ท่าทางที่โบกมือถีบเท้าด้วยความตื่นเต้น แก้มแดงๆ และดวงตาที่สะอาดเป็นประกายของเจ้าตัวน้อยนั่น ไม่ต้องพูดถึงว่าน่ารักเพียงใด“อุ้ย…”เต๋อเฟยมองตามสายตาของเขา เห็นพระชายาอ๋องเฉิน รู้ความหมายของเด็กคนนี้แล้ว กล่าวอย่างประหลาดใจ“พระชายาอ๋องเฉิน เหมือนจื่อเยี่ยจะชอบเจ้ามากเลยนะ”นางเลี้ยงพระนัดดาองค์โตเกือบสิบวันแล้ว ตลอดหลายวันมานี้ พระนัดดาองค์โตกินอิ่มนอนหลับทุกวัน ไม่เคยร้องไห้ ไม่ต้องห่วงเลยขณะเดียวกัน ก็ไม่เคยตื่นเต้นเช่นนี้เห็นพระชายาอ๋องเฉิน นี่เป็นครั้งแรกที่มีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้ฮ่องเต้ก็หันมามองด้วยความอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน “เจ้าหนูนี่ ตอนเห็นเราที่เป็นปู่คนนี้ ก็ไม่เคยเห็นเขามีความสุขเช่นนี้ หรือหน้าของเรามีแรงดึงดูดสู้พระชายาอ๋องเฉินไม่ได้?”เขาลูบหนวดเคราบนใบหน้าเต๋อเฟย “ฝ่าบาท ตอนที่ท่านใช้หนวดแทงจื่อเยี่ย จื่อเยี่ยไม่ร้องไห้ก็ดีมากแล้ว”ฮ่องเต้ “...”พูดความจริงส่งเดชอะไร“คิกๆ”จื่อเยี่ยน้อยพลางโบกกำปั้น พลางหัวเราะคิกคักใส่ฉู่เชียนหลี และกะพริบตาปริบๆ ไม่หยุด ราวกับพูดได้ในใจเต๋อเฟยหวั่นไหวแล้ว “พระชายาอ๋องเฉิน หรือไม่เจ้ามาอุ้มหน่อย?”ในใจฉู่เชียนหล
เมื่อเยว่เอ๋อร์ได้ยินคำพูดนี้ ก็สะดุ้งด้วยความตกใจ กวาดมองรอบๆ โดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นว่าไม่มีคนในวัง จึงจะถอนใจอย่างโล่งอกนางเดินเข้าไปใกล้พระชายา กล่าวเสียงเบา“พระชายา ในวังคนเยอะหูหลาย ท่านอย่าพูดส่งเดชนะ!”ถ้าหากมีคนได้ยิน ไม่แน่อาจจะใส่ความพระชายาอย่างไรก็ไม่รู้ลูกที่พระชายาอ๋องหลีให้กำเนิด จะคล้ายลูกที่พระชายาอ๋องเฉินให้กำเนิดได้อย่างไร?ต่อให้หน้าตาคล้าย ก็ต้องคล้ายท่านอ๋องฉู่เชียนหลีเม้มปาก “ข้ารู้ ข้าไม่ควรพูดคำพูดประโยคนี้ แต่ตอนที่ข้าอุ้มจื่อเยี่ย สายตาที่เขามองข้า มือของเขาที่จับข้า และรอยยิ้มที่ไร้เดียงสาของเขา ในใจข้ารู้สึกแปลกๆ มันอบอุ่นมากๆ…”ความรู้สึกเช่นนี้แปลกเล็กน้อย อธิบายไม่ถูกเหมือนกับว่านางกับเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยมีความเชื่อมโยงอะไรบางอย่างเยว่เอ๋อร์กล่าว“หรือตอนที่ท่านอุ้มเว่ยซีกับลู่ฉิน ในใจไม่ได้รู้สึกอบอุ่นหรือ?”“ข้า…”ตอนที่นางอุ้มลูกสาวทั้งสองคน ในใจย่อมอบอุ่นมากแต่นางอุ้มเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยไว้ ก็มีความรู้สึกเช่นนี้“เยว่เอ๋อร์ เจ้าไม่รู้หรอก คือ…มันไม่เหมือนกัน ข้า…ข้าไม่รู้จะอธิบายกับเจ้าอย่างไร” ฉู่เชียนหลีไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาอธิบาย
โรงหมอคืนนี้ จิ่งอี้นอนไม่หลับทั้งคืน หัวใจของเขาเหมือนถูกโยนขึ้นกลางอากาศแล้วตกลงมา ความรู้สึกที่เหมือนหายใจไม่ออก เคยเกิดขึ้นแค่ตอนที่จางเฟยตาย บนเตียงอวิ๋นอิงนอนอยู่ตรงนั้นนางเปลี่ยนชุดที่สะอาดแล้ว ผมก็ถูกหวีอย่างเรียบร้อย แต่สีหน้าซีดราวกับกระดาษ ไร้ร่องรอยของเลือด ร่างกายผอมเหมือนหนังหุ้มกระดูก ผ้าห่มคลุมอยู่บนร่างกายของนาง เรียบเหมือนไม่มีคนนอนอยู่นางผอมจนแทบเป็นหนึ่งเดียวกับเตียง ราวกับไม่มีตัวตนจิ่งอี้นั่งลืมตาอยู่ที่หน้าเตียงมาทั้งคืนแล้ว ไม่รู้เพราะเหนื่อยล้า หรือเพราะอะไร เบ้าตาของเขาแดงก่ำ ท่าทางที่เหี้ยมเกรียมนั่น มีความดุร้ายแฝงอยู่หลายส่วนริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรง สายตาเอาแต่จ้องใบหน้าของนางตลอด คืนนี้ หัวใจของเขาสงบอย่างน่าประหลาดเมื่อใจเย็นลง จู่ๆ เขาก็พบว่านางผอมจนน่ากลัว ผอมจนแก้มไม่มีเนื้อ กระดูกก็นูนออกมาแล้วเมื่อใจเย็นลง เขาพบเช่นกันว่านางที่นอนอยู่บนเตียง เหมือนดอกไม้ที่เหี่ยวเฉา ไม่หลงเหลือความสดใสในอดีตในความทรงจำของเขา นางเป็นคนมั่นใจและภาคภูมิใจเสมอไม่กลัวลำบาก กล้าเผชิญหน้าไม่กลัวอันตราย ยิ่งเจ็บยิ่งแกร่งบนใบหน้าของนางไม่เคยปรากฏ
เวลาผ่านไปอย่างเงียบๆ ทีละนิด เงียบจนสามารถได้ยินเสียงหายใจนางหายใจเบามาก หน้าอกที่กระพือขึ้นลงก็เบามาก ท่าทางที่อ่อนแอเช่นนั้น ราวกับแค่ใช้นิ้วจิ้มเบาๆ ก็จะหายไปตามสายลม…เขานั่งอยู่ที่หน้าเตียงหวังว่านางจะฟื้น หวังว่านางจะสามารถลืมตากลับมาเป็นเหมือนเมื่อก่อน ใช้ดวงตาที่เป็นประกายและมีพลังมองเขาแต่เขาก็กลัว…กลัวเผชิญหน้ากับนางกลัวเห็นสายตาที่นางเกลียดชังเขา ยิ่งกลัวไม่รู้จะพูดกับนางอย่างไร…จิ่งอี้ก้มหน้าลงอย่างเจ็บปวด ในแววตาเต็มไปด้วยความขมขื่น“ตกลงข้าควรทำอย่างไร…ข้าทำอะไรลงไป เดินมาถึงขั้นนี้ หัวใจของข้าวุ่นวายและสับสนมาก จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร จะทำอะไร ควรทำอะไร อะไรคือถูก อะไรคือผิด จู่ๆ ข้าก็เหมือนหลงทาง…”ยี่สิบกว่าปีมานี้ ครั้งแรกที่หลงทางตอนเด็ก ถูกคนเหล่านั้นตามล่า เขาอดทนผ่านมาได้ตอนจางเฟยตาย เขาก็อดทนผ่านมาได้แล้วแต่ตอนนี้ อวิ๋นอิง สองคำนี้ก็เหมือนภูเขาลูกใหญ่ที่หนักอึ้ง ทับอยู่บนไหล่ของเขา ทับจนเขาแทบหายใจไม่ออกเฟิ่งหรานที่ยืนอยู่ข้างๆ เม้มมุมปากแน่นเรื่องราวมาถึงขั้นนี้ พูดมากก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อเทียบกับหนีความกลัว ไม่สู้หาทางออกที่ด
จิ่งอี้ชะงักเล็กน้อย มีประกายแปลกๆ แลบผ่านแววตาไม่กล้าพูดถึงอวิ๋นอิง…เมื่อพูดถึงชื่อนี้ เขาร้อนตัว“นาง…” เขากวาดมองประตูห้องที่ปิดสนิท “น่าจะกลับไปแล้วกระมัง”ยิ่งกว่านั้นเขายังไม่รู้ว่าจะอธิบายกับคุณหนูอย่างไร…เยว่เอ๋อร์เกาศีรษะอวิ๋นอิงกลับจวนอ๋องเฉินแล้ว?เหตุใดนางไม่เห็น?สงสัยระหว่างทางที่มา นางกับอวิ๋นอิงเดินคลาดกันกระมัง ในเมื่ออวิ๋นอิงไม่อยู่ที่นี่ เช่นนั้นนางก็สามารถพูดสิ่งที่จะพูดต่อจากนี้ได้อย่างวางใจแล้ว“คุณชายจิ่ง เมื่อคืนอวิ๋นอิงค้างคืนกับท่านหรือ?”เพิ่งถามคำพูดนี้ออกมา ก็รู้สึกได้ว่าสายตาของเขาเย็นลงแล้ว นางรีบกล่าวเสริม“ความหมายของข้าคือ นางค้างคืนที่โรงหมอหรือ? เพราะเมื่อคืนนางไม่ได้กลับจวน พระชายาค่อนข้างเป็นห่วงนาง…”ที่จริงเยว่เอ๋อร์อยากหยั่งเชิงความสัมพันธ์ของจิ่งอี้กับอวิ๋นอิง อยากรู้ว่าพวกเขาพัฒนาไปถึงขั้นใดแล้ว แต่คุณชายจิ่งเฉียบแหลม นางไม่กล้าพูดตรงเกินไปจิ่งอี้ยังคงมองเยว่เอ๋อร์อย่างเย็นชาสายตาเฉียบคม ราวกับสามารถมองทะลุความคิดของเยว่เอ๋อร์ เขาสามารถมองออก นางหนูนี่ไม่ธรรมดาเมื่อคืน ทั้งๆ ที่เขาส่งคนไปแจ้งจวนอ๋องเฉินแล้ว บอกคุณหนูว่า
ในวังพระนัดดาองค์โตไม่สบาย ร้องไห้งอแง ย่อมได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้อย่างยิ่ง เขาทิ้งงานที่กำลังทำ ความสนใจทั้งหมดอยู่ที่เด็กคนนี้เรื่องราวประมาณนี้ตอนเที่ยง หลังจากพระชายาอ๋องเฉินออกจากวัง เดิมทีพระนัดดาองค์โตควรนอนช่วงบ่ายตามปกติ แต่กลับร้องไห้งอแงกล่อมอย่างไรก็ไม่ดีขึ้นป้อนนมแล้วก็ไม่ดีขึ้นร้องไห้ตลอดร้องไห้ไม่หยุดเด็กคนนี้ไม่เคยขี้แยเช่นนี้ฮ่องเต้รู้สึกถึงความผิดปกติ ตามสำนักหมอหลวงทันที และยังแจ้งฉู่เชียนหลีที่มีทักษะการแพทย์ คนทั้งกลุ่มล้อมอยู่ที่หน้าเปลโยก พลางตรวจชีพจรให้พระนัดดาองค์โตเต๋อเฟยโทษตัวเอง“ฝ่าบาท หม่อมฉันดูแลพระนัดดาองค์โตไม่ดี หม่อมฉันละเลยหน้าที่ ฝ่าบาทโปรดลงโทษเพคะ”ฮ่องเต้ประคองร่างกายนางขึ้น“ลุกขึ้นก่อน เรากับเจ้ารู้จักกันสามสิบกว่าปี เจ้าทำงาน เราวางใจ รอดูหมอหลวงว่าอย่างไร”“ขอบพระทัยฝ่าบาท…”ในเปลโยก พระนัดดาองค์โตพลางโบกมือน้อยๆ พลางร้องอุแว้ๆ ร้องไห้จนหน้าแดงก่ำและปากเจ่อ ราวกับติดตั้งเครื่องยนต์ ร้องไห้ไม่หยุดหลังจากนั้นประมาณหนึ่งเค่อหมอหลวงของสำนักหมอหลวงปรึกษากันอยู่ครู่หนึ่ง หมอหญิงเว่ยจึงจะก้าวออกมากล่าว“ฝ่าบาท พวกเรา
เสื้อผ้าที่ฉู่เชียนหลีสวมใส่ ย่อมไม่ได้กลิ่นบนร่างกายตัวเองเมื่อทุกคนกล่าวเช่นนี้ คิ้วของนางก็ขมวดเช่นกันนางมั่นใจและแน่ใจมาก นางไม่เคยใช้ธูปหอมกลิ่นดอกบัว ในจวนก็ไม่เคยซื้อธูปหอมเช่นนี้ บนร่างกายนางไม่มีทางมีกลิ่นเช่นนี้เด็ดขาดหรือว่า…มีคนกำลังวางแผนใส่ความนาง?“เสด็จพ่อ ถ้าหากข้าจะทำร้ายพระนัดดาองค์โต ย่อมต้องถอดเสื้อผ้าชุดนี้ และนำไปเผาทำลายหลักฐานทันที แต่ไม่ใช่เดินเข้าวังอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้” ฉู่เชียนหลีกล่าวฮ่องเต้ย่อมเข้าใจความหมายของนาง แต่ตอนนี้หลักฐานชี้ไปที่นาง เขาจะแก้ต่างให้นางอย่างไร?อีกคนคือหลานชายที่เขาเฝ้ารอมาสิบกว่าปีอีกคนคือพระชายาที่รักลูกสาวที่สุด และยังเป็นแม่บังเกิดเกล้าของลูกสาวฝาแฝดจะให้เขาเข้าข้างใคร?เวลานี้เอง เต๋อเฟยก้าวออกมา“ฝ่าบาท ตอนที่หม่อมฉันเห็นพระชายาอุ้มพระนัดดาองค์โต ท่าทางที่อ่อนโยนและมีเมตตานั่น ไม่เหมือนเสแสร้ง ความรักเช่นนั้น แสร้งแสดงออกมาไม่ได้ บางทีอาจมีคนเล่นสกปรก ใส่ความพระชายาอ๋องเฉิน?”นางวิเคราะห์อย่างใจเย็นฉู่เชียนหลีอึ้งไปครู่หนึ่ง มองไปทางเต๋อเฟยด้วยสายตาประหลาดใจเล็กน้อยพวกนางเคยเจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง นางกลับช
นางกล่าวอย่างยิ้มแย้ม“ความสามารถของอ๋องหลีไม่น้อยเลยจริงๆ กักตัวอยู่ที่จวนอ๋อง รู้ทุกอย่างในวัง นับถือๆ”ทุกคนก้มหน้าลง บนใบหน้าล้วนปรากฏให้เห็นแววที่ซับซ้อนทุกคนล้วนเป็นคนฉลาด มีหรือที่จะฟังความหมายนอกเหนือคำพูดของพระชายาอ๋องเฉินไม่ออกพระนัดดาองค์โตเกิดเรื่อง แปดส่วนเกี่ยวข้องกับจวนอ๋องเฉินทันทีที่พระนัดดาองค์โตเกิดเรื่อง พระชายาอ๋องหลีก็เข้าวัง และยังบอกจะพาพระนัดดาองค์โตกลับไปเลี้ยงอย่างแข็งกร้าว หรือมีการวางแผนมา จุดประสงค์ก็เพื่อรับพระนัดดาองค์โตกลับจวนขอแค่มีพระนัดดาองค์โตอยู่ข้างกาย ฮ่องเต้ต้องเห็นแก่หน้าพระนัดดาองค์โต ลงโทษอ๋องหลีสถานเบาแน่นอนวิธีการลึกล้ำจริงๆ…“เจ้า…พระชายาอ๋องเฉิน เจ้าพูดเหลวไหลอะไร? เหตุใดข้าไม่เข้าใจ…”ฉู่เจียวเจียวกอดลูกในอ้อมแขนแน่น สองมือจับผ้าห่อทารกอย่างกระสับกระส่าย แววตาสั่นไหวร้อนตัวแล้วนางเผลอพูดผิดไปแล้ว ตอนนี้ยิ่งพูดมาก ยิ่งดูมีพิรุธ แต่ถ้าหากไม่พูด ก็เท่ากับยอมรับว่าอ๋องหลีมีปัญหาไม่ใช่หรือ?พูดก็ไม่ใช่ ไม่พูดก็ไม่ใช่บ้าจริง!เมื่อครู่นางปากไวไปหน่อย หลงกลฉู่เชียนหลีแล้ว!“ฟังไม่เข้าใจก็ช่างเถอะ คิดว่าในใจฝ่าบาทรู้ดี” ฉู
อันธพาลเจ็บจนกรีดร้องเหมือนหมูโดนเชือด “อ๊ะๆ!”ยังไม่ทันได้พักหายใจ ก็โดนถีบจนไปกลิ้งอยู่บนพื้น รองเท้าปักลายดอกไม้เหยียบลงบนหน้าอก หนักจนทำให้เขาหายใจไม่ออก กระอักเลือดออกมา“พู่!”เขากอดต้นขาของอวิ๋นอิง อยากดิ้นให้หลุด แต่หาของอวิ๋นอิงกดทับอยู่บนร่างกายของเขาเหมือนเหล็กกล้า และเขาก็เหมือนกับปลาตัวหนึ่งที่ถูกตอกตะปูอยู่บนเขียง พยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แต่ก็ดิ้นไม่หลุดเจอผีแล้ว!ทั้งที่นางผอมเช่นนี้ เหตุใดจึงมีแรงมากเช่นนี้?ผู้หญิงคนนี้ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือ?ชาวบ้านก็ตะลึงเช่นกันอวิ๋นอิงอุ้มลูกสาวไว้ด้วยมือข้างเดียว ค่อยๆ ก้มลง ยกฝ่ามืออีกข้าง เหวี่ยงไปที่ใบหน้าของอันธพาลโดยตรง“ข้าสั่งให้เจ้าเก็บ”เพียะ!“ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ?”เพียะ!“หูหนวกหรือ?”เพียะ!หนึ่งประโยค หนึ่งฝ่ามือ ตบจนอันธพาลหันซ้ายหันขวา มุมปากแตกมีเลือดไหล หูอื้อ สะบักสะบอมเหมือนสุนัขจรจัดตัวหนึ่ง ไม่หลงเหลือความฮึกเหิมของก่อนหน้านี้เลย“ลูกพี่!”ลิ่วล้อสามคนคว้าโต๊ะเก้าอี้และท่อนไม้ที่อยู่ข้างๆ ฟาดไปทางอวิ๋นอิงอย่างแรงอวิ๋นอิงกระโดนหมุนตัวเตะพวกเขาสามคนจนลอยกระเด็นออกไปไกลเจ็ดแปดเมตร โดยไม่หั
ตงหลิงเจียงหนาน ทำเนียบสามเดือนที่พระชายาจากไป อ๋องเฉินเอาแต่เก็บตัว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก หานเฟิงต้องรับผิดชอบงานแทนทุกอย่าง เมื่อนานวันเข้า โลกภายนอกต่างกำลังคาดเดา จิตใจของอ๋องเฉินได้รับกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น เกรงว่าเหลือเวลาอีกไม่นานแล้วช่วงนี้ ในที่สุดอาการบาดเจ็บของจิ่งอี้ก็ดีขึ้นแล้วอาการบาดเจ็บทางกระดูกหรือเส้นเอ็น ต้องรักษาอย่างน้อยหนึ่งร้อยวันในที่สุดกระดูกซี่โครงที่หักสองซี่ก็หายดีแล้ว สามารถขี่ม้าได้แล้ว ตอนนั้นเขาบอกว่าจะนำทัพกลับแคว้นซีอวี้ทันทีแต่ก่อนไป เขาถามเหมือนไม่ใส่ใจ“เหตุใดไม่เจอแม่นางอวิ๋นอิงเลย?”จ้านหูจริงจังขึ้นมาทันที เขาตอบ“องค์ชายใหญ่ ข้าจะส่งคนไปสืบเดี๋ยวนี้!”“ไม่ต้อง”หลังจากปฏิเสธอย่างเฉยเมย ปีนขึ้นหลังม้า ขี่ออกไปคนเดียวแล้วจ้านหู “?”หมายความว่าอย่างไร?ตอนที่องค์ชายใหญ่หมดสติ แม้อวิ๋นอิงบอกว่าไม่สนใจ แต่แอบมาเยี่ยมองค์ชายใหญ่ตอนดึกดื่นเวลาที่ไม่มีคนองค์ชายใหญ่ก็อีกคน ทั้งที่คิดถึงอวิ๋นอิง แต่ไม่ยอมรับในใจของพวกเขาสองคนล้วนมีอีกฝ่าย ลูกสาวก็อายุเกือบครึ่งขวบแล้ว เหตุใดไม่ลองเปิดใจสักนิดแล้วอยู่ด้วยกันเลย
คืนแรกที่มาถึงต่างโลก ฉู่เชียนหลีฝันในความฝัน นางอยู่บนสนามรบ สู้จนตัวตาย เลือดไหลเป็นแม่น้ำ น่าสลดใจนัก…ในความฝัน นางได้ต่อสู้ร่วมกับชายคนหนึ่งที่มองไม่เห็นใบหน้า ร่วมเป็นร่วมตาย และยังมีเสียงที่นุ่มนิ่มของเด็ก เรียก ‘ท่านแม่’ ครั้งแล้วครั้งเล่าในความฝัน ราวกับนางได้รับความอยุติธรรมครั้งใหญ่ หัวใจเจ็บปวด และพยายามอธิบายสุดชีวิต แต่พวกคนที่เรียกตัวเองว่า ‘ครอบครัว’ ไม่เชื่อนาง และยังบีบคั้นนางสู่เส้นทางที่สิ้นหวังในความฝัน…มีคนกำลังเรียกนาง‘เชียนหลี…เชียนหลี…’ฉึก!ฉู่เชียนหลีลืมตาฉับพลัน ท้องฟ้าข้างนอกสว่างแล้ว แสงแดดอุ่นๆ ยามเช้าสาดส่องเข้ามา สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของอากาศ สงบมากนางรู้สึกเวียนศีรษะ และแน่นหน้าอกราวกับนางอยู่ในความฝันอันยาวนานจริงๆนางได้รับความอยุติธรรมนางถูกคนในครอบครัวฆ่าตายแต่เหตุใดนางจำผู้ชายที่เรียกนาง และภาพที่เรียกนางว่า ‘ท่านแม่’ ไม่ได้เลย“องค์หญิง ท่านตื่นแล้ว”เมื่ออ้ายอ้ายได้ยินเสียง ถือกะละมังน้ำอุ่นกับเครื่องใช้เข้ามาปรนนิบัติฉู่เชียนหลีนวดขมับ อยู่ในอาการเหม่อลอย แขนขาอ่อนแรง ไม่มีแรงขยับ ดึงผ้าห่มออก ลงจากเตียง สวมรองเท้
สาวใช้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รีบฝนหมึกอย่างเชื่อฟังมองดูองค์หญิงรีบหยิบพู่กัน เขียนอะไรบางอย่าง ท่าทางที่รีบร้อนนั่น เมื่อก่อนเวลาที่นังเป็นห่วงคุณชายเซิ่น ยังไม่รีบร้อนเช่นนี้เลยองค์หญิงกระโดดสระน้ำ หมดสติไปสามวัน หลังจากฟื้น ก็เปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย?นิสัยเปลี่ยนไปน้ำเสียงเปลี่ยนไปแต่เมื่อลองตั้งใจมอง องค์หญิงยังคงเป็นองค์หญิง ยังคงเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยฉู่เชียนหลีเขียนอย่างรวดเร็ว…อ๋องเฉินเป็นอย่างไรบ้าง ข้าอยู่แคว้นหนานยวน…พลางเขียน พลางกล่าวอย่างรีบร้อน “รีบไปหาคน ช่วยข้าส่งจดหมายฉบับนี้ไปให้อ๋องเฉินที่ตงหลิงเจียงหนาน”นางอยากบอกความจริงกับเฟิงเย่เสวียน ต่อให้ตนลืมแล้ว แต่เฟิงเย่เสวียนจำนางได้เขาจะต้องมาหานางแน่นอนไม่ช้าก็เร็วสักวัน พวกเขาครอบครัวสี่คนจะอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา“อ๋องเฉินแห่งตงหลิงเจียงหนาน?”สาวใช้เกาศีรษะด้วยความสงสัย “องค์หญิง ท่านส่งจดหมายให้อ๋องเฉินทำไม? ท่านรู้จักอ๋องเฉินตั้งแต่เมื่อไร?”ฉู่เชียนหลีรีบกล่าว“อธิบายกับเจ้าไม่ได้ แต่ความสัมพันธ์ของข้ากับอ๋องเฉินไม่ธรรมดา…อ๋องเฉิน? อ๋องเฉินตงหลิง?”เงยหน้าฉับพลัน“ข้ารู้จักอ๋องเฉ
ทุกคน “...”สีหน้าฮ่องเต้หนานยวนดูไม่ดีนัก เซิ่ยซือเฉินเป็นแค่บัณฑิตคนหนึ่ง เพื่อบัณฑิตคนหนึ่ง ต้องทุ่มสุดตัวเช่นนี้เลย ต้องตื่นเต้นเช่นนี้เลย?ในฐานะองค์หญิง ไม่ควรมองให้ไกลกว่านี้หน่อยหรือ?เพื่อป้องกันจวินลั่วยวนทำร้ายตัวเอง เขาออกคำสั่ง มัดมือและเท้าของนางโดยตรงจวินลั่วยวนขยับไม่ได้แล้วเห็นท่าทางที่จะยิ้มไม่ยิ้มของฉู่เชียนหลี และยังเลิกคิ้วอย่างยั่วยุ นางโมโหจนแทบกัดลิ้นฆ่าตัวตายหลังจากเหตุการณ์ที่วุ่นวาย ไปจากตำหนักองค์หญิงฉู่เชียนหลีกับหลิงอี้ซิงเดินเคียงข้างกันจากไป เมื่ออารมณ์ดี จังหวะการเดินก็ผ่อนคลายเป็นพิเศษ อดไม่ได้ที่จะฮัมเพลงเบาๆฮัมไปฮัมมา จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าหลิงอี้ซิงเป็นผู้มีจิตใจเมตตา อุทิศตนให้กับความดีและคุณธรรมหยุดฝีเท้าหันไปถาม “ท่านพี่ ท่านน่าจะเห็นกระมัง ว่าข้าจงใจรังแกจวินลั่วยวน?”หลิงอี้ซิงเดินตามปกติ สายตามองไปข้างหน้า พยักหน้าอย่างเกียจคร้าน ตอบสั้นๆ เพียงคำเดียว“อืม”“ท่านไม่รู้สึกว่าข้านิสัยไม่ดีหรือ?”เขาหยุดเดินหันมามองนาง กล่าวอย่างจริงจัง “ที่เจ้ารังแกนาง นั่นก็ต้องเป็นเพราะนางล่วงเกินเจ้าก่อนแน่นอน ล้วนเป็นความผิดของนาง”เขาไ
“ยวนเอ๋อร์! ยวนเอ๋อร์!” ฮ่องเต้หนานยวนร้อนใจจนหน้าถอดสี “ใครก็ได้ ใครก็ได้รีบมาเร็ว ยวนเอ๋อร์เสียเลือดมากเกินไป หมดสติไปแล้ว!”จวินลั่วยวนที่ ‘เสียเลือดมากเกินไปจนหมดสติ’ “...”เจ้าน่ะสิที่เสียเลือดมากเกินไปเจ้าเสียเลือดมากเกินไปทั้งครอบครัว!หมอหลวงมาอย่างรวดเร็ว หลังจากทำแผลให้จวินลั่วยวนเสร็จ ถอนหายใจด้วยความกังวล “สามเดือนแล้ว ในที่สุดเอ็นขององค์หญิงก็เชื่อมต่อกัน คิดไม่ถึงว่าขาดอีกแล้ว ความพยายามในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาล้วนสูญเปล่า” ต่อจากนี้ก็ต้องใช้เวลาอีกสามเดือน เปิดบาดแผล บำรุงเอ็นทุกวันเมื่อฉู่เชียนหลีได้ยินคำนี้ เบ้าตาแดงฉับพลัน“ล้วนเป็นความผิดของข้า…”นางดึงชายเสื้อของหลิงอี้ซิง กล่าวเสียงสะอึก“ท่านพี่ ข้ามันไม่ดี ต้องเป็นเพราะเรื่องของคุณชายเซิ่นแน่ องค์โกรธข้า ไม่ชอบข้า จึงฟาดมือของตัวเองใส่เสา เพื่อเป็นการแสดงความรังเกียจต่อข้า”“ข้าทำร้ายนาง ฮือๆ…”หลิงอี้ซิงรักน้องสาว ทุกคนในแคว้นหนานยวนรู้เรื่องนี้แล้วฮ่องเต้หนานยวนกล่าวโทษนางได้อย่างไร?กลับกัน เขายังต้องขอร้องหลิงอี้ซิงทักษะการทำนายของหลิงอี้ซิงมีเพียงหนึ่งเดียวในใต้ฟ้า ตลอดหลายปีที่เขานั่งตำแหน
ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน นางค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้เตียง จวินลั่วยวนนอนหลับแล้ว ไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน หน้าซีดซูบผอม เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกฉู่เชียนหลีเหลือบมองแวบหนึ่ง“เหตุใดข้อมือของนางยังมีเลือด?”สามเดือนแล้ว แผลยังไม่หาย?นางกำนัลที่อยู่ข้างๆ ตอบ“หมอหลวงบอกว่า จะใช้ยาพิเศษรักษาเอ็นมือและเท้าที่ขาดขององค์หญิง จำเป็นต้องเปิดแผล ขยับเอ็นที่ขาดไปรวมกันทุกวัน จนกระทั่งเชื่อมต่อกัน”“ฮืม?”ฉู่เชียนหลีเลิกคิ้วด้วยความสนใจเช่นนี้ก็เท่ากับว่า จวินลั่วยวนต้องทนกับความเจ็บปวดที่ใช้มีดเปิดปากแผลทุกวันติดต่อกันสามเดือนเต็มๆ น่าสังเวชน่าจะเจ็บมากกระมัง?นางค่อยๆ นั่งลง จับข้อมือของจวินลั่วยวนเบาๆ มองผ้าพันแผลที่ถูกพันห้าหกรอบอย่างครุ่นคิดทันใดนั้นออกแรงกดที่นิ้ว“ซี้ด…!”จวินลั่วยวนเจ็บจนตื่น ลืมตาทันทีฉู่เชียนหลีรีบปล่อยมือ “โอ๊ย…ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจแตะตัวท่าน ดูท่านเจ็บมากเลยนะ ขอโทษจริงๆ”“!”หลินเหยี่ยมาอยู่ในตำหนักของนางได้อย่างไร?นางรังเกียจผู้หญิงคนนี้ที่สุด!อาศัยที่พี่ชายของตัวเองเป็นราชครู แสร้งทำเป็นช่วยเหลือชาวบ้าน ทำแต่ความดีทุกวัน มีแต่คนบอกว่าองค์หญ
เซิ่นสือเฉิน “?”เหตุใดวันนี้รู้สึกว่าหลิงเหยี่ยแปลกๆ?เมื่อก่อนนางชอบเขามากเลยไม่ใช่หรือ? เวลาที่เขาอ่านหนังสือ นางชอบมาอยู่ข้างๆ ฝนหมึกพัดลมให้เขา เวลาที่เขาเขียนหนังสือ นางชอบแอบที่นอกหน้าต่าง จับจิ้งหรีดเล่น เวลาที่เขางีบหลับ นางมักจะชงชาหิมะชั้นดีมาให้เขานางยังบอกว่าจะแต่งงานกับเขาคนเดียวเหตุใดแค่วันเดียว ก็ปล่อยวางได้แล้ว?“องค์หญิงหลิง ข้าขอโทษ” เขากล่าวอย่างรู้สึกผิดที่จริงเขาก็ชอบหลิงเหยี่ยเช่นกัน แต่องค์หญิงยวนบอกเขาว่าหลิงเหยี่ยนิสัยไม่ดี ชอบรังแกคนรับใช้ หาเรื่องชาวบ้าน ใส่ร้ายโยนความผิดให้ผู้อื่นด้วยวิธีที่น่ารังเกียจ และทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายเขาเป็นคนเรียนหนังสือ นิสัยซื่อตรง ไม่สามารถยอมรับคนที่จิตใจอำมหิตอย่างหลิงเหยี่ยเมื่อเปรียบเทียบกัน เขาชอบจวินลั่วยวนที่ไร้เดียงสา จิตใจดี และร่าเริงมากกว่า“เมื่อก่อนท่านส่งข้าเรียนหนังสือ ช่วยข้าหาอาจารย์ ใช้เส้นสาย ทำให้ข้าสอบติดขุนนาง…บุญคุณส่วนนี้ ข้า ข้าทำได้เพียงตอบแทนท่านชาติหน้าแล้ว…”ฉู่เชียนหลียิ้มอย่างอ่อนโยน“ไม่เป็นไร แค่เรื่องเล็กน้อย”“ได้ยินมาว่าองค์หญิงยวนได้รับบาดเจ็บ พวกเราเข้าวังไปดูนางกันเ
องค์หญิง?คุณชายเซิ่น?ฉู่เชียนหลีไม่ได้รับความทรงจำใดๆ เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก สับสนและงงงวยเล็กน้อยยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีเสียงฝีเท้าที่ยุ่งเหยิงและเสียงต่อต้านดังมาจากนอกประตู “ใต้เท้าหลิง! ใต้เท้าหลิง ต่อให้ท่านบีบคั้นข้าจนตาย ข้าก็ไม่แต่งงานกับนาง!”“ตั้งแต่ต้นจนจบ ในใจข้ามีเพียงองค์หญิงยวนเอ๋อร์เท่านั้น!”ยวนเอ๋อร์?องค์หญิง?ฉู่เชียนหลีเงยหน้ามองไป เห็นชายหนุ่มสวมชุดเพ้าสีขาวและที่ครอบผมหยก กำลังลากผู้ชายที่ท่าทางสุภาพเหมือนคนเรียนหนังสือเข้ามานางตระหนักถึงบางอย่าง รีบดึงสาวใช้ที่อยู่ข้างกายมาถามเบาๆ“ที่นี่คือแคว้นหนานยวน?”สาวใช้ “?”องค์หญิงเป็นอะไรไป?เหตุใดถามคำถามเช่นนี้?“องค์หญิง ท่าน…”“อย่าพูดไร้สาระ ตอบข้า!”สาวใช้ตกใจ รีบกล่าว “ท่านคือหลิงเหยี่ย องค์หญิงต่างแซ่ของแคว้นหนานยวน ใต้เท้าคือมหาราชครูของแคว้นหนวนยวน เป็นพี่ชายแท้ๆ ของท่าน เพราะใต้เท้าชำนาญการทำนาย เคยช่วยแคว้นสามครั้ง สร้างคุณประโยชน์มากมาย ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์หญิงต่างแซ่…”คำพูดที่เหลือ ฉู่เชียนหลีมองข้ามโดยตรงสิ่งเดียวที่นางคิดคือ นางถูกส่งมาเป็นองค์หญิงต่างแซ่ อีกท