มือของเยี่ยเป่ยเฉิงนั้นใหญ่มาก มือของหลินซวงเอ๋อร์ทั้งนุ่มและเล็ก เมื่อฝ่ามือกว้างโอบมือของนางไว้แน่น หลินซวงเอ๋อร์ก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งตรงมาจากฝ่ามือของเขาฝ่ามือของเขาอบอุ่น แม้จะร้อนไปสักหน่อย เเต่ก็ยังเทียบกับก็เทียบกับคนเย็นชาเช่นเขาไม่ได้ทว่าหลินซวงเอ๋อร์สัมผัสได้ถึงการรับมือได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นสถานะที่แตกต่างกันระหว่างทั้งสองหรือเหตุผลอื่น ๆ นางก็มักจะรู้สึกเสมอว่าพฤติกรรมของเยี่ยเป่ยเฉิงนั้นดูไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลสักเท่าใดนักหลินซวงเอ๋อร์พยายามขัดขืน แต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นได้เมื่อสัมผัสได้ถึงการต่อสู้ขัดขืนของนาง เยี่ยเป่ยเฉิงไม่เพียงแต่ไม่ปล่อยมือเท่านั้น แต่ยังกระชับมือของเขาให้แน่นขึ้นอีกด้วย“ถ้าเจ้าขัดขืนอีกครั้ง ข้าไม่อาจรับรองได้หรอกนะว่าในครั้งต่อไปจัดมีเรื่องบ้าบออะไรเกิดขึ้นกับเจ้าได้อีกหรือไม่”น้ำเสียงของเขาดูสงบ แต่ทุกคำพูดที่เอื้อนเอ่ยกลับแฝงท่าทีข่มขู่เอาไว้มันเกินขอบเขตจนไร้เหตุผลเสียจริงหลินซวงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะกล่าวต่อว่าในใจทว่านางก็ไม่อาจต้านทานท่าทางไร้ขอบเขตของเยี่ยเป่ยเฉิงได้ เช่นนั้นนางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายกระทำต
ในที่สุดเยี่ยเป่ยเฉิงก็หยิบตะเกียบขึ้นคีบอาหาร หลินซวงเอ๋อร์คิดว่าเมื่อเขาเริ่มกิน มันก็จะถึงเวลาที่นางจะใช้ตะเกียบได้แล้วใครมันจะไปคิดว่าอาหารที่เยี่ยเป่ยเฉิงคีบมันจะไปอยู่ในชามของนางโดยตรงหลินซวงเอ๋อร์มองเขาด้วยความประหลาดใจ ท่าทางของนางก็ดูตกตะลึงเล็กน้อย“ยังอยากกินอะไรอีกหรือไม่?” เยี่ยเป่ยเฉิงถามนางเมื่อครู่เขาเห็นนางเอาแต่จ้องมองรากบัวสามรสโดยไม่วางตา เยี่ยเป่ยเฉิงรู้ได้ทันทีว่านางคงอยากกินมันมาก เขาจึงคีบขึ้นมาสองสามชิ้นใส่ชามของอีกฝ่ายหลินซวงเอ๋อร์หยิบตะเกียบของตนขึ้นมา คีบรากบัวสามรสในชามเพื่อลิ้มลองรสชาติของมันเมื่อเข้าไปในปากก็สัมผัสได้ถึงรสเปรี้ยวหวาน นุ่มเหนียวถูกปาก หลินซวงเอ๋อร์หรี่ตาลงด้วยสีหน้าที่พึงพอใจไม่นานรากบัวในชามก็ถูกจัดการไปจนหมด นางเงยหน้าขึ้นอาหารจานอื่นบนโต๊ะ จู่ๆ นางก็อยากจะกินหมูสับปรุงรสต้มน้ำแดงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แต่มันอยู่ไกลเกินไปจนนางคีบไม่ถึงความผิดหวังปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง หลินซวงเอ๋อร์ได้แต่มองแล้วกลืนน้ำลายของตนลงคอไปใครจะไปคิดว่าวินาทีต่อมา ราวกับว่าเยี่ยเป่ยเฉิงจะสามารถอ่านความคิดของนางได้ เขาคีบหมูสับปรุงรสต้มน้ำแดงใส่ชามให้
เยี่ยเป่ยเฉิงมองทุกคนด้วยสายตาเย็นชา น้ำเสียงของเขาก็ยังแสดงถึงความไม่พอใจ "ใครรินเหล้าให้นาง"ทุกคนต่างพากันมองหน้ากันมีปกป้องจากเยี่ยเป่ยเฉิง ใครมันจะกล้ารินเหล้าให้แก่นางได้กัน?รองแม่ทัพมองดูแก้วเหล้าที่อยู่ตรงหน้าของหลินซวงเอ๋อร์จึงตระหนักได้ในทันที จากนั้นก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม "พวกเราไม่กล้าเทเหล้าให้เขาหรอก เด็กหนุ่มคนนี้หยิบจอกผิดและน่าจะดื่มเหล้าท่านอ๋องไปขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงมองไปที่จอกเหล้าที่อยู่ตรงหน้าเขา เหล้าที่ถูกเติมเอาไว้จนเต็มตอนนี้มันกลับว่างเปล่า นางดื่มมันเข้าไปจนไม่เหลือทิ้งเอาไว้สักหยดแม้แต่ชายชาตรีที่ไม่ได้มีทักษะในการดื่มหากดื่มเหล้าบุตรสาวเข้าไปก็ยังทนไม่ได้ แล้วคนเช่นนางมันจะไปเหลืออะไรทุกคนหัวเราะเสียงดัง ที่แท้มันก็เป็นความเข้าใจผิดกันก็เท่านั้นเองรองนายพลหวังขุ่ยมองดูจานถั่วที่เหลือแต่เศษบนโต๊ะ จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างติดตลกว่า "เจ้าหนุ่มนั่นกินถั่วจนหมดจานแล้ว กระหายก็คงหยิบเหล้าไปดื่ม ไม่ก็คงเผลอดื่มมันเข้าไปอึกใหญ่เอง”ทุกคนพากันระเบิดเสียงหัวเราะดังขึ้นมาอีกครั้งหลินซวงเอ๋อร์รู้สึกวิงเวียนและไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก เสียงดังที่อยู่รอบตั
หากไม่มีสายรัดตัว ร่างกายของหญิงสาวก็นุ่มนวลลง เยี่ยเป่ยเฉิงอุ้มนางเอาไว้ในอ้อมแขนของเขา ซึ่งมันก็รู้สึกเบาหวิวราวกับผ้าฝ้ายมือของเยี่ยเป่ยเฉิงจับไปที่เอวของนางโดยไม่รู้ตัว ช่วงเอวที่อ่อนนุ่มโดยปราศจากสายรัด มันทำให้เขาต้องกลั้นหายใจเอาไว้นางช่างอ่อนนุ่มเสียจริง......นางนอนหลับอย่างสงบเงียบ เยี่ยเป่ยเฉิงอดไม่ได้ที่จะลดสายตาลงมองนางอย่างระมัดระวังแก้มของหลินซวงเอ๋อร์สีแดงระเรื่อจากอาการเมา ราวกับก้อนเมฆสีแดงสองก้อนที่กำลังล่องลอย ขนตาของนางหนาและเป็นแพยาว จมูกเล็กแต่สูงโด่ง ริมฝีปากของนางก็ยังดูชุ่มชื้นเป็นสีชมพู......ยิ่งมองก็ยิ่งเพลินตา ยิ่งมองก็ยิ่งดูดีมากยิ่งขึ้นเยี่ยเป่ยเฉิงจ้องมองด้วยความหลงไหล คนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาไม่รู้ว่ากำลังฝันถึงอะไร ถึงได้เผยอริมฝีปากเเละพ่นลมหายใจออกมาอย่างรวดเร็วท่าทางไม่ได้ตั้งใจนี้มันดึงดูดผู้อื่นโดยไม่รู้ตัวดวงตาของเยี่ยเป่ยเฉิงจับจ้องไปยังริมฝีปากของหลินซวงเอ๋อร์ ทว่าจู่ๆ เขาก็สะดุ้งขึ้นมาทันทีความคิดสกปรกผุดขึ้นมาอีกครั้งแล้วในพื้นที่อันมืดมิดนี้ กลิ่นอันหอมหวานของเหล้าผสมผสานกับกลิ่นหอมอันละเอียดอ่อนของหญิงสาวเยี่ยเป่ยเฉิงค่
บรรยากาศภายในรถม้ายิ่งร้อนขึ้นเรื่อยๆไฟราคะในดวงตาของเยี่ยเป่ยเฉิงแทบจะพวบพุ่งออกมาตอนนี้จู่ๆ รถม้าก็หยุดลงพร้อมกับเสียงร้องของเสวียนอู่ที่ร้องตะโกนว่า "ถึงแล้วขอรับ ท่านอ๋อง"การเคลื่อนไหวของเยี่ยเป่ยเฉิงชะงักไป ทว่าครู่หนึ่งก็กลับมาเป็นปกติหลินซวงเอ๋อร์เมื่อหรี่ตาลงมองชุดที่ไม่เรียบร้อยดี จู่ๆ มันก็ทำให้เขาก็รู้สึกรำคาญใจขึ้นมาใยถึงทนไม่ได้ขึ้นมา หรือว่าเขาได้ทำเรื่องที่เลวร้ายกับนางไปอย่างนั้นเหรอ!เยี่ยเป่ยเฉิงพบว่า เมื่ออยู่ต่อนหน้าหลินซวงเอ๋อร์เขามักจะควบคุมตัวเองไๆม่ได้ เรื่องสมาธิ หรือแม้แต่การบำเพ็ญฝีกตนก็ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งสิ้นหลินซวงเอ๋อร์หลังจากที่ได้จัดการกับชุดเป็นที่เรียบร้อยเเล้ว เยี่ยเป่ยเฉิงก็เอาสายรัดเอวกลับไปรัดให้นางอีกครั้งด้วยท่าทีระมัดระวังเขาจัดการชุดของตนให้เข้าที่ ปรับความปรารถนาที่อยู่ในแววตาของตนให้เป็นปกติ จากนั้นก็เปิดม่านออกด้วยสีหน้าราวกับไม่แยแสต่อสิ่งใดท่านป้าจ้าวและตงเหมยไม่รู้ว่ารออยู่ที่หน้าจวนโหวมานานสักเพียงใดแล้ว เมื่อเห็นเยี่ยเป่ยเฉิงอุ้มหลินซวงเอ๋อร์เอาไว้ในอ้อมแขนลงมาจากรถม้า ทั้งสองคนก็รีบปรี่ตรงเข้าไปทันทีตงเหมยมองหล
ให้ตายเถอะ ในที่สุดข้าก็นอนหลับดีๆ เสียที แต่เผลอหลับไปเสียหน่อยจนลืมเรื่องการรับใช้เจ้านายไปเสียเลยนางเร่งรีบเข้าไปในห้องของเยี่ยเป่ยเฉิงพร้อมกับอ่างน้ำอุ่นอย่าง แต่หลินซวงเอ๋อร์ก็พบว่าเยี่ยเป่ยเฉิงได้จัดการตัวเองเสร็จ กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือเพื่่ออ่านตำราอย่างตั้งใจหลินซวงเอ๋อร์หายใจหอบยืนตัวสั่นขณะที่เดินไปหาเยี่ยเป่ยเฉิง นางคุกเข่าลงและพูดออกมาด้วยเสียงสั่นเทา " ท่านอ๋อง......ข้าน้อยนอนหลับเพลินไปเสียหน่อย ท่านอ๋องได้โปรดลงโทษด้วยเจ้าค่ะ"เยี่ยเป่ยเฉิงไม่ได้เงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาจดจ่ออยู่กับตำรา เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงปกติ "ไม่เป็นไร ลุกขึ้นเถอะ"หลินซวงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นเหลือบมองเขาอย่างลับๆ ซึ่งนางก็ได้ค้นพบว่าวันนี้เขาดูอารมณ์ดีกว่าปกติ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เอาความผิดของนางมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อยผ่านเรื่องราวทั้งหมดนั้นมา หลินซวงเอ๋อร์ก็รู้สึกว่าตนนั้นมีโชคเป็นอย่างมาก“เช่นนั้นข้าน้อยก็ต้องขอตัวก่อน หากท่านอ๋องมีเรื่องอันใดก็เรียกหาข้าน้อยได้เลยเจ้าค่ะ” หลินซวงเอ๋อร์กำลังจะออกไป แต่จู่ๆ เยี่ยเป่ยเฉิงก็เปิดปากพูดออกมาอีกครั้ง“อย่าเพิ่งไป มาช่วยฝนหมึกให้ข้าหน่อย”หลิ
หลินซวงเอ๋อร์ไม่อยากเรียนรู้จริง ๆ แม้ว่านางต้องรู้หนังสือ แต่นางก็ไม่ควรเรียนรู้จากหนังสือเล่มนี้“ ท่านอ๋อง ท่านเปลี่ยนหนังสือเล่มอื่นมิได้หรือ” หลินซวงเอ๋อร์พลิกหนังสือในมือของนาง ติ่งหูของนางแดงมากจนแทบจะเลือดออกตอนนี้เยี่ยเป่ยเฉิงคิดที่จะฝึกเขียนตัวอักษร เขาไม่เงยหน้าขึ้น เขากล่าว "หลังจากเรียนหนังสือเล่มนี้เสร็จ เจ้าน่าจะรู้ตัวอักษรทั้งหมด"หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกว่าเยี่ยเป่ยเฉิงแปลกในบางครั้งเขามักจะชอบสั่งนางอเรียนรู้สิ่งนี้หรือสิ่งนั้น ไม่ว่านางจะอยากเรียนรู้หรือไม่ หรือนางจะเรียนรู้มันได้หรือไม่ใบหน้าของหลินซวงเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นสีแดง และนางมองไปที่สมุดภาพ นางไม่อยากอ่านมันเยี่ยเป่ยเฉิงเหลือบมองนางอย่างสงบ เนื่องจากคู่นี้นั่งอยู่ตรงข้ามกัน จึงไม่สะดวกสอน ดังนั้นเขาจึงพูด "นั่งข้างข้า"เก้าอี้ที่เขานั่งอยู่นั้นเป็นเก้าอี้คู่ที่สามารถรองรับคนได้สองคนหลินซวงเอ๋อร์ไม่เต็มใจ แต่นางไม่กล้าแสดงออกมานางเหลือบมองเยี่ยเป่ยเฉิงแวบหนึ่งด้วยใบหน้าสีแดง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยการต่อต้านเยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วและน้ำเสียงของเขาดูจริงจังกว่าเดิมเล็กน้อย "เจ้าคือคนรับใช้เคียงข้างข้า ดัง
เยี่ยเป่ยเฉิงสอนอย่างละเอียด หลินซวงเอ๋อร์ตั้งใจฟังด้วย และในไม่ช้านางก็สามารถอ่านบรรทัดนี้ด้วยตัวเองหลังจากนั้นเยี่ยเป่ยเฉิงหยิบพู่กันขึ้น จุ่มลงในหมึก และเขียนอักษรตัวเล็ก ๆ เหล่านั้นลงบนกระดาษทีละขีดวิธีเขียนอักษรของเขาทรงพลังอย่างมาก ซึ่งทำให้หมึกซึมไปด้านหลังของกระดาษ เช่นเดียวกับตัวเขาเองเพื่อให้หลินซวงเอ๋อร์เรียนรู้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เขายังแบ่งอักษรออกเป็นส่วน ๆ และเขียนตามลำดับทีละขีด"ดูดี ๆ ทุกจังหวะควรเป็นไปตามลำดับในบทความนี้"หลินซวงเอ๋อร์รับพู่กันไว้ นางจุ่มลงในหมึก นางมองดูกระดาษสีขาว แต่นางไม่เขียนเป็นเวลานานหมึกสีดำหยดลงบนกระดาษสีขาว บานสะพรั่งเป็นดอกหมึกเยี่ยเป่ยเฉิงเห็นนางยังคงนิ่งเฉย เขาเลยหันไปมองนางจากนั้นเขาจึงสังเกตใบหน้าของนางแดงก่ำ และคิ้วที่สวยงามของนางก็ขมวดเข้าหากันเขา หลินจึงนึกออกหลินซวงเอ๋อร์อ่านหนังสือไม่เป็น แล้วนางจะเขียนเป็นได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่นางจับพู่กัน ดังนั้นนางคงเขียนไม่เป็นเยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า "เขียนอักษรหนึ่งตัวที่เจ้าอยากเขียนมากที่สุด ไม่ว่าจะสวยหรือไม่ เจ้าต้องพยายามเขียนให้ได้ก่อน"
วันที่เจียงหว่านกำลังจะถูกเนรเทศ ในที่สุดเจียงเช่อก็มาหาถึงหน้าประตูเขาคุกเข่าเบื้องหน้าเยี่ยเป่ยเฉิง เว้าวอนขอเยี่ยเป่ยเฉิงปล่อยเจียงหว่านไปขณะที่เดินทางมา เขารับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วเจียงหว่านลอบวางยาพระชายาเยี่ย ใช้ประชาชนที่ติดโรคทดลองยา เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ ผลาญชีวิตคนดุจผักดุจปลา นับเป็นอาชญากรรมอันชั่วร้ายที่สุด......แต่ไม่ว่าอย่างไร เจียงหว่านก็เป็นน้องสาวเขา เป็นคุณหนูหนึ่งเดียวของตระกูลเจียง เจียงเช่อมิอาจนั่งนิ่งดูดาย ปล่อยให้นางไปตายได้“ขอร้องท่านอ๋องไว้ชีวิตนางเถิด เป็นเพราะข้าตามใจนางจนเสียคน หากท่านอ๋องจะลงโทษ โปรดลงที่เจียงเช่อเถิดพะยะค่ะ”เมื่อเห็นเจียงเช่อ สายตาสิ้นหวังของเจียงหว่านพลันมีประกายความหวังขึ้น“พี่......ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากไปแดนเถื่อน ข้าอยากกลับบ้าน ท่านพี่ช่วยข้าด้วย......”เจียงเช่อขมวดคิ้วเขม็งจ้องเจียงหว่าน สายตาแฝงเร้นด้วยแววเกยีดชังเข้าไส้เขารู้ว่าเจียงหว่านต้องโทษตาย ยามนี้แค่เนรเทศ ถือว่าเมตตามากแล้ว แต่เขาเองก็รู้ว่า สถานที่อย่างแดนเถื่อนนั้น มิใช่สถานที่ที่สตรีตัวคนเดียวจะไปได้ การเนรเทศนางไปที่นั่น เท่ากับส่งนางไปขุมนร
“เลือดของนาง...”เจียงหว่านสีหน้าตกตะลึงตอนนั้น ตอนที่ฮุ่ยอี๋มอบยาถอนพิษใส่ในมือนาง นางเคยเอาทิ้งไว้หลายขวด เดิมทีคิดศึกษาส่วนผสมในนั้น ทว่าด้านในกลับมีส่วนผสมยาเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือเลือดมนุษย์...แรกเริ่ม นางคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล! กระทั่งยามนี้นางถึงได้เชื่อความจริง ส่วนประกอบของยานั้น มีเพียงเลือดมนุษย์จริงๆ! ทั้งยังเป็นเลือดของหลินซวงเอ๋อร์! เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ในที่สุดนางก็เข้าใจ!มิน่า...ตอนนั้น นางใช้ยาปริมาณมาก แต่กลับไม่อาจทำให้หลินซวงเอ๋อร์ถึงตาย! ไม่คิดว่าเลือดของนางจะขจัดพิษในร่างนางโดยมองไม่เห็น...ฮุ่ยอี๋เอ่ย “เจ้ายังมีหน้าพูดว่าไม่ได้ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาอีก! เจียงหว่าน เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้าวางยาซวงเอ๋อร์อย่างไร? เสด็จอาให้อภัยเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ข้าไม่มีวันเกรงใจเจ้า!”คำพูดนี้สองแง่สองง่าม เห็นชัดว่ากำเย้ยหยันเยี่ยเป่ยเฉิงที่ดึงหมาป่าเจ้าเล่ห์เข้าบ้าน!เยี่ยเป่ยเฉิงตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ไร้ซึ่งแรงโต้กลับยามนี้ เขามิอาจชำระคืนได้ ซวงเอ๋อร์ของเขาไม่มีวันกลับมาอีกต่อไป!สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คือทำให้เจียงหว่านชดใช้อย่างสาสมที่สุด ส่วนตัวเขา ชีวิตที่
เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาที่มองเจียงหว่านเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง ไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิดเขาอยากฆ่านางตั้งนานแล้ว ที่ปล่อยนางรอดมาจนถึงตอนนี้ ก็แค่อยากให้นางได้รับความทรมานจนตายบัดนี้เห็นนางตกยากเช่นนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงกลับรู้สึกว่าบทลงโทษแค่นี้ยังมิพอเจียงหว่านถูกทรมานจนเหมือนตายดีกว่าอยู่มานานแล้ว นางรู้ เยี่ยเป่ยเฉิงไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ หลังจากคิดดูแล้ว หากตายด้วยน้ำมือของเยี่ยเป่ยเฉิงได้ ก็คงจะดีกว่าตอนนี้ ที่ดูดซับยาเข้าสู่ร่างกายทุกวัน ถูกฝันร้ายหลอกหลอนทุกคืนสุดท้ายก็ไม่สามารถหนีจากพิษและเสียชีวิตลงได้!อย่างไรก็ตาย มิสู้ให้เยี่ยเป่ยเฉิงจบชีวิตนางด้วยมือเขาเอง!เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็ยิ้มเยาะ จงใจกล่าวยั่วยุเขา “เยี่ยเป่ยเฉิง เจ้ามีฝีมือแค่นี้หรือ? แน่จริงก็ฆ่าข้าไปเลยสิ!”“ฆ่าข้าให้มันจบๆ ไปเสีย!”เยี่ยเป่ยเฉิงปรายตามองนาง พลางกล่าวอย่างเย็นชา “ตอนนั้น เจ้าก็ทรมานซวงเอ๋อร์เช่นนี้!”เจียงหว่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วอย่างไร!”“ลูกในท้องนางข้าก็เป็นคนทำร้ายเอง! ร่างกายอ่อนแอแบบนั้นของนางต่อไปจะตั้งครรภ์ไม่ได้อีกแล้ว!”“ที่นางฝันร้ายทุกคืน ก็เป็นข้าที่ทำเอง
หลายสิบปีมานี้ นางทำเรื่องชั่วมานับไม่ถ้วน ทุกเรื่อง นางจิตใจสงบ ไม่เคยรู้สึกผิดเลยมีเพียงเจียงหลิง…มีเพียงการตายของเจียงหลิง ทำให้นางยากจะข่มตานอนได้…ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในฐานะคุณหนูรอง เจียงหว่านไม่เป็นที่ชื่นชอบของพ่อแม่มาตลอด พี่ชายก็ยิ่งไม่สนใจนาง ทว่าเจียงหลิงกลับได้รับความรักมากมาย…นางอิจฉาเจียงหลิง และแทบอยากทำให้อีกฝ่ายหายไปจากโลกใบนี้แต่เจียงหลิงกลับรักเอ็นดูนางมาตั้งแต่ต้นจนจบ ปกป้องนาง มอบของที่ดีที่สุดในโลกใบนี้ให้แก่นาง…เจียงหลิงเป็นพี่สาวที่ดีต่อนางที่สุดบนโลกใบนี้…ทว่าที่นางต้องการหาใช่แค่พี่สาวอย่างเดียว นางต้องการความรักของทุกคน นางต้องการให้พ่อแม่ พี่ชายรกนางแค่คนเดียว นางอยากครอบครองของที่ดีที่สุดไว้กับตัวเอง ไม่ใช่รอให้คนอื่นมอบให้!ดังนั้น ในคืนวันหิมะตก นางผลักเจียงหลิงตกน้ำ มองนางจมตายทั้งเป็นอยู่ใต้น้ำ หลังจากนั้นนางก็ติดวันเกิดเวลาเกิดของเจียงหลิงบนตุ๊กตาคุณไสย แทงเธอทุกวัน สวดภาวนาทุกคืน นางต้องการให้เจียงหลิงไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิด ไม่หวนกลับมาตลอดกาล!เพราะมีเพียงแค่ทำแบบนี้ นางถึงจะไม่มีโอกาสแก้แค้นตัวเอง!แต่ทำไม…ทำไมตอนนี้นางถึงยังหาตัวเอง
ยาซึมเข้าสู่ร่างกายติดกันหลายวันทำให้เจียงหว่านค่อยๆ เป็นบ้าในห้องที่ปิดสนิท เจียงหว่านหดตัวอยู่บนพื้นเหมือนดินโคลนตัวนางเหม็นมาก ชุดกระโปรงสีรากบัวเปลี่ยนเป็นสกปรกและเก่าองครักษ์ทำให้เส้นเอ็นมือของนางขาด ตรงบาดแผลถูกทาขี้ผึ้งปิดแผลชั้นแล้วชั้นเล่าแม้ขี้ผึ้งปิดแผลจะเป็นยาสำหรับปกปิด ทว่ากลับมีผลดีต่อการหยุดเลือดบาดแผลแข็งตัวจนกลายเป็นสะเก็ดไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้รับการรักษาที่ดีกว่านี้ แม้จะดีขึ้นก็ยังเหลือรอยแผลเป็นอัปลักษณ์เอาไว้ธูปในห้องไม่เคยลดลงเลยทั้งวัน ประกอบกับกระกระตุ้นของต้นคลีเวีย ความคิดต่ำช้าที่อยู่ในตัวนางแทบจะถูกกระตุ้นออกมาทั้งหมดสองตานางแดงก่ำ ดูฉุนเฉียวไม่น้อย กรีดร้องโวยวายอยู่ในห้อง ประหนึ่งคนบ้าคนหนึ่งองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องไม่สนใจนางสักนิด ได้แต่ทรมานนางไม่ให้นางตายทุกวันความเคียดแค้นฉายออกมาจากในตาเจียงหว่าน เวลานี้ นางได้ปล่อยว่างความหลงใหลต่อเยี่ยเป่ยเฉิงแล้ว ไม่ว่าจะรักมากขนาดไหนก็แปรเปลี่ยนเป็นความชิงชังเข้ากระดูก“เยี่ยเป่ยเฉิง! ปล่อยข้ากลับไป! ปล่อยข้ากลับไปสิ!”“แน่จริงก็ฆ่าข้าเลยสิ!ฆ่าข้าให้มันจบๆ ! ท่านมีสิทธิ์อะไรมาขังข้าไว้เช่นนี
“ได้ยินว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเจ้าเสียไปนานแล้ว แล้วเจ้ากับพี่ชายอยู่มาได้อย่างไร?”“แล้วเหตุใดเจ้าจึงขายตัวไปเป็นบ่าวไพร่? หลายปีมานี้ เจ้าคงผ่านความลำบากมิใช่น้อย เคยถูกใครรังแกหรือไม่?”หลินซวงเอ๋อร์พลันเกิดความขมขื่นในจิตใจเดิมที หากไม่เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ นางยังพออดทนได้บ้าง แต่เมื่ออวี๋หว่านหนิงถามขึ้นมา นางก็อดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเสียมิได้นางเม้มปากพลางจ้องมองนิ้วมือตนเอง น้ำตาเริ่มเอ่อล้น พร้อมหยดแหมะลงหลังมือทีละหยดนางอยู่สบายหรือไม่?นางเคยถามตนเองอยู่เช่นกันหลายปีมานี้ นางผ่านเรื่องราวมากมาย สูญเสียบิดามารดา สูญเสียพี่ชายไป กลายเป็นเด็กกำพร้าที่ไร้ญาติขาดมิตรโดยแท้แต่หากคิดดีๆ ชีวิตนางก็เคยอยู่สุขสบายมาช่วงหนึ่งนั่นคือตอนอยู่กับเยี่ยเป่ยเฉิง นางมีความสุขจริงๆในตอนนั้น เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นกำลังใจให้นาง ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ หาของดีมาให้กิน สอนนางเรียนหนังสือ พาไปเดินเล่นท่องทะเลสาบ ให้ความรักต่อนางอย่างชนิดไร้ผู้เทียบเทียม...ในเวลานั้น นางมีความสุขเหลือล้น เป็นความสุขมากที่สุดในชีวิต แม้แต่ฝันก็ยังเป็นฝันหวาน...แต่ต่อมา ทุกอย่างกลับแปรเปลี่ยน ก่อนหน้านี้เคยสุ
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลินซวงเอ๋อร์แทบชะงักงันไปที่บั้นเอวนางมีปานแดงรูปเสี้ยวจันทร์จริงๆ ท่านแม่บอกว่า มันมีติดตัวมาตั้งแต่นางเกิด เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่บั้นเอว จึงมีน้อยคนที่จะรู้เรื่องนี้“ท่าน...คือแม่ของข้าจริงหรือ?” หลินซวงเอ๋อร์หัวใจเต้นแรง ขอบตาแดงเรื่อขึ้นอวี๋หว่านหนิงยื่นมือมาจับมือของนางไว้ พลางกล่าวเสียวเศร้า “ซวงเอ๋อร์ ข้าคือแม่เจ้าจริงๆ หลายปีนี้ทำให้เจ้าลำบากนัก...”แม่นมซุนอยู่ด้านข้างพลางกล่าวเสริม “องค์หญิง นางคือเสด็จแม่ของท่านจริงๆ หลายปีมานี้ ฮองเฮาไม่เคยเลิกราในการตามหาท่าน เพียงแต่ภาคกลางกว้างขวางนัก พวกท่านเองก็ข่าวคราวเงียบหาย หลายปีนี้ พวกท่านลำบากก็จริง ฮองเฮาก็ไม่ได้สุขสบายใจ...”หลินซวงเอ๋อร์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ พลันหันไปมองอวี๋หว่านหนิงแล้วกล่าว “ที่จริง ข้าไม่เคยตำหนิท่านเลย เพียงแต่บางครั้งก็เคยคิด ว่าท่านแม่จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้หรือไม่”“ตอนยังเป็นเด็ก ข้าเคยคาดหวังให้นางมาหาบ้าง แต่พอโตขึ้นก็ไม่เห็นนางมาเสียที ข้าจึงภาวนาให้นางอยู่ดีมีสุขแทน แม้จะไม่ได้พบหน้า แต่ขอให้นางยังมีชีวิตอยู่ เป็นความคิดถึงในใจก็เพียงพอแล้ว...”
อวี๋หว่านหนิงรับเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา พลันเกิดความตื้นตันจนไม่รู้ตอบอย่างไรดีทันใดนั้น แม่นมซุนเดินขึ้นมาพร้อมกล่าว “องค์หญิง ที่นี่คือวังหลวงแห่งเป่ยหรง ฮองเฮาทรงตามหาท่านมานาน ทุ่มแทแรงกายแรงใจไม่น้อยกว่าจะหาพบ...”“องค์หญิง?” หลินซวงเอ๋อร์นึกว่าตนหูฝาดไป “ท่านเรียกข้าอยู่หรือ?”นางกล่าวตอบ “พวกท่านจำคนผิดหรือเปล่า ข้าไม่ใช่องค์หญิง ข้าคือหลินซวงเอ๋อร์ต่างหาก”นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง เติบโตมาจากชนบทแร้นแค้น เป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยผู้หนึ่งเท่านั้นองค์หญิงอะไรกัน ยังมีวังเป่ยหรงอีก แล้วใครคือฮองเฮา?พวกนางคงจำคนผิดเป็นแน่แม่นมซุนกล่าวตอบ “ไม่ผิดเจ้าค่ะ ไม่มีผิดแน่นอน ท่านก็คือองค์หญิงของเรา องค์หญิงที่พลัดพรากจากฮองเฮาไป...”หลินซวงเอ๋อร์คล้ายกับยังมึนงงอยู่ ความคิดนางเกิดความสับสน ปวดหัวเป็นอย่างมากแม่นมซุนอธิบายต่อ “สมัยที่อดีตฮ่องเต้สวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ราชสำนักเป่ยหรงเกิดความวุ่นวาย ตอนนั้นฮองเฮายังมีฐานะเป็นเพียงพระชายาแห่งรัชทายาท นางเสี่ยงอันตรายให้กำเนิดแฝดชายหญิงคู่หนึ่ง เพื่อปกป้องชีวิตของพวกท่านไว้ จึงให้คนสนิทส่งพวกท่านออก
หลินซวงเอ๋อร์เปลือกตากระตุกเล็กน้อย นางก็อยากตื่น แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจตื่นขึ้นมาหน้าอกคล้ายถูกกรีดจนเป็นแผลเหวอะหวะ เหงื่อเย็นในตัวไหลพราก ลำคอคล้ายถูกงูพิษตัวหนึ่งรัดไว้ ยิ่งรัดก็ยิ่งแน่น จนนางใกล้จะหายใจไม่ออกข้างโสตนั้น ได้ยินเสียงคุ้นหูประเดี๋ยวไกลประเดี๋ยวใกล้ ถัดจากนั้น คล้ายมีมืออ่อนโยนลูบไล้ใบหน้านางเบาๆ“เด็กดี หมดเรื่องแล้ว เจ้าปลอดภัยดีแล้ว รีบตื่นมาเถิด ตื่นมาเร็วเข้า...”หลังจากได้ยินเสียงนั้นชัดเจนมากขึ้น ลำคอที่ถูกรัดแน่นก็ค่อยๆ คลายออก นางลืมตาช้าๆ ภาพเบื้องหน้าจากพร่ามัวจนกลายเป็นชัดเจน สิ่งแรกที่เข้าสู่ม่านตาก็คือม่านคลุมเตียงสีม่วงที่อยู่เหนือศีรษะขึ้นไป คล้ายเป็นภาพฝัน เสมือนเป็นแหยักษ์ที่ถูกเหวี่ยงลงมา เพื่อคลุมตัวนางให้อยู่ตรงกลางเตียงนี้เป็นเตียงที่สวยงาม จนแม้แต่เสาเตียงก็เป็นลวดลายที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน หัวเตียงนอกจากจะแกะสลักลายดอกไม้แล้วยังฝังด้วยหยกเจียระไนงดงามและพลอยล้ำค่าอีกชั่วขณะนั้น นางรู้สึกมึนงงยิ่งนี่มันเป็นที่ไหนกัน?“ซวงเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกตัวแล้วรึ?” จนกระทั่งข้างหูได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง นางจำได้ว่าตอนอยู่ในความฝัน ได้ยินเสียงนี้จนคุ