“ ซวงเอ๋อร์ เจ้าแก้มัดมัน แล้วปล่อยให้มันนำทาง พวกเราจะได้ตามมันออกไป”“เพคะ” หลินซวงเอ๋อร์รับปลดสายบังเหียนที่ผูกไว้กับต้นไม้อย่างรวดเร็ว…...เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ทุกคนก็ยุติการล่า และพากันกลับค่ายเยี่ยเป่ยเฉิงล่าสุนัขจิ้งจอกขาวได้สองตัว และคิดว่าจะทำเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกให้กับหลินซวงเอ๋อร์เมื่อคิดว่าวันนี้นางอารมณ์ไม่ดี ก็แสดงว่ารู้สึกหดหู่อยู่ในใจ เยี่ยเป่ยเฉิงจึงคิดที่จะใช้สุนัขจิ้งจอกสองตัวนี้เอาใจนางหลินซวงเอ๋อร์เป็นคนที่มีความคิดไร้เดียงสา ไม่ผูกพยาบาท ถ้าเขาง้อนางดีๆ นางจะต้องลืมเรื่องที่ไม่เบิกบานใจเหล่านั้นได้อย่างแน่นอนใครจะไปรู้ว่า เมื่อกลับมาถึงค่าย เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พบร่างที่สดใสร่างนั้นวิ่งมาหาเขาเยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป จากที่เขารู้จักหลินซวงเอ๋อร์ ถ้าได้ยินว่ามีการเคลื่อนไหว สาวน้อยคนนั้นจะต้องกระโดดเข้าสู่อ้อมแขนของเขาอย่างอดรนทนไม่ไหวแล้วขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่ เขาก็เห็นนางกำนัลคนหนึ่งคุกเข่าต่อหน้าองค์จักรพรรดิด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก“ องค์หญิงฮุ่ยอี๋ล่ะ? เหตุใดข้าถึงไม่เห็นนาง?” องค์จักรพรรดิถือจิ้งจอกแดงตัวหนึ่งเอาไว้ในมือ กำล
เมื่อเห็นดังนี้ หัวใจของหลายๆคนก็ตึงเครียดขึ้นมาทันทีพื้นที่ล่าสัตว์ของราชวงศ์นั้นอันตรายมาก มีสัตว์ดุร้ายหลายชนิดในนั้น แม้แต่เสือดาวที่ดุร้ายแบบเมื่อสักครู่นี้ นักล่าธรรมดาก็ใช่ว่าจะสามารถปราบมันได้ ไม่ต้องพูดถึงผู้หญิงที่ไม่มีอาวุธเลย...“มีคนจงใจดัดแปลงแถบผ้าสีแดง เสาไม้ที่แบ่งพื้นที่ล่าสัตว์ก็มีรูขนาดใหญ่เช่นกัน มีคนจงใจชักนำพวกนางเข้าไปในพื้นที่ล่าสัตว์” ไป๋อวี้ถังกล่าวด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมในเวลานี้ เยี่ยเป่ยเฉิงสังเกตเห็นว่าฉีหมิงผิดปกติไป เขาจ้องมองไปที่เสือดาวที่ตายแล้วบนพื้นด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม แววตาแห่งความโศกเศร้านั้น ทำให้เยี่ยเป่ยเฉิงเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีอยู่ในใจเล็กน้อย“ เสือดาวตัวนี้กินอะไร? ท้องถึงได้ใหญ่มากขนาดนี้? ” ไป๋อวี้ถังก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว นั่งยองๆแล้วพินิจมองเสือดาวอย่างละเอียดเมื่อสักครู่นี้สังเกตเห็นความผิดปกติของเสือดาวตัวนี้เสือดาวธรรมดามีความคล่องแคล่วว่องไวมาก แต่ตัวนี้ช้ากว่าปกติมากสายตาของเขาจับจ้องไปที่ท้องที่นูนสูงของมัน ไป๋อวี้ถังก็ตระหนักได้ในทันทีที่แท้ก็กินมากจนเกินไป ทำให้มันเคลื่อนไหวช้าขึ้นฉีหมิงดึงผ้าออกจากปากของเส
ไป๋อวี้ถังสูดลมหายใจยาวๆ และแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง: "มันเป็นแค่กวางตัวหนึ่งก็เท่านั้น แม่นางหลินกับองค์หญิงจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน"ทันทีที่พูดจบ ทันใดนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงกระดิ่งที่ไพเราะกังวานดังมาจากในป่าเยี่ยเป่ยเฉิงลุกขึ้นยืนทันที เขาหันหลังกลับ และวิ่งไปในทิศทางของเสียงอย่างรวดเร็วเขาร้อนใจมาก จึงพุ่งไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่ม้าก็ไม่ขี่ฉีหมิงและไป๋อวี้ถังติดตามหลังเยี่ยเป่ยเฉิงไปอย่างใกล้ชิด…...ลูกม้านำทางอยู่ข้างหน้า หลินซวงเอ๋อร์และฮุ่ยอี๋เดินตามหลังม้าอย่างใกล้ชิดเมื่อเดินไปข้างหน้า ต้นไม้ที่อยู่ข้างหน้าก็เบาบางลง จนกระทั่งมองเห็นกองไฟลุกโชนอยู่ในค่าย ทั้งสองจึงแน่ใจว่า พวกนางเดินออกมาแล้วจริงๆ“ ซวงเอ๋อร์ เจ้าดูสิ มีไฟอยู่ตรงหน้า พวกเราเดินออกมาแล้วจริงๆ” ฮุ่ยอี๋เผยสีหน้าที่ดีใจออกมา เมื่อสักครู่นี้นางหวาดกลัวใมากเท่าไหร่ ตอนนี้นางก็ดีใจมากเท่านั้นภาพลักษณ์อันสสูงส่งง่างามในอดีตไม่มีอีกต่อไปแล้ว ปิ่นปักผมอันประณีตของฮุ่ยอี๋ ถูกกิ่งไม้เกี่ยวพันจนยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว ปิ่นปักผมบนศีรษะก็สอดเข้าไปในมวยผมแบบเอนเอียง ดูไปแล้วสะบักสะบอมมากหลินซวงเอ๋อร์ชี้ไปที่ศีรษะของฮุ่ยอี
เขากอดนางแน่นจนเกินไป หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกว่าตนเองจะหายใจไม่ออกเมื่อแก้มของนางแนบชิดบนหน้าอกที่ร้อนผ่าวของเขา หลินซวงเอ๋อร์ก็สัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงของเขา เต้นตึกตัก ราวกับว่าตีกลองสงครามในสนามรบลมหายใจอันหนักหน่วงกระทบบนคอของนาง ทำให้นางวิตกกังวลอย่างไม่มีสาเหตุ“สวามี ท่านเป็นอะไรไปหรือ?” หลินซวงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมาจากอ้อมแขนของเขา จ้องมองเขาด้วยนัยน์ตาที่ชัดเจนสดใสเยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า: "ไม่มีอะไร เมื่อสักครู่นี้แค่ตกใจก็เท่านั้นเอง"ดูท่าทางของเขาแล้วเห็นได้ชัดว่าตกใจมาก หลินซวงเอ๋อร์ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา และถามอย่างสงสัยว่า: " สวามีตกใจกลัวอะไรหรือ? เหตุใดถึงมีสีหน้าที่ซีดเซียวขนาดนี้? "เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า: " ซวงเอ๋อร์อย่าเพิ่งถามเลย ให้สวามีกอดเจ้าหน่อย"ในเวลานี้ ฉีหมิงกับไป๋อวี้ถังก็ทยอยตามมาถึงทีละคนเมื่อเห็นว่าหลินซวงเอ๋อร์ปลอดภัย ทั้งสองคนก็โล่งใจเป็นอย่างยิ่ง“คนไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” ไป๋อวี้ถังปกปิดอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในดวงตา แสร้งทำเป็นผ่อนคลายจากนั้นเยี่ยเป่ยเฉิงก็ปล่อยนาง แต่สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่หลินซวงเอ๋อร์เมื่อเห็นสีหน้าที่เคร่งเครียดของพว
ตอนแรกหลินซวงเอ๋อร์ปฏิเสธที่จะสวมใส่มัน แต่ฮุ่ยอี๋พูดด้วยสีหน้าที่เย็นชาว่า: "ทำไม? เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้รังเกียจเสื้อผ้าของข้า?"หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: "ข้าจะไปกล้ารังเกียจได้อย่างไร แต่ท่านเป็นองค์หญิง ข้าจะใส่เสื้อผ้าของท่านได้อย่างไร?"ฮุ่ยอี๋กล่าวว่า: " หลินซวงเอ๋อร์! ข้าสั่งให้เจ้าใส่มัน หากมีใครกล้าว่าร้ายเจ้า เข้าจะดึงลิ้นของนางออกมาแทนเจ้าเอง!"หลินซวงเอ๋อร์ไม่อาจปฏิเสธน้ำใจของนางได้ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุด ก็คือการสวมเสื้อผ้าของฮุ่ยอี๋ คิดไม่ถึงว่าจะสวมใส่ได้พอดีเมื่อเห็นว่าศีรษะของนางไม่มีสวมใส่อะไรเลย ฮุ่ยอี๋ก็หยิบกล่องแต่งหน้าของตนเองออกมา วางแหวน ปิ่นปักผม และเครื่องประดับอันแวววาวไว้ที่ข้างหน้าหลินซวงเอ๋อร์ แล้วกล่าวว่า "ดูเจ้าสิ เหตุใดท่านลุงถึงไม่ซื้อเครื่องประดับดีๆให้เจ้าเลยนะ? เครื่องประดับที่อยู่ที่นี่ของข้า ล้วนทำมาจากช่างฝีมือในพระราชวัง ถ้าเจ้าชอบอันไหน ก็หยิบไปได้เลย ข้าให้เจ้า "หลินซวงเอ๋อร์อธิบายว่า: "สวามีของข้าซื้อให้ข้าหมดแล้ว แค่วันนี้ไม่ได้ใส่ก็เท่านั้นเอง"ฮุ่ยอี๋กล่าวว่า: "ซื้อแล้วเหตุใดถึงไม่ใส่? ตัดใจไม่ได้? ดูท่าทางที่ไม่เอาไหนของเจ้าสิ! หร
หลินซวงเอ๋อร์นั่งลงข้างเยี่ยเป่ยเฉิงปิ่นปักผมบนศีรษะก็ส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊งเยี่ยเป่ยเฉิงเห็นว่าม่านลูกปัดบนหน้าผากของนางเกือบจะบดบังดวงตา จึงยกมือขึ้นแล้วเหน็บม่านลูกปัดไว้ที่ด้านหลังหูของนางทันใดนั้นหลินซวงเอ๋อร์ก็มองเห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น“สวามี สวยไหม?” หลินซวงเอ๋อร์ชี้ไปที่ศีรษะที่เต็มไปด้วยเครื่องประดับของตน อยากจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออกเล็กน้อยเยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า: "สวยมาก ถ้าซวงเอ๋อร์ชอบมันมากขนาดนี้ เหตุใดถึงไม่ใส่ที่สวามีรมอบให้ล่ะ?"หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: " นี่คือของที่องค์หญิงมอบให้ "เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า: " ในเมื่อเป็นน้ำใจของนาง ซวงเอ๋อร์ก็รับไว้เถิด แต่ว่าต่อไปนี้ จะต้องใส่แต่ของที่สวามีมอบให้เท่านั้น รู้หรือไม่? "“ได้เลย” หลินซวงเอ๋อร์ยิ้มตาหยี ลักยิ้มลูกแพร์ทั้งสองจุดบนแก้มทั้งน่ารักทั้งงดงามสายตาของฉีหมิงจับจ้องมาที่หลินซวงเอ๋อร์อยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นทั้งสองมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ก็รู้สึกหดหู่อยู่ในใจเป็นอย่างมาก จึงเงยหน้าขึ้นแล้วดื่มเหล้าไปหนึ่งถ้วยใหญ่ๆพอเหล้าอันเข้มข้นเข้าไปในลำคอ รู้สึกแสบร้อนที่หน้าอก แต่เขากลับเพิกเฉย ยกมือขึ้นรินเหล้าเข้
หลินซวงเอ๋อร์ก้มหน้าลงมอง ก็ไม่รู้ว่าในชามเต็มไปด้วยเนื้อปรุงสุกตั้งแต่เมื่อไหร่เยี่ยเป่ยเฉิงยังคีบผักลงไปในชามของนาง: "กินก่อน"หลินซวงเอ๋อร์หิวมานานแล้ว เมื่อมองดูเนื้อที่หอมน่ากินอยู่ในชาม ดวงตาก็ไม่มองไปรอบๆอีก ตอนนี้นางหยิบตะเกียบขึ้นมาก้มศีรษะลงแล้วมุ่งความสนใจไปที่การกินเยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า: " กินช้าๆ ไม่มีใครแย่งเจ้าหรอก "ฮุ่ยอี๋ก็หิวเช่นกัน เพียงแต่นั่งข้างฉีหมิง ถึงอย่างไรก็ต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์เล็กน้อย เทียบกับตอนที่อยู่ในป่า ที่กินมันเทศป่ากับหลินซวงเอ๋อร์ไม่ได้เลยหลังจากกินเนื้อกวางไปสองสามชิ้นแล้ว ก็มีคนยกเนื้อย่างเสียบไม้มาหลินซวงเอ๋อร์รู้สึกหลงใหลในกลิ่นหอมที่เผ็ดฉุนนั้นทันทีนางเลียริมฝีปาก หยิบเนื้อย่างขึ้นมาหนึ่งไม้ แล้วอ้าปากกัดทันทีกลิ่นหอมไหม้ของยี่หร่ากระจายไปในอากาศ เนื้อย่างเสียบไม้ที่ย่างบนถ่านไฟดังฟี๊ดๆ เนื้อย่างกรอบนอกนุ่มใน หลินซวงเอ๋อร์เคี้ยวมันอยู่ในปาก ไม่ต้องพูดถึงว่าพึงพอใจมากแค่ไหนแม้ว่ารูปแบบการกินของหลินซวงเอ๋อร์จะดูสบายๆ แต่ก็ไม่ได้หยาบคายเลย ในทางกลับกันดูเหมือนว่าจะกระตุ้นความอยากอาหารของผู้คนได้ เนื้อย่างเสียบไม้ธรรมดาดูเหมือนจะ
เหล้าผลไม้นี้ช่างเข้มข้นสดชื่นจริงๆ แถมยังมีกลิ่นหอมของผลไม้ที่เข้มข้นอีกด้วยหลินซวงเอ๋อร์ไม่เคยดื่มเหล้าผลไม้ที่อร่อยเช่นนี้มาก่อน พอได้ดื่มก็เริ่มติดใจเยี่ยเป่ยเฉิงอยากจะห้ามปราม แต่ฮุ่ยอี๋กลับกล่าวว่า "ท่านลุงไม่ต้องกังวลมากขนาดนั้น ข้าก็ดื่มเหล้าไม่เก่ง แต่เสด็จแม่ของข้าบอกว่า เหล้าผลไม้นี้ไม่ทำให้มึนเมา เหมาะมากที่จะนำมาดื่มคู่กับเนื้อย่าง "ฮุ่ยอี๋เต็มไปด้วยความมั่นใจ เทเหล้าเข้าไปในถ้วยของตนเองและหลินซวงเอ๋อร์แบบเต็มถ้วยอีกครั้งหลินซวงเอ๋อร์เลียริมฝีปาก ทำท่าเหมือนจะยกถ้วยเหล้าขึ้นมาดื่มให้หนำใจอีกครั้งเยี่ยเป่ยเฉิงจับถ้วยเหล้าเอาไว้ แล้วกล่าวอย่างอบอุ่นว่า: " ซวงเอ๋อร์ รสชาติดีก็ไม่ควรดื่มมากจนเกินไป"หลินซวงเอ๋อร์พูดอย่างออดอ้อนว่า: "สวามี ดื่มแค่ถ้วยเดียว ดื่มถ้วยเดียวถ้วยสุดท้ายได้หรือไม่?"ทันทีที่นางออดอ้อน เยี่ยเป่ยเฉิงก็ทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย สุดท้ายก็ต้องทำตามใจนาง และกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ว่า: " ซวงเอ๋อร์คนดี ดื่มถ้วยสุดท้ายนะ ดื่มเสร็จแล้วพวกเรากลับบ้านกัน ตกลงไหม?"หลินซวงเอ๋อร์กลัวว่าเยี่ยเป่ยเฉิงจะกลับคำ จึงรีบยกถ้วยเหล้าขึ้นมาแล้วดื่มเหล้าผลไม้หมดภายในรวดเ
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก