ตงเหมยดีใจจนเต้นระบำ รับโคมดอกบัวแล้ววิ่งไปที่ริมฝั่งเพื่อปล่อยมีเพียงหลินซวงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไป๋อวี้ถังคิดว่านางไม่ชอบโคมนี้ จึงยื่นของตัวเองให้หลินซวงเอ๋อร์ พูดว่า “แม่นางซวงเอ๋อร์ไม่ชอบอันนี้หรือ? เช่นนั้นข้าเปลี่ยนให้เจ้าก็ได้”หลินซวงเอ๋อร์ได้สติ ตอบว่า “ไม่ใช่หรอก ข้าชอบมาก แค่ว่า...โคมดอกบัวต้องบรรจุความปรารถนาด้วย”ไป๋อวี้ถังไม่เคยปล่อยโคมมาก่อน เขาคิดว่าแค่จุดเทียนแล้วโยนลงน้ำก็พอ ที่ไหนได้ ยังต้องบรรจุความปรารถนาด้วยแต่เรื่องนี้ไม่ยากเกินไปสำหรับเขาไป๋อวี้ถังเดินไปที่ริมฝั่ง หยิบโคมดอกบัวขึ้นมาจากแม่น้ำ เห็นข้างในมีตัวอักษรเขียนไว้หลายบรรทัดเขาเข้าใจทันที ที่แท้ความหมายที่นางพูดก็คือต้องเขียนความปรารถนาลงบนโคมไป๋อวี้ถังมองไปรอบๆ เห็นไม่ไกลมีร้านขายพู่กันหมึก จึงหันไปบอกหลินซวงเอ๋อร์ว่า “เจ้ารอสักครู่” พูดจบ เขาก็รีบจากไป แล้วกลับมาพร้อมดินสอถ่านอย่างรวดเร็วเขายื่นดินสอถ่านให้หลินซวงเอ๋อร์ พูดว่า “แม่นางซวงเอ๋อร์มีความปรารถนาอะไร ตอนนี้ก็เขียนลงไปได้แล้ว”หลินซวงเอ๋อร์รับดินสอถ่านมาอย่างดีใจ เริ่มเขียนความปรารถนาของตัวเองลงบนกลีบดอกบัวทีละตัวอยู
โคมลอยของตงเหมยลอยไปไกลแล้ว นางเดินตามไปตลอดทาง สุดท้าย โคมลอยของนางก็ค่อยๆ เข้าใกล้ริมฝั่งบริเวณน้ำนิ่ง และไม่ขยับลอยไปไหนอีกทว่าตงเหมยไม่สนว่ามันจะลอยไปได้ไกลเท่าไหร่ นางไม่สนใจเรื่องพวกนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้วครั้นว่างไม่มีอะไรทำ นางก็หมอบตัวนั่งเล่นโคมลอยดอกบัวอยู่ริมฝั่ง นางไม่เล่นก็ดี แต่พอได้เล่นถึงได้รู้ว่า ที่แท้ในโคมลอยดอกบัวสามารถเขียนอักษรในนั้นได้ตงเหมยรู้สึกเสียดาย เมื่อครู่นางไม่ควรรีบร้อนลอยโคมลอยดอกบัวในน้ำเลย นางควรเขียนความปรารถนาไว้บนนั้นสักหน่อย!ไป๋อวี้ถังเองก็วางโคมลอยดอกบัวของตัวเองบนผิวน้ำเบาๆ เช่นกันสายน้ำหลั่งไหลเร็ว ทันที่วางโคมลอยดอกบัวลงไป มันก็ลอยล่องไปตามสายน้ำทันทีเหนือน่านน้ำมีโคมลอยดอกบัวมากมาย ขนาดใหญ่เท่าๆ กัน หลินซวงเอ๋อร์เพ่งมองอย่างดี ด้วยกลัวว่าจะจำของตัวเองไม่ได้นางสนใจแค่มองโคมลอยของตัวเอง ไม่ทันระวังเบื้องล่าง จึงสะดุดเท้า จนเกือบตกลงไปในแม่น้ำไป๋อวี้ถังจับแขนนางไว้ได้ทันเวลา แล้วดึงนางกลับเข้ามาอย่างแรงหลินซวงเอ๋อร์ถลาเข้าสู่อ้อมแขนไป๋อวี้ถังอย่างไม่ทันได้เตรียมตัวการหายใจยุ่งเหยิง ไม่รู้ว่าใจใครเต้น ดังอึกทึกระรัวดุจลั่นกลอ
หลินซวงเอ๋อร์สีหน้าซีดขาว “เหตุใดโคมลอยของข้าดับไปแล้วล่ะ...” นางหันกลับไปมองไป๋อวี้ถัง สีหน้าตกใจจนทำอะไรไม่ถูกไป๋อวี้ถังมองโคมลอยดอกบัวที่หลินซวงเอ๋อร์ชี้ เห็นเทียนข้างในนั้นดับจริงส่วนดับได้อย่างไรนั้น เขาไม่สนใจ เขาสนแค่มองหลินซวงเอ๋อร์เขากล่าวปลอบ “ไม่เป็นไร เทียนดับแล้วก็ดับไป ไม่สำคัญอะไร ข้าได้ยินว่า ขอแค่โคมลอยนี้ยังลอยมั่นคงอยู่บนน้ำก็ดีแล้ว”สิ้นเสียง โคมลอยของหลินซวงเอ๋อร์ก็ค่อยๆ จมลงในน้ำด้วยไม่รู้สาเหตุอันใดหลินซวงเอ๋อร์หันไปมองเขาอีกครั้ง เม้มริมฝีปาก ขอบตาค่อยๆ แดงขึ้นมาไป๋อวี้ถัง “…”“ความปรารถนาที่ข้าขอมันจะไม่เป็นจริงแล้วใช่ไหม?”หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกกระวนกระวายใจอย่างมาก มันรู้สึกเหมือนเป็นลางบางอย่าง ลางที่กำหนดว่านางจะต้องแยกจากเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กี่วันมานี้ นางมักจะใจเต้นผิดจังหวะ รู้สึกหดหู่อย่างมากและมักจะรู้สึกว่าจะต้องมีเรื่องไม่ดีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นประกอบกับโคมลอยดอกบัววันนี้ ลางสังหรณ์ไม่ดีในใจนางก็ยิ่งรุนแรงขึ้นไป๋อวี้ถังกล่าวปลอบ “ไม่หรอก ของพวกนี้เอาไว้หลอกคน เชื่อไม่ได้หรอก”หลินซวงเอ๋อร์กล่าวโต้ “แล้วเหตุใดถึงมีแค่โคมลอยของข้าดับเล่า แถมย
หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกว่าวันนี้ตงเหมยดูแปลกไปเล็กน้อยหากเป็นเมื่อก่อน ไม่ง่ายเลยที่จะได้ออกมานอกบ้านสักครั้ง หากนางไม่รบเร้าให้ตงเหมยกลับบ้าน อีกฝ่ายไม่มีทางเป็นฝ่ายเอ่ยถึงเรื่องกลับก่อนแน่เพียงแต่มันก็สายแล้วจริงๆ แม้ตงเหม่ยจะไม่รบเร้า นางก็จะกลับอยู่แล้วหลินซวงเอ๋อร์พยักหน้าให้ไป๋อวี้ถังเล็กน้อย พลางกล่าว "พี่ใหญ่ไป๋ นี่ก็ดึกมากแล้ว เราขอกลับจวนก่อนนะ"เมื่อเห็นว่านางจะกลับแล้ว ไป๋อวี้ถังก็เริ่มร้อนใจ และโพล่งคำพูดออกมาจากปากว่า "จะไปตอนนี้แล้วหรือ?"หลินซวงเอ๋อร์ชะงักฝีเท้า หันกลับไปมองเขา พลางพยักหน้า "อืม พี่ใหญ่ไป๋ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือ?"ไป๋อวี้ถังกล่าว "ใช้เวลาในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ไปแบบนี้มันคงจะน่าเบื่อเกินไป แม่นางซวงเอ๋อร์อยากฟังงิ้วหรือไม่?"ตั้งแต่รู้ความปรารถนาของไป๋อวี้ถัง ตงเหมยย่อมรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ทว่ากระนั้น นางไม่มีทางให้โอกาสนี้แก่เขาตงเหมยยืนขวางอยู่ด้านหน้าหลินซวงเอ๋อร์ พลางกล่าวกับไป๋อวี้ถัง "ฟ้ามืดมากแล้ว หากพระชายายังไม่กลับจวนอีก ท่านอ๋องคงจะกังวลใจ"หางตาของไป๋อวี้ถังเต็มไปด้วยรอยหยักยิ้ม เขามองไปที่ตงเหมยทันที วาจาที่เอื้อนเอ่ยออกมามี
หัวใจของตงเหมยเคิ่มเต้นบ้าคลั่งอย่างควบคุมไม่ได้ขึ้นมาอีกครั้งสมองของนางเริ่มงุนงงอีกครา…“ความจริง…อยู่อีกสักหน่อยก็ไม่มีปัญหาอะไร”นางกล่าวออกมาโดยไม่รู้ตัวหลินซวงเอ๋อร์ส่ายหน้าอย่างระอา ก่อนกล่าวกับไป๋อวี้ถัง “พี่ใหญ่ไป๋ นี่ก็ดึกมากแล้ว ข้าต้องกลับแล้วจริงๆ หากสามีข้ากลับจวนแล้วไม่เจอข้า เขาจะเป็นห่วงเอาได้”เทศกาลไหว้พระจันทร์วันนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงผิดนัดไม่มา ที่จริงหลินซวงเอ๋อร์ไม่ได้โกรธเลยสักนิด แม้ไม่รู้ว่าช่วงนี้เขายุ่งอะไรอยู่ แต่นางรู้ ที่เขาไม่มาต้องมีสาเหตุบางที เขาอาจจะยุ่งมากจริงๆ ยุ่งจนไม่กินไม่นอน ยุ่งจนลืมแม้แต่เทศกาลไหว้พระจันทร์ในวันนี้ดังนั้น เขาผิดนัด หลินซวงเอ๋อร์ไม่โทษเขา นางแค่เป็นห่วง ในวันเทศกาลไหว้พระจันทร์นี้เขาจะได้พักผ่อนดีๆ บ้างหรือเปล่า ได้กินข้าวดีๆ หรือไม่…ที่นางรอเขาอยู่ที่นี่นานถึงเพียงนี้ นั่นเพราะกลัวว่าจู่ๆ เขานึกนัดหมายวันนี้ขึ้นมา หากนางจากไป และจู่ๆ เขามาตามนัดและหานางไม่เจอจะทำอย่างไร?ดังนั้น นางจึงรอมาตลอดจนถึงตอนนี้ รอจนร้านข้างทางปิด คนที่เดินขวักไข่วอยู่บนถนนกลับไปหมด แต่เขาก็ยังไม่มาหลินซวงเอ๋อร์คิดว่า เขาอาจจะมาแล้วจริงๆ
“แม่นางซวงเอ๋อร์ชอบน้ำตาลปั้นอันนี้หรือไม่? ข้าเห็นว่าหงส์ตัวนี้สวย เหมาะกับแม่นางซวงเอ๋อร์พอดี”ไป๋อวี้ถังยื่นน้ำตาลปั้นให้กลินซวงเอ๋อร์ ในคำพูดเขาแฝงไปด้วยรอยยิ้มโปรดปราน ทำให้คนที่ได้ฟังรู้สึกอบอุ่นในใจหลินซวงเอ๋อร์กลืนน้ำลาย ไม่กล้ายื่นมือออกไปรับ“แม่นางซวงเอ๋อร์ไม่ชอบหรือ?”ไป๋อวี้ถังถามนางด้วยความอดทนหลินซวงเอ๋อร์ซ่อนความรู้สึกไว้ไม่มิด ชอบหรือไม่ชอบล้วนเขียนเด่นหราอยู่บนใบหน้า ความคิดบริสุทธิ์จนคนมองแวบเดียวก็มองออกไป๋อวี้ถังรู้ว่านางชอบ แต่เขาไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงไม่กล้ารับหลินซวงเอ๋อร์ลังเลไปชั่วครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “ชอบ”เสียงของไป๋อวี้ถังยิ่งอ่อนโยนเพิ่มขึ้น “ถ้าชอบก็รับไปเถิดหากยังไม่พอ พี่ใหญ่ไป๋จะซื้อให้แม่นางซวงเอ๋อร์อีก”หลินซวงเอ๋อร์เอามือไพล่หลัง ยังคงไม่กล้ายื่นมือไปรับ และคุยกับเขาอย่างนุ่มนิ่ม “แต่สามีข้าไม่ให้ข้ารับของจากคนอื่น”“คนอื่นหรือ?” ไป๋อวี้ถังตกใจก่อน จากนั้นก็เข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มราบเรียบ “พี่ใหญ่ไป๋หาใช่คนนอกเสียหน่อย เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นสหายสนิทข้า ของที่ข้าซื้อ เจ้ารับไปได้”หลินซวงเอ๋อร์กล่าว “รับไม่ได้หรอก ท่านพ
เมื่อเห็นนางยอมกินในที่สุด จู่ๆ ใจของไป๋อวี้ถังก็เกิดความรู้สึกอิ่มเอมอย่างอธิบายไม่ถูกขึ้นมานี่คือน้ำตาลปั้นที่นางคนึงหามานานมาก ในนั้นผสมกลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวากับน้ำผึ้ง หลินซวงเอ๋อร์เลียไปคำหนึ่ง ในใจอย่าเอ่ยถึงเลยว่าพึงพอใจมากแค่ไหนน้ำตาลรูปหงส์สวยมาก นางไม่กล้ากัด ได้แต่เลียไปทีละคำด้วยความระมัดระวังบนถนนไร้ผู้คนไปหมดแล้ว มีแค่บางครั้งจะมีคนเมาเดินออกมาจากร้านขายเหล้าเท่านั้นหลินซวงเอ๋อร์รู้ว่าไม่ควรไปยุแหย่คนที่ดื่มเหล้า จึงตั้งใจเดินหลบเลี่ยงพวกเขาไปแต่ไม่คิดเลยว่า จู่ๆ ผู้ชายคนหนึ่งเดินโซซัดโซเซพุ่งเข้ามาหาทว่าท่าทาง เท้าที่เขาย่ำเดินกลับเร็วมาก หลินซวงเอ๋อร์หลบไม่ทัน ไหล่จึงถูกเขาชนอย่างแรงโดยไม่ทันระวังน้ำตาลปั้นในมือร่วงหล่นตุบอยู่บนพื้น แตกจนแหลกละเอียดหลินซวงเอ๋อร์ยืนอยู่ที่เดิม มองน้ำตาลปั้นบนพื้นอย่างยิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ไป๋อวี้ถังคาดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ เมื่อได้สติกลับมา หลินซวงเอ๋อร์ก็แทบถูกคนชนล้มลงบนพื้นแล้วคล้อยหลังเร่งรีบปกป้องคนไว้ด้านหลัง สายตาของไป๋อวี้ถังก็มองผู้ชายที่ชนตรงหน้าอย่างเยือกเย็นคาดว่าผู้ชายคนนี้จะดื่มเหล้าจนเมา เพราะกลิ่นเห
เขาแอบออกแรงที่นิ้ว สีหน้าของผู้ชายค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเพราะเลือดคลั่ง“ไว้…ไว้ชีวิตด้วย…”สัญชาตญาณในการเอาตัวรอดทำให้ผู้ชายเค้นคำออกมาจากลำคอด้วยความยากลำบากไป๋อวี้ถังยิ่งมีแววตาเย็นชาขึ้น ในดวงตานั้นเจือไปด้วยจิตสังหาร ทำให้คนอดรู้สึกขวัญหนีดีฝ่อไม่ได้“พี่ใหญ่ไป๋…”เสียงอ่อนนุ่มหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง คิ้มที่ขมวดเป็นปมของไป๋อวี้ถังก็ค่อยๆ คลายออกเขาปล่อยผู้ชายคนนั้น และหันกลับมามองหลินซวงเอ๋อร์ ท่าทางเย็นเยือกดุจน้ำแข็งเปลี่ยนไปเป็นมาดผู้ดีของคุณชายไปชั่วพริบตาหลินซวงเอ๋อร์รีบเข้าไปหา เหลือบมองชายที่ตกใจจนหน้าซีดอยู่บนพื้น ก่อนจะดึงแขนเสื้อของไป๋อวี้ถัง “พี่ใหญ่ไป๋ ช่างมันเถิด เขาดื่มเหล้าจนเมา เป็นแค่คนขี้เมาคนหนึ่ง”เทศกาลไหว้พระจันทร์จัดอยู่บนถนนใหญ่ หลินซวงเอ๋อร์กลัวว่าไป่อวี้ถังพลั้งมือฆ่าคนขึ้นมา ชื่อเสียงของเขาต้องไม่ดีแน่ไป่อวี้ถังกล่าวด้วยท่าทางเหมือนปกติ “แม่นางซวงเอ๋อร์โปรดวางใจ แค่สั่งสอนเขาธรรมดาๆ พี่ใหญ่ไป๋หาใช่มารที่ฆ่าคนโดยไม่กระพริบตา ข้าไม่ฆ่าเขาหรอก”หางตาของเขาเผยรอยหยักยิ้มราบเรียบออกมา ไม่เหมือนท่าทางที่อยากฆ่าคนสักนิดหลินซวงเอ๋อร์โล่งใจ “วั
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก