ตัวอักษรเยี่ยที่หลินซวงเอ๋อร์เขียนแตกต่างจากคนอื่น นางมักจะลืมว่าต้องมีจุดตรงกลางอยู่เสมอ เยี่ยเป่ยเฉิงสอนนางมาหลายครั้ง แต่นางก็ยังจำไม่ได้ตอนแรกที่นางส่งกระเป๋านี้ให้เขา เยี่ยเป่ยเฉิงก็สังเกตเห็นว่าตรงกลางตัวอักษร "เยี่ย" ขาดจุดไปแต่อักษร "เยี่ย" ที่อยู่บนกระเป๋าตอนนี้ แม้ว่าลายมือจะคล้ายกับที่หลินซวงเอ๋อร์เขียน แต่กลับมีจุดตรงกลางนี่ไม่ใช่กระเป๋าที่หลินซวงเอ๋อร์มอบให้เขาในตอนแรก!เยี่ยเป่ยเฉิงจึงถึงบางอ้อทันที เข้าใจว่าทำไมนางถึงมีท่าทีแปลกๆ ในวันนี้ที่แท้ นางดูออกตั้งนานแล้วว่า กระเป๋านี้ไม่ใช่ใบนั้นที่นางให้เขา!เมื่อนึกถึงสายตาที่นางส่งเขาอย่างเงียบๆขณะยืนอยู่ที่หน้าประตูจวน เยี่ยเป่ยเฉิงก็เข้าใจทั้งหมดในพลันใด นางคงคิดว่าเขารับกระเป๋าจากแม่หญิงคนอื่นแล้วแน่นอน!เขานี่แย่จริงๆ ที่เพิ่งมาสังเกตเห็น!"หยุดรถ!" เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วแน่น และยังไม่ทันรอให้รถหยุด เขาก็กระชากม่านเกี้ยวและเดินกลับไปอย่างรวดเร็วในขณะนั้น หลินซวงเอ๋อร์เห็นว่ารถม้าของเยี่ยเป่ยเฉิงไปแล้ว จึงเตรียมที่จะหันหลังกลับเข้าจวน"ซวงเอ๋อร์!" แต่แล้วเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากด้านหลัง พอนางหันไปก็พบว
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า "ดี อย่าลืมใส่สมุนไพรอ้ายเฉ่าลงไปด้วยนะ"หลินซวงเอ๋อร์เอ่ย "ท่านชอบสมุนไพรอ้ายเฉ่าหรือ?"เยี่ยเป่ยเฉิงตอบ "ไม่ชอบ แต่สมุนไพรอ้ายเฉ่าทำให้ข้าอยู่ใกล้ซวงเอ๋อร์มากขึ้น"ถึงแม้หลินซวงเอ๋อร์ฟังแล้วไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ถามต่อ พยักหน้าและกล่าวว่า "ได้ ซวงเอ๋อร์จะจำไว้"เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว "อีกไม่กี่วันก็ถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว ในช่วงนี้ข้าอาจจะยุ่งมาก แต่เทศกาลไหว้พระจันทร์จะกลับมาอยู่กับซวงเอ๋อร์"หลินซวงเอ๋อร์ยิ้มตาเป็นประกาย ราวกับดวงดาวในท้องฟ้ากว้าง นางกล่าว "ได้ ซวงเอ๋อร์จะมอบกระเป๋าที่ปักให้กับท่านในเทศกาลไหว้พระจันทร์"เยี่ยเป่ยเฉิงยิ้มที่มุมปาก "ได้ ถึงตอนนั้นข้าจะโคมไฟดอกบัวเป็นเพื่อนซวงเอ๋อร์ ไปล่องเรือในทะเลสาบ และซื้อโคมไฟสวยๆ มากมายให้กับซวงเอ๋อร์""อีกทั้งยังมีตุ๊กตาน้ำตาล ซวงเอ๋อร์จะเอาตุ๊กตาน้ำตาลที่ใหญ่ที่สุดและสวยที่สุด"เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม "ได้สิ ซวงเอ๋อร์จะกินเยอะเท่าไรก็ได้"หลินซวงเอ๋อร์กลัวเขาจะเปลี่ยนใจ จึงเอ่ยย้ำว่า "ต้องเป็นหงส์ที่ใหญ่และสวยที่สุด ซวงเอ๋อร์ไม่ชอบหัวหมูนะ"เยี่ยเป่ยเฉิงกลั้นไม่ได้จึงหัวเราะไม่หยุด "ได้ ไม่ซื้อ
พอได้รับคำมั่นสัญญาจากเยี่ยเป่ยเฉิง หลินซวงเอ๋อร์ก็ตั้งตารอคอยวันไหว้พระจันทร์อย่างใจจดใจจ่อนางได้ปักกระเป๋าให้เยี่ยเป่ยเฉิงอีกครั้ง โดยทำให้มีความงดงามมากกว่าครั้งก่อน นางปักด้วยความประณีต ทุกเข็มทุกด้ายที่ใช้ล้วนใส่ใจเป็นพิเศษ ท้ายสุดนางก็ใส่สมุนไพรอ้ายเฉ่าลงไปในกระเป๋าจนเต็ม เพียงเพราะเยี่ยเป่ยเฉิงบอกว่าเขาชอบ...อาจจะเป็นเพราะอารมณ์ที่ดีขึ้น ทำให้นางมีความอยากอาหารที่ดีขึ้นเช่นกัน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะยาที่เจียงหว่านปรุงให้นั้นได้ผลจริงๆ นางไม่ฝันร้ายในยามหลับอีกแล้ว เพียงแต่บางครั้งก็รู้สึกใจเต้นแรง ความรู้สึกแบบนี้ มันทำให้หัวใจของนางเหมือนถูกเข็มทิ่มแทงเป็นครั้งคราว เจ็บแบบแปล๊บๆซึ่งความเจ็บปวดนั้นมักจะมาเร็วและจากไปเร็ว อีกทั้งเวลาเจ็บก็ไม่แน่นอนเหมือนกัน แค่เจ็บโดยไม่ตั้งใจจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ หลินซวงเอ๋อร์จึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก นางคิดว่ารอให้เสิ่นป๋อเหลียงกลับมาก่อน ค่อยให้เขาตรวจดูให้วันหนึ่ง หลินซวงเอ๋อร์กำลังเล่นกับต้าหู่ในเรือนแต่ต้าหู่กลับไม่มีอารมณ์สนใจเลย ไม่ว่านางจะหยอกล้ออย่างไร ต้าหู่ก็ดูเหมือนจะไม่มีปฏิกิริยามากนัก เพียงแค่เปิดตามองนางเป็นครั้งคราว ส่วนที่เหลื
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ยังหาคนที่จะสืบข่าวไม่ได้ คนเดียวที่นึกออกก็คือเยี่ยเป่ยเฉิงช่างเถอะ รอถึงวันไหว้พระจันทร์ พอได้พบเยี่ยเป่ยเฉิง นางก็จะขอร้องให้เขาไปสืบข่าวของฮุ่ยอี๋ให้ หากมีโอกาส ก็พานางออกมาเที่ยวนอกวังด้วยไม่ได้พบกันนาน นางเองก็คิดถึงฮุ่ยอี๋เหลือเกิน......เจ็ดวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันไหว้พระจันทร์ก็มาถึงในพริบตาค่ำคืนนั้น แสงไฟพร่างพราวทั่วทุกครัวเรือน สว่างไสวตระการตา ตลอดทั้งถนน โคมไฟหลากสีสันถูกแขวนประดับ ดอกไม้ไฟเรืองรองสลับสีสัน งดงามจนมิอาจบรรยายได้ท่ามกลางผู้คนที่เนืองแน่นบนท้องถนน หญิงสาวคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่ที่หัวสะพาน ราวกับเป็นภาพวาดที่มีชีวิต ดึงดูดสายตาผู้คนที่เดินผ่านไปมานางสวมชุดกระโปรงยาวผ้าแพรสีฟ้าอ่อน คลุมทับด้วยเสื้อคลุมผ้าโปร่งสีขาว เผยให้เห็นเส้นสายลำคออันงดงามและไหปลาร้าที่ชัดเจนชายกระโปรงไหลลื่นดั่งแสงจันทร์ทอดลงบนพื้น ผมยาวสลวยถูกรวบไว้ด้านหลังด้วยปิ่นหยกขาวเพียงอันเดียว ปล่อยผมเส้นบางๆ ตกลงมาที่หน้าอก ยิ่งเพิ่มความอ่อนหวานนางแต่งหน้าบางเบา แก้มแดงระเรื่อขับผิวให้ดูนุ่มนวลน่ารักดั่งกลีบดอกไม้ โดดเด่นที่สุดคือดวงตากลมโตเป็นประ
กลัวว่าเยี่ยเป่ยเฉิงจะรอนาน หลินซวงเอ๋อร์จึงมาถึงแต่เนิ่นๆ โดยที่ยังไม่ทันได้ทานอาหารเย็นก็มาแล้ววันที่จากกันครั้งก่อน นางได้บอกเยี่ยเป่ยเฉิงว่า ในวันไหว้พระจันทร์นี้ นางจะรอเขาที่หัวสะพานถนนฉางอานด้วยกลัวว่าเขาจะมาแล้วหานางไม่เจอ หลินซวงเอ๋อร์จึงยืนรออยู่ที่เดิม ไม่กล้าขยับไปไหนแม้แต่ก้าวเดียวแต่นางรออยู่นาน กระนั้นก็ยังไม่เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงมาเสียทีสายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดเอื่อยๆ หลินซวงเอ๋อร์สวมเสื้อผ้าบางเบา เมื่อลมพัดกระทบร่างของนาง นางจึงรู้สึกหนาวเล็กน้อยตงเหมยรอจนหมดความอดทน กวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะถูกดึงดูดด้วยการแสดงกายกรรมที่ริมถนน“พระชายา พวกเราไปดูการแสดงกายกรรมกันเถอะเจ้าค่ะ” ตงเหมยยืนอยู่ตรงนี้มองไม่ชัด จึงอยากจะลากหลินซวงเอ๋อร์ไปดูด้วยกันถนนฉางอานจะคึกคักที่สุดก็ในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ของทุกปีหลินซวงเอ๋อร์ไม่ยอมไป นางกล่าวว่า “แต่ท่านพี่ยังไม่มา ข้าบอกว่าจะรอเขาที่นี่”ตงเหมยเบ้ปาก แล้วมองไปที่ร้านขายตุ๊กตาน้ำตาลข้างๆ กล่าวว่า “พระชายา พวกเราไปซื้อตุ๊กตาน้ำตาลกันเถอะเจ้าค่ะ ท่านอยากกินมันมากไม่หรอกหรือ?” หลินซวงเอ๋อร์ส่ายหน้า กล่าวว่า “ข้าจะรอท่านพี่มาก่
หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกผิดจึงกล่าวว่า “ขอโทษนะตงเหมย”ตงเหมยแค่บ่น แต่ในใจไม่ได้ตำหนิหลินซวงเอ๋อร์ อีกอย่าง เป็นตัวนางเองที่ไม่วางใจปล่อยให้หลินซวงเอ๋อร์ยืนอยู่ที่นี่คนเดียว ถึงได้อยู่เป็นเพื่อนไม่ห่าง เมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์รู้สึกผิดและขอโทษ ตงเหมยก็ใจอ่อนทันที จึงกล่าวว่า “บ่าวไม่ได้ตั้งใจบ่นหรอกเจ้าค่ะ แค่สงสารพระชายา รอคอยวันไหว้พระจันทร์มานาน สุดท้ายก็ผ่านไปโดยไม่ได้ทำอะไรเลย”หลินซวงเอ๋อร์แกล้งทำเป็นไม่เป็นไร กล่าวว่า “ไม่เป็นไร วันไหว้พระจันทร์ปีหน้า พวกเราค่อยมาอีก”พูดจบ ทั้งสองก็กำลังจะเดินกลับจวนไม่คาดคิดว่า เสียงคุ้นหูก็พลันดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้หลินซวงเอ๋อร์หยุดฝีเท้าลงทันที“แม่นางซวงเอ๋อร์”หลินซวงเอ๋อร์หันไปมอง เห็นไป๋อวี้ถังยืนอยู่ด้านหลังตน“พี่ใหญ่ไป๋? ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกแปลกใจ ดูเหมือนไม่คิดว่าจะได้เจอไป๋อวี้ถังที่นี่ไป๋อวี้ถังเองก็ไม่คิดว่าจะได้เห็นหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งเมื่อครู่เขานั่งรถม้ากลับจวน แค่บังเอิญเลิกม่านมองไปที่หัวสะพาน ผลคือแค่แวบเดียวก็เหมือนผ่านไปหลายปีภาพที่ฝันถึงนับครั้งไม่ถ้วนซ้อนทับกับความจริง หัวใจเต้นรัวด
หลินซวงเอ๋อร์อยากปล่อยโคมดอกบัวจริงๆ แม้ว่าวันนี้เยี่ยเป๋ยเฉิงจะไม่มา นางก็อยากปล่อยแต่ว่า พ่อค้าขายโคมต่างก็เก็บของกลับบ้านไปแล้ว นางซื้อโคมดอกบัวไม่ได้ ก็เลยไม่มีทางปล่อยแล้วพอคิดถึงตรงนี้ ดวงตานางก็ซ่อนความผิดหวังไว้ไม่มิด“แม่นางซวงเอ๋อร์ เจ้ารออยู่ตรงนี้สักครู่” พูดยังไม่ทันขาดคำ ก็เห็นไป๋อวี้ถังหันหลังกลับ เดินจากไปทางหนึ่งอย่างรวดเร็วหลินซวงเอ๋อร์ยืนอยู่ที่เดิมอย่างงุนงงนางไม่รู้ว่าไป๋อวี้ถังจะไปทำอะไรตอนนี้เอง ตงเหมยจึงเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “ท่านเสนาบดีไปทำอะไรหรือเจ้าคะ?”หลินซวงเอ๋อร์ตอบ “ไม่รู้”เห็นตงเหมยมีสีหน้าหลงใหล หลินซวงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะเตือนนางว่า “เจ้าอย่าได้ชอบท่านเสนาบดีมากเกินไปนะ”ใบหน้าของตงเหมยแดงขึ้นทันที แก้ตัวว่า “ใครชอบท่านเสนาบดีกัน..”หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า “ท่านเสนาบดีมีคนที่ชอบอยู่แล้ว เจ้าชอบได้ แต่อย่าหลงลึกเกินไปเชียว”ตงเหมยพูดอ้ำอึ้งว่า “บ่าวไม่มีทางหลงลึกหรอกเจ้าค่ะ แค่เห็นว่าท่านเสนาบดีหน้าตาดี อยากมองสักหน่อยก็เท่านั้นเอง...”ท้ายที่สุด ตงเหมยจึงถามอย่างอยากรู้ว่า “ท่านเสนาบดีก็มีคนที่ชอบด้วยหรือเจ้าคะ? ใครกัน? เขาชอบคุณหนูตระก
ตงเหมยดีใจจนเต้นระบำ รับโคมดอกบัวแล้ววิ่งไปที่ริมฝั่งเพื่อปล่อยมีเพียงหลินซวงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไป๋อวี้ถังคิดว่านางไม่ชอบโคมนี้ จึงยื่นของตัวเองให้หลินซวงเอ๋อร์ พูดว่า “แม่นางซวงเอ๋อร์ไม่ชอบอันนี้หรือ? เช่นนั้นข้าเปลี่ยนให้เจ้าก็ได้”หลินซวงเอ๋อร์ได้สติ ตอบว่า “ไม่ใช่หรอก ข้าชอบมาก แค่ว่า...โคมดอกบัวต้องบรรจุความปรารถนาด้วย”ไป๋อวี้ถังไม่เคยปล่อยโคมมาก่อน เขาคิดว่าแค่จุดเทียนแล้วโยนลงน้ำก็พอ ที่ไหนได้ ยังต้องบรรจุความปรารถนาด้วยแต่เรื่องนี้ไม่ยากเกินไปสำหรับเขาไป๋อวี้ถังเดินไปที่ริมฝั่ง หยิบโคมดอกบัวขึ้นมาจากแม่น้ำ เห็นข้างในมีตัวอักษรเขียนไว้หลายบรรทัดเขาเข้าใจทันที ที่แท้ความหมายที่นางพูดก็คือต้องเขียนความปรารถนาลงบนโคมไป๋อวี้ถังมองไปรอบๆ เห็นไม่ไกลมีร้านขายพู่กันหมึก จึงหันไปบอกหลินซวงเอ๋อร์ว่า “เจ้ารอสักครู่” พูดจบ เขาก็รีบจากไป แล้วกลับมาพร้อมดินสอถ่านอย่างรวดเร็วเขายื่นดินสอถ่านให้หลินซวงเอ๋อร์ พูดว่า “แม่นางซวงเอ๋อร์มีความปรารถนาอะไร ตอนนี้ก็เขียนลงไปได้แล้ว”หลินซวงเอ๋อร์รับดินสอถ่านมาอย่างดีใจ เริ่มเขียนความปรารถนาของตัวเองลงบนกลีบดอกบัวทีละตัวอยู
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก