หลินซวงเอ๋อร์ถาม "สรุปเขาอยากตายหรืออยากมีชีวิตอยู่"เดิมทีเยี่ยเป่ยเฉิงกำลังอ่านตำราพิชัยสงครามอยู่ เมื่อเขาเห็นนางถาม เขาวางหนังสือในมือลงแล้วโน้มตัวไปหานางเดิมทีสองคนนี้อยู่ใกล้กันอยู่แล้ว แต่ทันทีที่เขาโน้มตัวลงมา หน้าอกอันกว้างใหญ่ของเขาก็กดลงบนนางทันที หลินซวงเอ๋อร์ รู้สึกเหมือนมีภูเขาทับตัวนาง ซึ่งทำให้นางหายใจยาก“เจ้าไม่เข้าใจอะไร” เยี่ยเป่ยเฉิงเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ ลมหายใจของเขาเกือบจะปลิวไปบนใบหน้าของหลินซวงเอ๋อร์ในขณะที่เขาพูดหลินซวงเอ๋อร์รู้สึกแก้มของนางคันและร้อน นางอดไม่ได้ที่ต้องถอยตัวเยี่ยเป่ยเฉิงเอามือใหญ่โอบเอวของนาง แล้วดึงนางกลับอย่างครอบงำ "ตั้งใจหน่อย"เขาใช้มือข้างหนึ่งจับเอวของนาง และมืออีกข้างหนึ่งประคองไว้บนโต๊ะ ร่างผอมบางของหลินซวงเอ๋อร์ถูกกักขังอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างครอบงำฝ่ามืออันใหญ่ที่คลุมเอวของนางร้อนมากจนหลินซวงเอ๋อร์รู้สึกอึดอัดไปทั่ว นางชี้ไปที่คำที่นางเพิ่งเขียนบนกระดาษแล้วถาม"ปรารถนา ชีวิตเป็น ปรารถนา ความตาย"มือที่โอบเอวของนางแน่นขึ้นอย่างอธิบายไม่ถูกหลินซวงเอ๋อร์นึกว่านางอ่านอะไรผิดอีกแล้ว นางเงยหน้าขึ้นและมองเขาอย่างหวาดกลัว
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงจึงรู้สึกโล่งใจหลินซวงเอ๋อร์เปิดหน้าต่าง แล้วรินน้ำให้เยี่ยเป่ยเฉิงอีกแก้ว เมื่อนางกลับมา นางสังเกตเยี่ยเป่ยเฉิงจ้องมองนางโดยบังเอิญดวงตาของเขาลุกเป็นไฟราวกับหมาป่าหรือเสือ ราวกับว่าเขาต้องการกลืนกินนางหลินซวงเอ๋อร์รู้สึกตัวสั่นอย่างอธิบายไม่ถูก และมีหยดน้ำสองสามหยดในถ้วยชากระเด็นออกมาเยี่ยเป่ยเฉิงมองดูนางเช่นนี้โดยไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อเขาเห็นนางลากเท้าและใช้เวลานานมากในการตักน้ำ เขาก็ใจร้อนเล็กน้อย "ทำไมเจ้าไม่รีบหน่อย อักษรที่ต้องฝึกเขียนในวันนี้ เจ้าเขียนยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งเลย เดี๋ยวข้าจะทดสอบเอง "การพูดและสีหน้าของเยี่ยเป่ยเฉิงในตอนนี้น่ากลัวจริง ๆ หลินซวงเอ๋อร์รีบพยักหน้าและรีบเดินไปที่ที่นั่งของเขาและนั่งลงเยี่ยเป่ยเฉิงรับชาจากมือของนางแล้วจิบหนึ่งคำ ชานั้นมีกลิ่นหอมกลมกล่อมและมีรสหวานในปากของเขาแต่เทียบความหวานในปากนางไม่ได้...หลินซวงเอ๋อร์นั่งตรง ๆ แม้ว่านางจะไม่ได้มองเขา แต่นางมักรู้สึกเขากำลังจ้องมองนางอยู่ นางอดไม่ได้ที่ต้องตื่นตระหนก จนกระทั่งนางไม่รู้จะเขียนอย่างไรเยี่ยเป่ยเฉิงเห็นนางยังไม่เริ่มเขียนเขาถามนาง "
นางไม่เคยถูกตีมากนักตั้งแต่นางยังเป็นเด็ก ท่านแม่และท่านพ่อของนางไม่เคยพูดจารุนแรงกับนางเลย และพี่ชายของนางยิ่งรักนางและตามใจนางแต่ตั้งแต่นางมาอยู่จวนโหว นางกลับถูกรังแก หากนางทำอะไรไม่ดี นางถูกตีอยู่เสมอ...นางไม่ฉลาดตั้งแต่เกิด แล้วจะทำอย่างไรดีกับความโง่เขลาโดยกำเนิดจองนางได้ล่ะพี่ชายของนางเคยบอกนางว่า คนเราโง่ไม่เป็นไร ตราบใดที่เราตั้งใจทำสิ่งต่าง ๆ ความโง่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่นางเชื่อฟังคำพูดของพี่ชายของนาง ตั้งใจทำงานอย่าง นางไม่เคยบ่น ทำงานอย่างขยันขันแข็งและมีสติแต่ท่านอ๋องยังไม่พอใจอีก ยังตีฝ่ามือของนาง...หลินซวงเอ๋อร์สั่นเทาและร้องไห้ ตอนนี้นางกำลังยืนอยู่ใกล้จะพังทลาย นางอยากจะร้องไห้ออกมาดัง ๆ แนางจำได้ว่า เยี่ยเป่ยเฉิงไม่ชอบที่นางร้องไห้ นางกลัวทำให้เยี่ยเป่ยเฉิงโกรธอีก นางจึงกัดลิ้นของนางจนสะอื้น นางส่ายร่างกายเพื่ออดทนไว้ โดยมีน้ำตาไหลลงมาเป็นจำนวนมากสีหน้าของเยี่ยเป่ยเฉิงเปลี่ยนจากซีดเขียวเป็นซีดขาว และจากซีดขาวเป็นสีแดง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปหลายครั้ง และดวงตาที่ลึกล้ำของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์หลายอย่างหลินซวงเอ๋อร์เห็นสีหน้าของเยี่ยเป่ยเฉิงเป็นเช่นนี้ นางคิดว่า
เขารู้อยู่แล้วว่า หลินซวงเอ๋อร์ไม่มีที่พึ่ง จวนโหวคือบ้านของนาง หากนางถูกไล่ออกจากจวน นางจะไปไหนได้ล่ะอย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ตั้งใจจะไล่นางออกจากจวนโหวจริง ๆ เขาแค่อยากขู่นาง เพื่อไม่ให้นางร้องไห้อีกดวงตาของนางแดงก่ำจากการร้องไห้ บางทีอาจบวมจากการร้องไห้ด้วยซ้ำเดิมทีหลินซวงเอ๋อร์ปรับตัวได้แล้ว และเสียงร้องไห้ของนางก็ค่อย ๆ เงียบลง แต่เมื่อนางได้ยินเขาพูดเช่นนั้นต่อ อารมณ์ที่นางเพิ่งสงบลงก็สลายไปในทันทีท่านอ๋องแย่มากจริง ๆ หากนางเขียนไม่เป็น เขาตีฝ่ามือของนาง และยังไล่นางออกจากจวนอีกด้วยความเสียใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่หลินซวงเอ๋อร์ยิ่งคิดมากเท่าไร นางยิ่งรู้สึกน้อยใจ นางกลั้นความน้อยใจนั้นไม่ไหวอีกและร้องไห้เสียงดังในอ้อมแขนของเขา น้ำตาหยดใหญ่ไหลอาบเสื้อผ้ารอบหน้าอกของเขาร้องไห้หนักขนาดนี้เลยหรือเยี่ยเป่ยเฉิงตื่นตระหนกทันทีโดยไม่คาดคิดว่ามันมีผลตรงกันข้าม เยี่ยเป่ยเฉิงไม่รู้ทำอย่างไรดีและหมดคำพูดอยู่ครู่หนึ่งนางร้องไห้หนักเหมือนเด็กและร้องไห้อย่างไม่หยุดหลินซวงเอ๋อร์ไม่สนใจว่าเยี่ยเป่ยเฉิงจะทนไม่ไหวหรือไม่ นางไม่สนใจเยี่ยเป่ยเฉิงจะโกรธหรือไม่ที่เลวร้ายที่สุด เขาจะไล
เมื่อเผชิญหน้ากับการเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันของเยี่ยเป่ยเฉิง หลินซวงเอ๋อร์สับสนอย่างสิ้นเชิงในตอนแรกนางทำอะไรไม่ถูกและตัวแข็งทื่อต่อมา ภายใต้การยั่วยุของเยี่ยเป่ยเฉิงที่ชำนาญอย่างมาก ร่างกายที่แข็งทื่อของหลินซวงเอ๋อร์ก็อดสั่นไหวไม่ได้ จากนั้นนางจึงค่อย ๆ ผ่อนคลาย และร่างกายของนางก็นุ่มนวลขึ้นในทันใดเยี่ยเป่ยเฉิงอดไม่ได้ที่ต้องถอนหายใจยาว ๆ และการหายใจของเขาก็ค่อย ๆ เร็วขึ้นประสบการณ์นี้ดีจริง ๆ และทำให้เขารู้สึกมีความสุขมากมีข้อเสียอย่างเดียวคือ หลินซวงเอ๋อร์น่าเบื่อเกินไป และเขาเป็นคนที่กำหนดจังหวะตลอดกระบวนการทั้งหมดแต่มันก็ไม่สำคัญ ถึงกระนั้นเขาก็พอใจมากหากฝึกฝนมากขึ้นในอนาคต ผลจะดีขึ้นเยี่ยเป่ยเฉิงอยากสำรวจให้ลึกยิ่งขึ้น แต่จู่ ๆ คนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาก็เริ่มดิ้นรนจูบของเขาเปลี่ยนจากความอ่อนโยนในตอนแรกกลายเป็นการครอบงำมากขึ้นเรื่อย ๆ หลินซวงเอ๋อร์ค่อย ๆ รู้สึกว่านางหายใจไม่ออก และประสบการณ์อันน่าสยดสยองในคืนนั้นก็โผล่เข้ามาในสมองของนางหลินซวงเอ๋อร์รู้สึกหวาดกลัวในใจ เหงื่อเย็นเริ่มไหลออกมาบนหลังของนางนางปล่อยให้เขาทำเช่นนี้ต่อไม่ได้ หลินซวงเอ๋อร์เกือบจะจินตนา
“เจ้าไม่อยากหรือ” เยี่ยเป่ยเฉิงระงับอารมณ์ของเขาไว้และถามนางหลินซวงเอ๋อร์ส่ายหัว ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยการปฏิเสธ“ทำไมเจ้าไม่อยาก” เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วอย่างหนักหลินซวงเอ๋อร์กัดริมฝีปากของนาง ร่างกายของนางสั่นเล็กน้อยเพราะความกลัว นางสะอื้นสองครั้งแล้วตอบ " ท่านอ๋อง ข้าน้อยเป็นผู้ชาย ผู้ชายและผู้ชายไม่สามารถทำสิ่งนั้นได้..."จนถึงตอนนี้นางยังไม่ยอมบอกความจริงแก่เขา ทั้ง ๆ นางบอกความจริงแล้ว นางจะสามารถเป็นผู้หญิงของเขาได้อย่างถูกประเพณี...แต่นางกลับไม่บอกความจริงทำไมไม่บอกล่ะ เยี่ยเป่ยเฉิงไม่เข้าใจ นางกำลังลังเลเรื่องอันใดหรือว่านางคิดว่าเขา เยี่ยเป่ยเฉิง เป็นคนขาดความรับผิดชอบในเมื่อเขาเอานางแล้ว เขาจะรับผิดชอบนางด้วยคิ้วของเขาผ่อนคลายเล็กน้อย เยี่ยเป่ยเฉิงระงับความโกรธของเขาและพูดอย่างอดทน "หากข้าอยากเอาใครสักคน ไม่ว่าตัวตนของคนผู้นั้นจะเป็นเช่นไร ข้าก็ยอมรับได้ เพราะข้าต้องการแค่ตัวของคนผู้นั้น"หลังจากนั้นเขาจ้องมองนางด้วยสายตาหนักหน่วงและพูดทีละคำ: "แต่ นางจะต้องปิดบังเรื่องใด ๆ กับข้า"เขาคิดว่าเขาบอกเป็นนัยชัดเจนเพียงพอแล้ว และตอนนี้สิ่งเดียวที่เขาต้องการก็คือน
หลินซวงเอ๋อร์กลับมาที่ห้องของนาง นางนั่งทรุดตัวลงบนเตียง หัวใจของนางยังคงเต้นแรง หัวใจของนางเต้นแทบจะกระโดดออกจากลำคอ และตอนนี้ร่างกายของนางยังไม่ฟื้นตัวจากอาการที่ถูกกระทบเมื่อจากไป สีหน้าเย็นชาของเยี่ยเป่ยเฉิงทำให้นางกลัวมากยิ่งขึ้นนางนอนบนเตียง ทรุดตัวลงและซุกหัวลงในผ้าห่ม น้ำตาไหลอาบหน้าหลังจากหลินซวงเอ๋อร์ออกไป เยี่ยเป่ยเฉิงหยิบหนังสือเล่มจากโต๊ะ และโยนมันลงพื้นอย่างแรงจากนี้ไปเขาจะไม่อ่านหนังสือเล่มนี้อีกต่อไป แม้ว่าเขาได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว แต่ตอนนี้เขายังโกรธอยู่ เมื่อเขาอ่านหนังสือเล่มนี้ เขาจะนึกถึงหลินซวงเอ๋อร์ เมื่อเขานึกถึงหลินซวงเอ๋อร์ เขาจำได้ว่าเขาเข้าหานางเอง แต่นางยังรังเกยีจเขา เขาก็โกรธมากเยี่ยเป่ยเฉิงโกรธมากจนไม่กินอาหารเช้าด้วยซ้ำเขาออกจากจวนแล้วมุ่งไปที่หออวี๋เซียวทันทีเสวียนอู่เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงออกจากบ้านอย่างเร่งรีบ เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย“ ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้องจะไปเตรียมรถม้าให้ท่าน”"ไม่ต้อง" เยี่ยเป่ยเฉิงไม่ได้เลือกรถม้าใด ๆ แต่เขาขึ้นม้าของเขาอย่างไม่ลังเล และหายตัวไปจากสายตาของเสวียนอู่ในครู่หนึ่งเสวียนอู่ยืนอยู่ที่นั่น เขาตะลึงเล
ตงเหมยโกรธเล็กน้อยทันที "เป็นเพราะเหตุนี้นี่เองหรือ เขาจะไล่เจ้าออกจากจวนหรือ"หลินซวงเอ๋อร์พยักหน้าและพูดต่อ " ตงเหมย เจ้าพูดถูก ท่านอ๋องอาจชอบผู้ชายมากจริง ๆ แต่ข้าไม่ใช่ผู้ชายเสียหน่อย... " ขณะที่นางพูด น้ำตาก็ไหลมากขึ้น และตงเหมยเช็ดน้ำตาไม่ทันเลยตงเหมยเห็นนางเป็นเช่นนี้ ตงเหมยรีบเทน้ำหนึ่งแก้วจากโต๊ะให้นาง น้ำตาของหลินซวงเอ๋อร์แทบจะแห้งหมดแล้ว นางจึงรู้สึกกระหายน้ำเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงรับน้ำจากตงเหมย และดื่มเป็นคำใหญ่ไม่กี่คำ แต่เนื่องจากนางดื่มเร็วเกินไปและสำลักตัวเองสองสามครั้งตงเหมยฟังคำพูดของหลินซวงเอ๋อร์ นางโกรธอย่างมาก " ท่านอ๋องทรงทำเกินไปแล้ว ไล่เจ้าออกจากจวนเพียงเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้"หลินซวงเอ๋อร์ร้องไห้จนหายใจไม่ออก กระแทกกระบังลมของนางแล้วพูดต่อ "ใช่ แต่ข้าพยายามเรียนแล้ว วันนี้ท่านอ๋อง ให้ข้าเรียนเขียนอักษรสามสิบตัว ข้าจะทำได้อย่างไร ท่านแม่ของข้าเคยบอกข้าว่า ควรทำทุกอย่างทีละขั้นตอน จะให้คนทำสำเร็จในทีเดียวได้อย่างไรล่ะ"ตงเหมยตกใจ "สามสิบอักษร เยอะเช่นนี้เลยหรือ ท่านอ๋องมีมาตนฐานสูงเกินไป"หลินซวงเอ๋อร์ม้วนริมฝีปากของนางแล้วพูดต่อ "ข้าเป็นคนโง่โดยกำเนิด ข้า
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก