ตอนแรกหลินซวงเอ๋อร์ปฏิเสธที่จะสวมใส่มัน แต่ฮุ่ยอี๋พูดด้วยสีหน้าที่เย็นชาว่า: "ทำไม? เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้รังเกียจเสื้อผ้าของข้า?"หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: "ข้าจะไปกล้ารังเกียจได้อย่างไร แต่ท่านเป็นองค์หญิง ข้าจะใส่เสื้อผ้าของท่านได้อย่างไร?"ฮุ่ยอี๋กล่าวว่า: " หลินซวงเอ๋อร์! ข้าสั่งให้เจ้าใส่มัน หากมีใครกล้าว่าร้ายเจ้า เข้าจะดึงลิ้นของนางออกมาแทนเจ้าเอง!"หลินซวงเอ๋อร์ไม่อาจปฏิเสธน้ำใจของนางได้ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุด ก็คือการสวมเสื้อผ้าของฮุ่ยอี๋ คิดไม่ถึงว่าจะสวมใส่ได้พอดีเมื่อเห็นว่าศีรษะของนางไม่มีสวมใส่อะไรเลย ฮุ่ยอี๋ก็หยิบกล่องแต่งหน้าของตนเองออกมา วางแหวน ปิ่นปักผม และเครื่องประดับอันแวววาวไว้ที่ข้างหน้าหลินซวงเอ๋อร์ แล้วกล่าวว่า "ดูเจ้าสิ เหตุใดท่านลุงถึงไม่ซื้อเครื่องประดับดีๆให้เจ้าเลยนะ? เครื่องประดับที่อยู่ที่นี่ของข้า ล้วนทำมาจากช่างฝีมือในพระราชวัง ถ้าเจ้าชอบอันไหน ก็หยิบไปได้เลย ข้าให้เจ้า "หลินซวงเอ๋อร์อธิบายว่า: "สวามีของข้าซื้อให้ข้าหมดแล้ว แค่วันนี้ไม่ได้ใส่ก็เท่านั้นเอง"ฮุ่ยอี๋กล่าวว่า: "ซื้อแล้วเหตุใดถึงไม่ใส่? ตัดใจไม่ได้? ดูท่าทางที่ไม่เอาไหนของเจ้าสิ! หร
หลินซวงเอ๋อร์นั่งลงข้างเยี่ยเป่ยเฉิงปิ่นปักผมบนศีรษะก็ส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊งเยี่ยเป่ยเฉิงเห็นว่าม่านลูกปัดบนหน้าผากของนางเกือบจะบดบังดวงตา จึงยกมือขึ้นแล้วเหน็บม่านลูกปัดไว้ที่ด้านหลังหูของนางทันใดนั้นหลินซวงเอ๋อร์ก็มองเห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น“สวามี สวยไหม?” หลินซวงเอ๋อร์ชี้ไปที่ศีรษะที่เต็มไปด้วยเครื่องประดับของตน อยากจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออกเล็กน้อยเยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า: "สวยมาก ถ้าซวงเอ๋อร์ชอบมันมากขนาดนี้ เหตุใดถึงไม่ใส่ที่สวามีรมอบให้ล่ะ?"หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: " นี่คือของที่องค์หญิงมอบให้ "เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า: " ในเมื่อเป็นน้ำใจของนาง ซวงเอ๋อร์ก็รับไว้เถิด แต่ว่าต่อไปนี้ จะต้องใส่แต่ของที่สวามีมอบให้เท่านั้น รู้หรือไม่? "“ได้เลย” หลินซวงเอ๋อร์ยิ้มตาหยี ลักยิ้มลูกแพร์ทั้งสองจุดบนแก้มทั้งน่ารักทั้งงดงามสายตาของฉีหมิงจับจ้องมาที่หลินซวงเอ๋อร์อยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นทั้งสองมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ก็รู้สึกหดหู่อยู่ในใจเป็นอย่างมาก จึงเงยหน้าขึ้นแล้วดื่มเหล้าไปหนึ่งถ้วยใหญ่ๆพอเหล้าอันเข้มข้นเข้าไปในลำคอ รู้สึกแสบร้อนที่หน้าอก แต่เขากลับเพิกเฉย ยกมือขึ้นรินเหล้าเข้
หลินซวงเอ๋อร์ก้มหน้าลงมอง ก็ไม่รู้ว่าในชามเต็มไปด้วยเนื้อปรุงสุกตั้งแต่เมื่อไหร่เยี่ยเป่ยเฉิงยังคีบผักลงไปในชามของนาง: "กินก่อน"หลินซวงเอ๋อร์หิวมานานแล้ว เมื่อมองดูเนื้อที่หอมน่ากินอยู่ในชาม ดวงตาก็ไม่มองไปรอบๆอีก ตอนนี้นางหยิบตะเกียบขึ้นมาก้มศีรษะลงแล้วมุ่งความสนใจไปที่การกินเยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า: " กินช้าๆ ไม่มีใครแย่งเจ้าหรอก "ฮุ่ยอี๋ก็หิวเช่นกัน เพียงแต่นั่งข้างฉีหมิง ถึงอย่างไรก็ต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์เล็กน้อย เทียบกับตอนที่อยู่ในป่า ที่กินมันเทศป่ากับหลินซวงเอ๋อร์ไม่ได้เลยหลังจากกินเนื้อกวางไปสองสามชิ้นแล้ว ก็มีคนยกเนื้อย่างเสียบไม้มาหลินซวงเอ๋อร์รู้สึกหลงใหลในกลิ่นหอมที่เผ็ดฉุนนั้นทันทีนางเลียริมฝีปาก หยิบเนื้อย่างขึ้นมาหนึ่งไม้ แล้วอ้าปากกัดทันทีกลิ่นหอมไหม้ของยี่หร่ากระจายไปในอากาศ เนื้อย่างเสียบไม้ที่ย่างบนถ่านไฟดังฟี๊ดๆ เนื้อย่างกรอบนอกนุ่มใน หลินซวงเอ๋อร์เคี้ยวมันอยู่ในปาก ไม่ต้องพูดถึงว่าพึงพอใจมากแค่ไหนแม้ว่ารูปแบบการกินของหลินซวงเอ๋อร์จะดูสบายๆ แต่ก็ไม่ได้หยาบคายเลย ในทางกลับกันดูเหมือนว่าจะกระตุ้นความอยากอาหารของผู้คนได้ เนื้อย่างเสียบไม้ธรรมดาดูเหมือนจะ
เหล้าผลไม้นี้ช่างเข้มข้นสดชื่นจริงๆ แถมยังมีกลิ่นหอมของผลไม้ที่เข้มข้นอีกด้วยหลินซวงเอ๋อร์ไม่เคยดื่มเหล้าผลไม้ที่อร่อยเช่นนี้มาก่อน พอได้ดื่มก็เริ่มติดใจเยี่ยเป่ยเฉิงอยากจะห้ามปราม แต่ฮุ่ยอี๋กลับกล่าวว่า "ท่านลุงไม่ต้องกังวลมากขนาดนั้น ข้าก็ดื่มเหล้าไม่เก่ง แต่เสด็จแม่ของข้าบอกว่า เหล้าผลไม้นี้ไม่ทำให้มึนเมา เหมาะมากที่จะนำมาดื่มคู่กับเนื้อย่าง "ฮุ่ยอี๋เต็มไปด้วยความมั่นใจ เทเหล้าเข้าไปในถ้วยของตนเองและหลินซวงเอ๋อร์แบบเต็มถ้วยอีกครั้งหลินซวงเอ๋อร์เลียริมฝีปาก ทำท่าเหมือนจะยกถ้วยเหล้าขึ้นมาดื่มให้หนำใจอีกครั้งเยี่ยเป่ยเฉิงจับถ้วยเหล้าเอาไว้ แล้วกล่าวอย่างอบอุ่นว่า: " ซวงเอ๋อร์ รสชาติดีก็ไม่ควรดื่มมากจนเกินไป"หลินซวงเอ๋อร์พูดอย่างออดอ้อนว่า: "สวามี ดื่มแค่ถ้วยเดียว ดื่มถ้วยเดียวถ้วยสุดท้ายได้หรือไม่?"ทันทีที่นางออดอ้อน เยี่ยเป่ยเฉิงก็ทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย สุดท้ายก็ต้องทำตามใจนาง และกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ว่า: " ซวงเอ๋อร์คนดี ดื่มถ้วยสุดท้ายนะ ดื่มเสร็จแล้วพวกเรากลับบ้านกัน ตกลงไหม?"หลินซวงเอ๋อร์กลัวว่าเยี่ยเป่ยเฉิงจะกลับคำ จึงรีบยกถ้วยเหล้าขึ้นมาแล้วดื่มเหล้าผลไม้หมดภายในรวดเ
ในอีกฝั่งหนึ่ง ฉีหมิงขมวดคิ้ว และมีท่าทางที่ดูขุ่นเคืองใจเมื่อฮุ่ยอี๋ เห็นว่าเขาไม่พูดไม่จา ก็รู้สึกเสียใจมากยิ่งขึ้น จึงอดไม่ได้ที่จะขยับเข้าไปใกล้เขามากขึ้น แทบอยากจะเอาร่างของตนเองแนบไปบนตัวของเขา: " เจ้าไม่รู้จริงๆหรือว่า ข้ารอเจ้าอยู่ที่สวนจักรพรรดิทุกวัน เพื่อที่จะได้พบเจอกับเจ้า? "“แต่เจ้า? กลับแสร้งทำเป็นไม่เห็นข้าทุกครั้ง!”นางสูดจมูก แล้วกล่าวว่า " ฉีหมิง เจ้าจงใจใช่หรือไม่?"ฉีหมิงพยายามอดทนสุดขีดและพูดกับนางว่า "องค์หญิงพูดจาเหลวไหลอะไร ข้าน้อยจะไปคู่ควรกับความชื่นชอบขององค์หญิงได้อย่างไร องค์หญิงอย่ามาล้อเล่นกับข้าน้อยเลย"ฮุ่ยอี๋โต้กลับไปว่า: " เหตุใดถึงไม่คู่ควร? ใครกล้าบอกว่าไม่คู่ควร ข้าจะให้เสด็จพ่อของข้าลากเขาไปประหาร... "ฉีหมิงเอามือกุมหน้าผาก รู้สึกหดหู่ใจและรู้หงุดหงิดอยู่ในใจเขาแย่งถ้วยเหล้ามาจากในมือของฮุ่ยอี๋ เรียกนางกำนัลเอาชาสร่างเมามาให้นางหนึ่งถ้วย แล้วกล่าวว่า: "องค์หญิงดื่มมากเกินไปแล้ว ช่วยพยุงองค์หญิงไปพักผ่อนที!"นางกำนัลสองสามคนกำลังจะก้าวไปข้างหน้า แต่ฮุ่ยอี๋กลับดุว่า: "พวกเจ้าไสหัวออกไป ข้าจะให้ฉีหมิงส่งข้ากลับวังด้วยตนเอง!"ไป๋อวี้ถังก
หลังจากที่ทุกคนกินอิ่มแล้ว ก็พากันจากไปกลุ่มละสามถึงห้าคน เหลือเพียงโต๊ะของพวกหลินซวงเอ๋อร์ที่ยังไม่แยกย้ายองค์จักรพรรดิเสด็จกลับวังภายใต้การคุ้มกันขององครักษ์ ก่อนออกเดินทาง เขาอยากพาฮุ่ยอี๋กลับไปวังพร้อมกันแต่ฮุ่ยอี๋ปฏิเสธ และยืนกรานที่จะอยู่กับหลินซวงเอ๋อร์องค์จักรพรรดิไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรนางได้ ดังนั้นจึงกำชับให้ฉีหมิงและคนอื่นๆพานางกลับไปที่วังอย่างปลอดภัยฉีหมิงเอามือกุมหน้าผาก ในขณะนี้ เขาอยากรักษาระยะห่างจากฮุ่ยยี่ และอยู่ห่างจากฮุ่ยอี๋ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วจะไปส่งนางกลับวังได้อย่างไร!ฉีหมิงลุกขึ้นยืน พยักหน้าให้ไป๋อวี้ถังแล้วกล่าวว่า "ข้าน้อยมีงานที่จะต้องสะสางอยู่ที่จวน จึงไม่สะดวกที่จะส่งองค์หญิงกลับวัง รบกวนท่านสมุหราชเลขาธิการส่งองค์หญิงกลับไปอย่างปลอดภัยด้วย"ไป๋อวี้ถังไม่เต็มใจที่จะรับเรื่องยุ่งยากนี้ จึงลุกขึ้นก่อนแล้วกล่าวว่า "บังเอิญจริงๆ ข้าเองก็มีเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องทำ ตอนนี้จะต้องไปแล้ว ดังนั้นใต้เท้าฉีไปส่งองค์หญิงจะเหมาะสมมากกว่า" พูดจบ ไม่สนใจว่าฉีหมิงจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็เดินล่วงหน้าไปก่อนฉีหมิง: "...."แน่นอนว่า ถ้าอยากจะฉกฉ
เขาอยากคุยกับนาง อยากอยู่กับนางตามลำพัง อยากโอบกอดนาง อยากจะบอกนางว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เขาคิดถึงนางมากแค่ไหน...นางคงจะไม่รู้ว่า เขาคิดถึงนางคิดถึงจนแทบจะเป็นบ้า...น้ำเสียงของฮุ่ยอี๋ ยังคงดังก้องอยู่ข้างหูไม่หยุด ฉีหมิงไม่มีกะจิตกะใจที่จะฟังเลย แค่รู้สึกว่าน่ารำคาญสุดขีด“เจ้ามีอะไรให้เก่งกาจหรือ ข้าชื่นชอบเจ้า ถือว่าเป็นวาสนาของเจ้า…”“ให้เจ้าไปส่งข้ากลับวัง ถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง...”“ ฉีหมิง เหตุใดเจ้าถึงไม่พูดอะไรเลย? เจ้าคงจะคิดว่า ข้าจงใจตามตื้อเจ้าใช่ไหม?”“เจ้าอย่าภาคภูมิใจจนเกินไป...ข้าไม่ได้ตามตื้อเจ้าเสียหน่อย!”“เฮ้! เจ้าพูดออกมาสิ? เหตุใดเจ้าถึงเอาแต่มองซวงเอ๋อร์? ซวงเอ๋อร์เป็นคนของท่านลุงของข้า ไม่ได้เป็นคนของเจ้า มองแล้วจะไปมีประโยนช์อะไร…”เมื่อเห็นว่าสายตาของเขาจับจ้องมาที่ซวงเอ๋อร์อยู่ตลอดเวลา เยี่ยเป่ยเฉิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เลิกเสื้อคลุมขึ้น แล้วคลุมคนที่อยู่ในอ้อมแขนเอาไว้ทันทีเยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกว่า ถ้าปล่อยให้ฉีหมิงมองอีกครั้ง อาจะเสียหายครั้งใหญ่ได้!เยี่ยเป่ยเฉิงอุ้มหลินซวงเอ๋อร์แล้วลุกขึ้น แล้วกล่าวกับฉีหมิงว่า: " ในเมื่อองค์จักรพรรดิสั่งให้ใต
รถม้าโคลงเคลงเล็กน้อย ทำให้หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกวิงเวียนศีรษะนางพยายามดิ้นรนออกไปจากอ้อมแขนของเยี่ยเป่ยเฉิง คลานไปที่หน้าต่าง แล้วเปิดม่านเพื่อสูดอากาศตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง ลมยามค่ำคืนจึงค่อนข้างจะหนาวเล็กน้อยทันใดนั้นฝ่ามือขนาดใหญ่คู่หนึ่งก็รั้งเอวนางเอาไว้ จากนั้นเยี่ยเป่ยเฉิงก็เหยียดแขนออกไป แล้วดึงนางกลับเข้าไปในอ้อมแขนอีกครั้ง“ลมยามค่ำคืนหนาวเย็นมาก เดี๋ยวซวงเอ๋อร์จะเป็นหวัดเอาได้” เยี่ยเป่ยเฉิงจัดเสื้อคลุมที่อยู่บนตัวให้นาง แล้วพันตัวนางเอาไว้แน่นหลินซวงเอ๋อร์เมามาก นางซกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเยี่ยเป่ยเฉิง สายตาพร่ามัว และมองเห็นเพียงเงาสองอันที่ทับซ้อนกันแต่เมื่อนางได้ยินเสียง นางก็รู้ว่า คนที่กอดนางเอาไว้คือสวามีของนาง---เยี่ยเป่ยเฉิงนางขยี้ตา พยายามอย่างหนักที่จะมองใบหน้าของเยี่ยเป่ยเฉิงให้ชัดเจนในที่สุดใบหน้าที่พร่ามัวทั้งสองก็ทับซ้อนเข้าด้วยกันทุกคนต่างก็รู้ดีว่า เทพแห่งสงครามแห่งต้าซ่งหล่อเหลาสง่างาม หล่อเกือบจะเหมือนภูตมาร แต่หลินซวงเอ๋อร์กลับรู้สึกว่า คืนนี้เขาหล่อเหลาที่สุด หล่อเกินไปเล็กน้อยนางเงยหน้าขึ้น มองใบหน้าที่หล่อเหลาเย้ายวนของเขาด้วยความมึนเมา แ
วันที่เจียงหว่านกำลังจะถูกเนรเทศ ในที่สุดเจียงเช่อก็มาหาถึงหน้าประตูเขาคุกเข่าเบื้องหน้าเยี่ยเป่ยเฉิง เว้าวอนขอเยี่ยเป่ยเฉิงปล่อยเจียงหว่านไปขณะที่เดินทางมา เขารับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วเจียงหว่านลอบวางยาพระชายาเยี่ย ใช้ประชาชนที่ติดโรคทดลองยา เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ ผลาญชีวิตคนดุจผักดุจปลา นับเป็นอาชญากรรมอันชั่วร้ายที่สุด......แต่ไม่ว่าอย่างไร เจียงหว่านก็เป็นน้องสาวเขา เป็นคุณหนูหนึ่งเดียวของตระกูลเจียง เจียงเช่อมิอาจนั่งนิ่งดูดาย ปล่อยให้นางไปตายได้“ขอร้องท่านอ๋องไว้ชีวิตนางเถิด เป็นเพราะข้าตามใจนางจนเสียคน หากท่านอ๋องจะลงโทษ โปรดลงที่เจียงเช่อเถิดพะยะค่ะ”เมื่อเห็นเจียงเช่อ สายตาสิ้นหวังของเจียงหว่านพลันมีประกายความหวังขึ้น“พี่......ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากไปแดนเถื่อน ข้าอยากกลับบ้าน ท่านพี่ช่วยข้าด้วย......”เจียงเช่อขมวดคิ้วเขม็งจ้องเจียงหว่าน สายตาแฝงเร้นด้วยแววเกยีดชังเข้าไส้เขารู้ว่าเจียงหว่านต้องโทษตาย ยามนี้แค่เนรเทศ ถือว่าเมตตามากแล้ว แต่เขาเองก็รู้ว่า สถานที่อย่างแดนเถื่อนนั้น มิใช่สถานที่ที่สตรีตัวคนเดียวจะไปได้ การเนรเทศนางไปที่นั่น เท่ากับส่งนางไปขุมนร
“เลือดของนาง...”เจียงหว่านสีหน้าตกตะลึงตอนนั้น ตอนที่ฮุ่ยอี๋มอบยาถอนพิษใส่ในมือนาง นางเคยเอาทิ้งไว้หลายขวด เดิมทีคิดศึกษาส่วนผสมในนั้น ทว่าด้านในกลับมีส่วนผสมยาเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือเลือดมนุษย์...แรกเริ่ม นางคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล! กระทั่งยามนี้นางถึงได้เชื่อความจริง ส่วนประกอบของยานั้น มีเพียงเลือดมนุษย์จริงๆ! ทั้งยังเป็นเลือดของหลินซวงเอ๋อร์! เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ในที่สุดนางก็เข้าใจ!มิน่า...ตอนนั้น นางใช้ยาปริมาณมาก แต่กลับไม่อาจทำให้หลินซวงเอ๋อร์ถึงตาย! ไม่คิดว่าเลือดของนางจะขจัดพิษในร่างนางโดยมองไม่เห็น...ฮุ่ยอี๋เอ่ย “เจ้ายังมีหน้าพูดว่าไม่ได้ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาอีก! เจียงหว่าน เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้าวางยาซวงเอ๋อร์อย่างไร? เสด็จอาให้อภัยเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ข้าไม่มีวันเกรงใจเจ้า!”คำพูดนี้สองแง่สองง่าม เห็นชัดว่ากำเย้ยหยันเยี่ยเป่ยเฉิงที่ดึงหมาป่าเจ้าเล่ห์เข้าบ้าน!เยี่ยเป่ยเฉิงตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ไร้ซึ่งแรงโต้กลับยามนี้ เขามิอาจชำระคืนได้ ซวงเอ๋อร์ของเขาไม่มีวันกลับมาอีกต่อไป!สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คือทำให้เจียงหว่านชดใช้อย่างสาสมที่สุด ส่วนตัวเขา ชีวิตที่
เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาที่มองเจียงหว่านเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง ไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิดเขาอยากฆ่านางตั้งนานแล้ว ที่ปล่อยนางรอดมาจนถึงตอนนี้ ก็แค่อยากให้นางได้รับความทรมานจนตายบัดนี้เห็นนางตกยากเช่นนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงกลับรู้สึกว่าบทลงโทษแค่นี้ยังมิพอเจียงหว่านถูกทรมานจนเหมือนตายดีกว่าอยู่มานานแล้ว นางรู้ เยี่ยเป่ยเฉิงไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ หลังจากคิดดูแล้ว หากตายด้วยน้ำมือของเยี่ยเป่ยเฉิงได้ ก็คงจะดีกว่าตอนนี้ ที่ดูดซับยาเข้าสู่ร่างกายทุกวัน ถูกฝันร้ายหลอกหลอนทุกคืนสุดท้ายก็ไม่สามารถหนีจากพิษและเสียชีวิตลงได้!อย่างไรก็ตาย มิสู้ให้เยี่ยเป่ยเฉิงจบชีวิตนางด้วยมือเขาเอง!เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็ยิ้มเยาะ จงใจกล่าวยั่วยุเขา “เยี่ยเป่ยเฉิง เจ้ามีฝีมือแค่นี้หรือ? แน่จริงก็ฆ่าข้าไปเลยสิ!”“ฆ่าข้าให้มันจบๆ ไปเสีย!”เยี่ยเป่ยเฉิงปรายตามองนาง พลางกล่าวอย่างเย็นชา “ตอนนั้น เจ้าก็ทรมานซวงเอ๋อร์เช่นนี้!”เจียงหว่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วอย่างไร!”“ลูกในท้องนางข้าก็เป็นคนทำร้ายเอง! ร่างกายอ่อนแอแบบนั้นของนางต่อไปจะตั้งครรภ์ไม่ได้อีกแล้ว!”“ที่นางฝันร้ายทุกคืน ก็เป็นข้าที่ทำเอง
หลายสิบปีมานี้ นางทำเรื่องชั่วมานับไม่ถ้วน ทุกเรื่อง นางจิตใจสงบ ไม่เคยรู้สึกผิดเลยมีเพียงเจียงหลิง…มีเพียงการตายของเจียงหลิง ทำให้นางยากจะข่มตานอนได้…ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในฐานะคุณหนูรอง เจียงหว่านไม่เป็นที่ชื่นชอบของพ่อแม่มาตลอด พี่ชายก็ยิ่งไม่สนใจนาง ทว่าเจียงหลิงกลับได้รับความรักมากมาย…นางอิจฉาเจียงหลิง และแทบอยากทำให้อีกฝ่ายหายไปจากโลกใบนี้แต่เจียงหลิงกลับรักเอ็นดูนางมาตั้งแต่ต้นจนจบ ปกป้องนาง มอบของที่ดีที่สุดในโลกใบนี้ให้แก่นาง…เจียงหลิงเป็นพี่สาวที่ดีต่อนางที่สุดบนโลกใบนี้…ทว่าที่นางต้องการหาใช่แค่พี่สาวอย่างเดียว นางต้องการความรักของทุกคน นางต้องการให้พ่อแม่ พี่ชายรกนางแค่คนเดียว นางอยากครอบครองของที่ดีที่สุดไว้กับตัวเอง ไม่ใช่รอให้คนอื่นมอบให้!ดังนั้น ในคืนวันหิมะตก นางผลักเจียงหลิงตกน้ำ มองนางจมตายทั้งเป็นอยู่ใต้น้ำ หลังจากนั้นนางก็ติดวันเกิดเวลาเกิดของเจียงหลิงบนตุ๊กตาคุณไสย แทงเธอทุกวัน สวดภาวนาทุกคืน นางต้องการให้เจียงหลิงไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิด ไม่หวนกลับมาตลอดกาล!เพราะมีเพียงแค่ทำแบบนี้ นางถึงจะไม่มีโอกาสแก้แค้นตัวเอง!แต่ทำไม…ทำไมตอนนี้นางถึงยังหาตัวเอง
ยาซึมเข้าสู่ร่างกายติดกันหลายวันทำให้เจียงหว่านค่อยๆ เป็นบ้าในห้องที่ปิดสนิท เจียงหว่านหดตัวอยู่บนพื้นเหมือนดินโคลนตัวนางเหม็นมาก ชุดกระโปรงสีรากบัวเปลี่ยนเป็นสกปรกและเก่าองครักษ์ทำให้เส้นเอ็นมือของนางขาด ตรงบาดแผลถูกทาขี้ผึ้งปิดแผลชั้นแล้วชั้นเล่าแม้ขี้ผึ้งปิดแผลจะเป็นยาสำหรับปกปิด ทว่ากลับมีผลดีต่อการหยุดเลือดบาดแผลแข็งตัวจนกลายเป็นสะเก็ดไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้รับการรักษาที่ดีกว่านี้ แม้จะดีขึ้นก็ยังเหลือรอยแผลเป็นอัปลักษณ์เอาไว้ธูปในห้องไม่เคยลดลงเลยทั้งวัน ประกอบกับกระกระตุ้นของต้นคลีเวีย ความคิดต่ำช้าที่อยู่ในตัวนางแทบจะถูกกระตุ้นออกมาทั้งหมดสองตานางแดงก่ำ ดูฉุนเฉียวไม่น้อย กรีดร้องโวยวายอยู่ในห้อง ประหนึ่งคนบ้าคนหนึ่งองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องไม่สนใจนางสักนิด ได้แต่ทรมานนางไม่ให้นางตายทุกวันความเคียดแค้นฉายออกมาจากในตาเจียงหว่าน เวลานี้ นางได้ปล่อยว่างความหลงใหลต่อเยี่ยเป่ยเฉิงแล้ว ไม่ว่าจะรักมากขนาดไหนก็แปรเปลี่ยนเป็นความชิงชังเข้ากระดูก“เยี่ยเป่ยเฉิง! ปล่อยข้ากลับไป! ปล่อยข้ากลับไปสิ!”“แน่จริงก็ฆ่าข้าเลยสิ!ฆ่าข้าให้มันจบๆ ! ท่านมีสิทธิ์อะไรมาขังข้าไว้เช่นนี
“ได้ยินว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเจ้าเสียไปนานแล้ว แล้วเจ้ากับพี่ชายอยู่มาได้อย่างไร?”“แล้วเหตุใดเจ้าจึงขายตัวไปเป็นบ่าวไพร่? หลายปีมานี้ เจ้าคงผ่านความลำบากมิใช่น้อย เคยถูกใครรังแกหรือไม่?”หลินซวงเอ๋อร์พลันเกิดความขมขื่นในจิตใจเดิมที หากไม่เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ นางยังพออดทนได้บ้าง แต่เมื่ออวี๋หว่านหนิงถามขึ้นมา นางก็อดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเสียมิได้นางเม้มปากพลางจ้องมองนิ้วมือตนเอง น้ำตาเริ่มเอ่อล้น พร้อมหยดแหมะลงหลังมือทีละหยดนางอยู่สบายหรือไม่?นางเคยถามตนเองอยู่เช่นกันหลายปีมานี้ นางผ่านเรื่องราวมากมาย สูญเสียบิดามารดา สูญเสียพี่ชายไป กลายเป็นเด็กกำพร้าที่ไร้ญาติขาดมิตรโดยแท้แต่หากคิดดีๆ ชีวิตนางก็เคยอยู่สุขสบายมาช่วงหนึ่งนั่นคือตอนอยู่กับเยี่ยเป่ยเฉิง นางมีความสุขจริงๆในตอนนั้น เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นกำลังใจให้นาง ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ หาของดีมาให้กิน สอนนางเรียนหนังสือ พาไปเดินเล่นท่องทะเลสาบ ให้ความรักต่อนางอย่างชนิดไร้ผู้เทียบเทียม...ในเวลานั้น นางมีความสุขเหลือล้น เป็นความสุขมากที่สุดในชีวิต แม้แต่ฝันก็ยังเป็นฝันหวาน...แต่ต่อมา ทุกอย่างกลับแปรเปลี่ยน ก่อนหน้านี้เคยสุ
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลินซวงเอ๋อร์แทบชะงักงันไปที่บั้นเอวนางมีปานแดงรูปเสี้ยวจันทร์จริงๆ ท่านแม่บอกว่า มันมีติดตัวมาตั้งแต่นางเกิด เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่บั้นเอว จึงมีน้อยคนที่จะรู้เรื่องนี้“ท่าน...คือแม่ของข้าจริงหรือ?” หลินซวงเอ๋อร์หัวใจเต้นแรง ขอบตาแดงเรื่อขึ้นอวี๋หว่านหนิงยื่นมือมาจับมือของนางไว้ พลางกล่าวเสียวเศร้า “ซวงเอ๋อร์ ข้าคือแม่เจ้าจริงๆ หลายปีนี้ทำให้เจ้าลำบากนัก...”แม่นมซุนอยู่ด้านข้างพลางกล่าวเสริม “องค์หญิง นางคือเสด็จแม่ของท่านจริงๆ หลายปีมานี้ ฮองเฮาไม่เคยเลิกราในการตามหาท่าน เพียงแต่ภาคกลางกว้างขวางนัก พวกท่านเองก็ข่าวคราวเงียบหาย หลายปีนี้ พวกท่านลำบากก็จริง ฮองเฮาก็ไม่ได้สุขสบายใจ...”หลินซวงเอ๋อร์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ พลันหันไปมองอวี๋หว่านหนิงแล้วกล่าว “ที่จริง ข้าไม่เคยตำหนิท่านเลย เพียงแต่บางครั้งก็เคยคิด ว่าท่านแม่จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้หรือไม่”“ตอนยังเป็นเด็ก ข้าเคยคาดหวังให้นางมาหาบ้าง แต่พอโตขึ้นก็ไม่เห็นนางมาเสียที ข้าจึงภาวนาให้นางอยู่ดีมีสุขแทน แม้จะไม่ได้พบหน้า แต่ขอให้นางยังมีชีวิตอยู่ เป็นความคิดถึงในใจก็เพียงพอแล้ว...”
อวี๋หว่านหนิงรับเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา พลันเกิดความตื้นตันจนไม่รู้ตอบอย่างไรดีทันใดนั้น แม่นมซุนเดินขึ้นมาพร้อมกล่าว “องค์หญิง ที่นี่คือวังหลวงแห่งเป่ยหรง ฮองเฮาทรงตามหาท่านมานาน ทุ่มแทแรงกายแรงใจไม่น้อยกว่าจะหาพบ...”“องค์หญิง?” หลินซวงเอ๋อร์นึกว่าตนหูฝาดไป “ท่านเรียกข้าอยู่หรือ?”นางกล่าวตอบ “พวกท่านจำคนผิดหรือเปล่า ข้าไม่ใช่องค์หญิง ข้าคือหลินซวงเอ๋อร์ต่างหาก”นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง เติบโตมาจากชนบทแร้นแค้น เป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยผู้หนึ่งเท่านั้นองค์หญิงอะไรกัน ยังมีวังเป่ยหรงอีก แล้วใครคือฮองเฮา?พวกนางคงจำคนผิดเป็นแน่แม่นมซุนกล่าวตอบ “ไม่ผิดเจ้าค่ะ ไม่มีผิดแน่นอน ท่านก็คือองค์หญิงของเรา องค์หญิงที่พลัดพรากจากฮองเฮาไป...”หลินซวงเอ๋อร์คล้ายกับยังมึนงงอยู่ ความคิดนางเกิดความสับสน ปวดหัวเป็นอย่างมากแม่นมซุนอธิบายต่อ “สมัยที่อดีตฮ่องเต้สวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ราชสำนักเป่ยหรงเกิดความวุ่นวาย ตอนนั้นฮองเฮายังมีฐานะเป็นเพียงพระชายาแห่งรัชทายาท นางเสี่ยงอันตรายให้กำเนิดแฝดชายหญิงคู่หนึ่ง เพื่อปกป้องชีวิตของพวกท่านไว้ จึงให้คนสนิทส่งพวกท่านออก
หลินซวงเอ๋อร์เปลือกตากระตุกเล็กน้อย นางก็อยากตื่น แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจตื่นขึ้นมาหน้าอกคล้ายถูกกรีดจนเป็นแผลเหวอะหวะ เหงื่อเย็นในตัวไหลพราก ลำคอคล้ายถูกงูพิษตัวหนึ่งรัดไว้ ยิ่งรัดก็ยิ่งแน่น จนนางใกล้จะหายใจไม่ออกข้างโสตนั้น ได้ยินเสียงคุ้นหูประเดี๋ยวไกลประเดี๋ยวใกล้ ถัดจากนั้น คล้ายมีมืออ่อนโยนลูบไล้ใบหน้านางเบาๆ“เด็กดี หมดเรื่องแล้ว เจ้าปลอดภัยดีแล้ว รีบตื่นมาเถิด ตื่นมาเร็วเข้า...”หลังจากได้ยินเสียงนั้นชัดเจนมากขึ้น ลำคอที่ถูกรัดแน่นก็ค่อยๆ คลายออก นางลืมตาช้าๆ ภาพเบื้องหน้าจากพร่ามัวจนกลายเป็นชัดเจน สิ่งแรกที่เข้าสู่ม่านตาก็คือม่านคลุมเตียงสีม่วงที่อยู่เหนือศีรษะขึ้นไป คล้ายเป็นภาพฝัน เสมือนเป็นแหยักษ์ที่ถูกเหวี่ยงลงมา เพื่อคลุมตัวนางให้อยู่ตรงกลางเตียงนี้เป็นเตียงที่สวยงาม จนแม้แต่เสาเตียงก็เป็นลวดลายที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน หัวเตียงนอกจากจะแกะสลักลายดอกไม้แล้วยังฝังด้วยหยกเจียระไนงดงามและพลอยล้ำค่าอีกชั่วขณะนั้น นางรู้สึกมึนงงยิ่งนี่มันเป็นที่ไหนกัน?“ซวงเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกตัวแล้วรึ?” จนกระทั่งข้างหูได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง นางจำได้ว่าตอนอยู่ในความฝัน ได้ยินเสียงนี้จนคุ