หลินซวงเอ๋อร์ก้มหน้าลงมอง ก็ไม่รู้ว่าในชามเต็มไปด้วยเนื้อปรุงสุกตั้งแต่เมื่อไหร่เยี่ยเป่ยเฉิงยังคีบผักลงไปในชามของนาง: "กินก่อน"หลินซวงเอ๋อร์หิวมานานแล้ว เมื่อมองดูเนื้อที่หอมน่ากินอยู่ในชาม ดวงตาก็ไม่มองไปรอบๆอีก ตอนนี้นางหยิบตะเกียบขึ้นมาก้มศีรษะลงแล้วมุ่งความสนใจไปที่การกินเยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า: " กินช้าๆ ไม่มีใครแย่งเจ้าหรอก "ฮุ่ยอี๋ก็หิวเช่นกัน เพียงแต่นั่งข้างฉีหมิง ถึงอย่างไรก็ต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์เล็กน้อย เทียบกับตอนที่อยู่ในป่า ที่กินมันเทศป่ากับหลินซวงเอ๋อร์ไม่ได้เลยหลังจากกินเนื้อกวางไปสองสามชิ้นแล้ว ก็มีคนยกเนื้อย่างเสียบไม้มาหลินซวงเอ๋อร์รู้สึกหลงใหลในกลิ่นหอมที่เผ็ดฉุนนั้นทันทีนางเลียริมฝีปาก หยิบเนื้อย่างขึ้นมาหนึ่งไม้ แล้วอ้าปากกัดทันทีกลิ่นหอมไหม้ของยี่หร่ากระจายไปในอากาศ เนื้อย่างเสียบไม้ที่ย่างบนถ่านไฟดังฟี๊ดๆ เนื้อย่างกรอบนอกนุ่มใน หลินซวงเอ๋อร์เคี้ยวมันอยู่ในปาก ไม่ต้องพูดถึงว่าพึงพอใจมากแค่ไหนแม้ว่ารูปแบบการกินของหลินซวงเอ๋อร์จะดูสบายๆ แต่ก็ไม่ได้หยาบคายเลย ในทางกลับกันดูเหมือนว่าจะกระตุ้นความอยากอาหารของผู้คนได้ เนื้อย่างเสียบไม้ธรรมดาดูเหมือนจะ
เหล้าผลไม้นี้ช่างเข้มข้นสดชื่นจริงๆ แถมยังมีกลิ่นหอมของผลไม้ที่เข้มข้นอีกด้วยหลินซวงเอ๋อร์ไม่เคยดื่มเหล้าผลไม้ที่อร่อยเช่นนี้มาก่อน พอได้ดื่มก็เริ่มติดใจเยี่ยเป่ยเฉิงอยากจะห้ามปราม แต่ฮุ่ยอี๋กลับกล่าวว่า "ท่านลุงไม่ต้องกังวลมากขนาดนั้น ข้าก็ดื่มเหล้าไม่เก่ง แต่เสด็จแม่ของข้าบอกว่า เหล้าผลไม้นี้ไม่ทำให้มึนเมา เหมาะมากที่จะนำมาดื่มคู่กับเนื้อย่าง "ฮุ่ยอี๋เต็มไปด้วยความมั่นใจ เทเหล้าเข้าไปในถ้วยของตนเองและหลินซวงเอ๋อร์แบบเต็มถ้วยอีกครั้งหลินซวงเอ๋อร์เลียริมฝีปาก ทำท่าเหมือนจะยกถ้วยเหล้าขึ้นมาดื่มให้หนำใจอีกครั้งเยี่ยเป่ยเฉิงจับถ้วยเหล้าเอาไว้ แล้วกล่าวอย่างอบอุ่นว่า: " ซวงเอ๋อร์ รสชาติดีก็ไม่ควรดื่มมากจนเกินไป"หลินซวงเอ๋อร์พูดอย่างออดอ้อนว่า: "สวามี ดื่มแค่ถ้วยเดียว ดื่มถ้วยเดียวถ้วยสุดท้ายได้หรือไม่?"ทันทีที่นางออดอ้อน เยี่ยเป่ยเฉิงก็ทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย สุดท้ายก็ต้องทำตามใจนาง และกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ว่า: " ซวงเอ๋อร์คนดี ดื่มถ้วยสุดท้ายนะ ดื่มเสร็จแล้วพวกเรากลับบ้านกัน ตกลงไหม?"หลินซวงเอ๋อร์กลัวว่าเยี่ยเป่ยเฉิงจะกลับคำ จึงรีบยกถ้วยเหล้าขึ้นมาแล้วดื่มเหล้าผลไม้หมดภายในรวดเ
ในอีกฝั่งหนึ่ง ฉีหมิงขมวดคิ้ว และมีท่าทางที่ดูขุ่นเคืองใจเมื่อฮุ่ยอี๋ เห็นว่าเขาไม่พูดไม่จา ก็รู้สึกเสียใจมากยิ่งขึ้น จึงอดไม่ได้ที่จะขยับเข้าไปใกล้เขามากขึ้น แทบอยากจะเอาร่างของตนเองแนบไปบนตัวของเขา: " เจ้าไม่รู้จริงๆหรือว่า ข้ารอเจ้าอยู่ที่สวนจักรพรรดิทุกวัน เพื่อที่จะได้พบเจอกับเจ้า? "“แต่เจ้า? กลับแสร้งทำเป็นไม่เห็นข้าทุกครั้ง!”นางสูดจมูก แล้วกล่าวว่า " ฉีหมิง เจ้าจงใจใช่หรือไม่?"ฉีหมิงพยายามอดทนสุดขีดและพูดกับนางว่า "องค์หญิงพูดจาเหลวไหลอะไร ข้าน้อยจะไปคู่ควรกับความชื่นชอบขององค์หญิงได้อย่างไร องค์หญิงอย่ามาล้อเล่นกับข้าน้อยเลย"ฮุ่ยอี๋โต้กลับไปว่า: " เหตุใดถึงไม่คู่ควร? ใครกล้าบอกว่าไม่คู่ควร ข้าจะให้เสด็จพ่อของข้าลากเขาไปประหาร... "ฉีหมิงเอามือกุมหน้าผาก รู้สึกหดหู่ใจและรู้หงุดหงิดอยู่ในใจเขาแย่งถ้วยเหล้ามาจากในมือของฮุ่ยอี๋ เรียกนางกำนัลเอาชาสร่างเมามาให้นางหนึ่งถ้วย แล้วกล่าวว่า: "องค์หญิงดื่มมากเกินไปแล้ว ช่วยพยุงองค์หญิงไปพักผ่อนที!"นางกำนัลสองสามคนกำลังจะก้าวไปข้างหน้า แต่ฮุ่ยอี๋กลับดุว่า: "พวกเจ้าไสหัวออกไป ข้าจะให้ฉีหมิงส่งข้ากลับวังด้วยตนเอง!"ไป๋อวี้ถังก
หลังจากที่ทุกคนกินอิ่มแล้ว ก็พากันจากไปกลุ่มละสามถึงห้าคน เหลือเพียงโต๊ะของพวกหลินซวงเอ๋อร์ที่ยังไม่แยกย้ายองค์จักรพรรดิเสด็จกลับวังภายใต้การคุ้มกันขององครักษ์ ก่อนออกเดินทาง เขาอยากพาฮุ่ยอี๋กลับไปวังพร้อมกันแต่ฮุ่ยอี๋ปฏิเสธ และยืนกรานที่จะอยู่กับหลินซวงเอ๋อร์องค์จักรพรรดิไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรนางได้ ดังนั้นจึงกำชับให้ฉีหมิงและคนอื่นๆพานางกลับไปที่วังอย่างปลอดภัยฉีหมิงเอามือกุมหน้าผาก ในขณะนี้ เขาอยากรักษาระยะห่างจากฮุ่ยยี่ และอยู่ห่างจากฮุ่ยอี๋ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วจะไปส่งนางกลับวังได้อย่างไร!ฉีหมิงลุกขึ้นยืน พยักหน้าให้ไป๋อวี้ถังแล้วกล่าวว่า "ข้าน้อยมีงานที่จะต้องสะสางอยู่ที่จวน จึงไม่สะดวกที่จะส่งองค์หญิงกลับวัง รบกวนท่านสมุหราชเลขาธิการส่งองค์หญิงกลับไปอย่างปลอดภัยด้วย"ไป๋อวี้ถังไม่เต็มใจที่จะรับเรื่องยุ่งยากนี้ จึงลุกขึ้นก่อนแล้วกล่าวว่า "บังเอิญจริงๆ ข้าเองก็มีเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องทำ ตอนนี้จะต้องไปแล้ว ดังนั้นใต้เท้าฉีไปส่งองค์หญิงจะเหมาะสมมากกว่า" พูดจบ ไม่สนใจว่าฉีหมิงจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็เดินล่วงหน้าไปก่อนฉีหมิง: "...."แน่นอนว่า ถ้าอยากจะฉกฉ
เขาอยากคุยกับนาง อยากอยู่กับนางตามลำพัง อยากโอบกอดนาง อยากจะบอกนางว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เขาคิดถึงนางมากแค่ไหน...นางคงจะไม่รู้ว่า เขาคิดถึงนางคิดถึงจนแทบจะเป็นบ้า...น้ำเสียงของฮุ่ยอี๋ ยังคงดังก้องอยู่ข้างหูไม่หยุด ฉีหมิงไม่มีกะจิตกะใจที่จะฟังเลย แค่รู้สึกว่าน่ารำคาญสุดขีด“เจ้ามีอะไรให้เก่งกาจหรือ ข้าชื่นชอบเจ้า ถือว่าเป็นวาสนาของเจ้า…”“ให้เจ้าไปส่งข้ากลับวัง ถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง...”“ ฉีหมิง เหตุใดเจ้าถึงไม่พูดอะไรเลย? เจ้าคงจะคิดว่า ข้าจงใจตามตื้อเจ้าใช่ไหม?”“เจ้าอย่าภาคภูมิใจจนเกินไป...ข้าไม่ได้ตามตื้อเจ้าเสียหน่อย!”“เฮ้! เจ้าพูดออกมาสิ? เหตุใดเจ้าถึงเอาแต่มองซวงเอ๋อร์? ซวงเอ๋อร์เป็นคนของท่านลุงของข้า ไม่ได้เป็นคนของเจ้า มองแล้วจะไปมีประโยนช์อะไร…”เมื่อเห็นว่าสายตาของเขาจับจ้องมาที่ซวงเอ๋อร์อยู่ตลอดเวลา เยี่ยเป่ยเฉิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เลิกเสื้อคลุมขึ้น แล้วคลุมคนที่อยู่ในอ้อมแขนเอาไว้ทันทีเยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกว่า ถ้าปล่อยให้ฉีหมิงมองอีกครั้ง อาจะเสียหายครั้งใหญ่ได้!เยี่ยเป่ยเฉิงอุ้มหลินซวงเอ๋อร์แล้วลุกขึ้น แล้วกล่าวกับฉีหมิงว่า: " ในเมื่อองค์จักรพรรดิสั่งให้ใต
รถม้าโคลงเคลงเล็กน้อย ทำให้หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกวิงเวียนศีรษะนางพยายามดิ้นรนออกไปจากอ้อมแขนของเยี่ยเป่ยเฉิง คลานไปที่หน้าต่าง แล้วเปิดม่านเพื่อสูดอากาศตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง ลมยามค่ำคืนจึงค่อนข้างจะหนาวเล็กน้อยทันใดนั้นฝ่ามือขนาดใหญ่คู่หนึ่งก็รั้งเอวนางเอาไว้ จากนั้นเยี่ยเป่ยเฉิงก็เหยียดแขนออกไป แล้วดึงนางกลับเข้าไปในอ้อมแขนอีกครั้ง“ลมยามค่ำคืนหนาวเย็นมาก เดี๋ยวซวงเอ๋อร์จะเป็นหวัดเอาได้” เยี่ยเป่ยเฉิงจัดเสื้อคลุมที่อยู่บนตัวให้นาง แล้วพันตัวนางเอาไว้แน่นหลินซวงเอ๋อร์เมามาก นางซกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเยี่ยเป่ยเฉิง สายตาพร่ามัว และมองเห็นเพียงเงาสองอันที่ทับซ้อนกันแต่เมื่อนางได้ยินเสียง นางก็รู้ว่า คนที่กอดนางเอาไว้คือสวามีของนาง---เยี่ยเป่ยเฉิงนางขยี้ตา พยายามอย่างหนักที่จะมองใบหน้าของเยี่ยเป่ยเฉิงให้ชัดเจนในที่สุดใบหน้าที่พร่ามัวทั้งสองก็ทับซ้อนเข้าด้วยกันทุกคนต่างก็รู้ดีว่า เทพแห่งสงครามแห่งต้าซ่งหล่อเหลาสง่างาม หล่อเกือบจะเหมือนภูตมาร แต่หลินซวงเอ๋อร์กลับรู้สึกว่า คืนนี้เขาหล่อเหลาที่สุด หล่อเกินไปเล็กน้อยนางเงยหน้าขึ้น มองใบหน้าที่หล่อเหลาเย้ายวนของเขาด้วยความมึนเมา แ
นี่เป็นครั้งที่สองที่นางเริ่มจูบเขาก่อนครั้งแรก อยู่ภายใต้การบังคับชักจูงของเขา นางจูบเขาอย่างไม่เต็มใจ และเคลื่อนไหวงุ่มง่ามมาก แต่ถึงกระนั้น ก็สามารถปลุกเร้าเปลวไฟในร่างกายของเขาได้อย่างง่ายดายแต่คราวนี้ ห็นได้ชัดว่าทักษะของนางช่ำชองขึ้นมามากจูบนี้แตกต่างจากการยับยั้งชั่งใจที่เคยนางเคยแสดงออกในอดีตอย่างสิ้นเชิง แต่กลับเต็มไปด้วยความลุกล้ำที่รุนแรง และความปรารถนาที่อยากจะครอบครองอันแรงกล้า...ในขณะนี้ หลินซวงเอ๋อร์กำลังคิดอะไรอยู่ในใจ?นางคิดว่า ชายคนนี้เป็นของนาง เป็นของนางเพียงคนเดียวเท่านั้น...นางไม่ต้องการแบ่งปันเขากับใคร และไม่มีใครสามารถแย่งเขาไปจากนางได้ความคิดที่อัดแน่นอยู่ในใจมาเนิ่นนาน ตอนนี้ได้ถูกเปิดเผยออกมาแล้วนางเป็นของเขาเพียงผู้เดียว เขาก็ควรจะเป็นของนางคนเดียวเท่านั้น แบบนี้ถึงจะยุติธรรมนอกจากนี้ยังมีกลิ่นหอมของผลไม้จางๆระหว่างริมฝีปากและฟันของนาง ซึ่งมีกลิ่นหอมมากสมองของเยี่ยเป่ยเฉิงว่างเปล่าไปชั่วขณะหนึ่งขณะที่เขากำลังจะควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ได้ จู่ๆหลินซวงเอ๋อร์กลับหยุดเคลื่อนไหวนางผงะร่างกายออกไปเล็กน้อย ในขณะเดียวกันก็ถอนริมฝีปากออกมาด้วย
หลังจากที่ฮุ่ยอี๋ล้มลงก็อยู่ในอาการที่มึนงง นอนคว่ำหน้าไม่ได้สติอยู่บนพื้นชั่วขณะลมยามราตรีพัดแรงมาก พักจนทำให้ฮุ่ยอี๋รู้สึกหนักศีรษะมากขึ้นเรื่อยๆตอนที่มองดูฉีหมิงขับรถม้าออกไป นางยังคิดว่าฉีหมิงกำลังล้อเล่นกับนางในค่ายไม่มีใครอยู่สักคนเดียว มีแค่นางที่ถูกทิ้งไว้ให้อยู่คนเดียวที่นี่นางลุกขึ้นยืนอย่างโซซัดโซเซ จึงไม่ได้ตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ นางคลำหาหญ้าที่สะอาด แล้วนั่งยองๆอยู่ที่นั่นอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก และรอให้ฉีหมิงกลับมารับนางอย่างไร้เดียงสาแต่นางรอแล้วรอเล่า รอนานเท่าไหร่ก็ไม่เห็นฉีหมิงกลับมาเสียทีลมฤดูใบไม้ร่วงพัดเอาความหนาวเย็นมา และได้พัดเอาความเมาของนางออกไปเล็กน้อยฮุ่ยอี๋สวมชุดค่อนข้างที่จะบาง ตอนนี้จึงรู้สึกหนาวขึ้นมาเล็กน้อยฮุ่ยอี๋แบมือไว้ แล้วเป่าลมหายใจลงไปในฝ่ามือ ลมหายใจที่พ่นออกมาก็เต็มไปด้วยหมอกสีขาวค่ำคืนในฤดูใบไม้ร่วงเหน็บหนาวมากฮุ่ยอี๋จามไปหนึ่งครั้ง ลูบจมูกสีแดงเล็กน้อยของตนเอง และยังคงนั่งยองๆรออยู่ที่พื้นนัยน์ตาที่เมามายเต็มไปด้วยความพร่ามัว เมื่อรอจนเบื่อแล้ว นางก็กอดเข่า แล้ววางคางเอาไว้ที่บนหัวเข่า นัยน์ตาที่สับสนคู่หนึ่งจับ
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก