ตงเหมยดีใจจนเต้นระบำ รับโคมดอกบัวแล้ววิ่งไปที่ริมฝั่งเพื่อปล่อยมีเพียงหลินซวงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไป๋อวี้ถังคิดว่านางไม่ชอบโคมนี้ จึงยื่นของตัวเองให้หลินซวงเอ๋อร์ พูดว่า “แม่นางซวงเอ๋อร์ไม่ชอบอันนี้หรือ? เช่นนั้นข้าเปลี่ยนให้เจ้าก็ได้”หลินซวงเอ๋อร์ได้สติ ตอบว่า “ไม่ใช่หรอก ข้าชอบมาก แค่ว่า...โคมดอกบัวต้องบรรจุความปรารถนาด้วย”ไป๋อวี้ถังไม่เคยปล่อยโคมมาก่อน เขาคิดว่าแค่จุดเทียนแล้วโยนลงน้ำก็พอ ที่ไหนได้ ยังต้องบรรจุความปรารถนาด้วยแต่เรื่องนี้ไม่ยากเกินไปสำหรับเขาไป๋อวี้ถังเดินไปที่ริมฝั่ง หยิบโคมดอกบัวขึ้นมาจากแม่น้ำ เห็นข้างในมีตัวอักษรเขียนไว้หลายบรรทัดเขาเข้าใจทันที ที่แท้ความหมายที่นางพูดก็คือต้องเขียนความปรารถนาลงบนโคมไป๋อวี้ถังมองไปรอบๆ เห็นไม่ไกลมีร้านขายพู่กันหมึก จึงหันไปบอกหลินซวงเอ๋อร์ว่า “เจ้ารอสักครู่” พูดจบ เขาก็รีบจากไป แล้วกลับมาพร้อมดินสอถ่านอย่างรวดเร็วเขายื่นดินสอถ่านให้หลินซวงเอ๋อร์ พูดว่า “แม่นางซวงเอ๋อร์มีความปรารถนาอะไร ตอนนี้ก็เขียนลงไปได้แล้ว”หลินซวงเอ๋อร์รับดินสอถ่านมาอย่างดีใจ เริ่มเขียนความปรารถนาของตัวเองลงบนกลีบดอกบัวทีละตัวอยู
โคมลอยของตงเหมยลอยไปไกลแล้ว นางเดินตามไปตลอดทาง สุดท้าย โคมลอยของนางก็ค่อยๆ เข้าใกล้ริมฝั่งบริเวณน้ำนิ่ง และไม่ขยับลอยไปไหนอีกทว่าตงเหมยไม่สนว่ามันจะลอยไปได้ไกลเท่าไหร่ นางไม่สนใจเรื่องพวกนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้วครั้นว่างไม่มีอะไรทำ นางก็หมอบตัวนั่งเล่นโคมลอยดอกบัวอยู่ริมฝั่ง นางไม่เล่นก็ดี แต่พอได้เล่นถึงได้รู้ว่า ที่แท้ในโคมลอยดอกบัวสามารถเขียนอักษรในนั้นได้ตงเหมยรู้สึกเสียดาย เมื่อครู่นางไม่ควรรีบร้อนลอยโคมลอยดอกบัวในน้ำเลย นางควรเขียนความปรารถนาไว้บนนั้นสักหน่อย!ไป๋อวี้ถังเองก็วางโคมลอยดอกบัวของตัวเองบนผิวน้ำเบาๆ เช่นกันสายน้ำหลั่งไหลเร็ว ทันที่วางโคมลอยดอกบัวลงไป มันก็ลอยล่องไปตามสายน้ำทันทีเหนือน่านน้ำมีโคมลอยดอกบัวมากมาย ขนาดใหญ่เท่าๆ กัน หลินซวงเอ๋อร์เพ่งมองอย่างดี ด้วยกลัวว่าจะจำของตัวเองไม่ได้นางสนใจแค่มองโคมลอยของตัวเอง ไม่ทันระวังเบื้องล่าง จึงสะดุดเท้า จนเกือบตกลงไปในแม่น้ำไป๋อวี้ถังจับแขนนางไว้ได้ทันเวลา แล้วดึงนางกลับเข้ามาอย่างแรงหลินซวงเอ๋อร์ถลาเข้าสู่อ้อมแขนไป๋อวี้ถังอย่างไม่ทันได้เตรียมตัวการหายใจยุ่งเหยิง ไม่รู้ว่าใจใครเต้น ดังอึกทึกระรัวดุจลั่นกลอ
หลินซวงเอ๋อร์สีหน้าซีดขาว “เหตุใดโคมลอยของข้าดับไปแล้วล่ะ...” นางหันกลับไปมองไป๋อวี้ถัง สีหน้าตกใจจนทำอะไรไม่ถูกไป๋อวี้ถังมองโคมลอยดอกบัวที่หลินซวงเอ๋อร์ชี้ เห็นเทียนข้างในนั้นดับจริงส่วนดับได้อย่างไรนั้น เขาไม่สนใจ เขาสนแค่มองหลินซวงเอ๋อร์เขากล่าวปลอบ “ไม่เป็นไร เทียนดับแล้วก็ดับไป ไม่สำคัญอะไร ข้าได้ยินว่า ขอแค่โคมลอยนี้ยังลอยมั่นคงอยู่บนน้ำก็ดีแล้ว”สิ้นเสียง โคมลอยของหลินซวงเอ๋อร์ก็ค่อยๆ จมลงในน้ำด้วยไม่รู้สาเหตุอันใดหลินซวงเอ๋อร์หันไปมองเขาอีกครั้ง เม้มริมฝีปาก ขอบตาค่อยๆ แดงขึ้นมาไป๋อวี้ถัง “…”“ความปรารถนาที่ข้าขอมันจะไม่เป็นจริงแล้วใช่ไหม?”หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกกระวนกระวายใจอย่างมาก มันรู้สึกเหมือนเป็นลางบางอย่าง ลางที่กำหนดว่านางจะต้องแยกจากเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กี่วันมานี้ นางมักจะใจเต้นผิดจังหวะ รู้สึกหดหู่อย่างมากและมักจะรู้สึกว่าจะต้องมีเรื่องไม่ดีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นประกอบกับโคมลอยดอกบัววันนี้ ลางสังหรณ์ไม่ดีในใจนางก็ยิ่งรุนแรงขึ้นไป๋อวี้ถังกล่าวปลอบ “ไม่หรอก ของพวกนี้เอาไว้หลอกคน เชื่อไม่ได้หรอก”หลินซวงเอ๋อร์กล่าวโต้ “แล้วเหตุใดถึงมีแค่โคมลอยของข้าดับเล่า แถมย
หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกว่าวันนี้ตงเหมยดูแปลกไปเล็กน้อยหากเป็นเมื่อก่อน ไม่ง่ายเลยที่จะได้ออกมานอกบ้านสักครั้ง หากนางไม่รบเร้าให้ตงเหมยกลับบ้าน อีกฝ่ายไม่มีทางเป็นฝ่ายเอ่ยถึงเรื่องกลับก่อนแน่เพียงแต่มันก็สายแล้วจริงๆ แม้ตงเหม่ยจะไม่รบเร้า นางก็จะกลับอยู่แล้วหลินซวงเอ๋อร์พยักหน้าให้ไป๋อวี้ถังเล็กน้อย พลางกล่าว "พี่ใหญ่ไป๋ นี่ก็ดึกมากแล้ว เราขอกลับจวนก่อนนะ"เมื่อเห็นว่านางจะกลับแล้ว ไป๋อวี้ถังก็เริ่มร้อนใจ และโพล่งคำพูดออกมาจากปากว่า "จะไปตอนนี้แล้วหรือ?"หลินซวงเอ๋อร์ชะงักฝีเท้า หันกลับไปมองเขา พลางพยักหน้า "อืม พี่ใหญ่ไป๋ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือ?"ไป๋อวี้ถังกล่าว "ใช้เวลาในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ไปแบบนี้มันคงจะน่าเบื่อเกินไป แม่นางซวงเอ๋อร์อยากฟังงิ้วหรือไม่?"ตั้งแต่รู้ความปรารถนาของไป๋อวี้ถัง ตงเหมยย่อมรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ทว่ากระนั้น นางไม่มีทางให้โอกาสนี้แก่เขาตงเหมยยืนขวางอยู่ด้านหน้าหลินซวงเอ๋อร์ พลางกล่าวกับไป๋อวี้ถัง "ฟ้ามืดมากแล้ว หากพระชายายังไม่กลับจวนอีก ท่านอ๋องคงจะกังวลใจ"หางตาของไป๋อวี้ถังเต็มไปด้วยรอยหยักยิ้ม เขามองไปที่ตงเหมยทันที วาจาที่เอื้อนเอ่ยออกมามี
หัวใจของตงเหมยเคิ่มเต้นบ้าคลั่งอย่างควบคุมไม่ได้ขึ้นมาอีกครั้งสมองของนางเริ่มงุนงงอีกครา…“ความจริง…อยู่อีกสักหน่อยก็ไม่มีปัญหาอะไร”นางกล่าวออกมาโดยไม่รู้ตัวหลินซวงเอ๋อร์ส่ายหน้าอย่างระอา ก่อนกล่าวกับไป๋อวี้ถัง “พี่ใหญ่ไป๋ นี่ก็ดึกมากแล้ว ข้าต้องกลับแล้วจริงๆ หากสามีข้ากลับจวนแล้วไม่เจอข้า เขาจะเป็นห่วงเอาได้”เทศกาลไหว้พระจันทร์วันนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงผิดนัดไม่มา ที่จริงหลินซวงเอ๋อร์ไม่ได้โกรธเลยสักนิด แม้ไม่รู้ว่าช่วงนี้เขายุ่งอะไรอยู่ แต่นางรู้ ที่เขาไม่มาต้องมีสาเหตุบางที เขาอาจจะยุ่งมากจริงๆ ยุ่งจนไม่กินไม่นอน ยุ่งจนลืมแม้แต่เทศกาลไหว้พระจันทร์ในวันนี้ดังนั้น เขาผิดนัด หลินซวงเอ๋อร์ไม่โทษเขา นางแค่เป็นห่วง ในวันเทศกาลไหว้พระจันทร์นี้เขาจะได้พักผ่อนดีๆ บ้างหรือเปล่า ได้กินข้าวดีๆ หรือไม่…ที่นางรอเขาอยู่ที่นี่นานถึงเพียงนี้ นั่นเพราะกลัวว่าจู่ๆ เขานึกนัดหมายวันนี้ขึ้นมา หากนางจากไป และจู่ๆ เขามาตามนัดและหานางไม่เจอจะทำอย่างไร?ดังนั้น นางจึงรอมาตลอดจนถึงตอนนี้ รอจนร้านข้างทางปิด คนที่เดินขวักไข่วอยู่บนถนนกลับไปหมด แต่เขาก็ยังไม่มาหลินซวงเอ๋อร์คิดว่า เขาอาจจะมาแล้วจริงๆ
“แม่นางซวงเอ๋อร์ชอบน้ำตาลปั้นอันนี้หรือไม่? ข้าเห็นว่าหงส์ตัวนี้สวย เหมาะกับแม่นางซวงเอ๋อร์พอดี”ไป๋อวี้ถังยื่นน้ำตาลปั้นให้กลินซวงเอ๋อร์ ในคำพูดเขาแฝงไปด้วยรอยยิ้มโปรดปราน ทำให้คนที่ได้ฟังรู้สึกอบอุ่นในใจหลินซวงเอ๋อร์กลืนน้ำลาย ไม่กล้ายื่นมือออกไปรับ“แม่นางซวงเอ๋อร์ไม่ชอบหรือ?”ไป๋อวี้ถังถามนางด้วยความอดทนหลินซวงเอ๋อร์ซ่อนความรู้สึกไว้ไม่มิด ชอบหรือไม่ชอบล้วนเขียนเด่นหราอยู่บนใบหน้า ความคิดบริสุทธิ์จนคนมองแวบเดียวก็มองออกไป๋อวี้ถังรู้ว่านางชอบ แต่เขาไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงไม่กล้ารับหลินซวงเอ๋อร์ลังเลไปชั่วครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “ชอบ”เสียงของไป๋อวี้ถังยิ่งอ่อนโยนเพิ่มขึ้น “ถ้าชอบก็รับไปเถิดหากยังไม่พอ พี่ใหญ่ไป๋จะซื้อให้แม่นางซวงเอ๋อร์อีก”หลินซวงเอ๋อร์เอามือไพล่หลัง ยังคงไม่กล้ายื่นมือไปรับ และคุยกับเขาอย่างนุ่มนิ่ม “แต่สามีข้าไม่ให้ข้ารับของจากคนอื่น”“คนอื่นหรือ?” ไป๋อวี้ถังตกใจก่อน จากนั้นก็เข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มราบเรียบ “พี่ใหญ่ไป๋หาใช่คนนอกเสียหน่อย เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นสหายสนิทข้า ของที่ข้าซื้อ เจ้ารับไปได้”หลินซวงเอ๋อร์กล่าว “รับไม่ได้หรอก ท่านพ
เมื่อเห็นนางยอมกินในที่สุด จู่ๆ ใจของไป๋อวี้ถังก็เกิดความรู้สึกอิ่มเอมอย่างอธิบายไม่ถูกขึ้นมานี่คือน้ำตาลปั้นที่นางคนึงหามานานมาก ในนั้นผสมกลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวากับน้ำผึ้ง หลินซวงเอ๋อร์เลียไปคำหนึ่ง ในใจอย่าเอ่ยถึงเลยว่าพึงพอใจมากแค่ไหนน้ำตาลรูปหงส์สวยมาก นางไม่กล้ากัด ได้แต่เลียไปทีละคำด้วยความระมัดระวังบนถนนไร้ผู้คนไปหมดแล้ว มีแค่บางครั้งจะมีคนเมาเดินออกมาจากร้านขายเหล้าเท่านั้นหลินซวงเอ๋อร์รู้ว่าไม่ควรไปยุแหย่คนที่ดื่มเหล้า จึงตั้งใจเดินหลบเลี่ยงพวกเขาไปแต่ไม่คิดเลยว่า จู่ๆ ผู้ชายคนหนึ่งเดินโซซัดโซเซพุ่งเข้ามาหาทว่าท่าทาง เท้าที่เขาย่ำเดินกลับเร็วมาก หลินซวงเอ๋อร์หลบไม่ทัน ไหล่จึงถูกเขาชนอย่างแรงโดยไม่ทันระวังน้ำตาลปั้นในมือร่วงหล่นตุบอยู่บนพื้น แตกจนแหลกละเอียดหลินซวงเอ๋อร์ยืนอยู่ที่เดิม มองน้ำตาลปั้นบนพื้นอย่างยิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ไป๋อวี้ถังคาดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ เมื่อได้สติกลับมา หลินซวงเอ๋อร์ก็แทบถูกคนชนล้มลงบนพื้นแล้วคล้อยหลังเร่งรีบปกป้องคนไว้ด้านหลัง สายตาของไป๋อวี้ถังก็มองผู้ชายที่ชนตรงหน้าอย่างเยือกเย็นคาดว่าผู้ชายคนนี้จะดื่มเหล้าจนเมา เพราะกลิ่นเห
เขาแอบออกแรงที่นิ้ว สีหน้าของผู้ชายค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเพราะเลือดคลั่ง“ไว้…ไว้ชีวิตด้วย…”สัญชาตญาณในการเอาตัวรอดทำให้ผู้ชายเค้นคำออกมาจากลำคอด้วยความยากลำบากไป๋อวี้ถังยิ่งมีแววตาเย็นชาขึ้น ในดวงตานั้นเจือไปด้วยจิตสังหาร ทำให้คนอดรู้สึกขวัญหนีดีฝ่อไม่ได้“พี่ใหญ่ไป๋…”เสียงอ่อนนุ่มหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง คิ้มที่ขมวดเป็นปมของไป๋อวี้ถังก็ค่อยๆ คลายออกเขาปล่อยผู้ชายคนนั้น และหันกลับมามองหลินซวงเอ๋อร์ ท่าทางเย็นเยือกดุจน้ำแข็งเปลี่ยนไปเป็นมาดผู้ดีของคุณชายไปชั่วพริบตาหลินซวงเอ๋อร์รีบเข้าไปหา เหลือบมองชายที่ตกใจจนหน้าซีดอยู่บนพื้น ก่อนจะดึงแขนเสื้อของไป๋อวี้ถัง “พี่ใหญ่ไป๋ ช่างมันเถิด เขาดื่มเหล้าจนเมา เป็นแค่คนขี้เมาคนหนึ่ง”เทศกาลไหว้พระจันทร์จัดอยู่บนถนนใหญ่ หลินซวงเอ๋อร์กลัวว่าไป่อวี้ถังพลั้งมือฆ่าคนขึ้นมา ชื่อเสียงของเขาต้องไม่ดีแน่ไป่อวี้ถังกล่าวด้วยท่าทางเหมือนปกติ “แม่นางซวงเอ๋อร์โปรดวางใจ แค่สั่งสอนเขาธรรมดาๆ พี่ใหญ่ไป๋หาใช่มารที่ฆ่าคนโดยไม่กระพริบตา ข้าไม่ฆ่าเขาหรอก”หางตาของเขาเผยรอยหยักยิ้มราบเรียบออกมา ไม่เหมือนท่าทางที่อยากฆ่าคนสักนิดหลินซวงเอ๋อร์โล่งใจ “วั
วันที่เจียงหว่านกำลังจะถูกเนรเทศ ในที่สุดเจียงเช่อก็มาหาถึงหน้าประตูเขาคุกเข่าเบื้องหน้าเยี่ยเป่ยเฉิง เว้าวอนขอเยี่ยเป่ยเฉิงปล่อยเจียงหว่านไปขณะที่เดินทางมา เขารับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วเจียงหว่านลอบวางยาพระชายาเยี่ย ใช้ประชาชนที่ติดโรคทดลองยา เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ ผลาญชีวิตคนดุจผักดุจปลา นับเป็นอาชญากรรมอันชั่วร้ายที่สุด......แต่ไม่ว่าอย่างไร เจียงหว่านก็เป็นน้องสาวเขา เป็นคุณหนูหนึ่งเดียวของตระกูลเจียง เจียงเช่อมิอาจนั่งนิ่งดูดาย ปล่อยให้นางไปตายได้“ขอร้องท่านอ๋องไว้ชีวิตนางเถิด เป็นเพราะข้าตามใจนางจนเสียคน หากท่านอ๋องจะลงโทษ โปรดลงที่เจียงเช่อเถิดพะยะค่ะ”เมื่อเห็นเจียงเช่อ สายตาสิ้นหวังของเจียงหว่านพลันมีประกายความหวังขึ้น“พี่......ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากไปแดนเถื่อน ข้าอยากกลับบ้าน ท่านพี่ช่วยข้าด้วย......”เจียงเช่อขมวดคิ้วเขม็งจ้องเจียงหว่าน สายตาแฝงเร้นด้วยแววเกยีดชังเข้าไส้เขารู้ว่าเจียงหว่านต้องโทษตาย ยามนี้แค่เนรเทศ ถือว่าเมตตามากแล้ว แต่เขาเองก็รู้ว่า สถานที่อย่างแดนเถื่อนนั้น มิใช่สถานที่ที่สตรีตัวคนเดียวจะไปได้ การเนรเทศนางไปที่นั่น เท่ากับส่งนางไปขุมนร
“เลือดของนาง...”เจียงหว่านสีหน้าตกตะลึงตอนนั้น ตอนที่ฮุ่ยอี๋มอบยาถอนพิษใส่ในมือนาง นางเคยเอาทิ้งไว้หลายขวด เดิมทีคิดศึกษาส่วนผสมในนั้น ทว่าด้านในกลับมีส่วนผสมยาเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือเลือดมนุษย์...แรกเริ่ม นางคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล! กระทั่งยามนี้นางถึงได้เชื่อความจริง ส่วนประกอบของยานั้น มีเพียงเลือดมนุษย์จริงๆ! ทั้งยังเป็นเลือดของหลินซวงเอ๋อร์! เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ในที่สุดนางก็เข้าใจ!มิน่า...ตอนนั้น นางใช้ยาปริมาณมาก แต่กลับไม่อาจทำให้หลินซวงเอ๋อร์ถึงตาย! ไม่คิดว่าเลือดของนางจะขจัดพิษในร่างนางโดยมองไม่เห็น...ฮุ่ยอี๋เอ่ย “เจ้ายังมีหน้าพูดว่าไม่ได้ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาอีก! เจียงหว่าน เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้าวางยาซวงเอ๋อร์อย่างไร? เสด็จอาให้อภัยเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ข้าไม่มีวันเกรงใจเจ้า!”คำพูดนี้สองแง่สองง่าม เห็นชัดว่ากำเย้ยหยันเยี่ยเป่ยเฉิงที่ดึงหมาป่าเจ้าเล่ห์เข้าบ้าน!เยี่ยเป่ยเฉิงตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ไร้ซึ่งแรงโต้กลับยามนี้ เขามิอาจชำระคืนได้ ซวงเอ๋อร์ของเขาไม่มีวันกลับมาอีกต่อไป!สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คือทำให้เจียงหว่านชดใช้อย่างสาสมที่สุด ส่วนตัวเขา ชีวิตที่
เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาที่มองเจียงหว่านเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง ไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิดเขาอยากฆ่านางตั้งนานแล้ว ที่ปล่อยนางรอดมาจนถึงตอนนี้ ก็แค่อยากให้นางได้รับความทรมานจนตายบัดนี้เห็นนางตกยากเช่นนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงกลับรู้สึกว่าบทลงโทษแค่นี้ยังมิพอเจียงหว่านถูกทรมานจนเหมือนตายดีกว่าอยู่มานานแล้ว นางรู้ เยี่ยเป่ยเฉิงไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ หลังจากคิดดูแล้ว หากตายด้วยน้ำมือของเยี่ยเป่ยเฉิงได้ ก็คงจะดีกว่าตอนนี้ ที่ดูดซับยาเข้าสู่ร่างกายทุกวัน ถูกฝันร้ายหลอกหลอนทุกคืนสุดท้ายก็ไม่สามารถหนีจากพิษและเสียชีวิตลงได้!อย่างไรก็ตาย มิสู้ให้เยี่ยเป่ยเฉิงจบชีวิตนางด้วยมือเขาเอง!เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็ยิ้มเยาะ จงใจกล่าวยั่วยุเขา “เยี่ยเป่ยเฉิง เจ้ามีฝีมือแค่นี้หรือ? แน่จริงก็ฆ่าข้าไปเลยสิ!”“ฆ่าข้าให้มันจบๆ ไปเสีย!”เยี่ยเป่ยเฉิงปรายตามองนาง พลางกล่าวอย่างเย็นชา “ตอนนั้น เจ้าก็ทรมานซวงเอ๋อร์เช่นนี้!”เจียงหว่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วอย่างไร!”“ลูกในท้องนางข้าก็เป็นคนทำร้ายเอง! ร่างกายอ่อนแอแบบนั้นของนางต่อไปจะตั้งครรภ์ไม่ได้อีกแล้ว!”“ที่นางฝันร้ายทุกคืน ก็เป็นข้าที่ทำเอง
หลายสิบปีมานี้ นางทำเรื่องชั่วมานับไม่ถ้วน ทุกเรื่อง นางจิตใจสงบ ไม่เคยรู้สึกผิดเลยมีเพียงเจียงหลิง…มีเพียงการตายของเจียงหลิง ทำให้นางยากจะข่มตานอนได้…ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในฐานะคุณหนูรอง เจียงหว่านไม่เป็นที่ชื่นชอบของพ่อแม่มาตลอด พี่ชายก็ยิ่งไม่สนใจนาง ทว่าเจียงหลิงกลับได้รับความรักมากมาย…นางอิจฉาเจียงหลิง และแทบอยากทำให้อีกฝ่ายหายไปจากโลกใบนี้แต่เจียงหลิงกลับรักเอ็นดูนางมาตั้งแต่ต้นจนจบ ปกป้องนาง มอบของที่ดีที่สุดในโลกใบนี้ให้แก่นาง…เจียงหลิงเป็นพี่สาวที่ดีต่อนางที่สุดบนโลกใบนี้…ทว่าที่นางต้องการหาใช่แค่พี่สาวอย่างเดียว นางต้องการความรักของทุกคน นางต้องการให้พ่อแม่ พี่ชายรกนางแค่คนเดียว นางอยากครอบครองของที่ดีที่สุดไว้กับตัวเอง ไม่ใช่รอให้คนอื่นมอบให้!ดังนั้น ในคืนวันหิมะตก นางผลักเจียงหลิงตกน้ำ มองนางจมตายทั้งเป็นอยู่ใต้น้ำ หลังจากนั้นนางก็ติดวันเกิดเวลาเกิดของเจียงหลิงบนตุ๊กตาคุณไสย แทงเธอทุกวัน สวดภาวนาทุกคืน นางต้องการให้เจียงหลิงไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิด ไม่หวนกลับมาตลอดกาล!เพราะมีเพียงแค่ทำแบบนี้ นางถึงจะไม่มีโอกาสแก้แค้นตัวเอง!แต่ทำไม…ทำไมตอนนี้นางถึงยังหาตัวเอง
ยาซึมเข้าสู่ร่างกายติดกันหลายวันทำให้เจียงหว่านค่อยๆ เป็นบ้าในห้องที่ปิดสนิท เจียงหว่านหดตัวอยู่บนพื้นเหมือนดินโคลนตัวนางเหม็นมาก ชุดกระโปรงสีรากบัวเปลี่ยนเป็นสกปรกและเก่าองครักษ์ทำให้เส้นเอ็นมือของนางขาด ตรงบาดแผลถูกทาขี้ผึ้งปิดแผลชั้นแล้วชั้นเล่าแม้ขี้ผึ้งปิดแผลจะเป็นยาสำหรับปกปิด ทว่ากลับมีผลดีต่อการหยุดเลือดบาดแผลแข็งตัวจนกลายเป็นสะเก็ดไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้รับการรักษาที่ดีกว่านี้ แม้จะดีขึ้นก็ยังเหลือรอยแผลเป็นอัปลักษณ์เอาไว้ธูปในห้องไม่เคยลดลงเลยทั้งวัน ประกอบกับกระกระตุ้นของต้นคลีเวีย ความคิดต่ำช้าที่อยู่ในตัวนางแทบจะถูกกระตุ้นออกมาทั้งหมดสองตานางแดงก่ำ ดูฉุนเฉียวไม่น้อย กรีดร้องโวยวายอยู่ในห้อง ประหนึ่งคนบ้าคนหนึ่งองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องไม่สนใจนางสักนิด ได้แต่ทรมานนางไม่ให้นางตายทุกวันความเคียดแค้นฉายออกมาจากในตาเจียงหว่าน เวลานี้ นางได้ปล่อยว่างความหลงใหลต่อเยี่ยเป่ยเฉิงแล้ว ไม่ว่าจะรักมากขนาดไหนก็แปรเปลี่ยนเป็นความชิงชังเข้ากระดูก“เยี่ยเป่ยเฉิง! ปล่อยข้ากลับไป! ปล่อยข้ากลับไปสิ!”“แน่จริงก็ฆ่าข้าเลยสิ!ฆ่าข้าให้มันจบๆ ! ท่านมีสิทธิ์อะไรมาขังข้าไว้เช่นนี
“ได้ยินว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเจ้าเสียไปนานแล้ว แล้วเจ้ากับพี่ชายอยู่มาได้อย่างไร?”“แล้วเหตุใดเจ้าจึงขายตัวไปเป็นบ่าวไพร่? หลายปีมานี้ เจ้าคงผ่านความลำบากมิใช่น้อย เคยถูกใครรังแกหรือไม่?”หลินซวงเอ๋อร์พลันเกิดความขมขื่นในจิตใจเดิมที หากไม่เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ นางยังพออดทนได้บ้าง แต่เมื่ออวี๋หว่านหนิงถามขึ้นมา นางก็อดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเสียมิได้นางเม้มปากพลางจ้องมองนิ้วมือตนเอง น้ำตาเริ่มเอ่อล้น พร้อมหยดแหมะลงหลังมือทีละหยดนางอยู่สบายหรือไม่?นางเคยถามตนเองอยู่เช่นกันหลายปีมานี้ นางผ่านเรื่องราวมากมาย สูญเสียบิดามารดา สูญเสียพี่ชายไป กลายเป็นเด็กกำพร้าที่ไร้ญาติขาดมิตรโดยแท้แต่หากคิดดีๆ ชีวิตนางก็เคยอยู่สุขสบายมาช่วงหนึ่งนั่นคือตอนอยู่กับเยี่ยเป่ยเฉิง นางมีความสุขจริงๆในตอนนั้น เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นกำลังใจให้นาง ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ หาของดีมาให้กิน สอนนางเรียนหนังสือ พาไปเดินเล่นท่องทะเลสาบ ให้ความรักต่อนางอย่างชนิดไร้ผู้เทียบเทียม...ในเวลานั้น นางมีความสุขเหลือล้น เป็นความสุขมากที่สุดในชีวิต แม้แต่ฝันก็ยังเป็นฝันหวาน...แต่ต่อมา ทุกอย่างกลับแปรเปลี่ยน ก่อนหน้านี้เคยสุ
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลินซวงเอ๋อร์แทบชะงักงันไปที่บั้นเอวนางมีปานแดงรูปเสี้ยวจันทร์จริงๆ ท่านแม่บอกว่า มันมีติดตัวมาตั้งแต่นางเกิด เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่บั้นเอว จึงมีน้อยคนที่จะรู้เรื่องนี้“ท่าน...คือแม่ของข้าจริงหรือ?” หลินซวงเอ๋อร์หัวใจเต้นแรง ขอบตาแดงเรื่อขึ้นอวี๋หว่านหนิงยื่นมือมาจับมือของนางไว้ พลางกล่าวเสียวเศร้า “ซวงเอ๋อร์ ข้าคือแม่เจ้าจริงๆ หลายปีนี้ทำให้เจ้าลำบากนัก...”แม่นมซุนอยู่ด้านข้างพลางกล่าวเสริม “องค์หญิง นางคือเสด็จแม่ของท่านจริงๆ หลายปีมานี้ ฮองเฮาไม่เคยเลิกราในการตามหาท่าน เพียงแต่ภาคกลางกว้างขวางนัก พวกท่านเองก็ข่าวคราวเงียบหาย หลายปีนี้ พวกท่านลำบากก็จริง ฮองเฮาก็ไม่ได้สุขสบายใจ...”หลินซวงเอ๋อร์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ พลันหันไปมองอวี๋หว่านหนิงแล้วกล่าว “ที่จริง ข้าไม่เคยตำหนิท่านเลย เพียงแต่บางครั้งก็เคยคิด ว่าท่านแม่จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้หรือไม่”“ตอนยังเป็นเด็ก ข้าเคยคาดหวังให้นางมาหาบ้าง แต่พอโตขึ้นก็ไม่เห็นนางมาเสียที ข้าจึงภาวนาให้นางอยู่ดีมีสุขแทน แม้จะไม่ได้พบหน้า แต่ขอให้นางยังมีชีวิตอยู่ เป็นความคิดถึงในใจก็เพียงพอแล้ว...”
อวี๋หว่านหนิงรับเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา พลันเกิดความตื้นตันจนไม่รู้ตอบอย่างไรดีทันใดนั้น แม่นมซุนเดินขึ้นมาพร้อมกล่าว “องค์หญิง ที่นี่คือวังหลวงแห่งเป่ยหรง ฮองเฮาทรงตามหาท่านมานาน ทุ่มแทแรงกายแรงใจไม่น้อยกว่าจะหาพบ...”“องค์หญิง?” หลินซวงเอ๋อร์นึกว่าตนหูฝาดไป “ท่านเรียกข้าอยู่หรือ?”นางกล่าวตอบ “พวกท่านจำคนผิดหรือเปล่า ข้าไม่ใช่องค์หญิง ข้าคือหลินซวงเอ๋อร์ต่างหาก”นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง เติบโตมาจากชนบทแร้นแค้น เป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยผู้หนึ่งเท่านั้นองค์หญิงอะไรกัน ยังมีวังเป่ยหรงอีก แล้วใครคือฮองเฮา?พวกนางคงจำคนผิดเป็นแน่แม่นมซุนกล่าวตอบ “ไม่ผิดเจ้าค่ะ ไม่มีผิดแน่นอน ท่านก็คือองค์หญิงของเรา องค์หญิงที่พลัดพรากจากฮองเฮาไป...”หลินซวงเอ๋อร์คล้ายกับยังมึนงงอยู่ ความคิดนางเกิดความสับสน ปวดหัวเป็นอย่างมากแม่นมซุนอธิบายต่อ “สมัยที่อดีตฮ่องเต้สวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ราชสำนักเป่ยหรงเกิดความวุ่นวาย ตอนนั้นฮองเฮายังมีฐานะเป็นเพียงพระชายาแห่งรัชทายาท นางเสี่ยงอันตรายให้กำเนิดแฝดชายหญิงคู่หนึ่ง เพื่อปกป้องชีวิตของพวกท่านไว้ จึงให้คนสนิทส่งพวกท่านออก
หลินซวงเอ๋อร์เปลือกตากระตุกเล็กน้อย นางก็อยากตื่น แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจตื่นขึ้นมาหน้าอกคล้ายถูกกรีดจนเป็นแผลเหวอะหวะ เหงื่อเย็นในตัวไหลพราก ลำคอคล้ายถูกงูพิษตัวหนึ่งรัดไว้ ยิ่งรัดก็ยิ่งแน่น จนนางใกล้จะหายใจไม่ออกข้างโสตนั้น ได้ยินเสียงคุ้นหูประเดี๋ยวไกลประเดี๋ยวใกล้ ถัดจากนั้น คล้ายมีมืออ่อนโยนลูบไล้ใบหน้านางเบาๆ“เด็กดี หมดเรื่องแล้ว เจ้าปลอดภัยดีแล้ว รีบตื่นมาเถิด ตื่นมาเร็วเข้า...”หลังจากได้ยินเสียงนั้นชัดเจนมากขึ้น ลำคอที่ถูกรัดแน่นก็ค่อยๆ คลายออก นางลืมตาช้าๆ ภาพเบื้องหน้าจากพร่ามัวจนกลายเป็นชัดเจน สิ่งแรกที่เข้าสู่ม่านตาก็คือม่านคลุมเตียงสีม่วงที่อยู่เหนือศีรษะขึ้นไป คล้ายเป็นภาพฝัน เสมือนเป็นแหยักษ์ที่ถูกเหวี่ยงลงมา เพื่อคลุมตัวนางให้อยู่ตรงกลางเตียงนี้เป็นเตียงที่สวยงาม จนแม้แต่เสาเตียงก็เป็นลวดลายที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน หัวเตียงนอกจากจะแกะสลักลายดอกไม้แล้วยังฝังด้วยหยกเจียระไนงดงามและพลอยล้ำค่าอีกชั่วขณะนั้น นางรู้สึกมึนงงยิ่งนี่มันเป็นที่ไหนกัน?“ซวงเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกตัวแล้วรึ?” จนกระทั่งข้างหูได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง นางจำได้ว่าตอนอยู่ในความฝัน ได้ยินเสียงนี้จนคุ