจนหน้าซีดนางเม้มปาก ไม่พูดสักคำจวินชิงอวี่จับมือของนาง กล่าวอย่างปวดใจ“เสด็จแม่ ท่านไม่ต้องกังวล พวกเราใช้ยาที่ดีที่สุดแล้ว ต้องดีขึ้นแน่นอน ทักษะการแพทย์ของพระชายาอ๋องเฉินเลิศล้ำ มีนางอยู่ ท่านจะต้องหายดีแน่นอน”จวินลั่วยวนพยักหน้า“ใช่แล้ว เสด็จแม่ ท่านก็อย่าเสียใจไปเลย อีกสามถึงห้าปีก็หายแล้ว”“...”คำพูดนี้ ฟังดูก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรแต่หากตั้งใจฟัง สำหรับฮองเฮาหนานยวนที่ชอบร้องเพลง ไม่ใช่จงใจพูดเสียดสีหรอกหรือ?ฮองเฮาหนานยวนถือแก้วน้ำ พิงอยู่ตรงหัวเตียง ค่อยๆ หลุบตา พูดไม่ออก และไม่อยา