หลังจากที่ฮุ่ยอี๋ล้มลงก็อยู่ในอาการที่มึนงง นอนคว่ำหน้าไม่ได้สติอยู่บนพื้นชั่วขณะลมยามราตรีพัดแรงมาก พักจนทำให้ฮุ่ยอี๋รู้สึกหนักศีรษะมากขึ้นเรื่อยๆตอนที่มองดูฉีหมิงขับรถม้าออกไป นางยังคิดว่าฉีหมิงกำลังล้อเล่นกับนางในค่ายไม่มีใครอยู่สักคนเดียว มีแค่นางที่ถูกทิ้งไว้ให้อยู่คนเดียวที่นี่นางลุกขึ้นยืนอย่างโซซัดโซเซ จึงไม่ได้ตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ นางคลำหาหญ้าที่สะอาด แล้วนั่งยองๆอยู่ที่นั่นอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก และรอให้ฉีหมิงกลับมารับนางอย่างไร้เดียงสาแต่นางรอแล้วรอเล่า รอนานเท่าไหร่ก็ไม่เห็นฉีหมิงกลับมาเสียทีลมฤดูใบไม้ร่วงพัดเอาความหนาวเย็นมา และได้พัดเอาความเมาของนางออกไปเล็กน้อยฮุ่ยอี๋สวมชุดค่อนข้างที่จะบาง ตอนนี้จึงรู้สึกหนาวขึ้นมาเล็กน้อยฮุ่ยอี๋แบมือไว้ แล้วเป่าลมหายใจลงไปในฝ่ามือ ลมหายใจที่พ่นออกมาก็เต็มไปด้วยหมอกสีขาวค่ำคืนในฤดูใบไม้ร่วงเหน็บหนาวมากฮุ่ยอี๋จามไปหนึ่งครั้ง ลูบจมูกสีแดงเล็กน้อยของตนเอง และยังคงนั่งยองๆรออยู่ที่พื้นนัยน์ตาที่เมามายเต็มไปด้วยความพร่ามัว เมื่อรอจนเบื่อแล้ว นางก็กอดเข่า แล้ววางคางเอาไว้ที่บนหัวเข่า นัยน์ตาที่สับสนคู่หนึ่งจับ
สายตาของฮุ่ยอี๋มองไปที่พื้นดินที่อยู่บริเวณรอบๆ แต่ก็ไม่พบอาวุธใดๆที่สามารถใช้ป้องกันตัวได้เลย นางไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จึงทำได้แค่จ้องมองหมาป่า และค่อยๆถอยหลังกลับไปทีละเล็กทีละน้อยคิดไม่ถึงว่า เท้าจะไปเหยียบกิ่งไม้ก้านหนึ่งเข้า กิ่งไม้แห้งหักจนเกิดเสียงที่ดังคมชัด ทำให้สัตว์ขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเกรี้ยวโกรธทันทีหมาป่าชั่วร้ายแยกเขี้ยวยิงฟัน ขุดกรงเล็บของมันหลายครั้ง ไม่นานรอยกรงเล็บที่น่าสะพรึงกลัวก็ปรากฏขึ้นบนพื้นฮุ่ยอี๋คิดว่า อีกสักครู่ถ้ารอยกรงเล็บนั้นปรากฏขึ้นบนร่างกายของตนเอง คงจะฉีกร่างของนางออกเป็นสองส่วนแน่เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ฮุ่ยอี๋ก็ไม่สนใจอะไรอีกต่อไป หันหลังกลับแล้ววิ่งหนีไปหมาป่าชั่วร้ายก้มโค้งตัว ลงแรงไปที่เท้าหน้า แล้วกระโจนออกไป ในทิศทางที่ฮุ่ยอี๋อยู่อย่างรวดเร็ว...เงาสีดำขนาดใหญ่ปกคลุมลงมา ฮุ่ยอี๋หวาดกลัวมากจนต้องกรีดร้องออกมา นั่งยองๆลงบนพื้นแล้วกุมศีรษะเอาไว้ท่ามกลางท้องฟ้าในยามราตรี ลูกศรอันแหลมคมยิงผ่านอากาศ ลอยผ่านเหนือศีรษะของฮุ่ยอี๋ฮุ่ยอี๋ได้ยินเพียงเสียงเห่าหอนอันน่าสังเวชทันทีที่เงยหน้าขึ้น ฮุ่ยอี๋ก็เห็นฉีหมิงกำลังขี่ม้า ออกมาจากความมืด เขาถื
หลังจากกลับมาถึงจวน ตงเหมยก็ต้มชาสร่างเมาให้หลินซวงเอ๋อร์อีกชามหลินซวงเอ๋อร์ดื่มชา และอาบน้ำร้อน ตอนนี้ความเมามายได้หายไปแล้ว ในที่สุดก็กลับมามีสติอีกครั้งเมื่อคิดถึงเรื่องที่ตนเองเพิ่งทำกับเยี่ยเป่ยเฉิง หลินซวงเอ๋อร์ก็แทบอยากจะขุดหลุมแล้วมุดเข้าไปข้างในหลินซวงเอ๋อร์เอามือปิดหน้าเอาไว้ อายเกินกว่าจะพบเจอใครช่างน่าอายมากจริงๆ แม้ว่าจะคลั่งไคล้รูปลักษณ์ที่งดงามของเขามากแค่ไหน แต่นางก็ควรจะสงวนท่าทีมากกว่านี้เมื่อสักครู่นางนางทำอะไรลงไป?นางกอดเยี่ยเป่ยเฉิงเอาไว้ทั้งจูบทั้งแทะ แถมยังพูดคำเลี่ยนๆเช่นนั้นกับเขาอีก...เหตุใดนางถึงได้พูดคำที่โจ๋งครึ่มแบบนั้นออกมาได้? เลินเล่อเกินไปแล้ว...หลินซวงเอ๋อร์สาบานว่า ต่อไปนางจะไม่ดื่มมั่วซั่วอีก ไม่ว่ารสชาติจะอร่อยแค่ไหนก็ตาม...นางซุกตัวอยู่ในอ่างอาบน้ำ ไม่กล้าออกไปเผชิญหน้ากับเยี่ยเป่ยเฉิงเลยอาจเป็นเพราะนางอาบน้ำนานเกินไป เยี่ยเป่ยเฉิงจึงรอไม่ไหวเล็กน้อย จึงเรียกนางผ่านฉากกั้นลม“ ซวงเอ๋อร์ อาบน้ำเสร็จแล้วหรือยัง? เหตุใดถึงได้อาบนานขนาดนั้น?” เสียงของเขาแฝงไปด้วยร้อนใจเล็กน้อย ถ้านางยังไม่ส่งเสียง เขาก็คงจะเดินอ้อมฉากกั้นลมแล้วเดิ
“สวามีจะอ่านตำราไม่ใช่หรือ?เหตุใดถึงไม่ไปอ่านที่ห้องหนังสือสักพักล่ะ...” หลินซวงเอ๋อร์หาข้ออ้างมั่วซั่ว เพราะตอนนี้แค่อยากจะให้เขาออกไป“ไม่อยากอ่านแล้ว สวามีอยากจะกระชับความสัมพันธ์กับซวงเอ๋อร์ให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น…”หลินซวงเอ๋อร์ยังไม่ทันได้ตอบสนอง ถูกเขาอุ้มขึ้นมา เยี่ยเป่ยเฉิงเดินจ้ำอ้าวไปที่เตียง ฝีเท้าเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นเล็กน้อยหลินซวงเอ๋อร์เหลือบมองโต๊ะเตี้ยโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงบังเอิญเห็นปกหนังสือเล่มนั้นเข้าพอดีหอมเสน่ห์นารี?เมื่อสักครู่นี้เห็นเขาอ่านอย่างคลั่งไคล้ ยังคิดว่าเขากำลังจัดการกับหนังสือราชการที่สำคัญบางอย่างอยู่ที่แท้ ก็กำลังอ่านหนังสือที่ไม่ไม่เป็นโล้เป็นพายเล่มนี้อยู่...เยี่ยเป่ยเฉิงวางนางลงบนเตียง แล้วยื่นมือออกไปปลดเข็มขัดของนางอย่างกระตือรือร้น“สวามี...วัน วันนี้ข้าไม่ค่อยอยากทำ” หลินซวงเอ๋อร์หลีกเลี่ยงกรงเล็บที่จะเอื้อมไปหานางหลินซวงเอ๋อร์ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนเองถึงได้ต่อต้านเขาแบบนี้ เห็นได้ชัดว่านางชอบเขามาก และอยากเข้าใกล้เขามากเช่นกัน มีแต่เรื่องในมุ้งเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ที่นางหวาดกลัว หวาดกลัวสุดขีดเยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
ฉีหมิงและฮุ่ยอี๋กำลังรออยู่นอกประตูจวนหลังจากนั้นไม่นาน ก็เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงเดินออกมาสายตาของฉีหมิงมองไปที่ข้างหลังเยี่ยเป่ยเฉิง พอไม่เห็นหลินซวงเอ๋อร์ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวัง“ใต้เท้าฉีไม่ส่งองค์หญิงกลับวัง พามาส่งที่นี่เพื่ออะไร?” สีหน้าของเยี่ยเป่ยเฉิงเคร่งขรึมมาก น้ำเสียงก็เย็นชามากยิ่งขึ้นฉีหมิงกลับดูสงบนิ่งเป็นอย่างมากพวกเขาต่างก็ปัดความรับผิดแล้วจากไป แถมยังจากไปอย่างเด็ดขาด แล้วโยนเรื่องที่ยุ่งยากนี้มาให้เขา ตอนนี้มีโอกาสที่จะทำให้เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกอึดอัดใจ ฉีหมิงจึงไม่อยากที่จะพลาดโอกาสนี้“ข้าน้อยแค่ทำตามรับสั่งขององค์หญิง พานางมาส่งที่จวนท่านอ๋อง ”สีหน้าของเยี่ยเป่ยเฉิงเคร่งขรึม มองไปที่ฮุ่ยอี๋ด้วยสายตาที่เย็นชาอยู่ครู่หนึ่ง“องค์หญิงกับข้าไม่เคยผูกมิตรกันมาก่อน ไม่ทราบว่าองค์หญิงมาทำอะไรที่นี่?”ในวันปกติ ฮุ่ยอี๋แทบอยากจะอยู่ห่างจากเทพแห่งความชั่วร้ายคนนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ต้องพูดถึงการพูดคุยกับเขาแบบซึ่งๆหน้าแต่ตอนนี้ ฮุ่ยอี๋ดื่มเหล้าจนเมา ทำให้รู้สึกเวียนหัว จึงไม่เข้าใจสีหน้าแววตาที่เย็นชาของเขาตามธรรมชาตินางเพิกเฉยต่อเยี่ยเป่ยเฉิง
ฮุ่ยอี๋เกรี้ยวโกรธมาก แต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้ จึงตะโกนเข้าไปข้างในด้วยเสียงที่ดังมาก: " ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ออกมานี่หน่อย..."“ข้ามาหาเจ้าแล้ว เจ้าหลบอยู่ในนั้นทำไม?”" ซวงเอ๋อร์! เจ้ารีบออกมาพบข้าเร็วเข้า... "พายุกำลังก่อตัวในนัยน์ตาของเยี่ยเป่ยเฉิงดูเหมือนว่าเขาจะคิดไม่ถึงว่าองค์หญิงที่ดื่มจนเมาจะรับมือยากเช่นนี้! ตะโกนโวกเวกโวยวายอยู่หน้าประจวนเขาช่างเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเอาเสียเลย!ฉีหมิงกลับรู้สึกสนุกสนานเยี่ยเป่ยเฉิงกำลังจะสั่งให้เสวียนอู่ปิดปากของฮุ่ยอี๋เอาไว้ หากไม่ได้ผลก็ใช้สันมือทำให้คนหมดสติก็ได้แต่เขายังไม่ทันได้เอ่ยปากพูด หลินซวงเอ๋อร์ก็เดินออกมาจากข้างใน“สวามี เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกเสียใจเล็กน้อยเขาน่าจะทำให้นางหมดสติไปตั้งแต่เนิ่นๆ!หลินซวงเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นชุดลำลองแล้วออกมา เมื่อเห็นทั้งสองคนที่ยืนอยู่นอกประตู ก็มีสีหน้าที่ประหลาดใจเล็กน้อย“พี่ฉี องค์หญิง ดึกมากแล้ว พวกท่านมาทำอะไรที่นี่?” หลินซวงเอ๋อร์เดินอ้อมเยี่ยเป่ยเฉิง และเดินไปหา ฮุ่ยอี๋ทันทีที่เห็นหลินซวงเอ๋อร์ใบหน้าของฉีหมิงที่สงบนิ่งมาโดยตลอด ในที่สุดก็ผ่อนคลายเขา
เมื่อเห็นว่าหลินซวงเอ๋อร์ยืนกรานที่จะให้ฮุ่ยอี๋อยู่ต่อ เยี่ยเป่ยเฉิงก็รู้สึกโกรธเล็กน้อย เม้มริมฝีปากแล้วเข้าไปที่จวนโดยไม่พูดอะไรสักคำหลินซวงเอ๋อร์พยุงฮุ่ยอี๋แล้วเดิมตามหลังไปด้านหลัง ฉีหมิงเรียกนางเอาไว้“ ซวงเอ๋อร์ ”หลินซวงเอ๋อร์หยุดเดินชั่วคราว หันกลับมามองเขา“พี่ฉี มีเรื่องอะไรหรือ?”“เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนั้น... ฉีหมิงทำผิดไปแล้ว” ฉีหมิงกล่าวหลินซวงเอ๋อร์ชะงักไปเล็กน้อยฉีหมิงมีสีหน้าที่หม่นหมอง และมีความโศกเศร้าในส่วนลึกของนัยน์ตา: " ซวงเอ๋อร์ พี่ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายเจ้าเลย พี่แค่ชอบเจ้ามากเกินไป ชอบจน... จนทำเรื่องที่บ้าบิ่นเหล่านั้นออกมา"บ้าบิ่นจนต้องกักขังหน่วงเหนี่ยวนางเอาไว้ แล้วให้นักโทษประหารคนหนึ่งสวมรอยเป็นนาง!เขาคิดว่ามีแต่วิธีนี้เท่านั้น หลินซวงเอ๋อร์ถึงจะสามารถเป็นของเขาได้อย่างสมบูรณ์เขาได้วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว ถ้าเยี่ยเป่ยเฉิงคลายความระมัดระวัง เขาก็จะลาออก และพาหลินซวงเอ๋อร์หนีไปด้วยกัน...แต่ท้ายที่สุด แผนก็ล้มเหลว เยี่ยเป่ยเฉิงก็ยังตามหานางจนพบ...และตอนนี้ นางก็หลีกเลี่ยงเขาเหมือนอสรพิษ และไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พบปะนางตามลำพังเลย...หลินซว
เขาคิดว่าตนเองสามารถสร้างสมดุลความสัมพันธ์ระหว่างแม่ของเขากับซวงเอ๋อร์ได้ จึงอยากจะให้ซวงเอ๋อร์ให้เวลาเขาอีกหน่อยก็เท่านั้นเองเขาคิดว่า ซวงเอ๋อร์รอเขามาสองปีแล้ว รออีกสักสองสามวันก็คงจะไม่เป็นไร...แต่เขาประเมินตนเองสูงเกินไป จึงไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของซวงเอ๋อร์จนกระทั่งในเวลาต่อมา เขาถึงมาเข้าใจในภายหลังว่า การที่ซวงเอ๋อร์ถามเขาแบบนี้ อาจจะเป็นเพราะรู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่ในใจ และต้องการให้เขาตอบคำถามนางอย่างหนักแน่นแต่เขากลับลังเลใจ ปล่อยให้นางยอมถอยไปเอง แถมยังยืนเคียงข้างแม่ของตนเอง และขอให้นางยกโทษให้...ความเสียใจนี้ฝังลึกอยู่ในใจของเขา และกลายเป็นปมที่เขาไม่อาจปล่อยวางได้แต่หลังจากได้ยินคำตอบของหลินซวงเอ๋อร์ ปมที่อยู่ในใจของฉีหมิงก็คลายออก...แต่ทว่า ในใจกลับรู้สึกโศกเศร้ามากยิ่งขึ้น เสียใจที่นางไม่เคยคิดที่จะเลือกตนเองเลย...“พวกเจ้าคุยกันเสร็จแล้วหรือยัง? ข้าอยากนอนแล้ว! ถ้ามีเรื่องอะไร ค่อยคุยกันพรุ่งนี้...ค่อยคุยกันพรุ่งนี้…”ฮุ่ยอี๋ง่วงนอนมากมาตั้งนานแล้ว นางเวียนหัวเป็นอย่างมาก จึงได้ยินไม่ชัดว่าทั้งสองคนกำลังพูดอะไรกัน แค่รู้สึกว่าทั้งสองคนพิรี้พิไลจนเกินไป“
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก