เยี่ยเฉิงเป่ยกล่าว “เป็นไปได้อย่างไร ข้าจะไปชอบผู้อื่นได้อย่างไร แต่ไหนแต่ไรข้าก็ชอบแต่ซวงเอ๋อร์เพียงผู้เดียว”เขากลัวหลินซวงเอ๋อร์จะไม่เชื่อ จึงได้กล่าวต่อ “หากเจ้าไม่เชื่อจริงๆ ข้าจะสาบานให้เดี๋ยวนี้”“หากมีสักวันที่ข้านอกใจซวงเอ๋อร์จริง ขอสวรรค์ลงโทษให้ข้าไม่ตายดี ตกนรกหมกไหม้...”“อย่า” หลินซวงเอ๋อร์ปิดเขาเขาไว้ ไม่ยอมให้กล่าวต่ออีก“ข้าไม่ต้องการให้ท่านตาย คำสาบานนี้ไม่เป็นผล” หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนถือเรื่องเหล่านี้ ฉะนั้นหากมีสิ่งใดเกี่ยวข้องถึงความปลอดภัยของสามี นางจะไม่ยอมให้เขาพูดส่งเดชอีกเยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “ไม่เป็นผลได้อย่างไร เมื่อเอ่ยจากปากแล้ว ก็ต้องเห็นผลทั้งสิ้น”หลินซวงเอ๋อร์กล้าถกเถียงกับเขา “ไม่เป็นผล คำสาบานของท่านพี่ไม่เป็นผล”เยี่ยเป่ยเฉิงเห็นความจริงจังของนาง จึงได้ยอมตามใจ “ก็ได้ เมื่อซวงเอ๋อร์กล่าวว่าไม่เป็นผล เช่นนั้นก็ไม่เป็นผล ข้าจะสาบานให้ใหม่อีกครั้ง”หลินซวงเอ๋อร์กล่าวตอบ “ท่านอย่าได้สาบานอีกเลย แม่ข้าเคยบอกไว้ เหนือหัวเราขึ้นไปมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยดูอยู่ เรื่องบางอย่างจึงห้ามพูดส่งเดช”เยี่ยเป่ยเฉิงแสร้งมีท่าทีจริงจัง “แต่คำสาบานได้ออกไปแล้ว สิ่
ในค่ำคืนนี้ หลินซวงเอ๋อร์นอนหลับสนิท แทบจะไม่ฝันตลอดทั้งคืนเช้าวันรุ่งขึ้นพอตื่นขึ้นมา หลินซวงเอ๋อร์พลิกตัวไปโดยไม่รู้ตัว แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะพลิกไปยังอ้อมกอดของคนคนหนึ่งพอลืมตาขึ้นก็พบว่าเยี่ยเป่ยเฉิงกำลังใช้มือข้างเดียวพยุงศีรษะ สายตาลึกซึ้งจับจ้องนางอย่างไม่วางตา ไม่รู้ว่าเขามองนางอยู่นานเท่าไรแล้ว"ซวงเอ๋อร์ตื่นแล้วหรือ?" เยี่ยเป่ยเฉิงเอื้อมมือไปเกลี่ยเส้นผมที่หน้าผากของนางด้วยความอ่อนโยนหลินซวงเอ๋อร์ขยี้ตาและกล่าวว่า "ท่านจะไปค่ายทหารไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงยังไม่ไปเล่า?"นางยังคิดว่าเขาคงออกไปตั้งนานแล้ว เยี่ยเป่ยเฉิงเอ่ย "อยากอยู่กับซวงเอ๋อร์มากๆ หน่อย"หลินซวงเอ๋อร์กล่าว "ถ้าเช่นนั้นทำไมท่านถึงไม่ปลุกข้าเล่า?"เยี่ยเป่ยเฉิงเอ่ย "ข้าอยากให้ซวงเอ๋อร์ได้นอนหลับอย่างเต็มที่"ได้ฟังดงเหมยกล่าวว่า หลินซวงเอ๋อร์ไม่ได้หลับสนิทมาหลายวันแล้ว เยี่ยเป่ยเฉิงจึงรู้สึกปวดใจมาก เมื่อคืนเห็นนางหลับได้อย่างสบาย เขาจึงไม่อยากปลุกนางพอเห็นนางหลับจนตื่นขึ้นเอง เขาถึงได้เลิกผ้าห่มลุกจากที่นอนหลินซวงเอ๋อร์รีบลุกขึ้นช่วยเขาสวมเสื้อผ้า"ท่านจะไปเมื่อไร? จะกินอาหารเช้าในจวนไหม?" หลินซวงเ
เยี่ยเป่ยเฉิงเห็นหลินซวงเอ๋อร์รับประทานอาหารได้นิดเดียว จึงเอ่ยถามด้วยความห่วงใย "อาหารไม่ถูกปากหรือ?"หลินซวงเอ๋อร์วางชามและตะเกียบลงและกล่าวว่า "ช่วงนี้ไม่ค่อยเจริญอาหาร กินอะไรก็ไม่ลง..."เยี่ยเป่ยเฉิงก็วางชามลงเช่นกัน ยื่นมือไปสัมผัสหน้าผากของนาง พบว่านางไม่มีอาการผิดปกติและไม่ได้มีไข้ตัวร้อนเมื่อคิดถึงสิ่งที่ตงเหมยกล่าว ตอนกลางคืนหลินซวงเอ๋อร์มักนอนหลับไม่สนิท มักจะฝันจนตื่นกลางดึก เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกไม่สบายใจจึงกล่าว "เดี๋ยวข้าจะหาหมอมาดูอาการซวงเอ๋อร์ ว่าเจ้าป่วยจริงหรือไม่"ทันใดนั้น เสียงหญิงสาวจากนอกห้องก็แทรกดังขึ้นมา"ท่านอ๋องยังจะหาหมออีกทำไม? ข้าก็คือหมอที่พร้อมให้บริการอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?"หลินซวงเอ๋อร์หันไปตามเสียง พบว่าเป็นเจียงหว่านที่เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มเจียงหว่านเหลือบมองไปที่หลินซวงเอ๋อร์ จากนั้นก็เดินตรงไปหาเยี่ยเป่ยเฉิง กล่าวว่า "ท่านอ๋องยังต้องการหมออยู่หรือ? ไม่เชื่อในฝีมือของข้าหรือ?"เยี่ยเป่ยเฉิงทำสีหน้าท่าทีเฉยชา กล่าวเสียงเรียบ "เจ้ามาที่นี่ทำไม? ข้าไม่ได้ให้เจ้าอยู่ที่ค่ายทหารหรือ?"เจียงหว่านเอ่ยว่า "ข้าก็เป็นห่วงแม่นางหลินสภาพร่างกายไม่ค่อยด
ตัวอักษรเยี่ยที่หลินซวงเอ๋อร์เขียนแตกต่างจากคนอื่น นางมักจะลืมว่าต้องมีจุดตรงกลางอยู่เสมอ เยี่ยเป่ยเฉิงสอนนางมาหลายครั้ง แต่นางก็ยังจำไม่ได้ตอนแรกที่นางส่งกระเป๋านี้ให้เขา เยี่ยเป่ยเฉิงก็สังเกตเห็นว่าตรงกลางตัวอักษร "เยี่ย" ขาดจุดไปแต่อักษร "เยี่ย" ที่อยู่บนกระเป๋าตอนนี้ แม้ว่าลายมือจะคล้ายกับที่หลินซวงเอ๋อร์เขียน แต่กลับมีจุดตรงกลางนี่ไม่ใช่กระเป๋าที่หลินซวงเอ๋อร์มอบให้เขาในตอนแรก!เยี่ยเป่ยเฉิงจึงถึงบางอ้อทันที เข้าใจว่าทำไมนางถึงมีท่าทีแปลกๆ ในวันนี้ที่แท้ นางดูออกตั้งนานแล้วว่า กระเป๋านี้ไม่ใช่ใบนั้นที่นางให้เขา!เมื่อนึกถึงสายตาที่นางส่งเขาอย่างเงียบๆขณะยืนอยู่ที่หน้าประตูจวน เยี่ยเป่ยเฉิงก็เข้าใจทั้งหมดในพลันใด นางคงคิดว่าเขารับกระเป๋าจากแม่หญิงคนอื่นแล้วแน่นอน!เขานี่แย่จริงๆ ที่เพิ่งมาสังเกตเห็น!"หยุดรถ!" เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วแน่น และยังไม่ทันรอให้รถหยุด เขาก็กระชากม่านเกี้ยวและเดินกลับไปอย่างรวดเร็วในขณะนั้น หลินซวงเอ๋อร์เห็นว่ารถม้าของเยี่ยเป่ยเฉิงไปแล้ว จึงเตรียมที่จะหันหลังกลับเข้าจวน"ซวงเอ๋อร์!" แต่แล้วเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากด้านหลัง พอนางหันไปก็พบว
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า "ดี อย่าลืมใส่สมุนไพรอ้ายเฉ่าลงไปด้วยนะ"หลินซวงเอ๋อร์เอ่ย "ท่านชอบสมุนไพรอ้ายเฉ่าหรือ?"เยี่ยเป่ยเฉิงตอบ "ไม่ชอบ แต่สมุนไพรอ้ายเฉ่าทำให้ข้าอยู่ใกล้ซวงเอ๋อร์มากขึ้น"ถึงแม้หลินซวงเอ๋อร์ฟังแล้วไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ถามต่อ พยักหน้าและกล่าวว่า "ได้ ซวงเอ๋อร์จะจำไว้"เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว "อีกไม่กี่วันก็ถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว ในช่วงนี้ข้าอาจจะยุ่งมาก แต่เทศกาลไหว้พระจันทร์จะกลับมาอยู่กับซวงเอ๋อร์"หลินซวงเอ๋อร์ยิ้มตาเป็นประกาย ราวกับดวงดาวในท้องฟ้ากว้าง นางกล่าว "ได้ ซวงเอ๋อร์จะมอบกระเป๋าที่ปักให้กับท่านในเทศกาลไหว้พระจันทร์"เยี่ยเป่ยเฉิงยิ้มที่มุมปาก "ได้ ถึงตอนนั้นข้าจะโคมไฟดอกบัวเป็นเพื่อนซวงเอ๋อร์ ไปล่องเรือในทะเลสาบ และซื้อโคมไฟสวยๆ มากมายให้กับซวงเอ๋อร์""อีกทั้งยังมีตุ๊กตาน้ำตาล ซวงเอ๋อร์จะเอาตุ๊กตาน้ำตาลที่ใหญ่ที่สุดและสวยที่สุด"เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม "ได้สิ ซวงเอ๋อร์จะกินเยอะเท่าไรก็ได้"หลินซวงเอ๋อร์กลัวเขาจะเปลี่ยนใจ จึงเอ่ยย้ำว่า "ต้องเป็นหงส์ที่ใหญ่และสวยที่สุด ซวงเอ๋อร์ไม่ชอบหัวหมูนะ"เยี่ยเป่ยเฉิงกลั้นไม่ได้จึงหัวเราะไม่หยุด "ได้ ไม่ซื้อ
พอได้รับคำมั่นสัญญาจากเยี่ยเป่ยเฉิง หลินซวงเอ๋อร์ก็ตั้งตารอคอยวันไหว้พระจันทร์อย่างใจจดใจจ่อนางได้ปักกระเป๋าให้เยี่ยเป่ยเฉิงอีกครั้ง โดยทำให้มีความงดงามมากกว่าครั้งก่อน นางปักด้วยความประณีต ทุกเข็มทุกด้ายที่ใช้ล้วนใส่ใจเป็นพิเศษ ท้ายสุดนางก็ใส่สมุนไพรอ้ายเฉ่าลงไปในกระเป๋าจนเต็ม เพียงเพราะเยี่ยเป่ยเฉิงบอกว่าเขาชอบ...อาจจะเป็นเพราะอารมณ์ที่ดีขึ้น ทำให้นางมีความอยากอาหารที่ดีขึ้นเช่นกัน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะยาที่เจียงหว่านปรุงให้นั้นได้ผลจริงๆ นางไม่ฝันร้ายในยามหลับอีกแล้ว เพียงแต่บางครั้งก็รู้สึกใจเต้นแรง ความรู้สึกแบบนี้ มันทำให้หัวใจของนางเหมือนถูกเข็มทิ่มแทงเป็นครั้งคราว เจ็บแบบแปล๊บๆซึ่งความเจ็บปวดนั้นมักจะมาเร็วและจากไปเร็ว อีกทั้งเวลาเจ็บก็ไม่แน่นอนเหมือนกัน แค่เจ็บโดยไม่ตั้งใจจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ หลินซวงเอ๋อร์จึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก นางคิดว่ารอให้เสิ่นป๋อเหลียงกลับมาก่อน ค่อยให้เขาตรวจดูให้วันหนึ่ง หลินซวงเอ๋อร์กำลังเล่นกับต้าหู่ในเรือนแต่ต้าหู่กลับไม่มีอารมณ์สนใจเลย ไม่ว่านางจะหยอกล้ออย่างไร ต้าหู่ก็ดูเหมือนจะไม่มีปฏิกิริยามากนัก เพียงแค่เปิดตามองนางเป็นครั้งคราว ส่วนที่เหลื
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ยังหาคนที่จะสืบข่าวไม่ได้ คนเดียวที่นึกออกก็คือเยี่ยเป่ยเฉิงช่างเถอะ รอถึงวันไหว้พระจันทร์ พอได้พบเยี่ยเป่ยเฉิง นางก็จะขอร้องให้เขาไปสืบข่าวของฮุ่ยอี๋ให้ หากมีโอกาส ก็พานางออกมาเที่ยวนอกวังด้วยไม่ได้พบกันนาน นางเองก็คิดถึงฮุ่ยอี๋เหลือเกิน......เจ็ดวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันไหว้พระจันทร์ก็มาถึงในพริบตาค่ำคืนนั้น แสงไฟพร่างพราวทั่วทุกครัวเรือน สว่างไสวตระการตา ตลอดทั้งถนน โคมไฟหลากสีสันถูกแขวนประดับ ดอกไม้ไฟเรืองรองสลับสีสัน งดงามจนมิอาจบรรยายได้ท่ามกลางผู้คนที่เนืองแน่นบนท้องถนน หญิงสาวคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่ที่หัวสะพาน ราวกับเป็นภาพวาดที่มีชีวิต ดึงดูดสายตาผู้คนที่เดินผ่านไปมานางสวมชุดกระโปรงยาวผ้าแพรสีฟ้าอ่อน คลุมทับด้วยเสื้อคลุมผ้าโปร่งสีขาว เผยให้เห็นเส้นสายลำคออันงดงามและไหปลาร้าที่ชัดเจนชายกระโปรงไหลลื่นดั่งแสงจันทร์ทอดลงบนพื้น ผมยาวสลวยถูกรวบไว้ด้านหลังด้วยปิ่นหยกขาวเพียงอันเดียว ปล่อยผมเส้นบางๆ ตกลงมาที่หน้าอก ยิ่งเพิ่มความอ่อนหวานนางแต่งหน้าบางเบา แก้มแดงระเรื่อขับผิวให้ดูนุ่มนวลน่ารักดั่งกลีบดอกไม้ โดดเด่นที่สุดคือดวงตากลมโตเป็นประ
กลัวว่าเยี่ยเป่ยเฉิงจะรอนาน หลินซวงเอ๋อร์จึงมาถึงแต่เนิ่นๆ โดยที่ยังไม่ทันได้ทานอาหารเย็นก็มาแล้ววันที่จากกันครั้งก่อน นางได้บอกเยี่ยเป่ยเฉิงว่า ในวันไหว้พระจันทร์นี้ นางจะรอเขาที่หัวสะพานถนนฉางอานด้วยกลัวว่าเขาจะมาแล้วหานางไม่เจอ หลินซวงเอ๋อร์จึงยืนรออยู่ที่เดิม ไม่กล้าขยับไปไหนแม้แต่ก้าวเดียวแต่นางรออยู่นาน กระนั้นก็ยังไม่เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงมาเสียทีสายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดเอื่อยๆ หลินซวงเอ๋อร์สวมเสื้อผ้าบางเบา เมื่อลมพัดกระทบร่างของนาง นางจึงรู้สึกหนาวเล็กน้อยตงเหมยรอจนหมดความอดทน กวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะถูกดึงดูดด้วยการแสดงกายกรรมที่ริมถนน“พระชายา พวกเราไปดูการแสดงกายกรรมกันเถอะเจ้าค่ะ” ตงเหมยยืนอยู่ตรงนี้มองไม่ชัด จึงอยากจะลากหลินซวงเอ๋อร์ไปดูด้วยกันถนนฉางอานจะคึกคักที่สุดก็ในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ของทุกปีหลินซวงเอ๋อร์ไม่ยอมไป นางกล่าวว่า “แต่ท่านพี่ยังไม่มา ข้าบอกว่าจะรอเขาที่นี่”ตงเหมยเบ้ปาก แล้วมองไปที่ร้านขายตุ๊กตาน้ำตาลข้างๆ กล่าวว่า “พระชายา พวกเราไปซื้อตุ๊กตาน้ำตาลกันเถอะเจ้าค่ะ ท่านอยากกินมันมากไม่หรอกหรือ?” หลินซวงเอ๋อร์ส่ายหน้า กล่าวว่า “ข้าจะรอท่านพี่มาก่
วันที่เจียงหว่านกำลังจะถูกเนรเทศ ในที่สุดเจียงเช่อก็มาหาถึงหน้าประตูเขาคุกเข่าเบื้องหน้าเยี่ยเป่ยเฉิง เว้าวอนขอเยี่ยเป่ยเฉิงปล่อยเจียงหว่านไปขณะที่เดินทางมา เขารับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วเจียงหว่านลอบวางยาพระชายาเยี่ย ใช้ประชาชนที่ติดโรคทดลองยา เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ ผลาญชีวิตคนดุจผักดุจปลา นับเป็นอาชญากรรมอันชั่วร้ายที่สุด......แต่ไม่ว่าอย่างไร เจียงหว่านก็เป็นน้องสาวเขา เป็นคุณหนูหนึ่งเดียวของตระกูลเจียง เจียงเช่อมิอาจนั่งนิ่งดูดาย ปล่อยให้นางไปตายได้“ขอร้องท่านอ๋องไว้ชีวิตนางเถิด เป็นเพราะข้าตามใจนางจนเสียคน หากท่านอ๋องจะลงโทษ โปรดลงที่เจียงเช่อเถิดพะยะค่ะ”เมื่อเห็นเจียงเช่อ สายตาสิ้นหวังของเจียงหว่านพลันมีประกายความหวังขึ้น“พี่......ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากไปแดนเถื่อน ข้าอยากกลับบ้าน ท่านพี่ช่วยข้าด้วย......”เจียงเช่อขมวดคิ้วเขม็งจ้องเจียงหว่าน สายตาแฝงเร้นด้วยแววเกยีดชังเข้าไส้เขารู้ว่าเจียงหว่านต้องโทษตาย ยามนี้แค่เนรเทศ ถือว่าเมตตามากแล้ว แต่เขาเองก็รู้ว่า สถานที่อย่างแดนเถื่อนนั้น มิใช่สถานที่ที่สตรีตัวคนเดียวจะไปได้ การเนรเทศนางไปที่นั่น เท่ากับส่งนางไปขุมนร
“เลือดของนาง...”เจียงหว่านสีหน้าตกตะลึงตอนนั้น ตอนที่ฮุ่ยอี๋มอบยาถอนพิษใส่ในมือนาง นางเคยเอาทิ้งไว้หลายขวด เดิมทีคิดศึกษาส่วนผสมในนั้น ทว่าด้านในกลับมีส่วนผสมยาเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือเลือดมนุษย์...แรกเริ่ม นางคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล! กระทั่งยามนี้นางถึงได้เชื่อความจริง ส่วนประกอบของยานั้น มีเพียงเลือดมนุษย์จริงๆ! ทั้งยังเป็นเลือดของหลินซวงเอ๋อร์! เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ในที่สุดนางก็เข้าใจ!มิน่า...ตอนนั้น นางใช้ยาปริมาณมาก แต่กลับไม่อาจทำให้หลินซวงเอ๋อร์ถึงตาย! ไม่คิดว่าเลือดของนางจะขจัดพิษในร่างนางโดยมองไม่เห็น...ฮุ่ยอี๋เอ่ย “เจ้ายังมีหน้าพูดว่าไม่ได้ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาอีก! เจียงหว่าน เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้าวางยาซวงเอ๋อร์อย่างไร? เสด็จอาให้อภัยเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ข้าไม่มีวันเกรงใจเจ้า!”คำพูดนี้สองแง่สองง่าม เห็นชัดว่ากำเย้ยหยันเยี่ยเป่ยเฉิงที่ดึงหมาป่าเจ้าเล่ห์เข้าบ้าน!เยี่ยเป่ยเฉิงตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ไร้ซึ่งแรงโต้กลับยามนี้ เขามิอาจชำระคืนได้ ซวงเอ๋อร์ของเขาไม่มีวันกลับมาอีกต่อไป!สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คือทำให้เจียงหว่านชดใช้อย่างสาสมที่สุด ส่วนตัวเขา ชีวิตที่
เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาที่มองเจียงหว่านเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง ไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิดเขาอยากฆ่านางตั้งนานแล้ว ที่ปล่อยนางรอดมาจนถึงตอนนี้ ก็แค่อยากให้นางได้รับความทรมานจนตายบัดนี้เห็นนางตกยากเช่นนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงกลับรู้สึกว่าบทลงโทษแค่นี้ยังมิพอเจียงหว่านถูกทรมานจนเหมือนตายดีกว่าอยู่มานานแล้ว นางรู้ เยี่ยเป่ยเฉิงไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ หลังจากคิดดูแล้ว หากตายด้วยน้ำมือของเยี่ยเป่ยเฉิงได้ ก็คงจะดีกว่าตอนนี้ ที่ดูดซับยาเข้าสู่ร่างกายทุกวัน ถูกฝันร้ายหลอกหลอนทุกคืนสุดท้ายก็ไม่สามารถหนีจากพิษและเสียชีวิตลงได้!อย่างไรก็ตาย มิสู้ให้เยี่ยเป่ยเฉิงจบชีวิตนางด้วยมือเขาเอง!เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็ยิ้มเยาะ จงใจกล่าวยั่วยุเขา “เยี่ยเป่ยเฉิง เจ้ามีฝีมือแค่นี้หรือ? แน่จริงก็ฆ่าข้าไปเลยสิ!”“ฆ่าข้าให้มันจบๆ ไปเสีย!”เยี่ยเป่ยเฉิงปรายตามองนาง พลางกล่าวอย่างเย็นชา “ตอนนั้น เจ้าก็ทรมานซวงเอ๋อร์เช่นนี้!”เจียงหว่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วอย่างไร!”“ลูกในท้องนางข้าก็เป็นคนทำร้ายเอง! ร่างกายอ่อนแอแบบนั้นของนางต่อไปจะตั้งครรภ์ไม่ได้อีกแล้ว!”“ที่นางฝันร้ายทุกคืน ก็เป็นข้าที่ทำเอง
หลายสิบปีมานี้ นางทำเรื่องชั่วมานับไม่ถ้วน ทุกเรื่อง นางจิตใจสงบ ไม่เคยรู้สึกผิดเลยมีเพียงเจียงหลิง…มีเพียงการตายของเจียงหลิง ทำให้นางยากจะข่มตานอนได้…ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในฐานะคุณหนูรอง เจียงหว่านไม่เป็นที่ชื่นชอบของพ่อแม่มาตลอด พี่ชายก็ยิ่งไม่สนใจนาง ทว่าเจียงหลิงกลับได้รับความรักมากมาย…นางอิจฉาเจียงหลิง และแทบอยากทำให้อีกฝ่ายหายไปจากโลกใบนี้แต่เจียงหลิงกลับรักเอ็นดูนางมาตั้งแต่ต้นจนจบ ปกป้องนาง มอบของที่ดีที่สุดในโลกใบนี้ให้แก่นาง…เจียงหลิงเป็นพี่สาวที่ดีต่อนางที่สุดบนโลกใบนี้…ทว่าที่นางต้องการหาใช่แค่พี่สาวอย่างเดียว นางต้องการความรักของทุกคน นางต้องการให้พ่อแม่ พี่ชายรกนางแค่คนเดียว นางอยากครอบครองของที่ดีที่สุดไว้กับตัวเอง ไม่ใช่รอให้คนอื่นมอบให้!ดังนั้น ในคืนวันหิมะตก นางผลักเจียงหลิงตกน้ำ มองนางจมตายทั้งเป็นอยู่ใต้น้ำ หลังจากนั้นนางก็ติดวันเกิดเวลาเกิดของเจียงหลิงบนตุ๊กตาคุณไสย แทงเธอทุกวัน สวดภาวนาทุกคืน นางต้องการให้เจียงหลิงไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิด ไม่หวนกลับมาตลอดกาล!เพราะมีเพียงแค่ทำแบบนี้ นางถึงจะไม่มีโอกาสแก้แค้นตัวเอง!แต่ทำไม…ทำไมตอนนี้นางถึงยังหาตัวเอง
ยาซึมเข้าสู่ร่างกายติดกันหลายวันทำให้เจียงหว่านค่อยๆ เป็นบ้าในห้องที่ปิดสนิท เจียงหว่านหดตัวอยู่บนพื้นเหมือนดินโคลนตัวนางเหม็นมาก ชุดกระโปรงสีรากบัวเปลี่ยนเป็นสกปรกและเก่าองครักษ์ทำให้เส้นเอ็นมือของนางขาด ตรงบาดแผลถูกทาขี้ผึ้งปิดแผลชั้นแล้วชั้นเล่าแม้ขี้ผึ้งปิดแผลจะเป็นยาสำหรับปกปิด ทว่ากลับมีผลดีต่อการหยุดเลือดบาดแผลแข็งตัวจนกลายเป็นสะเก็ดไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้รับการรักษาที่ดีกว่านี้ แม้จะดีขึ้นก็ยังเหลือรอยแผลเป็นอัปลักษณ์เอาไว้ธูปในห้องไม่เคยลดลงเลยทั้งวัน ประกอบกับกระกระตุ้นของต้นคลีเวีย ความคิดต่ำช้าที่อยู่ในตัวนางแทบจะถูกกระตุ้นออกมาทั้งหมดสองตานางแดงก่ำ ดูฉุนเฉียวไม่น้อย กรีดร้องโวยวายอยู่ในห้อง ประหนึ่งคนบ้าคนหนึ่งองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องไม่สนใจนางสักนิด ได้แต่ทรมานนางไม่ให้นางตายทุกวันความเคียดแค้นฉายออกมาจากในตาเจียงหว่าน เวลานี้ นางได้ปล่อยว่างความหลงใหลต่อเยี่ยเป่ยเฉิงแล้ว ไม่ว่าจะรักมากขนาดไหนก็แปรเปลี่ยนเป็นความชิงชังเข้ากระดูก“เยี่ยเป่ยเฉิง! ปล่อยข้ากลับไป! ปล่อยข้ากลับไปสิ!”“แน่จริงก็ฆ่าข้าเลยสิ!ฆ่าข้าให้มันจบๆ ! ท่านมีสิทธิ์อะไรมาขังข้าไว้เช่นนี
“ได้ยินว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเจ้าเสียไปนานแล้ว แล้วเจ้ากับพี่ชายอยู่มาได้อย่างไร?”“แล้วเหตุใดเจ้าจึงขายตัวไปเป็นบ่าวไพร่? หลายปีมานี้ เจ้าคงผ่านความลำบากมิใช่น้อย เคยถูกใครรังแกหรือไม่?”หลินซวงเอ๋อร์พลันเกิดความขมขื่นในจิตใจเดิมที หากไม่เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ นางยังพออดทนได้บ้าง แต่เมื่ออวี๋หว่านหนิงถามขึ้นมา นางก็อดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเสียมิได้นางเม้มปากพลางจ้องมองนิ้วมือตนเอง น้ำตาเริ่มเอ่อล้น พร้อมหยดแหมะลงหลังมือทีละหยดนางอยู่สบายหรือไม่?นางเคยถามตนเองอยู่เช่นกันหลายปีมานี้ นางผ่านเรื่องราวมากมาย สูญเสียบิดามารดา สูญเสียพี่ชายไป กลายเป็นเด็กกำพร้าที่ไร้ญาติขาดมิตรโดยแท้แต่หากคิดดีๆ ชีวิตนางก็เคยอยู่สุขสบายมาช่วงหนึ่งนั่นคือตอนอยู่กับเยี่ยเป่ยเฉิง นางมีความสุขจริงๆในตอนนั้น เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นกำลังใจให้นาง ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ หาของดีมาให้กิน สอนนางเรียนหนังสือ พาไปเดินเล่นท่องทะเลสาบ ให้ความรักต่อนางอย่างชนิดไร้ผู้เทียบเทียม...ในเวลานั้น นางมีความสุขเหลือล้น เป็นความสุขมากที่สุดในชีวิต แม้แต่ฝันก็ยังเป็นฝันหวาน...แต่ต่อมา ทุกอย่างกลับแปรเปลี่ยน ก่อนหน้านี้เคยสุ
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลินซวงเอ๋อร์แทบชะงักงันไปที่บั้นเอวนางมีปานแดงรูปเสี้ยวจันทร์จริงๆ ท่านแม่บอกว่า มันมีติดตัวมาตั้งแต่นางเกิด เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่บั้นเอว จึงมีน้อยคนที่จะรู้เรื่องนี้“ท่าน...คือแม่ของข้าจริงหรือ?” หลินซวงเอ๋อร์หัวใจเต้นแรง ขอบตาแดงเรื่อขึ้นอวี๋หว่านหนิงยื่นมือมาจับมือของนางไว้ พลางกล่าวเสียวเศร้า “ซวงเอ๋อร์ ข้าคือแม่เจ้าจริงๆ หลายปีนี้ทำให้เจ้าลำบากนัก...”แม่นมซุนอยู่ด้านข้างพลางกล่าวเสริม “องค์หญิง นางคือเสด็จแม่ของท่านจริงๆ หลายปีมานี้ ฮองเฮาไม่เคยเลิกราในการตามหาท่าน เพียงแต่ภาคกลางกว้างขวางนัก พวกท่านเองก็ข่าวคราวเงียบหาย หลายปีนี้ พวกท่านลำบากก็จริง ฮองเฮาก็ไม่ได้สุขสบายใจ...”หลินซวงเอ๋อร์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ พลันหันไปมองอวี๋หว่านหนิงแล้วกล่าว “ที่จริง ข้าไม่เคยตำหนิท่านเลย เพียงแต่บางครั้งก็เคยคิด ว่าท่านแม่จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้หรือไม่”“ตอนยังเป็นเด็ก ข้าเคยคาดหวังให้นางมาหาบ้าง แต่พอโตขึ้นก็ไม่เห็นนางมาเสียที ข้าจึงภาวนาให้นางอยู่ดีมีสุขแทน แม้จะไม่ได้พบหน้า แต่ขอให้นางยังมีชีวิตอยู่ เป็นความคิดถึงในใจก็เพียงพอแล้ว...”
อวี๋หว่านหนิงรับเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา พลันเกิดความตื้นตันจนไม่รู้ตอบอย่างไรดีทันใดนั้น แม่นมซุนเดินขึ้นมาพร้อมกล่าว “องค์หญิง ที่นี่คือวังหลวงแห่งเป่ยหรง ฮองเฮาทรงตามหาท่านมานาน ทุ่มแทแรงกายแรงใจไม่น้อยกว่าจะหาพบ...”“องค์หญิง?” หลินซวงเอ๋อร์นึกว่าตนหูฝาดไป “ท่านเรียกข้าอยู่หรือ?”นางกล่าวตอบ “พวกท่านจำคนผิดหรือเปล่า ข้าไม่ใช่องค์หญิง ข้าคือหลินซวงเอ๋อร์ต่างหาก”นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง เติบโตมาจากชนบทแร้นแค้น เป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยผู้หนึ่งเท่านั้นองค์หญิงอะไรกัน ยังมีวังเป่ยหรงอีก แล้วใครคือฮองเฮา?พวกนางคงจำคนผิดเป็นแน่แม่นมซุนกล่าวตอบ “ไม่ผิดเจ้าค่ะ ไม่มีผิดแน่นอน ท่านก็คือองค์หญิงของเรา องค์หญิงที่พลัดพรากจากฮองเฮาไป...”หลินซวงเอ๋อร์คล้ายกับยังมึนงงอยู่ ความคิดนางเกิดความสับสน ปวดหัวเป็นอย่างมากแม่นมซุนอธิบายต่อ “สมัยที่อดีตฮ่องเต้สวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ราชสำนักเป่ยหรงเกิดความวุ่นวาย ตอนนั้นฮองเฮายังมีฐานะเป็นเพียงพระชายาแห่งรัชทายาท นางเสี่ยงอันตรายให้กำเนิดแฝดชายหญิงคู่หนึ่ง เพื่อปกป้องชีวิตของพวกท่านไว้ จึงให้คนสนิทส่งพวกท่านออก
หลินซวงเอ๋อร์เปลือกตากระตุกเล็กน้อย นางก็อยากตื่น แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจตื่นขึ้นมาหน้าอกคล้ายถูกกรีดจนเป็นแผลเหวอะหวะ เหงื่อเย็นในตัวไหลพราก ลำคอคล้ายถูกงูพิษตัวหนึ่งรัดไว้ ยิ่งรัดก็ยิ่งแน่น จนนางใกล้จะหายใจไม่ออกข้างโสตนั้น ได้ยินเสียงคุ้นหูประเดี๋ยวไกลประเดี๋ยวใกล้ ถัดจากนั้น คล้ายมีมืออ่อนโยนลูบไล้ใบหน้านางเบาๆ“เด็กดี หมดเรื่องแล้ว เจ้าปลอดภัยดีแล้ว รีบตื่นมาเถิด ตื่นมาเร็วเข้า...”หลังจากได้ยินเสียงนั้นชัดเจนมากขึ้น ลำคอที่ถูกรัดแน่นก็ค่อยๆ คลายออก นางลืมตาช้าๆ ภาพเบื้องหน้าจากพร่ามัวจนกลายเป็นชัดเจน สิ่งแรกที่เข้าสู่ม่านตาก็คือม่านคลุมเตียงสีม่วงที่อยู่เหนือศีรษะขึ้นไป คล้ายเป็นภาพฝัน เสมือนเป็นแหยักษ์ที่ถูกเหวี่ยงลงมา เพื่อคลุมตัวนางให้อยู่ตรงกลางเตียงนี้เป็นเตียงที่สวยงาม จนแม้แต่เสาเตียงก็เป็นลวดลายที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน หัวเตียงนอกจากจะแกะสลักลายดอกไม้แล้วยังฝังด้วยหยกเจียระไนงดงามและพลอยล้ำค่าอีกชั่วขณะนั้น นางรู้สึกมึนงงยิ่งนี่มันเป็นที่ไหนกัน?“ซวงเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกตัวแล้วรึ?” จนกระทั่งข้างหูได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง นางจำได้ว่าตอนอยู่ในความฝัน ได้ยินเสียงนี้จนคุ