ให้ตายเถอะ ในที่สุดข้าก็นอนหลับดีๆ เสียที แต่เผลอหลับไปเสียหน่อยจนลืมเรื่องการรับใช้เจ้านายไปเสียเลยนางเร่งรีบเข้าไปในห้องของเยี่ยเป่ยเฉิงพร้อมกับอ่างน้ำอุ่นอย่าง แต่หลินซวงเอ๋อร์ก็พบว่าเยี่ยเป่ยเฉิงได้จัดการตัวเองเสร็จ กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือเพื่่ออ่านตำราอย่างตั้งใจหลินซวงเอ๋อร์หายใจหอบยืนตัวสั่นขณะที่เดินไปหาเยี่ยเป่ยเฉิง นางคุกเข่าลงและพูดออกมาด้วยเสียงสั่นเทา " ท่านอ๋อง......ข้าน้อยนอนหลับเพลินไปเสียหน่อย ท่านอ๋องได้โปรดลงโทษด้วยเจ้าค่ะ"เยี่ยเป่ยเฉิงไม่ได้เงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาจดจ่ออยู่กับตำรา เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงปกติ "ไม่เป็นไร ลุกขึ้นเถอะ"หลินซวงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นเหลือบมองเขาอย่างลับๆ ซึ่งนางก็ได้ค้นพบว่าวันนี้เขาดูอารมณ์ดีกว่าปกติ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เอาความผิดของนางมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อยผ่านเรื่องราวทั้งหมดนั้นมา หลินซวงเอ๋อร์ก็รู้สึกว่าตนนั้นมีโชคเป็นอย่างมาก“เช่นนั้นข้าน้อยก็ต้องขอตัวก่อน หากท่านอ๋องมีเรื่องอันใดก็เรียกหาข้าน้อยได้เลยเจ้าค่ะ” หลินซวงเอ๋อร์กำลังจะออกไป แต่จู่ๆ เยี่ยเป่ยเฉิงก็เปิดปากพูดออกมาอีกครั้ง“อย่าเพิ่งไป มาช่วยฝนหมึกให้ข้าหน่อย”หลิ
หลินซวงเอ๋อร์ไม่อยากเรียนรู้จริง ๆ แม้ว่านางต้องรู้หนังสือ แต่นางก็ไม่ควรเรียนรู้จากหนังสือเล่มนี้“ ท่านอ๋อง ท่านเปลี่ยนหนังสือเล่มอื่นมิได้หรือ” หลินซวงเอ๋อร์พลิกหนังสือในมือของนาง ติ่งหูของนางแดงมากจนแทบจะเลือดออกตอนนี้เยี่ยเป่ยเฉิงคิดที่จะฝึกเขียนตัวอักษร เขาไม่เงยหน้าขึ้น เขากล่าว "หลังจากเรียนหนังสือเล่มนี้เสร็จ เจ้าน่าจะรู้ตัวอักษรทั้งหมด"หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกว่าเยี่ยเป่ยเฉิงแปลกในบางครั้งเขามักจะชอบสั่งนางอเรียนรู้สิ่งนี้หรือสิ่งนั้น ไม่ว่านางจะอยากเรียนรู้หรือไม่ หรือนางจะเรียนรู้มันได้หรือไม่ใบหน้าของหลินซวงเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นสีแดง และนางมองไปที่สมุดภาพ นางไม่อยากอ่านมันเยี่ยเป่ยเฉิงเหลือบมองนางอย่างสงบ เนื่องจากคู่นี้นั่งอยู่ตรงข้ามกัน จึงไม่สะดวกสอน ดังนั้นเขาจึงพูด "นั่งข้างข้า"เก้าอี้ที่เขานั่งอยู่นั้นเป็นเก้าอี้คู่ที่สามารถรองรับคนได้สองคนหลินซวงเอ๋อร์ไม่เต็มใจ แต่นางไม่กล้าแสดงออกมานางเหลือบมองเยี่ยเป่ยเฉิงแวบหนึ่งด้วยใบหน้าสีแดง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยการต่อต้านเยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วและน้ำเสียงของเขาดูจริงจังกว่าเดิมเล็กน้อย "เจ้าคือคนรับใช้เคียงข้างข้า ดัง
เยี่ยเป่ยเฉิงสอนอย่างละเอียด หลินซวงเอ๋อร์ตั้งใจฟังด้วย และในไม่ช้านางก็สามารถอ่านบรรทัดนี้ด้วยตัวเองหลังจากนั้นเยี่ยเป่ยเฉิงหยิบพู่กันขึ้น จุ่มลงในหมึก และเขียนอักษรตัวเล็ก ๆ เหล่านั้นลงบนกระดาษทีละขีดวิธีเขียนอักษรของเขาทรงพลังอย่างมาก ซึ่งทำให้หมึกซึมไปด้านหลังของกระดาษ เช่นเดียวกับตัวเขาเองเพื่อให้หลินซวงเอ๋อร์เรียนรู้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เขายังแบ่งอักษรออกเป็นส่วน ๆ และเขียนตามลำดับทีละขีด"ดูดี ๆ ทุกจังหวะควรเป็นไปตามลำดับในบทความนี้"หลินซวงเอ๋อร์รับพู่กันไว้ นางจุ่มลงในหมึก นางมองดูกระดาษสีขาว แต่นางไม่เขียนเป็นเวลานานหมึกสีดำหยดลงบนกระดาษสีขาว บานสะพรั่งเป็นดอกหมึกเยี่ยเป่ยเฉิงเห็นนางยังคงนิ่งเฉย เขาเลยหันไปมองนางจากนั้นเขาจึงสังเกตใบหน้าของนางแดงก่ำ และคิ้วที่สวยงามของนางก็ขมวดเข้าหากันเขา หลินจึงนึกออกหลินซวงเอ๋อร์อ่านหนังสือไม่เป็น แล้วนางจะเขียนเป็นได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่นางจับพู่กัน ดังนั้นนางคงเขียนไม่เป็นเยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า "เขียนอักษรหนึ่งตัวที่เจ้าอยากเขียนมากที่สุด ไม่ว่าจะสวยหรือไม่ เจ้าต้องพยายามเขียนให้ได้ก่อน"
หลินซวงเอ๋อร์ถาม "สรุปเขาอยากตายหรืออยากมีชีวิตอยู่"เดิมทีเยี่ยเป่ยเฉิงกำลังอ่านตำราพิชัยสงครามอยู่ เมื่อเขาเห็นนางถาม เขาวางหนังสือในมือลงแล้วโน้มตัวไปหานางเดิมทีสองคนนี้อยู่ใกล้กันอยู่แล้ว แต่ทันทีที่เขาโน้มตัวลงมา หน้าอกอันกว้างใหญ่ของเขาก็กดลงบนนางทันที หลินซวงเอ๋อร์ รู้สึกเหมือนมีภูเขาทับตัวนาง ซึ่งทำให้นางหายใจยาก“เจ้าไม่เข้าใจอะไร” เยี่ยเป่ยเฉิงเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ ลมหายใจของเขาเกือบจะปลิวไปบนใบหน้าของหลินซวงเอ๋อร์ในขณะที่เขาพูดหลินซวงเอ๋อร์รู้สึกแก้มของนางคันและร้อน นางอดไม่ได้ที่ต้องถอยตัวเยี่ยเป่ยเฉิงเอามือใหญ่โอบเอวของนาง แล้วดึงนางกลับอย่างครอบงำ "ตั้งใจหน่อย"เขาใช้มือข้างหนึ่งจับเอวของนาง และมืออีกข้างหนึ่งประคองไว้บนโต๊ะ ร่างผอมบางของหลินซวงเอ๋อร์ถูกกักขังอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างครอบงำฝ่ามืออันใหญ่ที่คลุมเอวของนางร้อนมากจนหลินซวงเอ๋อร์รู้สึกอึดอัดไปทั่ว นางชี้ไปที่คำที่นางเพิ่งเขียนบนกระดาษแล้วถาม"ปรารถนา ชีวิตเป็น ปรารถนา ความตาย"มือที่โอบเอวของนางแน่นขึ้นอย่างอธิบายไม่ถูกหลินซวงเอ๋อร์นึกว่านางอ่านอะไรผิดอีกแล้ว นางเงยหน้าขึ้นและมองเขาอย่างหวาดกลัว
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงจึงรู้สึกโล่งใจหลินซวงเอ๋อร์เปิดหน้าต่าง แล้วรินน้ำให้เยี่ยเป่ยเฉิงอีกแก้ว เมื่อนางกลับมา นางสังเกตเยี่ยเป่ยเฉิงจ้องมองนางโดยบังเอิญดวงตาของเขาลุกเป็นไฟราวกับหมาป่าหรือเสือ ราวกับว่าเขาต้องการกลืนกินนางหลินซวงเอ๋อร์รู้สึกตัวสั่นอย่างอธิบายไม่ถูก และมีหยดน้ำสองสามหยดในถ้วยชากระเด็นออกมาเยี่ยเป่ยเฉิงมองดูนางเช่นนี้โดยไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อเขาเห็นนางลากเท้าและใช้เวลานานมากในการตักน้ำ เขาก็ใจร้อนเล็กน้อย "ทำไมเจ้าไม่รีบหน่อย อักษรที่ต้องฝึกเขียนในวันนี้ เจ้าเขียนยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งเลย เดี๋ยวข้าจะทดสอบเอง "การพูดและสีหน้าของเยี่ยเป่ยเฉิงในตอนนี้น่ากลัวจริง ๆ หลินซวงเอ๋อร์รีบพยักหน้าและรีบเดินไปที่ที่นั่งของเขาและนั่งลงเยี่ยเป่ยเฉิงรับชาจากมือของนางแล้วจิบหนึ่งคำ ชานั้นมีกลิ่นหอมกลมกล่อมและมีรสหวานในปากของเขาแต่เทียบความหวานในปากนางไม่ได้...หลินซวงเอ๋อร์นั่งตรง ๆ แม้ว่านางจะไม่ได้มองเขา แต่นางมักรู้สึกเขากำลังจ้องมองนางอยู่ นางอดไม่ได้ที่ต้องตื่นตระหนก จนกระทั่งนางไม่รู้จะเขียนอย่างไรเยี่ยเป่ยเฉิงเห็นนางยังไม่เริ่มเขียนเขาถามนาง "
นางไม่เคยถูกตีมากนักตั้งแต่นางยังเป็นเด็ก ท่านแม่และท่านพ่อของนางไม่เคยพูดจารุนแรงกับนางเลย และพี่ชายของนางยิ่งรักนางและตามใจนางแต่ตั้งแต่นางมาอยู่จวนโหว นางกลับถูกรังแก หากนางทำอะไรไม่ดี นางถูกตีอยู่เสมอ...นางไม่ฉลาดตั้งแต่เกิด แล้วจะทำอย่างไรดีกับความโง่เขลาโดยกำเนิดจองนางได้ล่ะพี่ชายของนางเคยบอกนางว่า คนเราโง่ไม่เป็นไร ตราบใดที่เราตั้งใจทำสิ่งต่าง ๆ ความโง่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่นางเชื่อฟังคำพูดของพี่ชายของนาง ตั้งใจทำงานอย่าง นางไม่เคยบ่น ทำงานอย่างขยันขันแข็งและมีสติแต่ท่านอ๋องยังไม่พอใจอีก ยังตีฝ่ามือของนาง...หลินซวงเอ๋อร์สั่นเทาและร้องไห้ ตอนนี้นางกำลังยืนอยู่ใกล้จะพังทลาย นางอยากจะร้องไห้ออกมาดัง ๆ แนางจำได้ว่า เยี่ยเป่ยเฉิงไม่ชอบที่นางร้องไห้ นางกลัวทำให้เยี่ยเป่ยเฉิงโกรธอีก นางจึงกัดลิ้นของนางจนสะอื้น นางส่ายร่างกายเพื่ออดทนไว้ โดยมีน้ำตาไหลลงมาเป็นจำนวนมากสีหน้าของเยี่ยเป่ยเฉิงเปลี่ยนจากซีดเขียวเป็นซีดขาว และจากซีดขาวเป็นสีแดง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปหลายครั้ง และดวงตาที่ลึกล้ำของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์หลายอย่างหลินซวงเอ๋อร์เห็นสีหน้าของเยี่ยเป่ยเฉิงเป็นเช่นนี้ นางคิดว่า
เขารู้อยู่แล้วว่า หลินซวงเอ๋อร์ไม่มีที่พึ่ง จวนโหวคือบ้านของนาง หากนางถูกไล่ออกจากจวน นางจะไปไหนได้ล่ะอย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ตั้งใจจะไล่นางออกจากจวนโหวจริง ๆ เขาแค่อยากขู่นาง เพื่อไม่ให้นางร้องไห้อีกดวงตาของนางแดงก่ำจากการร้องไห้ บางทีอาจบวมจากการร้องไห้ด้วยซ้ำเดิมทีหลินซวงเอ๋อร์ปรับตัวได้แล้ว และเสียงร้องไห้ของนางก็ค่อย ๆ เงียบลง แต่เมื่อนางได้ยินเขาพูดเช่นนั้นต่อ อารมณ์ที่นางเพิ่งสงบลงก็สลายไปในทันทีท่านอ๋องแย่มากจริง ๆ หากนางเขียนไม่เป็น เขาตีฝ่ามือของนาง และยังไล่นางออกจากจวนอีกด้วยความเสียใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่หลินซวงเอ๋อร์ยิ่งคิดมากเท่าไร นางยิ่งรู้สึกน้อยใจ นางกลั้นความน้อยใจนั้นไม่ไหวอีกและร้องไห้เสียงดังในอ้อมแขนของเขา น้ำตาหยดใหญ่ไหลอาบเสื้อผ้ารอบหน้าอกของเขาร้องไห้หนักขนาดนี้เลยหรือเยี่ยเป่ยเฉิงตื่นตระหนกทันทีโดยไม่คาดคิดว่ามันมีผลตรงกันข้าม เยี่ยเป่ยเฉิงไม่รู้ทำอย่างไรดีและหมดคำพูดอยู่ครู่หนึ่งนางร้องไห้หนักเหมือนเด็กและร้องไห้อย่างไม่หยุดหลินซวงเอ๋อร์ไม่สนใจว่าเยี่ยเป่ยเฉิงจะทนไม่ไหวหรือไม่ นางไม่สนใจเยี่ยเป่ยเฉิงจะโกรธหรือไม่ที่เลวร้ายที่สุด เขาจะไล
เมื่อเผชิญหน้ากับการเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันของเยี่ยเป่ยเฉิง หลินซวงเอ๋อร์สับสนอย่างสิ้นเชิงในตอนแรกนางทำอะไรไม่ถูกและตัวแข็งทื่อต่อมา ภายใต้การยั่วยุของเยี่ยเป่ยเฉิงที่ชำนาญอย่างมาก ร่างกายที่แข็งทื่อของหลินซวงเอ๋อร์ก็อดสั่นไหวไม่ได้ จากนั้นนางจึงค่อย ๆ ผ่อนคลาย และร่างกายของนางก็นุ่มนวลขึ้นในทันใดเยี่ยเป่ยเฉิงอดไม่ได้ที่ต้องถอนหายใจยาว ๆ และการหายใจของเขาก็ค่อย ๆ เร็วขึ้นประสบการณ์นี้ดีจริง ๆ และทำให้เขารู้สึกมีความสุขมากมีข้อเสียอย่างเดียวคือ หลินซวงเอ๋อร์น่าเบื่อเกินไป และเขาเป็นคนที่กำหนดจังหวะตลอดกระบวนการทั้งหมดแต่มันก็ไม่สำคัญ ถึงกระนั้นเขาก็พอใจมากหากฝึกฝนมากขึ้นในอนาคต ผลจะดีขึ้นเยี่ยเป่ยเฉิงอยากสำรวจให้ลึกยิ่งขึ้น แต่จู่ ๆ คนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาก็เริ่มดิ้นรนจูบของเขาเปลี่ยนจากความอ่อนโยนในตอนแรกกลายเป็นการครอบงำมากขึ้นเรื่อย ๆ หลินซวงเอ๋อร์ค่อย ๆ รู้สึกว่านางหายใจไม่ออก และประสบการณ์อันน่าสยดสยองในคืนนั้นก็โผล่เข้ามาในสมองของนางหลินซวงเอ๋อร์รู้สึกหวาดกลัวในใจ เหงื่อเย็นเริ่มไหลออกมาบนหลังของนางนางปล่อยให้เขาทำเช่นนี้ต่อไม่ได้ หลินซวงเอ๋อร์เกือบจะจินตนา