เขาแอบออกแรงที่นิ้ว สีหน้าของผู้ชายค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเพราะเลือดคลั่ง“ไว้…ไว้ชีวิตด้วย…”สัญชาตญาณในการเอาตัวรอดทำให้ผู้ชายเค้นคำออกมาจากลำคอด้วยความยากลำบากไป๋อวี้ถังยิ่งมีแววตาเย็นชาขึ้น ในดวงตานั้นเจือไปด้วยจิตสังหาร ทำให้คนอดรู้สึกขวัญหนีดีฝ่อไม่ได้“พี่ใหญ่ไป๋…”เสียงอ่อนนุ่มหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง คิ้มที่ขมวดเป็นปมของไป๋อวี้ถังก็ค่อยๆ คลายออกเขาปล่อยผู้ชายคนนั้น และหันกลับมามองหลินซวงเอ๋อร์ ท่าทางเย็นเยือกดุจน้ำแข็งเปลี่ยนไปเป็นมาดผู้ดีของคุณชายไปชั่วพริบตาหลินซวงเอ๋อร์รีบเข้าไปหา เหลือบมองชายที่ตกใจจนหน้าซีดอยู่บนพื้น ก่อนจะดึงแขนเสื้อของไป๋อวี้ถัง “พี่ใหญ่ไป๋ ช่างมันเถิด เขาดื่มเหล้าจนเมา เป็นแค่คนขี้เมาคนหนึ่ง”เทศกาลไหว้พระจันทร์จัดอยู่บนถนนใหญ่ หลินซวงเอ๋อร์กลัวว่าไป่อวี้ถังพลั้งมือฆ่าคนขึ้นมา ชื่อเสียงของเขาต้องไม่ดีแน่ไป่อวี้ถังกล่าวด้วยท่าทางเหมือนปกติ “แม่นางซวงเอ๋อร์โปรดวางใจ แค่สั่งสอนเขาธรรมดาๆ พี่ใหญ่ไป๋หาใช่มารที่ฆ่าคนโดยไม่กระพริบตา ข้าไม่ฆ่าเขาหรอก”หางตาของเขาเผยรอยหยักยิ้มราบเรียบออกมา ไม่เหมือนท่าทางที่อยากฆ่าคนสักนิดหลินซวงเอ๋อร์โล่งใจ “วั
จากนั้น หลินซวงเอ๋อร์ก็เอ่ยเสริมอีกว่า “เพียงแต่ พี่ใหญ่ไป๋ไม่ใช่คนไม่ดีอะไร เขาเป็นคนดี ก่อนหน้านี้ยังช่วยข้าตั้งหลายครั้ง ต่อไปหากเจอเขา เราก็ควรเกรงใจเขาสักหน่อย”ตงเหมยพยักหน้า “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว แม้พระชายาไม่พูด บ่าวก็รู้ท่านสมุหราชเลขาไม่ใช่คนไม่ดีอะไร”เมื่อเห็นว่าไป๋อวี้ถังยังไม่กลับมา ตงเหมยก็อดกล่าวไม่ได้ว่า “ว่าแต่ ท่านสมุหราชเลขาก็ไปตั้งนานแล้ว ไยถึงยังไม่กลับมาอีก?”หลินซวงเอ๋อร์ส่ายหน้า เดาว่า “บางทีอาจจะไล่ตามพ่อค้าคนนั้นกระมัง เรารออีกสักหน่อยเถิด”…..ในขณะนั้น ในซอยลึกมืดมิด มีชายคนหนึ่งฟุบอยู่บนพื้นด้วยท่าทางเจ็บปวด กระดูกทั่วร่างแตกหักหลายแห่ง เลือดกระอักไหลออกมามาจากปากเขา พลางเงยหน้าขึ้นด้วยความหวาดกลัว เห็นร่างสูงใหญ่ค่อยๆ เดินออกมาจากส่วนลึกของซอยเสื้อคลุมสีดำต้องลมปลิวไสว เผยให้เห็นรูปร่างที่โดดเด่นของเขา ย่างก้าวเขามั่นคง ราวกับพยายามมาเอาชีวิต ทั่วร่างเคลือบไปด้วยไอเย็นยะเยือก ทำให้คนรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมากำแพงด้านหลังมีรอยแตกร้าวหนึ่ง เป็นเขาที่โดนถีบจนร่างชนเข้ากับกำแพงอย่างจังเมื่อครู่นี้เอง… กำลังนั้นหนักหน่วงมาก กระดูกของผู้ชายแตกหักไปทั่วต
ในค่ายทหารจู่ๆ ชายที่นอนเอนกายอยู่บนเตียงเกิดเป็นไข้ขึ้นมา อาการเหมือนจะรุนแรงกว่าก่อนหน้าอย่างมาก ไม่เพียงแผลทั่วร่างเกิดเป็นหนอง ปากก็เริ่มส่งเสียงไม่ออกแล้วเยี่ยเป่ยเฉิงสั่งให้คนแยกกระโจมที่ชายคนนี้พักอยู่ออกไปเป็นพิเศษ ยกเว้นเขาและเจียงหว่าน ห้ามให้ใครเข้าใกล้ เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ในกองทัพติดเชื้อโดยไม่ระวังหลังจากเดินออกมาจากกระโจม เยี่ยเป่ยเฉิงเอาผ้าปิดหน้าและถุงมือออก พลางกล่าวกับเจียงหว่าน “ไม่ใช่ให้ยาแก้แล้วหรอกหรือ? เหตุใดคนผู้นี้ถึงยังเป็นเช่นนี้อยู่!”เจียงหว่านกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “โรคนี้รุนแรงเกินไป ยาของข้ายังขาด…”เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วมุ่นให้เวลาเจียงหว่านไปตั้งนาน แต่นางกลับจัดยาแก้รักษาโรคนี้ไม่ได้มาตลอด ชาวบ้านที่อยู่อย่างสุขสงบก่อนหน้าพากันติดโรคระบาด อาการยิ่งโหมรุนแรงขึ้น หากยังรักษาไม่ได้อยู่อีก เกรงว่าผลที่ตามมามิอาจจะจินตนาการได้ บางทีอาจจะอันตรายไปถึงผู้คนในเมืองหลวง…ทว่าเสิ่นป๋อเหลียงยังกลับไปไม่ถึงเมืองหลวง เยี่ยเป่ยเฉิงได้แค่ฝากความหวังไว้กับเจียงหว่านเท่านั้นแต่นางกลับทำให้เขาผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า!เยี่ยเป่ยเฉิงค่อยๆ หมดความอดท
พูดถึงงูดำหางไหม้ จู่ๆ เหมือนเยี่ยเป่ยเฉิงจะนึกอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าพลันซีดขาวทันทีในเวลานี้เอง รองแม่ทัพหวังขุ่ยเพิ่งกลับมาจากกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันที่บ้าน และกำลังจะผูกม้าของตัวเองไว้ในคอกม้า ก็บังเอิญเห็นเยี่ยเป่ยเฉิงยืนอยู่นอกกระโจมพอดี จึงอดเดินเข้าไปถามไม่ได้ “วันนี้คือวันไหว้พระจันทร์ ไยท่านอ๋องจึงไม่กลับบ้านเล่า?”เยี่ยเป่ยเฉิงไม่พูดอะไร ยื่นมือไปแย่งสายบังเหียนในมือหวังขุ่ยมา พลิกตัวขึ้นหลังม้า และขี่หายลับไปในความมืดทันทีหวังขุ่ยงุนงงอยู่กับที่ ทอดมองไปยังทิศทางที่เยี่ยเป่ยเฉิงจากไป ก่อนมองเจียงหว่านที่ยืนอยู่ด้านข้าง พลางกล่าวอย่างไม่เข้าใจ “นี่…ท่านอ๋องคงจะไม่ได้ลืมว่าวันนี้คือวันไหว้พระจันทร์หรอกใช่ไหม?”เจียงหว่านไม่พูดอะไร นางกัดริมฝีปาก และกำมือแน่นจนเล็บแทบจะหยักลงไปในเนื้อหวังขุ่ยเห็นนางถูกทิ้งอยู่ในค่ายทหารคนเดียวก็รู้สึกสงสารเล็กน้อย จึงกล่าวว่า “วันไหว้พระจันทร์ แม่นางเจียงไม่กลับบ้านไปฉลองหรือ? เช้านี้พี่ชายกับพี่สะใภ้แม่นางตั้งใจส่งคนมาถ่ายทอดข้อความ ให้แม่นางกลับไปฉลองวันนี้ เหตุใดแม่นางยังอยู่ที่นี่อยู่อีก?”เจียงหว่านยิ้ม “ไม่ล่ะ โรคระบาดยังไม่หาย
เยี่ยเป่ยเฉิงควบม้ากลับไปที่จวนอย่างไม่หยุดหย่อนเมื่อมาถึงหน้าประตูจวนก็เห็นไป๋อวี้ถังกำลังกลับออกมาจากด้านในพอดี“เพิ่งกลับมาหรือ?”ไป๋อวี้ถังไม่ค่อยดูแปลกใจเท่าไหร่นัก ยังคงถามเขาด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติเยี่ยเป่ยเฉิงพลิกตัวลงจากม้า คาดว่าน่าจะรีบมา หน้าอกเขาถึงได้กระเพื่อมขึ้นลงเบาๆ บนหน้าผากยังชื้นไปด้วยเหงื่อ“เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?”เยี่ยเป่ยเฉิงถามเขาไป๋อวี้ถังกล่าวด้วยท่าทางเรียบเฉย “มาส่งแม่นางซวงเอ๋อร์กลับ”เยี่ยเป่ยเฉิงชะงักไป “เพิ่งกลับมาตอนนี้หรือ?”ไป๋อวี้ถังพยักหน้า “นางรอเจ้าทั้งคืน เจ้าไม่รู้หรือ?”นัยน์ตาดำขลับเบิกกว้าง เยี่ยเป่ยเฉิงอดตกใจไม่ได้ “รอจนถึงตอนนี้และเพิ่งกลับมาหรือ?”เมื่อครู่เขาไปหานางที่ข้างสะพาน เมื่อเห็นนางไม่อยู่ เขาก้รู้สึกโล่งใจ คิดว่านางรอตัวเองไม่ไหว น่าจะกลับจวนไปนานแล้ว…แต่ไป๋อวี้ถังบอกเขาว่า นางเพิ่งกลับมาตอนนี้…นางรอเขาทั้งคืนเต็มๆ …เมื่อคิดได้เช่นนี้ ในของเยี่ยเป่ยเฉิงยิ่งเสียใจและโทษตัวเองอย่างหาที่เปรียบไม่ได้หลายวันมานี้เขายุ่งมาก ยุ่งจนไม่กินไม่นอน ยุ่งจนลืมเวลา และถึงขั้นลืมนัดสำคัญไป…เรื่องนัดวันไหว้พระจันทร์ เป็น
“ท่านพี่ ท่านยืนอยู่หน้าประตูทำไมหรือ? ท่านรีบเข้ามาสิ…”เยี่ยเป่ยเฉิงถูกนางลากเข้ามาในห้องทั้งที่ยังนิ่งๆ อยู่อย่างนั้นหลินซวงเอ๋อร์หมุนตัวไปอยู่ด้านหลังเขาอีกครั้ง และจะปลดเสื้อคลุมบนตัวเขาออก อาจจะเป็นเพราะง่วงเกินไป ปากนางเอาแต่หาวไม่หยุดจู่ๆ เยี่ยเป่ยเฉิงก็จับมือนางไว้ พลางหมุนตัว กอดนางไว้แน่นหลินซวงเอ๋อร์หยุดชะงักทุกอย่าง ขยี้ตาที่ง่วงงุน ก่อนถามเขาด้วยความนุ่มนวล “ท่านพี่ ท่านเป็นอะไรหรือ?”เยี่ยเป่ยเฉิงระงับความรู้สึก และกล่าวด้วยเสียงแหบพร้า “ขอโทษ ซวงเอ๋อร์ พี่ผิดสัญญา พี่ลืมวันสำคัญของเรา พี่ทำให้ซวงเอ๋อร์รอทั้งคืน…”เขากระชับกอดแน่นมาก หลินซวงเอ๋อร์หายใจไม่ค่อยออกเล็กน้อยกระนั้นนางไม่ได้ผละเขาออกแต่อย่างใด ตรงข้ามกลับเอื้มมือกอดเอวเขาตอบ และกล่าวปลอบ “ไม่เป็นไร ท่านพี่ไม่มาต้องมีเหตุผลแน่ ท่านพี่ยุ่งมากเลยใช่หรือไม่? ยุ่งจนลืมว่าเมื่อวานคือวันไหว้พระจันทร์ใช่หรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงตอบกลับ “อืม” เสียงเบา แขนยิ่งกระชับแน่น แทบอยากเอานางเข้าไปสิงในร่างของตัวเองหลินซวนเอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อย “ข้าเดาว่าต้องเป็นแบบนี้ ท่านพี่ไม่มาอย่างไม่มีเหตุผลแน่นอน แม้ไม่มา ท่านพี่ก
“ซวงเอ๋อร์ไม่โกรธพี่สักนิดเลยหรือ?” เยี่ยเป่ยเฉิงถามขึ้นมาอย่างทนไม่ไหวหลินซวงเอ๋อร์เงยหน้าด้วยความประหลาดใจ พลางถามเขากลับ “เหตุใดต้องโกรธด้วย? ท่านพี่ไม่ได้ตั้งใจผิดนัดเสียหน่อย ท่านพี่มีเรื่องเร่งด่วนต้องจัดการ อีกอย่าง ตอนนี้ท่านพี่ก้กลับมาแล้วไม่ใช่หรือ?”“ซวงเอ๋อร์…” เยี่ยเป่ยเฉิงหัวใจเต้นแรง ก่อนขานเรียกนางอย่างอดใจไม่ไหว“หืม?”หลินซวงเอ๋อร์ยังคงเป่าฝ่ามือให้เขาเบาๆ ด้วยกลัวว่าการตีเมื่อครู่จะทำให้เขาเจ็บจริงๆ “ต่อไปพี่จะไม่ผิดสัญญากับเจ้าอีกแล้ว…”วาจาเขาหนักแน่นมาก แววตาที่มองนางทั้งล้ำลึกทั้งลึกซึ้งหลินซวงเอ๋อร์ยิ้มออกมา ลักยิ้มบนแก้มเผยออกมาอีกครา “ได้สิ งั้นลงโทษครั้งต่อไปท่านต้องซื้อน้ำตาลปั้นให้ข้าสองอันนะ ”“ได้”เยี่ยเป่ยเฉิงโล่งใจในที่สุดเขารู้ ซวงเอ๋อร์ของเขานิสัยดีมาก ไม่เคยโวยวายไร้เหตุผลเลยสักนิด กระทั้งไม่ต้องให้เขาง้อทุกวิธีนิสัยของนางเหมือนกับกระต่ายนอบน้อม ซึ่งอ่อนโยนกับเขาตลอดไปจู่ๆ ก็รู้สึกว่าเอวมันโล่งๆ เยี่ยเป่ยเฉิงถึงได้นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงถามนางทันที “ถุงกระเป๋าที่ซวงเอ๋อร์ปักให้พี่ล่ะ?”หลินซวงเอ๋อร์ถาม “อยู่ใต้หมอน ท่านพี่จะสวมตอนนี้เลยหรื
หลังจากได้ลิ้มลองคร่าวๆ คล้ายกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ก็ยิ่งควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่ริมฝีปากนางอ่อนนุ่มน่าดึงดูด ขยับไหวราวกับกลีบดอกไม้ละเอียด รสชาติที่ลิ้มลองในปากยังมีความหวานบางเบา ทำเอาใครต่อใครอยากแนบชิดใกล้ขึ้นอีกอย่างทนไม่ได้เยี่ยเป่ยเฉิงค่อยๆรั้งอีกฝ่ายเข้าอ้อมอก ดวงตาจดจ้องนางอย่างละเอียด ก่อนค้นพบว่าต่อให้จ้องมองแค่ไหนก็ไม่เพียงพอขนตาของนางทั้งยาวทั้งแพหนา สั่นระริกเบาๆราวกับปีกนกตามลมหายใจยามหลับผิวพรรณนางขาวลเอียดดุจหิมะ ยามเขินอายมักขึ้นริ้วแดงระเรื่องเห็นชัด ทำเอาคนมองอยากกัดสักครั้งปอยผมเส้นละเอียดกระจายบนหมอน ผมทุกเส้นส่งกลิ่นหอมจางๆ เยี่ยเป่ยเฉิงอดยื่นมือเกี่ยวปอยผมขึ้นมาดอมดมเสียไม่ได้นางหอมจริงๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้าหอมละเมียดทั้งสิ้นซวงเอ๋อร์ของเขางดงามยิ่ง ทั้งหอมทั้งอ่อนนุ่ม......เยี่ยเป่ยเฉิงมองนาง ก่อนความคิดบางอย่างพลันผุดขึ้นอยากกอดนางเช่นนี้ไปชั่วชีวิต ไม่ปล่อยนางไปชั่วนิรันดร์สุดท้าย สายตาเขาจึงหยุดลงที่ริมฝีปากเล็กของนาง ริมฝีปากที่ถูกเขาบรรจงจูบชุ่มชื้น ยิ่งดูอ่อนโยนน่าทะนุถนอม......เยี่ยเป่ยเฉิงไม่ทนอีกต่อไป เขาโน้มตัวดูดดุนริมฝีปากนางนา
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก