เยี่ยเป่ยเฉิงมองทุกคนด้วยสายตาเย็นชา น้ำเสียงของเขาก็ยังแสดงถึงความไม่พอใจ "ใครรินเหล้าให้นาง"ทุกคนต่างพากันมองหน้ากันมีปกป้องจากเยี่ยเป่ยเฉิง ใครมันจะกล้ารินเหล้าให้แก่นางได้กัน?รองแม่ทัพมองดูแก้วเหล้าที่อยู่ตรงหน้าของหลินซวงเอ๋อร์จึงตระหนักได้ในทันที จากนั้นก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม "พวกเราไม่กล้าเทเหล้าให้เขาหรอก เด็กหนุ่มคนนี้หยิบจอกผิดและน่าจะดื่มเหล้าท่านอ๋องไปขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงมองไปที่จอกเหล้าที่อยู่ตรงหน้าเขา เหล้าที่ถูกเติมเอาไว้จนเต็มตอนนี้มันกลับว่างเปล่า นางดื่มมันเข้าไปจนไม่เหลือทิ้งเอาไว้สักหยดแม้แต่ชายชาตรีที่ไม่ได้มีทักษะในการดื่มหากดื่มเหล้าบุตรสาวเข้าไปก็ยังทนไม่ได้ แล้วคนเช่นนางมันจะไปเหลืออะไรทุกคนหัวเราะเสียงดัง ที่แท้มันก็เป็นความเข้าใจผิดกันก็เท่านั้นเองรองนายพลหวังขุ่ยมองดูจานถั่วที่เหลือแต่เศษบนโต๊ะ จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างติดตลกว่า "เจ้าหนุ่มนั่นกินถั่วจนหมดจานแล้ว กระหายก็คงหยิบเหล้าไปดื่ม ไม่ก็คงเผลอดื่มมันเข้าไปอึกใหญ่เอง”ทุกคนพากันระเบิดเสียงหัวเราะดังขึ้นมาอีกครั้งหลินซวงเอ๋อร์รู้สึกวิงเวียนและไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก เสียงดังที่อยู่รอบตั
หากไม่มีสายรัดตัว ร่างกายของหญิงสาวก็นุ่มนวลลง เยี่ยเป่ยเฉิงอุ้มนางเอาไว้ในอ้อมแขนของเขา ซึ่งมันก็รู้สึกเบาหวิวราวกับผ้าฝ้ายมือของเยี่ยเป่ยเฉิงจับไปที่เอวของนางโดยไม่รู้ตัว ช่วงเอวที่อ่อนนุ่มโดยปราศจากสายรัด มันทำให้เขาต้องกลั้นหายใจเอาไว้นางช่างอ่อนนุ่มเสียจริง......นางนอนหลับอย่างสงบเงียบ เยี่ยเป่ยเฉิงอดไม่ได้ที่จะลดสายตาลงมองนางอย่างระมัดระวังแก้มของหลินซวงเอ๋อร์สีแดงระเรื่อจากอาการเมา ราวกับก้อนเมฆสีแดงสองก้อนที่กำลังล่องลอย ขนตาของนางหนาและเป็นแพยาว จมูกเล็กแต่สูงโด่ง ริมฝีปากของนางก็ยังดูชุ่มชื้นเป็นสีชมพู......ยิ่งมองก็ยิ่งเพลินตา ยิ่งมองก็ยิ่งดูดีมากยิ่งขึ้นเยี่ยเป่ยเฉิงจ้องมองด้วยความหลงไหล คนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาไม่รู้ว่ากำลังฝันถึงอะไร ถึงได้เผยอริมฝีปากเเละพ่นลมหายใจออกมาอย่างรวดเร็วท่าทางไม่ได้ตั้งใจนี้มันดึงดูดผู้อื่นโดยไม่รู้ตัวดวงตาของเยี่ยเป่ยเฉิงจับจ้องไปยังริมฝีปากของหลินซวงเอ๋อร์ ทว่าจู่ๆ เขาก็สะดุ้งขึ้นมาทันทีความคิดสกปรกผุดขึ้นมาอีกครั้งแล้วในพื้นที่อันมืดมิดนี้ กลิ่นอันหอมหวานของเหล้าผสมผสานกับกลิ่นหอมอันละเอียดอ่อนของหญิงสาวเยี่ยเป่ยเฉิงค่
บรรยากาศภายในรถม้ายิ่งร้อนขึ้นเรื่อยๆไฟราคะในดวงตาของเยี่ยเป่ยเฉิงแทบจะพวบพุ่งออกมาตอนนี้จู่ๆ รถม้าก็หยุดลงพร้อมกับเสียงร้องของเสวียนอู่ที่ร้องตะโกนว่า "ถึงแล้วขอรับ ท่านอ๋อง"การเคลื่อนไหวของเยี่ยเป่ยเฉิงชะงักไป ทว่าครู่หนึ่งก็กลับมาเป็นปกติหลินซวงเอ๋อร์เมื่อหรี่ตาลงมองชุดที่ไม่เรียบร้อยดี จู่ๆ มันก็ทำให้เขาก็รู้สึกรำคาญใจขึ้นมาใยถึงทนไม่ได้ขึ้นมา หรือว่าเขาได้ทำเรื่องที่เลวร้ายกับนางไปอย่างนั้นเหรอ!เยี่ยเป่ยเฉิงพบว่า เมื่ออยู่ต่อนหน้าหลินซวงเอ๋อร์เขามักจะควบคุมตัวเองไๆม่ได้ เรื่องสมาธิ หรือแม้แต่การบำเพ็ญฝีกตนก็ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งสิ้นหลินซวงเอ๋อร์หลังจากที่ได้จัดการกับชุดเป็นที่เรียบร้อยเเล้ว เยี่ยเป่ยเฉิงก็เอาสายรัดเอวกลับไปรัดให้นางอีกครั้งด้วยท่าทีระมัดระวังเขาจัดการชุดของตนให้เข้าที่ ปรับความปรารถนาที่อยู่ในแววตาของตนให้เป็นปกติ จากนั้นก็เปิดม่านออกด้วยสีหน้าราวกับไม่แยแสต่อสิ่งใดท่านป้าจ้าวและตงเหมยไม่รู้ว่ารออยู่ที่หน้าจวนโหวมานานสักเพียงใดแล้ว เมื่อเห็นเยี่ยเป่ยเฉิงอุ้มหลินซวงเอ๋อร์เอาไว้ในอ้อมแขนลงมาจากรถม้า ทั้งสองคนก็รีบปรี่ตรงเข้าไปทันทีตงเหมยมองหล
ให้ตายเถอะ ในที่สุดข้าก็นอนหลับดีๆ เสียที แต่เผลอหลับไปเสียหน่อยจนลืมเรื่องการรับใช้เจ้านายไปเสียเลยนางเร่งรีบเข้าไปในห้องของเยี่ยเป่ยเฉิงพร้อมกับอ่างน้ำอุ่นอย่าง แต่หลินซวงเอ๋อร์ก็พบว่าเยี่ยเป่ยเฉิงได้จัดการตัวเองเสร็จ กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือเพื่่ออ่านตำราอย่างตั้งใจหลินซวงเอ๋อร์หายใจหอบยืนตัวสั่นขณะที่เดินไปหาเยี่ยเป่ยเฉิง นางคุกเข่าลงและพูดออกมาด้วยเสียงสั่นเทา " ท่านอ๋อง......ข้าน้อยนอนหลับเพลินไปเสียหน่อย ท่านอ๋องได้โปรดลงโทษด้วยเจ้าค่ะ"เยี่ยเป่ยเฉิงไม่ได้เงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาจดจ่ออยู่กับตำรา เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงปกติ "ไม่เป็นไร ลุกขึ้นเถอะ"หลินซวงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นเหลือบมองเขาอย่างลับๆ ซึ่งนางก็ได้ค้นพบว่าวันนี้เขาดูอารมณ์ดีกว่าปกติ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เอาความผิดของนางมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อยผ่านเรื่องราวทั้งหมดนั้นมา หลินซวงเอ๋อร์ก็รู้สึกว่าตนนั้นมีโชคเป็นอย่างมาก“เช่นนั้นข้าน้อยก็ต้องขอตัวก่อน หากท่านอ๋องมีเรื่องอันใดก็เรียกหาข้าน้อยได้เลยเจ้าค่ะ” หลินซวงเอ๋อร์กำลังจะออกไป แต่จู่ๆ เยี่ยเป่ยเฉิงก็เปิดปากพูดออกมาอีกครั้ง“อย่าเพิ่งไป มาช่วยฝนหมึกให้ข้าหน่อย”หลิ
หลินซวงเอ๋อร์ไม่อยากเรียนรู้จริง ๆ แม้ว่านางต้องรู้หนังสือ แต่นางก็ไม่ควรเรียนรู้จากหนังสือเล่มนี้“ ท่านอ๋อง ท่านเปลี่ยนหนังสือเล่มอื่นมิได้หรือ” หลินซวงเอ๋อร์พลิกหนังสือในมือของนาง ติ่งหูของนางแดงมากจนแทบจะเลือดออกตอนนี้เยี่ยเป่ยเฉิงคิดที่จะฝึกเขียนตัวอักษร เขาไม่เงยหน้าขึ้น เขากล่าว "หลังจากเรียนหนังสือเล่มนี้เสร็จ เจ้าน่าจะรู้ตัวอักษรทั้งหมด"หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกว่าเยี่ยเป่ยเฉิงแปลกในบางครั้งเขามักจะชอบสั่งนางอเรียนรู้สิ่งนี้หรือสิ่งนั้น ไม่ว่านางจะอยากเรียนรู้หรือไม่ หรือนางจะเรียนรู้มันได้หรือไม่ใบหน้าของหลินซวงเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นสีแดง และนางมองไปที่สมุดภาพ นางไม่อยากอ่านมันเยี่ยเป่ยเฉิงเหลือบมองนางอย่างสงบ เนื่องจากคู่นี้นั่งอยู่ตรงข้ามกัน จึงไม่สะดวกสอน ดังนั้นเขาจึงพูด "นั่งข้างข้า"เก้าอี้ที่เขานั่งอยู่นั้นเป็นเก้าอี้คู่ที่สามารถรองรับคนได้สองคนหลินซวงเอ๋อร์ไม่เต็มใจ แต่นางไม่กล้าแสดงออกมานางเหลือบมองเยี่ยเป่ยเฉิงแวบหนึ่งด้วยใบหน้าสีแดง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยการต่อต้านเยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วและน้ำเสียงของเขาดูจริงจังกว่าเดิมเล็กน้อย "เจ้าคือคนรับใช้เคียงข้างข้า ดัง
เยี่ยเป่ยเฉิงสอนอย่างละเอียด หลินซวงเอ๋อร์ตั้งใจฟังด้วย และในไม่ช้านางก็สามารถอ่านบรรทัดนี้ด้วยตัวเองหลังจากนั้นเยี่ยเป่ยเฉิงหยิบพู่กันขึ้น จุ่มลงในหมึก และเขียนอักษรตัวเล็ก ๆ เหล่านั้นลงบนกระดาษทีละขีดวิธีเขียนอักษรของเขาทรงพลังอย่างมาก ซึ่งทำให้หมึกซึมไปด้านหลังของกระดาษ เช่นเดียวกับตัวเขาเองเพื่อให้หลินซวงเอ๋อร์เรียนรู้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เขายังแบ่งอักษรออกเป็นส่วน ๆ และเขียนตามลำดับทีละขีด"ดูดี ๆ ทุกจังหวะควรเป็นไปตามลำดับในบทความนี้"หลินซวงเอ๋อร์รับพู่กันไว้ นางจุ่มลงในหมึก นางมองดูกระดาษสีขาว แต่นางไม่เขียนเป็นเวลานานหมึกสีดำหยดลงบนกระดาษสีขาว บานสะพรั่งเป็นดอกหมึกเยี่ยเป่ยเฉิงเห็นนางยังคงนิ่งเฉย เขาเลยหันไปมองนางจากนั้นเขาจึงสังเกตใบหน้าของนางแดงก่ำ และคิ้วที่สวยงามของนางก็ขมวดเข้าหากันเขา หลินจึงนึกออกหลินซวงเอ๋อร์อ่านหนังสือไม่เป็น แล้วนางจะเขียนเป็นได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่นางจับพู่กัน ดังนั้นนางคงเขียนไม่เป็นเยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า "เขียนอักษรหนึ่งตัวที่เจ้าอยากเขียนมากที่สุด ไม่ว่าจะสวยหรือไม่ เจ้าต้องพยายามเขียนให้ได้ก่อน"
หลินซวงเอ๋อร์ถาม "สรุปเขาอยากตายหรืออยากมีชีวิตอยู่"เดิมทีเยี่ยเป่ยเฉิงกำลังอ่านตำราพิชัยสงครามอยู่ เมื่อเขาเห็นนางถาม เขาวางหนังสือในมือลงแล้วโน้มตัวไปหานางเดิมทีสองคนนี้อยู่ใกล้กันอยู่แล้ว แต่ทันทีที่เขาโน้มตัวลงมา หน้าอกอันกว้างใหญ่ของเขาก็กดลงบนนางทันที หลินซวงเอ๋อร์ รู้สึกเหมือนมีภูเขาทับตัวนาง ซึ่งทำให้นางหายใจยาก“เจ้าไม่เข้าใจอะไร” เยี่ยเป่ยเฉิงเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ ลมหายใจของเขาเกือบจะปลิวไปบนใบหน้าของหลินซวงเอ๋อร์ในขณะที่เขาพูดหลินซวงเอ๋อร์รู้สึกแก้มของนางคันและร้อน นางอดไม่ได้ที่ต้องถอยตัวเยี่ยเป่ยเฉิงเอามือใหญ่โอบเอวของนาง แล้วดึงนางกลับอย่างครอบงำ "ตั้งใจหน่อย"เขาใช้มือข้างหนึ่งจับเอวของนาง และมืออีกข้างหนึ่งประคองไว้บนโต๊ะ ร่างผอมบางของหลินซวงเอ๋อร์ถูกกักขังอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างครอบงำฝ่ามืออันใหญ่ที่คลุมเอวของนางร้อนมากจนหลินซวงเอ๋อร์รู้สึกอึดอัดไปทั่ว นางชี้ไปที่คำที่นางเพิ่งเขียนบนกระดาษแล้วถาม"ปรารถนา ชีวิตเป็น ปรารถนา ความตาย"มือที่โอบเอวของนางแน่นขึ้นอย่างอธิบายไม่ถูกหลินซวงเอ๋อร์นึกว่านางอ่านอะไรผิดอีกแล้ว นางเงยหน้าขึ้นและมองเขาอย่างหวาดกลัว
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงจึงรู้สึกโล่งใจหลินซวงเอ๋อร์เปิดหน้าต่าง แล้วรินน้ำให้เยี่ยเป่ยเฉิงอีกแก้ว เมื่อนางกลับมา นางสังเกตเยี่ยเป่ยเฉิงจ้องมองนางโดยบังเอิญดวงตาของเขาลุกเป็นไฟราวกับหมาป่าหรือเสือ ราวกับว่าเขาต้องการกลืนกินนางหลินซวงเอ๋อร์รู้สึกตัวสั่นอย่างอธิบายไม่ถูก และมีหยดน้ำสองสามหยดในถ้วยชากระเด็นออกมาเยี่ยเป่ยเฉิงมองดูนางเช่นนี้โดยไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อเขาเห็นนางลากเท้าและใช้เวลานานมากในการตักน้ำ เขาก็ใจร้อนเล็กน้อย "ทำไมเจ้าไม่รีบหน่อย อักษรที่ต้องฝึกเขียนในวันนี้ เจ้าเขียนยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งเลย เดี๋ยวข้าจะทดสอบเอง "การพูดและสีหน้าของเยี่ยเป่ยเฉิงในตอนนี้น่ากลัวจริง ๆ หลินซวงเอ๋อร์รีบพยักหน้าและรีบเดินไปที่ที่นั่งของเขาและนั่งลงเยี่ยเป่ยเฉิงรับชาจากมือของนางแล้วจิบหนึ่งคำ ชานั้นมีกลิ่นหอมกลมกล่อมและมีรสหวานในปากของเขาแต่เทียบความหวานในปากนางไม่ได้...หลินซวงเอ๋อร์นั่งตรง ๆ แม้ว่านางจะไม่ได้มองเขา แต่นางมักรู้สึกเขากำลังจ้องมองนางอยู่ นางอดไม่ได้ที่ต้องตื่นตระหนก จนกระทั่งนางไม่รู้จะเขียนอย่างไรเยี่ยเป่ยเฉิงเห็นนางยังไม่เริ่มเขียนเขาถามนาง "
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก