เด็กชายไม่กล้าร้องอีกต่อไป สะกดกลั้นความเจ็บปวดจนเสียงสะอื้นเจียงหว่านคร้านจะสนใจเขา ยกสมุนไพรที่โขลกไว้เตรียมต้มยามเดินผ่านกระโจมค่าย ใต้ฝ่าเท้าพลันเหยียบบางอย่างนางมองดูชัดๆ ถึงได้พบว่าเป็นถุงปักลายใบหนึ่งเจียงหว่านก้มลง หยิบถึงปักลายขึ้นมา มองดูอย่างพินิจก่อนพบว่าถุงนี้ปักลายหงส์มังกร เมื่อมองอย่างละเอียด เป็นลายปักเย็บอันประณีต รู้สึกเหมือนมีชีวิตขึ้นมาจริงๆกระนั้นสิ่งที่ดึงดูดสายตาที่สุดคืออักษร “เยี่ย” ที่อยู่ข้างใต้ลายภาพนางเข้าใจทันใด ที่แท้ก็ถุงปักลายของเยี่ยเป่ยเฉิงนั่นเองแต่นางจำได้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงไม่ชอบพกของไร้ประโชชน์แบบนี้ทว่ายามนี้ เขากลับพกถุงปักนี่ติดตัวไว้เสมอ!เมื่อคิดอย่างละเอียด นางก็เดาได้ไม่ยากว่าถุงปักใบนี้มาจากฝีมือของใคร!นิ้วมือลอบบีบแน่นนางเดินไปหน้าเตาไฟ ยกถุงปักในมือมาดหมายโยนทิ้งในเตาไฟ แต่ไม่รู้นึกอันใดขึ้นได้ ถึงค่อยๆเก็บกลับมาอีกครั้ง……ครั้นเยี่ยเป่ยเฉิงกลับไปก็พบว่าถุงปักลายของตนหายไปแล้วนั่นเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักที่หลินซวงเอ๋อร์ปักให้เขา เขาต้องหากลับมาให้ได้!ทว่าเขาตามหาจนทั่วทุกซอกทุกมุมในห้องแล้วก็ยังไม่เจอขณะกำลังร้
ได้ยินว่า หากใครไม่นึกอยากอาหาร มักชอบกินประเภทต้มจืดและย่อยง่ายแต่หลินซวงเอ๋อร์เห็นโจ๊กต้มจืดแล้ว ยังคงไม่นึกอยากอยู่ดีนางเอาแต่เอนกายซึมเซาอยู่บนตั่งนุ่ม สายตาเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง จ้องมองต้นชิวไห่ถังที่เบ่งบานอยู่ ไม่รู้ในใจคิดเรื่องอะไรตงเหมยรู้ว่านางกำลังคิดถึงท่านอ๋องอยู่นับเวลาดูแล้ว ท่านอ๋องไม่ได้กลับจวนมาเกือบเจ็ดวันได้เจียงหว่านก็เช่นกันบ่าวไพร่ในจวนต่างก็ร่ำลือ ว่าท่านอ๋องได้ใหม่ลืมเก่า คลุกคลีกับแม่นางเจียงนานๆ จนเกิดผูกพัน ไม่ชอบคนที่อยู่ในจวนเสียแล้ว จึงหาข้ออ้าง ไปขลุกอยู่กับแม่นางเจียงในค่ายทหารเสียดีกวาเดิมทีตงเหมยก็ไม่เชื่อเสียงนกเสียงกาเหล่านี้ เพราะท่านอ๋องดีต่อหลินซวงเอ๋อร์เพียงไหน นางล้วนเห็นกับตา แต่ที่นางคิดไม่ตกก็คือ วันก่อนหลินซวงเอ๋อร์เอาของไปให้เขาด้วยความดีใจ เหตุใดเขาจึงโมโหโกรธานัก ซ้ำยังสั่งกักบริเวณหลินซวงเอ๋อไว้ ไม่ให้นางออกจากเรือนอีก...หลินซวงเอ๋อร์คงได้ยินข่าวลือบางอย่างเช่นกัน มิฉะนั้นนางคงไม่หงอยเหงาซึมเซาถึงเพียงนั้น วันๆ ไม่พูดไม่จา และเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ร่างกายก็ซูบผอมไปเป็นกองแล้ว“ตงเหมย” จู่ๆ หลินซวงเอ๋อร์ก็เรียกหานางต
เยี่ยเป่ยเฉิงกลับถึงจวนก็รีบไปยังเรือนอวิ๋นซวนครั้งนี้ เขาแทบไม่ลังเล แต่ผลักประตูห้องเข้าไปโดยตรง“ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว” น้ำเสียงเขาแฝงด้วยความดีใจและร้อนรนไม่พบนางมาหลายวัน เขารู้สึกคิดถึงนางมาก ร้อนใจจนอยากพบหน้าเร็วๆเขายอมรับว่าช่วงนี้ละเลยนางไปมาก ดังนั้นก่อนจะกลับมา จึงรีบไปซื้อขนมกุ้ยฮวาและลูกอมเมล็ดสนที่นางโปรดปรานมาฝาก ถือเป็นการขอขมาทางอ้อมแต่แล้ว เหตุการณ์กลับต่างจากที่เขาคาดคิดเขาไม่ได้ยินเสียงตอบจากหลินซวงเอ๋อร์ ซ้ำภายในห้องก็มืดสนิทเขารีบจุดตะบันไฟขึ้น แล้วไปจ่อเทียนไขจนส่องสว่าง ภายในห้องค่อยมีแสงบ้างกวาดตามองไปรอบๆ กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของหลินซวงเอ๋อร์ผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ราวกับยังไม่ได้ผ่านการใช้งานเยี่ยเป่ยเฉิงเกิดความร้อนใจ จึงรีบหันหลังแล้ววิ่งไปห้องหนังสือแทนเขาคิดว่าดึกป่านนี้แล้ว นางไม่อยู่ในเรือนอวิ๋นซวน ก็คงไปห้องหนังสือแทนแต่แล้ว ห้องหนังสือก็ไม่มีเงาของนาง ดึกดื่นค่ำคืน หรือนางไม่อยู่ในเรือนตะวันออกจริงๆ?เยี่ยเป่ยเฉิงร้อนใจยิ่ง ในยามนี้ เขาลนลานจนแทบทำอะไรไม่ถูกแต่แล้ว ยังไม่ทันได้หันหลังกลับ จู่ๆ ก็มีเสียงมาจากด้านหลัง
เมื่อได้ยินดังนี้ เยี่ยเฉิงเป่ยก็ยิ่งปวดใจเหลือจะกล่าวเขานึกเสียใจยิ่งวันก่อน เขาไม่ควรใช้คำพูดรุนแรงกับนาง จนทำให้นางเกิดความเข้าใจผิดเสียใจที่วันนั้นไม่ได้ผลักประตูเข้าไป แล้วอธิบายกับนางให้รู้ยิ่งเสียใจที่กลับมาช้าไป จนทำให้นางทนทุกข์ทรมานมาหลายวันในห้องตงเหมยยังจุดตะเกียงสว่างอยู่ ขณะเยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเข้าไป ก็เห็นหลินซวงเอ๋อร์นอนอยู่บนเตียงในยามนี้ นางนอนหลับสนิทอยู่ ลมหายใจแผ่วเบา ร่างผอมบางซุกอยู่ใต้ผ้านวมราวกับลูกแมวตัวน้อยตงเหมยตามอยู่ด้านหลังเยี่ยเป่ยเฉิง พลางกล่าวเบาๆ “พระชายาไม่ได้นอนมาหลายคืนแล้ว กว่าจะหลับสนิทก็แสนยาก ท่านอ๋องก็ปล่อยให้นางนอนอยู่นี่สักคืนเถิดนะ”เยี่ยเป่ยเฉิงค่อยๆ ย่องไปเบื้องหน้าหลินซวงเอ๋อร์ จ้องมองการนอนของนางอยู่เนิ่นนานสุดท้าย เขาก้มตัวลง เปิดผ้านวมแล้วอุ้มตัวหลินซวงเอ๋อร์ขึ้นมาเยี่ยเฉิงเป่ยกล่าวต่อตงเหมย “มีข้าอยู่กับนาง นางจะได้นอนหลับอย่างอุ่นใจ”ตงเหมยไม่คิดห้ามปรามอีก นางคิดว่า ในเมื่อท่านอ๋องกลับมาแล้ว หลินซวงเอ๋อร์คงยินดีจะกลับไปนอนที่ห้องตนเองเยี่ยเป่ยเฉิงอุ้มหลินซวงเอ๋อร์ตรงไปยังเรือนอวิ๋นซวนไม่รอให้เขาวางตัวลงบนเ
หลินซวงเอ๋อร์จับคอเสื้อเขาไว้แน่น พยายามระงับอารมณ์อันตื้นตันนางมีเรื่องมากมายคิดจะพูดกับเขาช่วงเวลาที่ผ่านมา นางนอนไม่หลับ มักจะฝันร้ายอยู่เสมอ นางกินไม่ได้มากนัก นางรู้สึกทรมานใจ และที่สำคัญ นางคิดถึงเขามากแต่ว่า เพียงนางคิดถึงว่า เขาอาจจะยังโกรธตนอยู่ นางก็ไม่กล้าไปหาเขาอีกอีกอย่าง เขาลงโทษกักบริเวณนาง แม้นางจะไม่รู้ว่าตนทำผิดที่ตรงไหน แต่ทุกครั้งที่ได้ยินข่าวลือนั้น นางมักจะรู้สึกไม่สบายใจบางครั้งนางยังเคยคิดส่งเดช คิดว่า เขาไม่ต้องการตนจริงใช่หรือไม่ หรือจะไปชอบพอเจียงหว่านมากกว่า...ต่อมา นางได้แต่เบี่ยงเบนความคิดตน อย่าไปคิดอะไรมาก วันๆ นั่งเหม่ออยู่ริมหน้าต่างแต่แม้กระนั้น กลางคืนนางยังนอนไม่หลับอยู่ดี แม้ฝันก็ยังเฝ้ารอให้เยี่ยเฉิงเป่ยกลับมา เพื่อให้คำตอบแก่นางสักครั้งแต่ว่า เหตุใดเขาจึงไม่ยอมกลับมา และไฉนจึงเพิ่งกลับเอาป่านนี้...“ซวงเอ๋อร์อย่าร้องไห้ ข้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ” เยี่ยเป่ยเฉิงคอยซับน้ำตาให้นางเป็นระยะ แต่ซับเท่าไหร่ก็ไม่หมดเสียทีเมื่อเห็นดวงตาที่ร้องไห้จนบวมปูดของนาง เขาก็เชื่อคำพูดของตงเหมย เชื่อว่าช่วงที่ไม่อยู่หลายวันนี้ นางร้องไห้น้ำตาอาบแก้มทุก
เยี่ยเฉิงเป่ยกล่าว “เป็นไปได้อย่างไร ข้าจะไปชอบผู้อื่นได้อย่างไร แต่ไหนแต่ไรข้าก็ชอบแต่ซวงเอ๋อร์เพียงผู้เดียว”เขากลัวหลินซวงเอ๋อร์จะไม่เชื่อ จึงได้กล่าวต่อ “หากเจ้าไม่เชื่อจริงๆ ข้าจะสาบานให้เดี๋ยวนี้”“หากมีสักวันที่ข้านอกใจซวงเอ๋อร์จริง ขอสวรรค์ลงโทษให้ข้าไม่ตายดี ตกนรกหมกไหม้...”“อย่า” หลินซวงเอ๋อร์ปิดเขาเขาไว้ ไม่ยอมให้กล่าวต่ออีก“ข้าไม่ต้องการให้ท่านตาย คำสาบานนี้ไม่เป็นผล” หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนถือเรื่องเหล่านี้ ฉะนั้นหากมีสิ่งใดเกี่ยวข้องถึงความปลอดภัยของสามี นางจะไม่ยอมให้เขาพูดส่งเดชอีกเยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “ไม่เป็นผลได้อย่างไร เมื่อเอ่ยจากปากแล้ว ก็ต้องเห็นผลทั้งสิ้น”หลินซวงเอ๋อร์กล้าถกเถียงกับเขา “ไม่เป็นผล คำสาบานของท่านพี่ไม่เป็นผล”เยี่ยเป่ยเฉิงเห็นความจริงจังของนาง จึงได้ยอมตามใจ “ก็ได้ เมื่อซวงเอ๋อร์กล่าวว่าไม่เป็นผล เช่นนั้นก็ไม่เป็นผล ข้าจะสาบานให้ใหม่อีกครั้ง”หลินซวงเอ๋อร์กล่าวตอบ “ท่านอย่าได้สาบานอีกเลย แม่ข้าเคยบอกไว้ เหนือหัวเราขึ้นไปมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยดูอยู่ เรื่องบางอย่างจึงห้ามพูดส่งเดช”เยี่ยเป่ยเฉิงแสร้งมีท่าทีจริงจัง “แต่คำสาบานได้ออกไปแล้ว สิ่
ในค่ำคืนนี้ หลินซวงเอ๋อร์นอนหลับสนิท แทบจะไม่ฝันตลอดทั้งคืนเช้าวันรุ่งขึ้นพอตื่นขึ้นมา หลินซวงเอ๋อร์พลิกตัวไปโดยไม่รู้ตัว แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะพลิกไปยังอ้อมกอดของคนคนหนึ่งพอลืมตาขึ้นก็พบว่าเยี่ยเป่ยเฉิงกำลังใช้มือข้างเดียวพยุงศีรษะ สายตาลึกซึ้งจับจ้องนางอย่างไม่วางตา ไม่รู้ว่าเขามองนางอยู่นานเท่าไรแล้ว"ซวงเอ๋อร์ตื่นแล้วหรือ?" เยี่ยเป่ยเฉิงเอื้อมมือไปเกลี่ยเส้นผมที่หน้าผากของนางด้วยความอ่อนโยนหลินซวงเอ๋อร์ขยี้ตาและกล่าวว่า "ท่านจะไปค่ายทหารไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงยังไม่ไปเล่า?"นางยังคิดว่าเขาคงออกไปตั้งนานแล้ว เยี่ยเป่ยเฉิงเอ่ย "อยากอยู่กับซวงเอ๋อร์มากๆ หน่อย"หลินซวงเอ๋อร์กล่าว "ถ้าเช่นนั้นทำไมท่านถึงไม่ปลุกข้าเล่า?"เยี่ยเป่ยเฉิงเอ่ย "ข้าอยากให้ซวงเอ๋อร์ได้นอนหลับอย่างเต็มที่"ได้ฟังดงเหมยกล่าวว่า หลินซวงเอ๋อร์ไม่ได้หลับสนิทมาหลายวันแล้ว เยี่ยเป่ยเฉิงจึงรู้สึกปวดใจมาก เมื่อคืนเห็นนางหลับได้อย่างสบาย เขาจึงไม่อยากปลุกนางพอเห็นนางหลับจนตื่นขึ้นเอง เขาถึงได้เลิกผ้าห่มลุกจากที่นอนหลินซวงเอ๋อร์รีบลุกขึ้นช่วยเขาสวมเสื้อผ้า"ท่านจะไปเมื่อไร? จะกินอาหารเช้าในจวนไหม?" หลินซวงเ
เยี่ยเป่ยเฉิงเห็นหลินซวงเอ๋อร์รับประทานอาหารได้นิดเดียว จึงเอ่ยถามด้วยความห่วงใย "อาหารไม่ถูกปากหรือ?"หลินซวงเอ๋อร์วางชามและตะเกียบลงและกล่าวว่า "ช่วงนี้ไม่ค่อยเจริญอาหาร กินอะไรก็ไม่ลง..."เยี่ยเป่ยเฉิงก็วางชามลงเช่นกัน ยื่นมือไปสัมผัสหน้าผากของนาง พบว่านางไม่มีอาการผิดปกติและไม่ได้มีไข้ตัวร้อนเมื่อคิดถึงสิ่งที่ตงเหมยกล่าว ตอนกลางคืนหลินซวงเอ๋อร์มักนอนหลับไม่สนิท มักจะฝันจนตื่นกลางดึก เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกไม่สบายใจจึงกล่าว "เดี๋ยวข้าจะหาหมอมาดูอาการซวงเอ๋อร์ ว่าเจ้าป่วยจริงหรือไม่"ทันใดนั้น เสียงหญิงสาวจากนอกห้องก็แทรกดังขึ้นมา"ท่านอ๋องยังจะหาหมออีกทำไม? ข้าก็คือหมอที่พร้อมให้บริการอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?"หลินซวงเอ๋อร์หันไปตามเสียง พบว่าเป็นเจียงหว่านที่เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มเจียงหว่านเหลือบมองไปที่หลินซวงเอ๋อร์ จากนั้นก็เดินตรงไปหาเยี่ยเป่ยเฉิง กล่าวว่า "ท่านอ๋องยังต้องการหมออยู่หรือ? ไม่เชื่อในฝีมือของข้าหรือ?"เยี่ยเป่ยเฉิงทำสีหน้าท่าทีเฉยชา กล่าวเสียงเรียบ "เจ้ามาที่นี่ทำไม? ข้าไม่ได้ให้เจ้าอยู่ที่ค่ายทหารหรือ?"เจียงหว่านเอ่ยว่า "ข้าก็เป็นห่วงแม่นางหลินสภาพร่างกายไม่ค่อยด
วันที่เจียงหว่านกำลังจะถูกเนรเทศ ในที่สุดเจียงเช่อก็มาหาถึงหน้าประตูเขาคุกเข่าเบื้องหน้าเยี่ยเป่ยเฉิง เว้าวอนขอเยี่ยเป่ยเฉิงปล่อยเจียงหว่านไปขณะที่เดินทางมา เขารับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วเจียงหว่านลอบวางยาพระชายาเยี่ย ใช้ประชาชนที่ติดโรคทดลองยา เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ ผลาญชีวิตคนดุจผักดุจปลา นับเป็นอาชญากรรมอันชั่วร้ายที่สุด......แต่ไม่ว่าอย่างไร เจียงหว่านก็เป็นน้องสาวเขา เป็นคุณหนูหนึ่งเดียวของตระกูลเจียง เจียงเช่อมิอาจนั่งนิ่งดูดาย ปล่อยให้นางไปตายได้“ขอร้องท่านอ๋องไว้ชีวิตนางเถิด เป็นเพราะข้าตามใจนางจนเสียคน หากท่านอ๋องจะลงโทษ โปรดลงที่เจียงเช่อเถิดพะยะค่ะ”เมื่อเห็นเจียงเช่อ สายตาสิ้นหวังของเจียงหว่านพลันมีประกายความหวังขึ้น“พี่......ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากไปแดนเถื่อน ข้าอยากกลับบ้าน ท่านพี่ช่วยข้าด้วย......”เจียงเช่อขมวดคิ้วเขม็งจ้องเจียงหว่าน สายตาแฝงเร้นด้วยแววเกยีดชังเข้าไส้เขารู้ว่าเจียงหว่านต้องโทษตาย ยามนี้แค่เนรเทศ ถือว่าเมตตามากแล้ว แต่เขาเองก็รู้ว่า สถานที่อย่างแดนเถื่อนนั้น มิใช่สถานที่ที่สตรีตัวคนเดียวจะไปได้ การเนรเทศนางไปที่นั่น เท่ากับส่งนางไปขุมนร
“เลือดของนาง...”เจียงหว่านสีหน้าตกตะลึงตอนนั้น ตอนที่ฮุ่ยอี๋มอบยาถอนพิษใส่ในมือนาง นางเคยเอาทิ้งไว้หลายขวด เดิมทีคิดศึกษาส่วนผสมในนั้น ทว่าด้านในกลับมีส่วนผสมยาเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือเลือดมนุษย์...แรกเริ่ม นางคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล! กระทั่งยามนี้นางถึงได้เชื่อความจริง ส่วนประกอบของยานั้น มีเพียงเลือดมนุษย์จริงๆ! ทั้งยังเป็นเลือดของหลินซวงเอ๋อร์! เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ในที่สุดนางก็เข้าใจ!มิน่า...ตอนนั้น นางใช้ยาปริมาณมาก แต่กลับไม่อาจทำให้หลินซวงเอ๋อร์ถึงตาย! ไม่คิดว่าเลือดของนางจะขจัดพิษในร่างนางโดยมองไม่เห็น...ฮุ่ยอี๋เอ่ย “เจ้ายังมีหน้าพูดว่าไม่ได้ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาอีก! เจียงหว่าน เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้าวางยาซวงเอ๋อร์อย่างไร? เสด็จอาให้อภัยเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ข้าไม่มีวันเกรงใจเจ้า!”คำพูดนี้สองแง่สองง่าม เห็นชัดว่ากำเย้ยหยันเยี่ยเป่ยเฉิงที่ดึงหมาป่าเจ้าเล่ห์เข้าบ้าน!เยี่ยเป่ยเฉิงตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ไร้ซึ่งแรงโต้กลับยามนี้ เขามิอาจชำระคืนได้ ซวงเอ๋อร์ของเขาไม่มีวันกลับมาอีกต่อไป!สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คือทำให้เจียงหว่านชดใช้อย่างสาสมที่สุด ส่วนตัวเขา ชีวิตที่
เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาที่มองเจียงหว่านเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง ไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิดเขาอยากฆ่านางตั้งนานแล้ว ที่ปล่อยนางรอดมาจนถึงตอนนี้ ก็แค่อยากให้นางได้รับความทรมานจนตายบัดนี้เห็นนางตกยากเช่นนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงกลับรู้สึกว่าบทลงโทษแค่นี้ยังมิพอเจียงหว่านถูกทรมานจนเหมือนตายดีกว่าอยู่มานานแล้ว นางรู้ เยี่ยเป่ยเฉิงไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ หลังจากคิดดูแล้ว หากตายด้วยน้ำมือของเยี่ยเป่ยเฉิงได้ ก็คงจะดีกว่าตอนนี้ ที่ดูดซับยาเข้าสู่ร่างกายทุกวัน ถูกฝันร้ายหลอกหลอนทุกคืนสุดท้ายก็ไม่สามารถหนีจากพิษและเสียชีวิตลงได้!อย่างไรก็ตาย มิสู้ให้เยี่ยเป่ยเฉิงจบชีวิตนางด้วยมือเขาเอง!เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็ยิ้มเยาะ จงใจกล่าวยั่วยุเขา “เยี่ยเป่ยเฉิง เจ้ามีฝีมือแค่นี้หรือ? แน่จริงก็ฆ่าข้าไปเลยสิ!”“ฆ่าข้าให้มันจบๆ ไปเสีย!”เยี่ยเป่ยเฉิงปรายตามองนาง พลางกล่าวอย่างเย็นชา “ตอนนั้น เจ้าก็ทรมานซวงเอ๋อร์เช่นนี้!”เจียงหว่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วอย่างไร!”“ลูกในท้องนางข้าก็เป็นคนทำร้ายเอง! ร่างกายอ่อนแอแบบนั้นของนางต่อไปจะตั้งครรภ์ไม่ได้อีกแล้ว!”“ที่นางฝันร้ายทุกคืน ก็เป็นข้าที่ทำเอง
หลายสิบปีมานี้ นางทำเรื่องชั่วมานับไม่ถ้วน ทุกเรื่อง นางจิตใจสงบ ไม่เคยรู้สึกผิดเลยมีเพียงเจียงหลิง…มีเพียงการตายของเจียงหลิง ทำให้นางยากจะข่มตานอนได้…ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในฐานะคุณหนูรอง เจียงหว่านไม่เป็นที่ชื่นชอบของพ่อแม่มาตลอด พี่ชายก็ยิ่งไม่สนใจนาง ทว่าเจียงหลิงกลับได้รับความรักมากมาย…นางอิจฉาเจียงหลิง และแทบอยากทำให้อีกฝ่ายหายไปจากโลกใบนี้แต่เจียงหลิงกลับรักเอ็นดูนางมาตั้งแต่ต้นจนจบ ปกป้องนาง มอบของที่ดีที่สุดในโลกใบนี้ให้แก่นาง…เจียงหลิงเป็นพี่สาวที่ดีต่อนางที่สุดบนโลกใบนี้…ทว่าที่นางต้องการหาใช่แค่พี่สาวอย่างเดียว นางต้องการความรักของทุกคน นางต้องการให้พ่อแม่ พี่ชายรกนางแค่คนเดียว นางอยากครอบครองของที่ดีที่สุดไว้กับตัวเอง ไม่ใช่รอให้คนอื่นมอบให้!ดังนั้น ในคืนวันหิมะตก นางผลักเจียงหลิงตกน้ำ มองนางจมตายทั้งเป็นอยู่ใต้น้ำ หลังจากนั้นนางก็ติดวันเกิดเวลาเกิดของเจียงหลิงบนตุ๊กตาคุณไสย แทงเธอทุกวัน สวดภาวนาทุกคืน นางต้องการให้เจียงหลิงไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิด ไม่หวนกลับมาตลอดกาล!เพราะมีเพียงแค่ทำแบบนี้ นางถึงจะไม่มีโอกาสแก้แค้นตัวเอง!แต่ทำไม…ทำไมตอนนี้นางถึงยังหาตัวเอง
ยาซึมเข้าสู่ร่างกายติดกันหลายวันทำให้เจียงหว่านค่อยๆ เป็นบ้าในห้องที่ปิดสนิท เจียงหว่านหดตัวอยู่บนพื้นเหมือนดินโคลนตัวนางเหม็นมาก ชุดกระโปรงสีรากบัวเปลี่ยนเป็นสกปรกและเก่าองครักษ์ทำให้เส้นเอ็นมือของนางขาด ตรงบาดแผลถูกทาขี้ผึ้งปิดแผลชั้นแล้วชั้นเล่าแม้ขี้ผึ้งปิดแผลจะเป็นยาสำหรับปกปิด ทว่ากลับมีผลดีต่อการหยุดเลือดบาดแผลแข็งตัวจนกลายเป็นสะเก็ดไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้รับการรักษาที่ดีกว่านี้ แม้จะดีขึ้นก็ยังเหลือรอยแผลเป็นอัปลักษณ์เอาไว้ธูปในห้องไม่เคยลดลงเลยทั้งวัน ประกอบกับกระกระตุ้นของต้นคลีเวีย ความคิดต่ำช้าที่อยู่ในตัวนางแทบจะถูกกระตุ้นออกมาทั้งหมดสองตานางแดงก่ำ ดูฉุนเฉียวไม่น้อย กรีดร้องโวยวายอยู่ในห้อง ประหนึ่งคนบ้าคนหนึ่งองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องไม่สนใจนางสักนิด ได้แต่ทรมานนางไม่ให้นางตายทุกวันความเคียดแค้นฉายออกมาจากในตาเจียงหว่าน เวลานี้ นางได้ปล่อยว่างความหลงใหลต่อเยี่ยเป่ยเฉิงแล้ว ไม่ว่าจะรักมากขนาดไหนก็แปรเปลี่ยนเป็นความชิงชังเข้ากระดูก“เยี่ยเป่ยเฉิง! ปล่อยข้ากลับไป! ปล่อยข้ากลับไปสิ!”“แน่จริงก็ฆ่าข้าเลยสิ!ฆ่าข้าให้มันจบๆ ! ท่านมีสิทธิ์อะไรมาขังข้าไว้เช่นนี
“ได้ยินว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเจ้าเสียไปนานแล้ว แล้วเจ้ากับพี่ชายอยู่มาได้อย่างไร?”“แล้วเหตุใดเจ้าจึงขายตัวไปเป็นบ่าวไพร่? หลายปีมานี้ เจ้าคงผ่านความลำบากมิใช่น้อย เคยถูกใครรังแกหรือไม่?”หลินซวงเอ๋อร์พลันเกิดความขมขื่นในจิตใจเดิมที หากไม่เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ นางยังพออดทนได้บ้าง แต่เมื่ออวี๋หว่านหนิงถามขึ้นมา นางก็อดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเสียมิได้นางเม้มปากพลางจ้องมองนิ้วมือตนเอง น้ำตาเริ่มเอ่อล้น พร้อมหยดแหมะลงหลังมือทีละหยดนางอยู่สบายหรือไม่?นางเคยถามตนเองอยู่เช่นกันหลายปีมานี้ นางผ่านเรื่องราวมากมาย สูญเสียบิดามารดา สูญเสียพี่ชายไป กลายเป็นเด็กกำพร้าที่ไร้ญาติขาดมิตรโดยแท้แต่หากคิดดีๆ ชีวิตนางก็เคยอยู่สุขสบายมาช่วงหนึ่งนั่นคือตอนอยู่กับเยี่ยเป่ยเฉิง นางมีความสุขจริงๆในตอนนั้น เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นกำลังใจให้นาง ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ หาของดีมาให้กิน สอนนางเรียนหนังสือ พาไปเดินเล่นท่องทะเลสาบ ให้ความรักต่อนางอย่างชนิดไร้ผู้เทียบเทียม...ในเวลานั้น นางมีความสุขเหลือล้น เป็นความสุขมากที่สุดในชีวิต แม้แต่ฝันก็ยังเป็นฝันหวาน...แต่ต่อมา ทุกอย่างกลับแปรเปลี่ยน ก่อนหน้านี้เคยสุ
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลินซวงเอ๋อร์แทบชะงักงันไปที่บั้นเอวนางมีปานแดงรูปเสี้ยวจันทร์จริงๆ ท่านแม่บอกว่า มันมีติดตัวมาตั้งแต่นางเกิด เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่บั้นเอว จึงมีน้อยคนที่จะรู้เรื่องนี้“ท่าน...คือแม่ของข้าจริงหรือ?” หลินซวงเอ๋อร์หัวใจเต้นแรง ขอบตาแดงเรื่อขึ้นอวี๋หว่านหนิงยื่นมือมาจับมือของนางไว้ พลางกล่าวเสียวเศร้า “ซวงเอ๋อร์ ข้าคือแม่เจ้าจริงๆ หลายปีนี้ทำให้เจ้าลำบากนัก...”แม่นมซุนอยู่ด้านข้างพลางกล่าวเสริม “องค์หญิง นางคือเสด็จแม่ของท่านจริงๆ หลายปีมานี้ ฮองเฮาไม่เคยเลิกราในการตามหาท่าน เพียงแต่ภาคกลางกว้างขวางนัก พวกท่านเองก็ข่าวคราวเงียบหาย หลายปีนี้ พวกท่านลำบากก็จริง ฮองเฮาก็ไม่ได้สุขสบายใจ...”หลินซวงเอ๋อร์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ พลันหันไปมองอวี๋หว่านหนิงแล้วกล่าว “ที่จริง ข้าไม่เคยตำหนิท่านเลย เพียงแต่บางครั้งก็เคยคิด ว่าท่านแม่จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้หรือไม่”“ตอนยังเป็นเด็ก ข้าเคยคาดหวังให้นางมาหาบ้าง แต่พอโตขึ้นก็ไม่เห็นนางมาเสียที ข้าจึงภาวนาให้นางอยู่ดีมีสุขแทน แม้จะไม่ได้พบหน้า แต่ขอให้นางยังมีชีวิตอยู่ เป็นความคิดถึงในใจก็เพียงพอแล้ว...”
อวี๋หว่านหนิงรับเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา พลันเกิดความตื้นตันจนไม่รู้ตอบอย่างไรดีทันใดนั้น แม่นมซุนเดินขึ้นมาพร้อมกล่าว “องค์หญิง ที่นี่คือวังหลวงแห่งเป่ยหรง ฮองเฮาทรงตามหาท่านมานาน ทุ่มแทแรงกายแรงใจไม่น้อยกว่าจะหาพบ...”“องค์หญิง?” หลินซวงเอ๋อร์นึกว่าตนหูฝาดไป “ท่านเรียกข้าอยู่หรือ?”นางกล่าวตอบ “พวกท่านจำคนผิดหรือเปล่า ข้าไม่ใช่องค์หญิง ข้าคือหลินซวงเอ๋อร์ต่างหาก”นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง เติบโตมาจากชนบทแร้นแค้น เป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยผู้หนึ่งเท่านั้นองค์หญิงอะไรกัน ยังมีวังเป่ยหรงอีก แล้วใครคือฮองเฮา?พวกนางคงจำคนผิดเป็นแน่แม่นมซุนกล่าวตอบ “ไม่ผิดเจ้าค่ะ ไม่มีผิดแน่นอน ท่านก็คือองค์หญิงของเรา องค์หญิงที่พลัดพรากจากฮองเฮาไป...”หลินซวงเอ๋อร์คล้ายกับยังมึนงงอยู่ ความคิดนางเกิดความสับสน ปวดหัวเป็นอย่างมากแม่นมซุนอธิบายต่อ “สมัยที่อดีตฮ่องเต้สวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ราชสำนักเป่ยหรงเกิดความวุ่นวาย ตอนนั้นฮองเฮายังมีฐานะเป็นเพียงพระชายาแห่งรัชทายาท นางเสี่ยงอันตรายให้กำเนิดแฝดชายหญิงคู่หนึ่ง เพื่อปกป้องชีวิตของพวกท่านไว้ จึงให้คนสนิทส่งพวกท่านออก
หลินซวงเอ๋อร์เปลือกตากระตุกเล็กน้อย นางก็อยากตื่น แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจตื่นขึ้นมาหน้าอกคล้ายถูกกรีดจนเป็นแผลเหวอะหวะ เหงื่อเย็นในตัวไหลพราก ลำคอคล้ายถูกงูพิษตัวหนึ่งรัดไว้ ยิ่งรัดก็ยิ่งแน่น จนนางใกล้จะหายใจไม่ออกข้างโสตนั้น ได้ยินเสียงคุ้นหูประเดี๋ยวไกลประเดี๋ยวใกล้ ถัดจากนั้น คล้ายมีมืออ่อนโยนลูบไล้ใบหน้านางเบาๆ“เด็กดี หมดเรื่องแล้ว เจ้าปลอดภัยดีแล้ว รีบตื่นมาเถิด ตื่นมาเร็วเข้า...”หลังจากได้ยินเสียงนั้นชัดเจนมากขึ้น ลำคอที่ถูกรัดแน่นก็ค่อยๆ คลายออก นางลืมตาช้าๆ ภาพเบื้องหน้าจากพร่ามัวจนกลายเป็นชัดเจน สิ่งแรกที่เข้าสู่ม่านตาก็คือม่านคลุมเตียงสีม่วงที่อยู่เหนือศีรษะขึ้นไป คล้ายเป็นภาพฝัน เสมือนเป็นแหยักษ์ที่ถูกเหวี่ยงลงมา เพื่อคลุมตัวนางให้อยู่ตรงกลางเตียงนี้เป็นเตียงที่สวยงาม จนแม้แต่เสาเตียงก็เป็นลวดลายที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน หัวเตียงนอกจากจะแกะสลักลายดอกไม้แล้วยังฝังด้วยหยกเจียระไนงดงามและพลอยล้ำค่าอีกชั่วขณะนั้น นางรู้สึกมึนงงยิ่งนี่มันเป็นที่ไหนกัน?“ซวงเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกตัวแล้วรึ?” จนกระทั่งข้างหูได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง นางจำได้ว่าตอนอยู่ในความฝัน ได้ยินเสียงนี้จนคุ