เยี่ยเป่ยเฉิงจับมือนาง และพานางเดินไปที่แผงขายขนมภาพวาดจากน้ำตาล เขาถามนาง "เจ้าชอบอันไหน"เมื่อเห็นนางไม่ตอบ เยี่ยเป่ยเฉิงชี้ไปที่ขนมรูปกระต่ายที่ทำจากน้ำตาลในมือของพ่อค้าแล้วถามนาง "ชอบตัวนี้หรือ"เมื่อครู่เดินผ่านที่ที่ เขาสังเกตหลินซวงเอ๋อร์จ้องไปที่กระต่ายตัวนี้ตลอด เขาเลยรู้ว่านางต้องชอบกระต่ายตัวนี้มากที่สุดพ่อค้าเห็นเยี่ยเป่ยเฉิงถามเช่นนี้ เขารีบเอาขนมภาดวาดจากน้ำตาลรูปกระต่ายให้เยี่ยเป่ยเฉิง "คุณชายท่านนี้ฉลาดจริง ๆ กระต่ายตัวนี้ไม่ใช่กระต่ายธรรมดา มันเป็นกระต่ายในอ้อมแขนของเทพธิดาฉางเอ๋อของวังพระจันทร์"“อ้าว นั่นคงจะแพงมากสินะ” หลินซวงเอ๋อร์รีบเอามือกลับ“ไม่แพง ไม่แพงหรอกน่ะ แค่สิบเหรียญทองแดงเท่านั้น” พ่อค้าเงยหน้าขึ้นมองหลินซวงเอ๋อร์ เขาประหลาดใจทันทีเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองหลินซวงเอ๋อร์ เขาอดไม่ได้ที่ต้องชม “คุณชายน้อยนี่หล่อมาก”หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกเขินอายเล็กน้อยเมื่อนางได้รับคำชม รอยยิ้มเล็กน้อยตามปกติของนางปรากฏบนริมฝีปากของนาง และมีลักยิ้มลูกแพร์เล็ก ๆ สองอันปรากฏขึ้นที่ทั้งสองข้างของปากในดวงตาของเยี่ยเป่ยเฉิง รอยยิ้มเล็กน้อยนี้ราวกับพระจันทร์ที่กำลังขึ้นในทะเ
นางมักจะมีเสน่ห์เย้ายวนที่ทำให้คนหลงไหล ซึ่งทำให้ผู้คนอยากเข้าใกล้และครอบครองนาง...ความรู้สึกแปลก ๆ ในใจก็เข้ามาในหัวใจของเขาอีกครั้งอาจเป็นเพราะดวงตาของเขาร้อนจัดจนคนรอบข้างสังเกตสายตาของเขาทันทีที่หลินซวงเอ๋อร์หันหน้า นางก็ตกอยู่ในดวงตาที่ลึกและไร้ขอบเขตของเยี่ยเป่ยเฉิงนางตกใจอยู่ครู่หนึ่งและรอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็ค่อย ๆ จางหายไปในการสลับกันของแสงและความมืด นางเห็นเขาราวกับกำลังคิดเรื่องอย่างอื่นอยู่ และเหมือนกำลังสับสนเรื่องอันใดอยู่ ในที่สุดนางเรียกเขาเบา ๆ " ท่านอ๋อง"เยี่ยเป่ยเฉิงจึงมีสติอีกครั้ง ลูกกระเดือกของเขากลิ้งขึ้น ๆ ลง ๆ แต่เขายังคงไม่อยากมองไปทางอื่นหลินซวงเอ๋อร์รู้สึกสับสน นางถูกเยี่ยเป่ยเฉิงจ้องมองเช่นนี้ ซึ่งทำให้นางหวาดกลัว“ ทำไมท่านอ๋องจ้องมองข้าน้อย” ขณะที่หลินซวงเอ๋อร์พูด นางไม่ลืมเลียขนมภาพวาดจากน้ำตาสลของนางนางหรี่ตาลงเล็กน้อย ขนมนี้หวานมาก...เยี่ยเป่ยเฉิงมองขนมภาพวาดจากน้ำตาลในมือของนางทันที...หลินซวงเอ๋อร์คิดอยู่ครู่หนึ่ง นางรู้สึกเขาคงอยากกินขนมในมือของนางอยู่นะหลินซวงเอ๋อร์ครุ่นคิดครู่หนึ่ง นางถามเยี่ยเป่ยเฉิง " ท่านอ๋อง อยากกินขนมภาพ
ห้ามสิ้นเปลืองหรือเมื่อครู่นี้เขาจ่ายนพ่อค้าอย่างไม่เสียดายเงินด้วยเงินครึ่งตำลึงเงิน ทำไมเขาไม่ว่าตัวเองเปลืองล่ะนอกจากนี้ เขากินขนมเกือบหมดแล้ว แต่เขายังสั่งนางกินต่อ“ทำไม รังเกียจข้าหรือ” เมื่อเห็นนางไม่รับขนม ใบหน้าของ เยี่ยเป่ยเฉิงก็มืดลงเขาไม่ได้เกลียดนางเลย แต่นางกลับ...เมื่อเห็นเยี่ยเป่ยเฉิงจะโกรธอีกครั้ง หลินซวงเอ๋อร์รีบรับขนมจากมือของเยี่ยเป่ยเฉิง เหลือบมองเขาอย่างหวาดกลัว และในที่สุดก็ใส่ขนทเข้าไปในปากของนางอย่างลังเลเมื่อเห็นว่าในที่สุดนางยอมกินขนมที่เขากินแล้ว สีหน้าอันหมอง เยี่ยเป่ยเฉิงจึงอ่อนลงเยี่ยเป่ยเฉิงพูดอย่างเงียบ ๆ "ต้องกินให้หมด ห้ามเปลือง"หลินซวงเอ๋อร์ "..."ในที่สุดนางกินลูกกวาดให้หมด และยังมีอีกสองอันที่ยังไม่ได้เปิดอยู่ในมือของนาง แต่หลินซวงเอ๋อร์ปฏิเสธที่จะกินต่อนี่เป็นช่วงเวลาที่คึกคักที่สุดในตอนกลางคืน แสงไฟบนชายฝั่งสว่างไสว และแสงเทียนสะท้อนบนทะเลสาบสีฟ้าทั่วทั้งทะเลสาบก็กลายเป็นสีสันหลินซวงเอ๋อร์กำลังนั่งยอง ๆ บนชายฝั่ง นางมองดูดอกบัวบนทะเลสาบด้วยความมึนงง จู่ ๆ เรือสำราญก็เข้ามาใกล้“ท่านทั้งสองคนอยากไปล่องเรือในทะเลสาบไหม คืนนี้แส
แต่คืนนี้เยี่ยเป่ยเฉิงไม่อยากดื่มสุรา และเขาไม่ชอบนักเต้นเข้าใกล้เขามากเกินไป กลิ่นแป้งบนตัวของนางทำให้เขาอึดอัดมากเยี่ยเป่ยเฉิงผลักจอกสุราที่อยู่ตรงหน้าเขาแล้วพูดว่า "คืนนี้รับใช้นางผู้เดียวให้ดี ไม่ต้องสนใจอย่างอื่น"นักเต้นทั้งสองมองหน้ากัน จากนั้นมองไปที่หลินซวงเอ๋อร์หลินซวงเอ๋อร์กำลังกินของอร่อย ๆ ที่อยู่บนโต๊ะ นางไม่ทันกลืนอาหาร นางเห็นพี่สาวสองคนนั้นมองนาง นางจึงยิ้มแล้วพูดว่า "ไม่ต้องรับใช้ข้าเช่นกัน"อาหารใส่เต็มปากของนาง ทำให้ใบหน้าอันเล็ก ๆ ของนางที่ใหญ่เท่าฝ่ามือก็กลายเป็นหน้ากลม ๆเงินตั้งสิบตำลึงเงิน นางต้องกินให้คุ้มนักเต้นสองคนเห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่สุราและไม่รับประทานอาหาร พวกนางมองหน้ากันและลุกขึ้น จากนั้นพากันเดินถอยออกจากห้องทันใดนั้น มีเพียงเยี่ยเป่ยเฉิงและหลินซวงเอ๋อร์เท่านั้นที่เหลืออยู่ในห้องภาพวาดรอบข้าง ๆ เงียบสงบ มีแต่เสียงไม้พายกระทบน้ำเป็นครั้งคราว“ ท่านอ๋องไม่ทานหรือ” อาหารเต็มโต๊ะ นางกินไม่หมด นางจึงอดไม่ได้ที่ต้องชักชวนเย่เยี่ยเป่ยเฉิง เพื่อให้เขากินบ้างเช่นกัน“ข้าไม่หิว เจ้า...” ก่อนที่เขาจะพูดจบ เยี่ยเป่ยเฉิงคว้าข้อมือของนางไว้ทันทีขาไก
อาวุธมีคมทะลุผ่านอากาศและเจาะร่างกายของหลินซวงเอ๋อร์อย่างหนักเสียงของของหลินซวงเอ๋อร์ดูเหมือนจะติดอยู่ในลำคอของนางในขณะนั้น เสียงของนางเบาและกระพือ และเสียงนั้นหยุดกะทันหันนางมองเลือดที่ค่อย ๆ กระจายบนหน้าอกของนางอย่างไม่เชื่อ จากนั้นาง นางค่อย ๆ ล้มหลายหลังขณะที่หลินซวงเอ๋อร์ล้มหงายหลัง เยี่ยเป่ยเฉิงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและดึงนางเข้าไปในอ้อมแขนของเขาร่างกายผอมเพรียวราวไม่มีกระดูกและเบาราวกับขนนก ไม่ต้องพูดถึงการถือดาบ แม้แต่การแบกถังน้ำก็ลำบากแต่เป็นผู้หญิงที่อ่อนแอคนนี้พยายามปกป้องเขาด้วยชีวิตของนางในช่วงเวลาวิกฤติจริง ๆเยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วอย่างดุเดือดใครให้นางปกป้องล่ะเขาอยู่ในสนามรบกับท่านพ่อของเขาตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก เขาเคยผ่านแม่น้ำเลือด และเคยเดินผ่านกองคนตาย เขาเคยตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายทุกอย่าง แล้วทำไมเขาถึงต้องการให้นางปกป้องเขาล่ะเยี่ยเป่ยเฉิงโกรธและวิตกกังวล เขารู้สึกหัวใจของเขาเหมือนถูกเข็มทิ่มแทงครั้งแล้วครั้งเล่า และความเจ็บปวดก็ปะทุขึ้นเป็นคลื่น อารมณ์ในดวงตาของเขาช่างท่วมท้นและซับซ้อนจนอธิบายไม่ได้“เด็กโง่ เจ้าไม่ต้องปกป้องข้า”เมื่อก่อนเยี่ยเ
ชายชุดดำอดไม่ได้ที่ต้องตัวสั่นเนื่องจากการข่มขู่โดยธรรมชาติของเยี่ยเป่ยเฉิง และเหงื่อเย็นก็ไหลออกมาข้างหลังเขาโดยไม่รู้ตัว“ โปรดท่านอ๋องไว้ชีวิตข้าหน้อย...” เมื่อมองศพที่นอนอยู่บนพื้น ชายชุดดำรู้สึกถึงความกลัวตายเป็นครั้งแรก เขาทิ้งดาบในมือลงและร้องขอความเมตตา“ตราบใดที่ท่านอ๋องไว้ชีวิตข้าน้อย ข้าน้อยยินดีที่จะสารภาพทุกเรื่อง…”เยี่ยเป่ยเฉิงมองเขาโดยไม่สนใจคำพูดของเขา เขาประกาศจุดจบของชายผู้นี้อย่างเย็นชา "ไม่ทันแล้ว"หากเป็นเมื่อก่อน เขาอาจะไว้ชีวิตคนหนึ่งไว้ และพาคนผู้นั้นไปที่คุกน้ำเพื่อทรมานเขาและเอาคำสารภาพ เพราะถึงอย่างไร เขามีหลายร้อยวิธีที่จะทำให้เขาพูดความจริงแต่ตอนนี้เขาไม่อยากทรมานใครอีกแล้ว เขาแค่อยากให้พวกเขาตายหมด แม้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่อีกหนึ่งวินาทีก็ไม่ได้เยี่ยเป่ยเฉิงยกดาบยาวในมือของเขาขึ้นแล้วเหวี่ยงมันอย่างดุเดือด เขาไม่ให้ชายชุดดำมีชีวิตรอดและฟันขอของชายชุดดำโดยตรงทันใดนั้น เลือดก็กระเซ็นไปทุกที่ ชายในชุดดำก็ล้มบนพื้น บนศีรษะที่ตกบนพื้น ดวงตาคู่หนึ่งที่ยังคงจ้องมองเต็มไปด้วยความไม่เชื่อหลังจากจัดการทุกคนเสร็จ เยี่ยเป่ยเฉิงจึงทิ้งมีดในมือของเขาและอุ้ม
บูมเมอแรงทั้งอันฝังอยู่ในเนื้อ เป็นไปไม่ได้ว่าดึงมันออกมาโดยไม่เจ็บปวดเยี่ยเป่ยเฉิงดึงบูมเมอแรงว่องไวมาก แต่อาวุธลับชนิดนี้ไม่เหมือนอาวุธชนิดอื่น มีตะขอที่ปลายด้าม หากดึงอาวุธลับนี้ออก จะเท่ากับการทำร้ายนางอีกครั้งบนเรือไม่เหมือนจวนโหว ที่นี่ไม่มีแพทย์ผู้มีประสบการณ์บนเรือและไม่มียาหยุดเลือด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยาสลบสำหรับบรรเทาอาการปวดชายผู้แข็งแกร่งไม่สามารถทนต่อความเจ็บของตะขอที่กวนอยู่ใต้เนื้อหนังได้ แล้วหลินซวงเอ๋อร์จะทนมันได้อย่างไรมือของเยี่ยเป่ยเฉิงเต็มไปด้วยเลือด เขากำผ้าเช็ดหน้าแน่น จนข้อนิ้วของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวนี่เป็นอาวุธลับที่ร้ายแรงสุด ๆ ผู้ที่ทำอาวุธลับชนิดนี้โหดเหี้ยมและชั่วร้ายจริง ๆ กฎหมายของต้าซ่งสั่งไว้ว่า ห้ามหลอมอาวุธชนิดนี้แต่อาวุธชนิดนี้ก็ยังปรากฏอยู่ที่นี่เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วขึ้นเพื่อซ่อนความคิดบางอย่างในดวงตาของเขาอาจมีเพียงคนเดียวในต้าซ่งที่มีอำนาจเหนือกว่าทุกคนและอยากให้เขาตายหลินซวงเอ๋อร์เป็นลมหลายครั้ง ทุกครั้งนางถูกปลุกให้ตื่นด้วยความเจ็บปวดใบหน้าของนางซีดราวกับกระดาษ ผมของนางบนขมับของนางชุ่มไปด้วยเหงื่อ และดวงตาของนางไม่สดใสเหมือนปกติ
นางอยากขอโทษเขาดี ๆ นางไม่ควรเป็นภาระของเขาแต่ตอนนี้นางเจ็บมาก และนางก็ไม่มีแรงเหลือที่จะเอาใจเขาจริง ๆน้ำตาของนางไหลอาบขอบตาทันที หลินซวงเอ๋อร์สำลักสองครั้ง และนางเจ็บอย่างหนักดวงตาของเยี่ยเป่ยเฉิงเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายเขาควรจะโกรธ โกรธที่นางตัดสินใจตามอำเภอใจและไม่รู้ความสามารถของตัวเองแต่ตอนนี้เขาโกรธตัวเองไม่สามารถปกป้องนางดี ๆ มากกว่า เขาโกรธที่คนที่อยู่เบื้องหลังแตะต้องเส้นตายของเขาเยี่ยเป่ยเฉิงหายใจเข้าลึก ๆ แม้แต่ลมหายใจของเขาก็สั่นเทา“ตราบใดที่เจ้าไม่หลับตา ข้าก็จะไม่โกรธ”เมื่อเห็นเขาไม่ได้โกรธนาง หลินซวงเอ๋อร์กระตุกริมฝีปากของนางอย่างยากลำบาก“ ท่านอ๋อง...ข้าน้อยจะตายหรือไม่” เสียงของนางเบามาก แต่ก็เพียงพอให้เยี่ยเป่ยเฉิงได้ยินชัดเจน“ข้าบอกแล้ว ข้าจะไม่ให้เจ้าตาย” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเล็กน้อย เสียงนั้นมีร่องรอยของความหวาดกลัวที่มองไม่เห็นหลินซวงเอ๋อร์หลับตา นางอดไม่ได้ที่ต้องไอสองสามที และนางดึงบาดแผลอีกครั้งโดยบังเดิญ และนางรู้สึกเจ็บทันทีร่างที่อยู่ตรงหน้านางเริ่มพร่ามัวอีกครั้ง และดูเหมือนนางกำลังพูดอะไรก่อนสิ้นสุดชีวิต "ข้าน้อย... ข้าน้อย
วันที่เจียงหว่านกำลังจะถูกเนรเทศ ในที่สุดเจียงเช่อก็มาหาถึงหน้าประตูเขาคุกเข่าเบื้องหน้าเยี่ยเป่ยเฉิง เว้าวอนขอเยี่ยเป่ยเฉิงปล่อยเจียงหว่านไปขณะที่เดินทางมา เขารับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วเจียงหว่านลอบวางยาพระชายาเยี่ย ใช้ประชาชนที่ติดโรคทดลองยา เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ ผลาญชีวิตคนดุจผักดุจปลา นับเป็นอาชญากรรมอันชั่วร้ายที่สุด......แต่ไม่ว่าอย่างไร เจียงหว่านก็เป็นน้องสาวเขา เป็นคุณหนูหนึ่งเดียวของตระกูลเจียง เจียงเช่อมิอาจนั่งนิ่งดูดาย ปล่อยให้นางไปตายได้“ขอร้องท่านอ๋องไว้ชีวิตนางเถิด เป็นเพราะข้าตามใจนางจนเสียคน หากท่านอ๋องจะลงโทษ โปรดลงที่เจียงเช่อเถิดพะยะค่ะ”เมื่อเห็นเจียงเช่อ สายตาสิ้นหวังของเจียงหว่านพลันมีประกายความหวังขึ้น“พี่......ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากไปแดนเถื่อน ข้าอยากกลับบ้าน ท่านพี่ช่วยข้าด้วย......”เจียงเช่อขมวดคิ้วเขม็งจ้องเจียงหว่าน สายตาแฝงเร้นด้วยแววเกยีดชังเข้าไส้เขารู้ว่าเจียงหว่านต้องโทษตาย ยามนี้แค่เนรเทศ ถือว่าเมตตามากแล้ว แต่เขาเองก็รู้ว่า สถานที่อย่างแดนเถื่อนนั้น มิใช่สถานที่ที่สตรีตัวคนเดียวจะไปได้ การเนรเทศนางไปที่นั่น เท่ากับส่งนางไปขุมนร
“เลือดของนาง...”เจียงหว่านสีหน้าตกตะลึงตอนนั้น ตอนที่ฮุ่ยอี๋มอบยาถอนพิษใส่ในมือนาง นางเคยเอาทิ้งไว้หลายขวด เดิมทีคิดศึกษาส่วนผสมในนั้น ทว่าด้านในกลับมีส่วนผสมยาเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือเลือดมนุษย์...แรกเริ่ม นางคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล! กระทั่งยามนี้นางถึงได้เชื่อความจริง ส่วนประกอบของยานั้น มีเพียงเลือดมนุษย์จริงๆ! ทั้งยังเป็นเลือดของหลินซวงเอ๋อร์! เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ในที่สุดนางก็เข้าใจ!มิน่า...ตอนนั้น นางใช้ยาปริมาณมาก แต่กลับไม่อาจทำให้หลินซวงเอ๋อร์ถึงตาย! ไม่คิดว่าเลือดของนางจะขจัดพิษในร่างนางโดยมองไม่เห็น...ฮุ่ยอี๋เอ่ย “เจ้ายังมีหน้าพูดว่าไม่ได้ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาอีก! เจียงหว่าน เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้าวางยาซวงเอ๋อร์อย่างไร? เสด็จอาให้อภัยเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ข้าไม่มีวันเกรงใจเจ้า!”คำพูดนี้สองแง่สองง่าม เห็นชัดว่ากำเย้ยหยันเยี่ยเป่ยเฉิงที่ดึงหมาป่าเจ้าเล่ห์เข้าบ้าน!เยี่ยเป่ยเฉิงตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ไร้ซึ่งแรงโต้กลับยามนี้ เขามิอาจชำระคืนได้ ซวงเอ๋อร์ของเขาไม่มีวันกลับมาอีกต่อไป!สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คือทำให้เจียงหว่านชดใช้อย่างสาสมที่สุด ส่วนตัวเขา ชีวิตที่
เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาที่มองเจียงหว่านเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง ไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิดเขาอยากฆ่านางตั้งนานแล้ว ที่ปล่อยนางรอดมาจนถึงตอนนี้ ก็แค่อยากให้นางได้รับความทรมานจนตายบัดนี้เห็นนางตกยากเช่นนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงกลับรู้สึกว่าบทลงโทษแค่นี้ยังมิพอเจียงหว่านถูกทรมานจนเหมือนตายดีกว่าอยู่มานานแล้ว นางรู้ เยี่ยเป่ยเฉิงไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ หลังจากคิดดูแล้ว หากตายด้วยน้ำมือของเยี่ยเป่ยเฉิงได้ ก็คงจะดีกว่าตอนนี้ ที่ดูดซับยาเข้าสู่ร่างกายทุกวัน ถูกฝันร้ายหลอกหลอนทุกคืนสุดท้ายก็ไม่สามารถหนีจากพิษและเสียชีวิตลงได้!อย่างไรก็ตาย มิสู้ให้เยี่ยเป่ยเฉิงจบชีวิตนางด้วยมือเขาเอง!เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็ยิ้มเยาะ จงใจกล่าวยั่วยุเขา “เยี่ยเป่ยเฉิง เจ้ามีฝีมือแค่นี้หรือ? แน่จริงก็ฆ่าข้าไปเลยสิ!”“ฆ่าข้าให้มันจบๆ ไปเสีย!”เยี่ยเป่ยเฉิงปรายตามองนาง พลางกล่าวอย่างเย็นชา “ตอนนั้น เจ้าก็ทรมานซวงเอ๋อร์เช่นนี้!”เจียงหว่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วอย่างไร!”“ลูกในท้องนางข้าก็เป็นคนทำร้ายเอง! ร่างกายอ่อนแอแบบนั้นของนางต่อไปจะตั้งครรภ์ไม่ได้อีกแล้ว!”“ที่นางฝันร้ายทุกคืน ก็เป็นข้าที่ทำเอง
หลายสิบปีมานี้ นางทำเรื่องชั่วมานับไม่ถ้วน ทุกเรื่อง นางจิตใจสงบ ไม่เคยรู้สึกผิดเลยมีเพียงเจียงหลิง…มีเพียงการตายของเจียงหลิง ทำให้นางยากจะข่มตานอนได้…ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในฐานะคุณหนูรอง เจียงหว่านไม่เป็นที่ชื่นชอบของพ่อแม่มาตลอด พี่ชายก็ยิ่งไม่สนใจนาง ทว่าเจียงหลิงกลับได้รับความรักมากมาย…นางอิจฉาเจียงหลิง และแทบอยากทำให้อีกฝ่ายหายไปจากโลกใบนี้แต่เจียงหลิงกลับรักเอ็นดูนางมาตั้งแต่ต้นจนจบ ปกป้องนาง มอบของที่ดีที่สุดในโลกใบนี้ให้แก่นาง…เจียงหลิงเป็นพี่สาวที่ดีต่อนางที่สุดบนโลกใบนี้…ทว่าที่นางต้องการหาใช่แค่พี่สาวอย่างเดียว นางต้องการความรักของทุกคน นางต้องการให้พ่อแม่ พี่ชายรกนางแค่คนเดียว นางอยากครอบครองของที่ดีที่สุดไว้กับตัวเอง ไม่ใช่รอให้คนอื่นมอบให้!ดังนั้น ในคืนวันหิมะตก นางผลักเจียงหลิงตกน้ำ มองนางจมตายทั้งเป็นอยู่ใต้น้ำ หลังจากนั้นนางก็ติดวันเกิดเวลาเกิดของเจียงหลิงบนตุ๊กตาคุณไสย แทงเธอทุกวัน สวดภาวนาทุกคืน นางต้องการให้เจียงหลิงไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิด ไม่หวนกลับมาตลอดกาล!เพราะมีเพียงแค่ทำแบบนี้ นางถึงจะไม่มีโอกาสแก้แค้นตัวเอง!แต่ทำไม…ทำไมตอนนี้นางถึงยังหาตัวเอง
ยาซึมเข้าสู่ร่างกายติดกันหลายวันทำให้เจียงหว่านค่อยๆ เป็นบ้าในห้องที่ปิดสนิท เจียงหว่านหดตัวอยู่บนพื้นเหมือนดินโคลนตัวนางเหม็นมาก ชุดกระโปรงสีรากบัวเปลี่ยนเป็นสกปรกและเก่าองครักษ์ทำให้เส้นเอ็นมือของนางขาด ตรงบาดแผลถูกทาขี้ผึ้งปิดแผลชั้นแล้วชั้นเล่าแม้ขี้ผึ้งปิดแผลจะเป็นยาสำหรับปกปิด ทว่ากลับมีผลดีต่อการหยุดเลือดบาดแผลแข็งตัวจนกลายเป็นสะเก็ดไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้รับการรักษาที่ดีกว่านี้ แม้จะดีขึ้นก็ยังเหลือรอยแผลเป็นอัปลักษณ์เอาไว้ธูปในห้องไม่เคยลดลงเลยทั้งวัน ประกอบกับกระกระตุ้นของต้นคลีเวีย ความคิดต่ำช้าที่อยู่ในตัวนางแทบจะถูกกระตุ้นออกมาทั้งหมดสองตานางแดงก่ำ ดูฉุนเฉียวไม่น้อย กรีดร้องโวยวายอยู่ในห้อง ประหนึ่งคนบ้าคนหนึ่งองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องไม่สนใจนางสักนิด ได้แต่ทรมานนางไม่ให้นางตายทุกวันความเคียดแค้นฉายออกมาจากในตาเจียงหว่าน เวลานี้ นางได้ปล่อยว่างความหลงใหลต่อเยี่ยเป่ยเฉิงแล้ว ไม่ว่าจะรักมากขนาดไหนก็แปรเปลี่ยนเป็นความชิงชังเข้ากระดูก“เยี่ยเป่ยเฉิง! ปล่อยข้ากลับไป! ปล่อยข้ากลับไปสิ!”“แน่จริงก็ฆ่าข้าเลยสิ!ฆ่าข้าให้มันจบๆ ! ท่านมีสิทธิ์อะไรมาขังข้าไว้เช่นนี
“ได้ยินว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเจ้าเสียไปนานแล้ว แล้วเจ้ากับพี่ชายอยู่มาได้อย่างไร?”“แล้วเหตุใดเจ้าจึงขายตัวไปเป็นบ่าวไพร่? หลายปีมานี้ เจ้าคงผ่านความลำบากมิใช่น้อย เคยถูกใครรังแกหรือไม่?”หลินซวงเอ๋อร์พลันเกิดความขมขื่นในจิตใจเดิมที หากไม่เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ นางยังพออดทนได้บ้าง แต่เมื่ออวี๋หว่านหนิงถามขึ้นมา นางก็อดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเสียมิได้นางเม้มปากพลางจ้องมองนิ้วมือตนเอง น้ำตาเริ่มเอ่อล้น พร้อมหยดแหมะลงหลังมือทีละหยดนางอยู่สบายหรือไม่?นางเคยถามตนเองอยู่เช่นกันหลายปีมานี้ นางผ่านเรื่องราวมากมาย สูญเสียบิดามารดา สูญเสียพี่ชายไป กลายเป็นเด็กกำพร้าที่ไร้ญาติขาดมิตรโดยแท้แต่หากคิดดีๆ ชีวิตนางก็เคยอยู่สุขสบายมาช่วงหนึ่งนั่นคือตอนอยู่กับเยี่ยเป่ยเฉิง นางมีความสุขจริงๆในตอนนั้น เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นกำลังใจให้นาง ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ หาของดีมาให้กิน สอนนางเรียนหนังสือ พาไปเดินเล่นท่องทะเลสาบ ให้ความรักต่อนางอย่างชนิดไร้ผู้เทียบเทียม...ในเวลานั้น นางมีความสุขเหลือล้น เป็นความสุขมากที่สุดในชีวิต แม้แต่ฝันก็ยังเป็นฝันหวาน...แต่ต่อมา ทุกอย่างกลับแปรเปลี่ยน ก่อนหน้านี้เคยสุ
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลินซวงเอ๋อร์แทบชะงักงันไปที่บั้นเอวนางมีปานแดงรูปเสี้ยวจันทร์จริงๆ ท่านแม่บอกว่า มันมีติดตัวมาตั้งแต่นางเกิด เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่บั้นเอว จึงมีน้อยคนที่จะรู้เรื่องนี้“ท่าน...คือแม่ของข้าจริงหรือ?” หลินซวงเอ๋อร์หัวใจเต้นแรง ขอบตาแดงเรื่อขึ้นอวี๋หว่านหนิงยื่นมือมาจับมือของนางไว้ พลางกล่าวเสียวเศร้า “ซวงเอ๋อร์ ข้าคือแม่เจ้าจริงๆ หลายปีนี้ทำให้เจ้าลำบากนัก...”แม่นมซุนอยู่ด้านข้างพลางกล่าวเสริม “องค์หญิง นางคือเสด็จแม่ของท่านจริงๆ หลายปีมานี้ ฮองเฮาไม่เคยเลิกราในการตามหาท่าน เพียงแต่ภาคกลางกว้างขวางนัก พวกท่านเองก็ข่าวคราวเงียบหาย หลายปีนี้ พวกท่านลำบากก็จริง ฮองเฮาก็ไม่ได้สุขสบายใจ...”หลินซวงเอ๋อร์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ พลันหันไปมองอวี๋หว่านหนิงแล้วกล่าว “ที่จริง ข้าไม่เคยตำหนิท่านเลย เพียงแต่บางครั้งก็เคยคิด ว่าท่านแม่จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้หรือไม่”“ตอนยังเป็นเด็ก ข้าเคยคาดหวังให้นางมาหาบ้าง แต่พอโตขึ้นก็ไม่เห็นนางมาเสียที ข้าจึงภาวนาให้นางอยู่ดีมีสุขแทน แม้จะไม่ได้พบหน้า แต่ขอให้นางยังมีชีวิตอยู่ เป็นความคิดถึงในใจก็เพียงพอแล้ว...”
อวี๋หว่านหนิงรับเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา พลันเกิดความตื้นตันจนไม่รู้ตอบอย่างไรดีทันใดนั้น แม่นมซุนเดินขึ้นมาพร้อมกล่าว “องค์หญิง ที่นี่คือวังหลวงแห่งเป่ยหรง ฮองเฮาทรงตามหาท่านมานาน ทุ่มแทแรงกายแรงใจไม่น้อยกว่าจะหาพบ...”“องค์หญิง?” หลินซวงเอ๋อร์นึกว่าตนหูฝาดไป “ท่านเรียกข้าอยู่หรือ?”นางกล่าวตอบ “พวกท่านจำคนผิดหรือเปล่า ข้าไม่ใช่องค์หญิง ข้าคือหลินซวงเอ๋อร์ต่างหาก”นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง เติบโตมาจากชนบทแร้นแค้น เป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยผู้หนึ่งเท่านั้นองค์หญิงอะไรกัน ยังมีวังเป่ยหรงอีก แล้วใครคือฮองเฮา?พวกนางคงจำคนผิดเป็นแน่แม่นมซุนกล่าวตอบ “ไม่ผิดเจ้าค่ะ ไม่มีผิดแน่นอน ท่านก็คือองค์หญิงของเรา องค์หญิงที่พลัดพรากจากฮองเฮาไป...”หลินซวงเอ๋อร์คล้ายกับยังมึนงงอยู่ ความคิดนางเกิดความสับสน ปวดหัวเป็นอย่างมากแม่นมซุนอธิบายต่อ “สมัยที่อดีตฮ่องเต้สวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ราชสำนักเป่ยหรงเกิดความวุ่นวาย ตอนนั้นฮองเฮายังมีฐานะเป็นเพียงพระชายาแห่งรัชทายาท นางเสี่ยงอันตรายให้กำเนิดแฝดชายหญิงคู่หนึ่ง เพื่อปกป้องชีวิตของพวกท่านไว้ จึงให้คนสนิทส่งพวกท่านออก
หลินซวงเอ๋อร์เปลือกตากระตุกเล็กน้อย นางก็อยากตื่น แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจตื่นขึ้นมาหน้าอกคล้ายถูกกรีดจนเป็นแผลเหวอะหวะ เหงื่อเย็นในตัวไหลพราก ลำคอคล้ายถูกงูพิษตัวหนึ่งรัดไว้ ยิ่งรัดก็ยิ่งแน่น จนนางใกล้จะหายใจไม่ออกข้างโสตนั้น ได้ยินเสียงคุ้นหูประเดี๋ยวไกลประเดี๋ยวใกล้ ถัดจากนั้น คล้ายมีมืออ่อนโยนลูบไล้ใบหน้านางเบาๆ“เด็กดี หมดเรื่องแล้ว เจ้าปลอดภัยดีแล้ว รีบตื่นมาเถิด ตื่นมาเร็วเข้า...”หลังจากได้ยินเสียงนั้นชัดเจนมากขึ้น ลำคอที่ถูกรัดแน่นก็ค่อยๆ คลายออก นางลืมตาช้าๆ ภาพเบื้องหน้าจากพร่ามัวจนกลายเป็นชัดเจน สิ่งแรกที่เข้าสู่ม่านตาก็คือม่านคลุมเตียงสีม่วงที่อยู่เหนือศีรษะขึ้นไป คล้ายเป็นภาพฝัน เสมือนเป็นแหยักษ์ที่ถูกเหวี่ยงลงมา เพื่อคลุมตัวนางให้อยู่ตรงกลางเตียงนี้เป็นเตียงที่สวยงาม จนแม้แต่เสาเตียงก็เป็นลวดลายที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน หัวเตียงนอกจากจะแกะสลักลายดอกไม้แล้วยังฝังด้วยหยกเจียระไนงดงามและพลอยล้ำค่าอีกชั่วขณะนั้น นางรู้สึกมึนงงยิ่งนี่มันเป็นที่ไหนกัน?“ซวงเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกตัวแล้วรึ?” จนกระทั่งข้างหูได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง นางจำได้ว่าตอนอยู่ในความฝัน ได้ยินเสียงนี้จนคุ