หลินซวงเอ๋อร์ไม่กล้าขยับตัว นางทำได้เพียงปล่อยให้เขาพานางเขียนภายใต้การนำของเขาอย่างปาฏิหาริย์ ลายมือของหลินซวงเอ๋อร์ค่อย ๆ เป็นระเบียบ สม่ำเสมอและสวยงามหลังจากพานางฝึกเขียนมากกว่าสิบครั้ง หลินซวงเอ๋อร์จึงค่อย ๆ เข้าใจประเด็นสำคัญที่เยี่ยเป่ยเฉิงพูดเยี่ยเป่ยเฉิงค่อย ๆ ปล่อยมือของนาง การเคลื่อนไหวของหลินซวงเอ๋อร์ไม่ได้หยุด นางเขียนราบรื่นขึ้นเรื่อย ๆ พออ่านลายมือของนาง ลายมือของนางพอเหมือนเขาเล็กน้อยเยี่ยเป่ยเฉิงขดริมฝีปากและแสดงสีหน้าที่พึงพอใจเขาจ้องมองนางและพยายามไม่รบกวนนาง แต่เขาเหลือบมองเห็นคอเสื้อของนางเปิดออกเล็กน้อยวันนี้หลินซวงเอ๋อร์ยุ่งเก็บของ แผ่นบังหน้าอกของนางเลยหลวมโดยไม่รู้ตัวนอกจากนี้ นางกับเยี่ยเป่ยเฉิงยังพัวพันอยู่ในห้องมาระยะหนึ่งแล้ว และกระดุมบนปกเสื้อของนางหลุดออกมาในเมื่อใดไม่ทราบเสื้อผ้าที่นางสวมไม่พอดีตัว เสื้อผ้าตัวนี้หลวม ๆ และใหญ่กว่าตัวนางตั้งหนึ่งเท่า คอเสื้อเลยกว้างกว่า นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้ระยะห่างระหว่างพวกเขาทั้งสองก็อยู่ใกล้เกินไป เยี่ยเป่ยเฉิงสูงกว่านางหนึ่งศีรษะด้วยซ้ำ เมื่อเขาลดสายตาลง เขาเห็นภาพอันยั่วยุของนางโดยบังเอิญคอของนางบา
นี่เป็นครั้งแรกที่หลินซวงเอ๋อร์เห็นเทศกาลโคมไฟที่คึกคักเช่นนี้ถนนฉางอันตกแต่งด้วยโคมไฟ ทั้งถนนก็เต็มไปด้วยโคมไฟสีแดงโคมไฟสีสันเหล่านั้นสวยงามมากวันนี้หลินซวงเอ๋อร์ตามเยี่ยเป่ยเฉิงไปนอกจวน เดิมทีหลินซวงเอ๋อร์รู้สึกน่าเบื่อ จนกระทั่งนางมาถึงถนนฉางอาน นางเห็นร้านสุราและหอสูงติด ๆ กันที่ข้างถนน คนมืดฟ้ามัวดิน หลินซวงเอ๋อร์จึงเริ่มรู้สึกสนุกภายใต้บรรยากาศที่ืรื่นเริง นางมองไปรอบ ๆ ตลอดทาง และทุกครั้งที่เห็นสิ่งใหม่ ๆ นางก็อดไม่ได้ที่ต้องมองดูอีกครั้งเยี่ยเป่ยเฉิงเดินนำหน้า แต่เขาห่างจากนางเพียงก้าวเดียว เขาเดินช้า ๆ และมองตรงไปข้างหน้า ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจสิ่งรอบตัวเขา เขาเพียงแค่มาเดินเล่นเพื่อคลายความเหนื่อยล้าหลินซวงเอ๋อร์เดิมตามเขาอย่างใกล้ชิดโดยถือขนมร้อน ๆ ไว้ในมือ ซึ่งเป็นรสชาติโปรดของนางแต่นางเสียดายเงินและไม่อยากเปลืองเงิน เย่เป่ยเฉิงอยากกินต่างหาก ดังนั้นเขาจึงให้เงินนาง ให้นางไปซื้อขนมนี้มา แต่พอซื้อมา เขากลับบอกนางว่า เขาไม่อยากกินแล้วเพื่อไม่เปลือง หลินซวงเอ๋อร์จึงรับไว้และกินเองในเวลานี้ ถนนฉางอานอยู่ในช่วงที่มีผู้คนพลุกพล่านที่สุด เพราะจุดโคมไฟหลายอัน แสงไฟสวย
ชาวบ้านรอบข้างพากันกระซิบกัน "นั่นน่ะสิ คุณชายท่านนี้พูดเช่นนี้ ช่างโหดเหลือเกิน ดูสิ แม่นางผู้นี้เสียใจขนาดไหน มิเช่นนั้น คุณชายใจกว่างหน่อย ขอโทษนางละกัน"เยี่ยเป่ยเฉิงเกลียดการถูกบังคับเยี่ยเป่ยเฉิงเหลือบมองกระเป๋าเงินในมือของนางอย่างเย็นชา เขาประชด "กระเป๋าเงินที่ไร้รสนิยมเช่นนี้ เจ้ามอบให้ผู้อื่นเลย"หลินซวงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่ต้องมองดูกระเป๋าเงินในมือของผู้หญิงคนนั้นอีกครั้งด้ายทองและเส้นเงินเป็นสิ่งล้ำค่า และเป็ดแมนดารินที่เล่นน้ำเหมือนตัวจริงอย่างมาก หากนำไปขายที่ตลาด มันจะมีมูลค่าอย่างน้อยสิบตำลึงเงินหลินซวงเอ๋อร์ชแอบกำกระเป๋าเงินในมือแน่น นางใช้ด้ายหยาบและผ้าลินิน ซึ่งกระเป๋าเงินของนางไม่สามารถแสดงให้คนอื่นเห็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เข้าสายตาของเยี่ยเป่ยเฉิงการที่ถูกเยี่ยเป่ยเฉิงรังเกียจเช่นนี้ ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกละอายใจและโกรธ แต่นางก็ไม่สามารถโกรธต่อหน้าทุกคนนางเป็นลูกสาวของเศรษฐีที่มีชื่อเสียง ตระกูลของนางมีเงินมากมาย อาหารการกิน เสื้อผ้าที่นางสวนและของที่นางใช้ล้วนเป็นของชั้นนำทั้งนั้น แม้แต่กระเป๋าเงินใบนี้ก็ทำจากอวิ๋นจิ่น (อวิ๋นจิ่นเป็น 1 ใน 4 ศิลปะผ้าปักดอ
ในฐานะที่เป็นเศรษฐีที่รวยมหาศาล เขาไม่ทุจริตได้อย่างไร?เยี่ยเป่ยเฉิงแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เขาไม่ให้ครอบครัวของเศรษฐีหวังมีโอกาสพลิกตัวหลินซวงเอ๋อร์ไม่เข้าใจกฎหมายของต้าซ่ง แต่นางรู้สึกว่าหญิงสาวผู้นั้นเย่อหยิ่งไปหน่อย นางไม่เข้าใจทำไมเยี่ยเป่ยเฉิงถึงต้องการลงโทษ เศรษฐีหวัง ดังนั้นนางจึงถาม "ทำไมท่านถึงต้องการสอบสวนเศรษฐีหวังอย่างละเอียด"ท้ายที่สุดแล้ว เศรษฐีหวังไม่ได้ทำให้เขาขุ่นเคืองเยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ข้าเกลียดผู้ที่ทุจริตและติดสินบนที่สุด หากมันทำค้าขายถูกฎหมายเสียจริง นางคงไม่ฟุ่มเฟือยและสิ้นเปลืองขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้น หากสอนลูกได้ไม่ดี นั่นเป็นความผิดของพ่อ"เมื่อดูจาการแต่งกายล์ของหญิงสาวผู้นั้นแล้ว แม้แต่นางสนมในวังก็ไม่สามารถหรูหราเช่นนั้นได้นัก ยิ่งกว่านั้น เขาได้ยินมานานแล้วว่ามีผู้เห็นแก่ตัวอยู่ฝูงหนึ่งซ่อนตัวอยู่ในถนนฉางอัน พวกเขารวบรวมกันเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ซื้อและขายตำแหน่งของเจ้าหน้าที่ ผูกขาดตลาด เพื่อหากำไรจากมัน และเห็นชีวิตคนเป็นผักปลาในบรรดาผู้เห็นแก่ตัวที่ดูดกระดูกและเลือดของประชาชนนั้นมีเศรษฐีหวังจุดประสงค์ข
หลินซวงเอ๋อร์คิดว่าบางทีคำตอบของนางอาจไม่แน่งแน่พอ นางจึงรีบพูดเสริม "ไม่เจ็บจริง ๆ "ถึงกระนั้น สีหน้าของเยี่ยเป่ยเฉิงยังไม่ดีขึ้น และเขาพุดจริงจังเล็กน้อย "เมื่อครู่ทำไมเจ้าไม่ต่อสู้กลับล่ะ"สู้กลับหรือหลินซวงเอ๋อร์เคยพยายามต่อสู้กลับเช่นกัน เมื่อชิวจวี๋ตีนาง นางเคยต่อสู้กลับด้วย แต่สิ่งที่นางได้รับเคือความลำเอียงของท่านป้าหลี่และการแก้แค้นที่ป่าเถื่อนมากขึ้นของชิวจวี๋ต่อมาหลินซวงเอ๋อร์ไม่กล้าต่อสู้กลับ หลังจากคิดไปคิดมาแล้ว บางทีพวกนางอาจจะระบายความโกรธออกมา ก็จะไม่เป็นไรแล้ว อย่างน้อยด้วยวิธีนี้นางก็จะถูกทุบตีน้อยลงหลินซวงเอ๋อร์ก้มศีรษะลงและไม่ตอบกลับ“ตอบ” เขาโกรธเล็กน้อย เสียงนั้นผสมกับความเย็นชาลึก ๆ“วันนี้ข้าพาเจ้ามาที่นี่ ไม่ได้พามาเพื่อให้เจ้าถูกคนอื่นตี เจ้าต้องได้ประสบการณ์จากเรื่องนี้”เยี่ยเป่ยเฉิงจ้องมองอย่างใกล้ชิด หลินซวงเอ๋อร์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตอบ "หากข้าน้อยสู้กลับ ข้ากลัวว่าข้าจะถูกทุบตีอย่างรุนแรงกว่านี้ หากข้าน้อยไม่สู้กลับ ข้าน้อยอาจจะได้รับความเจ็บน้อยลง"เสียงของนางต่ำมากจนเยี่ยเป่ยเฉิงสงสัยว่าเขาฟังผิด "เจ้าพูดอะไรนะ"หลินซวงเอ๋อร์หายใจเ
เยี่ยเป่ยเฉิงจับมือนาง และพานางเดินไปที่แผงขายขนมภาพวาดจากน้ำตาล เขาถามนาง "เจ้าชอบอันไหน"เมื่อเห็นนางไม่ตอบ เยี่ยเป่ยเฉิงชี้ไปที่ขนมรูปกระต่ายที่ทำจากน้ำตาลในมือของพ่อค้าแล้วถามนาง "ชอบตัวนี้หรือ"เมื่อครู่เดินผ่านที่ที่ เขาสังเกตหลินซวงเอ๋อร์จ้องไปที่กระต่ายตัวนี้ตลอด เขาเลยรู้ว่านางต้องชอบกระต่ายตัวนี้มากที่สุดพ่อค้าเห็นเยี่ยเป่ยเฉิงถามเช่นนี้ เขารีบเอาขนมภาดวาดจากน้ำตาลรูปกระต่ายให้เยี่ยเป่ยเฉิง "คุณชายท่านนี้ฉลาดจริง ๆ กระต่ายตัวนี้ไม่ใช่กระต่ายธรรมดา มันเป็นกระต่ายในอ้อมแขนของเทพธิดาฉางเอ๋อของวังพระจันทร์"“อ้าว นั่นคงจะแพงมากสินะ” หลินซวงเอ๋อร์รีบเอามือกลับ“ไม่แพง ไม่แพงหรอกน่ะ แค่สิบเหรียญทองแดงเท่านั้น” พ่อค้าเงยหน้าขึ้นมองหลินซวงเอ๋อร์ เขาประหลาดใจทันทีเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองหลินซวงเอ๋อร์ เขาอดไม่ได้ที่ต้องชม “คุณชายน้อยนี่หล่อมาก”หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกเขินอายเล็กน้อยเมื่อนางได้รับคำชม รอยยิ้มเล็กน้อยตามปกติของนางปรากฏบนริมฝีปากของนาง และมีลักยิ้มลูกแพร์เล็ก ๆ สองอันปรากฏขึ้นที่ทั้งสองข้างของปากในดวงตาของเยี่ยเป่ยเฉิง รอยยิ้มเล็กน้อยนี้ราวกับพระจันทร์ที่กำลังขึ้นในทะเ
นางมักจะมีเสน่ห์เย้ายวนที่ทำให้คนหลงไหล ซึ่งทำให้ผู้คนอยากเข้าใกล้และครอบครองนาง...ความรู้สึกแปลก ๆ ในใจก็เข้ามาในหัวใจของเขาอีกครั้งอาจเป็นเพราะดวงตาของเขาร้อนจัดจนคนรอบข้างสังเกตสายตาของเขาทันทีที่หลินซวงเอ๋อร์หันหน้า นางก็ตกอยู่ในดวงตาที่ลึกและไร้ขอบเขตของเยี่ยเป่ยเฉิงนางตกใจอยู่ครู่หนึ่งและรอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็ค่อย ๆ จางหายไปในการสลับกันของแสงและความมืด นางเห็นเขาราวกับกำลังคิดเรื่องอย่างอื่นอยู่ และเหมือนกำลังสับสนเรื่องอันใดอยู่ ในที่สุดนางเรียกเขาเบา ๆ " ท่านอ๋อง"เยี่ยเป่ยเฉิงจึงมีสติอีกครั้ง ลูกกระเดือกของเขากลิ้งขึ้น ๆ ลง ๆ แต่เขายังคงไม่อยากมองไปทางอื่นหลินซวงเอ๋อร์รู้สึกสับสน นางถูกเยี่ยเป่ยเฉิงจ้องมองเช่นนี้ ซึ่งทำให้นางหวาดกลัว“ ทำไมท่านอ๋องจ้องมองข้าน้อย” ขณะที่หลินซวงเอ๋อร์พูด นางไม่ลืมเลียขนมภาพวาดจากน้ำตาสลของนางนางหรี่ตาลงเล็กน้อย ขนมนี้หวานมาก...เยี่ยเป่ยเฉิงมองขนมภาพวาดจากน้ำตาลในมือของนางทันที...หลินซวงเอ๋อร์คิดอยู่ครู่หนึ่ง นางรู้สึกเขาคงอยากกินขนมในมือของนางอยู่นะหลินซวงเอ๋อร์ครุ่นคิดครู่หนึ่ง นางถามเยี่ยเป่ยเฉิง " ท่านอ๋อง อยากกินขนมภาพ
ห้ามสิ้นเปลืองหรือเมื่อครู่นี้เขาจ่ายนพ่อค้าอย่างไม่เสียดายเงินด้วยเงินครึ่งตำลึงเงิน ทำไมเขาไม่ว่าตัวเองเปลืองล่ะนอกจากนี้ เขากินขนมเกือบหมดแล้ว แต่เขายังสั่งนางกินต่อ“ทำไม รังเกียจข้าหรือ” เมื่อเห็นนางไม่รับขนม ใบหน้าของ เยี่ยเป่ยเฉิงก็มืดลงเขาไม่ได้เกลียดนางเลย แต่นางกลับ...เมื่อเห็นเยี่ยเป่ยเฉิงจะโกรธอีกครั้ง หลินซวงเอ๋อร์รีบรับขนมจากมือของเยี่ยเป่ยเฉิง เหลือบมองเขาอย่างหวาดกลัว และในที่สุดก็ใส่ขนทเข้าไปในปากของนางอย่างลังเลเมื่อเห็นว่าในที่สุดนางยอมกินขนมที่เขากินแล้ว สีหน้าอันหมอง เยี่ยเป่ยเฉิงจึงอ่อนลงเยี่ยเป่ยเฉิงพูดอย่างเงียบ ๆ "ต้องกินให้หมด ห้ามเปลือง"หลินซวงเอ๋อร์ "..."ในที่สุดนางกินลูกกวาดให้หมด และยังมีอีกสองอันที่ยังไม่ได้เปิดอยู่ในมือของนาง แต่หลินซวงเอ๋อร์ปฏิเสธที่จะกินต่อนี่เป็นช่วงเวลาที่คึกคักที่สุดในตอนกลางคืน แสงไฟบนชายฝั่งสว่างไสว และแสงเทียนสะท้อนบนทะเลสาบสีฟ้าทั่วทั้งทะเลสาบก็กลายเป็นสีสันหลินซวงเอ๋อร์กำลังนั่งยอง ๆ บนชายฝั่ง นางมองดูดอกบัวบนทะเลสาบด้วยความมึนงง จู่ ๆ เรือสำราญก็เข้ามาใกล้“ท่านทั้งสองคนอยากไปล่องเรือในทะเลสาบไหม คืนนี้แส
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก