เมื่อเห็นว่านางหาข้อแก้ต่างอย่างร้อนใจ ฮุ่ยอี๋ก็ยิ้มพร้อมกล่าวว่า " ล้อเล่นแค่นี้ทำเป็นจริงจังไปได้? "เดิมทีฮุ่ยอี๋เป็นคนที่ไม่ชอบพูด แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด พออยู่ต่อหน้าหลินซวงเอ๋อร์ นางก็ไม่สามารถกลั้นคำพูดเอาไว้ได้ และทำเหมือนว่าเป็นคนที่ชอบพูดมากในทางกลับกัน หลินซวงเอ๋อร์จะแค่ตอบคำถามเท่านั้น และไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านี้หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: "องค์หญิงโปรดอย่าล้อเล่นกับข้าเลย บางครั้งสวามีของข้าก็ดุร้ายกับข้ามากเช่นกัน บางครั้งข้าก็กลัวเขา..."หลินซวงเอ๋อร์กลัวว่าจะทำให้เขาโกรธ ถ้าเขาโกรธ หลินซวงเอ๋อร์จะไม่กล้าเข้าใกล้เขา แต่สิ่งที่นางกลัวที่สุดก็คือ เรื่องบนเตียงของพวกเขาสองคนมากกว่า...แต่หลินซวงเอ๋อร์ไม่กล้าบอกฮุ่ยอี๋ เกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งสองคนพูดคุยกันจนลืมดูทาง และค่อยๆเดินลึกเข้าไปในป่าเมื่อเห็นว่าค่ำแล้ว หลินซวงเอ๋อร์ก็ไม่ยอมเดินต่อไปขณะที่พวกนางเดินเข้าไป ได้เดินตามผ้าสีแดงนำทางตลอด แต่ดูเหมือนว่าสีแดงที่อยู่ข้างหน้าจะน้อยลงเรื่อยๆหลินซวงเอ๋อร์กลัวว่าจะหลงทาง ดังนั้นจึงแนะนำให้กลับไปทางเดิมนางจึงพูดกับฮุ่ยอี๋ว่า: "นี่มันก็ค่ำมากแล้ว สวามีน่าจะกลับมาแล้ว พวก
“ ซวงเอ๋อร์ ในป่าแห่งนี้จะมีสัตว์กินคนหรือไม่? ”“อีกสักพักเสด็จพ่อของข้าจะตามหาพวกเราเจอจริงๆใช่ไหม?”“ ซวงเอ๋อร์ เจ้าเข้ามาใกล้ๆข้าหน่อยได้ไหม ข้ารู้สึกกลัวนิดหน่อย…”เสียงพร่ำบ่นของฮุ่ยอี๋ยังคงดังขึ้นที่ข้างหูไม่หยุดหลินซวงเอ๋อร์ก็รู้สึกหวาดกลัวเช่นกัน แต่ก็ต้องกล่าวปลอบใจนางอย่างอดทนว่า: "ไม่มีสัตว์ป่าที่ดุร้ายหรอก สวามีของข้าบอกว่า ในนี้ปล่อยแค่กระต่ายและไก่ฟ้าเท่านั้น สัตว์ป่าอื่นๆได้ถูกขับเข้าไปในพื้นที่ล่าสัตว์หมดแล้ว "เมื่อได้ยินดังนี้ ฮุ่ยอี๋ก็รู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่นางยังไม่ได้ผ่อนคลาย ก็เห็นตะขาบใหญ่ตัวหนึ่งที่อยู่บนพื้นคลานไปตามหลังเท้าของนาง“อร็าย!!!” ฮุ่ยอี๋ตกใจจนลุกขึ้นยืนทันที และกระโดดอยู่กับที่สองสามครั้ง“ตะขาบ! ตะขาบ!” ฮุ่ยอี๋ตกใจจนมีสีหน้าที่ซีดเผือด ถกกระโปรงขึ้นแล้วถอยหลังกลับไปสองสามก้าวแก้วหูของหลินซวงเอ๋อร์แทบแตก นางลูบโคนหูแล้วลุกขึ้นยืน เหลือบมองตะขาบที่อยู่บนพื้น แล้วกล่าวว่า "เป็นเรื่องปกติที่จะมีตะขาบอยู่ในป่า"ฮุ่ยอี๋อยากจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออก: " เจ้าไม่กลัวหรือ? ถ้าเจ้าเก่งจริง ก็เอามันออกไปสิ... "ตะขาบที่น่าเกลียดแบบนี้ ใครบ้างจะไม
ฮุ่ยอี๋มองแล้วรู้สึกขนหัวลุก: "รีบโยนมันทิ้งเร็ว!""อ้อ~"หลินซวงเอ๋อร์เอาแมงมุมโยนลงบนพื้นทันทีที่แมงมุมตกลงบนพื้น มันก็คลานไปทางฮุ่ยอี๋อีกครั้งหลินซวงเอ๋อร์ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเจ้าตัวเล็กเหล่านี้ถึงได้ชอบฮุ่ยอี๋มากขนาดนี้ จากนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องสุดปอดของฮุ่ยอี๋“ มันมันมัน...มันมาอีกแล้ว... ซวงเอ๋อร์ เจ้ารีบห้ามมันเร็วเข้า เร็วเข้า เร็วเข้า!! ”“แคร็ก!” หลินซวงเอ๋อร์ได้ยินแล้วรู้สึกรำคาญ จึงเหยียบแมงมุมจนแหลกหลาญ“มันตายแล้ว” หลินซวงเอ๋อร์กะพริบตาแล้วมองฮุ่ยอี๋ ด้วยท่าทางที่เป็นมิตรตอนนี้ฮุ่ยอี๋รู้สึกว่า ภายนอกกับภายในของหลินซวงเอ๋อร์ไม่เหมือนกันนางไม่เข้าใจว่า คนที่มีรูปลักษณ์ที่อ่อนช้อยแบบนี้ จะมีด้านที่ดุร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร...แต่ว่า หลังจากเผชิญกับเรื่องเมื่อสักครู่นี้แล้ว ฮุ่ยอี๋ก็ไม่กล้านั่งบนพื้นมั่วซั่วอีก เพราะกลัวว่าจะมีงู แมลง หนู และมดอะไรโผล่ขึ้นมาอีกพระอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้าในป่าเต็มไปด้วยความเงียบงัน คนที่ไปล่าสัตว์ก็คงจะกลับมาที่ค่ายแล้วหลินซวงเอ๋อร์ลูบท้อง ในท้องว่างเปล่า และรู้สึกหิวมาตั้งนานแล้วนางลุกขึ้น มองไปบริเวณรอบๆ ทันใดนั้นก็เดิ
ฮุ่ยอี๋ดูเหมือนจะคิดไม่ถึงว่าหลินซวงเอ๋อร์จะแอบซ่อนมันเทศป่าสองสามลูกเอาไว้ให้นาง ดูไปแล้วลูกใหญ่กว่าสองสามลูกที่นางเพิ่งจะกินเข้าไปอีกหลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: "องค์หญิงไม่อยากชิมมันจริงๆหรือ? มันอร่อยจริงๆะ"ฮุ่ยอี๋พูดด้วยสีหน้าที่บูดบึ้ง กล่าวด้วยสีหน้าที่เย่อหยิ่งว่า: " ในเมื่อเจ้าพูดขนาดนี้แล้ว งั้นข้าก็จะฝืนใจชิมมันดูหน่อยก็ได้ "ฮุ่ยอี๋พยายามพูดเพื่อไม่ให้ตนเองเสียหน้าหลินซวงเอ๋อร์ใช้ชายผ้าเช็ดเศษหญ้าบนพื้นผิวของมันเทศป่าจนสะอาด ตอนที่มอบให้ฮุ่ยอี๋ หลินซวงเอ๋อร์ได้กล่าว่า " ตอนนี้มันเทศป่าเหล่านี้สุกแล้ว อันที่จริงสามารถกินเปลือกของมันได้ ถ้าองค์หญิงรังเกียจว่ามันสกปรก สามารถปอกเปลือกมันออกได้ "ฮุ่ยอี๋ปอกเปลือกออก แล้วค่อยๆใส่มันเทศป่าเข้าไปในปาก เคี้ยวมันอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็มีกลิ่นหอมหวานแพร่กระจายไปที่ปลายลิ้นนางไม่รู้ว่าจะอธิบายรสชาติที่หอมหวานนี้อย่างไร พูดสั้นๆก็คือเป็นสิ่งที่นางไม่เคยลิ้มรสมาก่อนเลยหลังจากที่นางกลืนมันลงไป หลินซวงเอ๋อร์ก็เช็ดอีกลูกให้สะอาดแล้วมอบให้นางอีกคราวนี้ ฮุ่ยอี๋ไม่ได้ปอกเปลือก ใส่มันเทศป่าเข้าไปในปากทันที“อร่อยไหม?” หลินซวงเอ๋อร์ถ
“ ซวงเอ๋อร์ เจ้าแก้มัดมัน แล้วปล่อยให้มันนำทาง พวกเราจะได้ตามมันออกไป”“เพคะ” หลินซวงเอ๋อร์รับปลดสายบังเหียนที่ผูกไว้กับต้นไม้อย่างรวดเร็ว…...เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ทุกคนก็ยุติการล่า และพากันกลับค่ายเยี่ยเป่ยเฉิงล่าสุนัขจิ้งจอกขาวได้สองตัว และคิดว่าจะทำเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกให้กับหลินซวงเอ๋อร์เมื่อคิดว่าวันนี้นางอารมณ์ไม่ดี ก็แสดงว่ารู้สึกหดหู่อยู่ในใจ เยี่ยเป่ยเฉิงจึงคิดที่จะใช้สุนัขจิ้งจอกสองตัวนี้เอาใจนางหลินซวงเอ๋อร์เป็นคนที่มีความคิดไร้เดียงสา ไม่ผูกพยาบาท ถ้าเขาง้อนางดีๆ นางจะต้องลืมเรื่องที่ไม่เบิกบานใจเหล่านั้นได้อย่างแน่นอนใครจะไปรู้ว่า เมื่อกลับมาถึงค่าย เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พบร่างที่สดใสร่างนั้นวิ่งมาหาเขาเยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป จากที่เขารู้จักหลินซวงเอ๋อร์ ถ้าได้ยินว่ามีการเคลื่อนไหว สาวน้อยคนนั้นจะต้องกระโดดเข้าสู่อ้อมแขนของเขาอย่างอดรนทนไม่ไหวแล้วขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่ เขาก็เห็นนางกำนัลคนหนึ่งคุกเข่าต่อหน้าองค์จักรพรรดิด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก“ องค์หญิงฮุ่ยอี๋ล่ะ? เหตุใดข้าถึงไม่เห็นนาง?” องค์จักรพรรดิถือจิ้งจอกแดงตัวหนึ่งเอาไว้ในมือ กำล
เมื่อเห็นดังนี้ หัวใจของหลายๆคนก็ตึงเครียดขึ้นมาทันทีพื้นที่ล่าสัตว์ของราชวงศ์นั้นอันตรายมาก มีสัตว์ดุร้ายหลายชนิดในนั้น แม้แต่เสือดาวที่ดุร้ายแบบเมื่อสักครู่นี้ นักล่าธรรมดาก็ใช่ว่าจะสามารถปราบมันได้ ไม่ต้องพูดถึงผู้หญิงที่ไม่มีอาวุธเลย...“มีคนจงใจดัดแปลงแถบผ้าสีแดง เสาไม้ที่แบ่งพื้นที่ล่าสัตว์ก็มีรูขนาดใหญ่เช่นกัน มีคนจงใจชักนำพวกนางเข้าไปในพื้นที่ล่าสัตว์” ไป๋อวี้ถังกล่าวด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมในเวลานี้ เยี่ยเป่ยเฉิงสังเกตเห็นว่าฉีหมิงผิดปกติไป เขาจ้องมองไปที่เสือดาวที่ตายแล้วบนพื้นด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม แววตาแห่งความโศกเศร้านั้น ทำให้เยี่ยเป่ยเฉิงเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีอยู่ในใจเล็กน้อย“ เสือดาวตัวนี้กินอะไร? ท้องถึงได้ใหญ่มากขนาดนี้? ” ไป๋อวี้ถังก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว นั่งยองๆแล้วพินิจมองเสือดาวอย่างละเอียดเมื่อสักครู่นี้สังเกตเห็นความผิดปกติของเสือดาวตัวนี้เสือดาวธรรมดามีความคล่องแคล่วว่องไวมาก แต่ตัวนี้ช้ากว่าปกติมากสายตาของเขาจับจ้องไปที่ท้องที่นูนสูงของมัน ไป๋อวี้ถังก็ตระหนักได้ในทันทีที่แท้ก็กินมากจนเกินไป ทำให้มันเคลื่อนไหวช้าขึ้นฉีหมิงดึงผ้าออกจากปากของเส
ไป๋อวี้ถังสูดลมหายใจยาวๆ และแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง: "มันเป็นแค่กวางตัวหนึ่งก็เท่านั้น แม่นางหลินกับองค์หญิงจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน"ทันทีที่พูดจบ ทันใดนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงกระดิ่งที่ไพเราะกังวานดังมาจากในป่าเยี่ยเป่ยเฉิงลุกขึ้นยืนทันที เขาหันหลังกลับ และวิ่งไปในทิศทางของเสียงอย่างรวดเร็วเขาร้อนใจมาก จึงพุ่งไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่ม้าก็ไม่ขี่ฉีหมิงและไป๋อวี้ถังติดตามหลังเยี่ยเป่ยเฉิงไปอย่างใกล้ชิด…...ลูกม้านำทางอยู่ข้างหน้า หลินซวงเอ๋อร์และฮุ่ยอี๋เดินตามหลังม้าอย่างใกล้ชิดเมื่อเดินไปข้างหน้า ต้นไม้ที่อยู่ข้างหน้าก็เบาบางลง จนกระทั่งมองเห็นกองไฟลุกโชนอยู่ในค่าย ทั้งสองจึงแน่ใจว่า พวกนางเดินออกมาแล้วจริงๆ“ ซวงเอ๋อร์ เจ้าดูสิ มีไฟอยู่ตรงหน้า พวกเราเดินออกมาแล้วจริงๆ” ฮุ่ยอี๋เผยสีหน้าที่ดีใจออกมา เมื่อสักครู่นี้นางหวาดกลัวใมากเท่าไหร่ ตอนนี้นางก็ดีใจมากเท่านั้นภาพลักษณ์อันสสูงส่งง่างามในอดีตไม่มีอีกต่อไปแล้ว ปิ่นปักผมอันประณีตของฮุ่ยอี๋ ถูกกิ่งไม้เกี่ยวพันจนยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว ปิ่นปักผมบนศีรษะก็สอดเข้าไปในมวยผมแบบเอนเอียง ดูไปแล้วสะบักสะบอมมากหลินซวงเอ๋อร์ชี้ไปที่ศีรษะของฮุ่ยอี
เขากอดนางแน่นจนเกินไป หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกว่าตนเองจะหายใจไม่ออกเมื่อแก้มของนางแนบชิดบนหน้าอกที่ร้อนผ่าวของเขา หลินซวงเอ๋อร์ก็สัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงของเขา เต้นตึกตัก ราวกับว่าตีกลองสงครามในสนามรบลมหายใจอันหนักหน่วงกระทบบนคอของนาง ทำให้นางวิตกกังวลอย่างไม่มีสาเหตุ“สวามี ท่านเป็นอะไรไปหรือ?” หลินซวงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมาจากอ้อมแขนของเขา จ้องมองเขาด้วยนัยน์ตาที่ชัดเจนสดใสเยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า: "ไม่มีอะไร เมื่อสักครู่นี้แค่ตกใจก็เท่านั้นเอง"ดูท่าทางของเขาแล้วเห็นได้ชัดว่าตกใจมาก หลินซวงเอ๋อร์ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา และถามอย่างสงสัยว่า: " สวามีตกใจกลัวอะไรหรือ? เหตุใดถึงมีสีหน้าที่ซีดเซียวขนาดนี้? "เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า: " ซวงเอ๋อร์อย่าเพิ่งถามเลย ให้สวามีกอดเจ้าหน่อย"ในเวลานี้ ฉีหมิงกับไป๋อวี้ถังก็ทยอยตามมาถึงทีละคนเมื่อเห็นว่าหลินซวงเอ๋อร์ปลอดภัย ทั้งสองคนก็โล่งใจเป็นอย่างยิ่ง“คนไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” ไป๋อวี้ถังปกปิดอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในดวงตา แสร้งทำเป็นผ่อนคลายจากนั้นเยี่ยเป่ยเฉิงก็ปล่อยนาง แต่สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่หลินซวงเอ๋อร์เมื่อเห็นสีหน้าที่เคร่งเครียดของพว
วันที่เจียงหว่านกำลังจะถูกเนรเทศ ในที่สุดเจียงเช่อก็มาหาถึงหน้าประตูเขาคุกเข่าเบื้องหน้าเยี่ยเป่ยเฉิง เว้าวอนขอเยี่ยเป่ยเฉิงปล่อยเจียงหว่านไปขณะที่เดินทางมา เขารับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วเจียงหว่านลอบวางยาพระชายาเยี่ย ใช้ประชาชนที่ติดโรคทดลองยา เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ ผลาญชีวิตคนดุจผักดุจปลา นับเป็นอาชญากรรมอันชั่วร้ายที่สุด......แต่ไม่ว่าอย่างไร เจียงหว่านก็เป็นน้องสาวเขา เป็นคุณหนูหนึ่งเดียวของตระกูลเจียง เจียงเช่อมิอาจนั่งนิ่งดูดาย ปล่อยให้นางไปตายได้“ขอร้องท่านอ๋องไว้ชีวิตนางเถิด เป็นเพราะข้าตามใจนางจนเสียคน หากท่านอ๋องจะลงโทษ โปรดลงที่เจียงเช่อเถิดพะยะค่ะ”เมื่อเห็นเจียงเช่อ สายตาสิ้นหวังของเจียงหว่านพลันมีประกายความหวังขึ้น“พี่......ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากไปแดนเถื่อน ข้าอยากกลับบ้าน ท่านพี่ช่วยข้าด้วย......”เจียงเช่อขมวดคิ้วเขม็งจ้องเจียงหว่าน สายตาแฝงเร้นด้วยแววเกยีดชังเข้าไส้เขารู้ว่าเจียงหว่านต้องโทษตาย ยามนี้แค่เนรเทศ ถือว่าเมตตามากแล้ว แต่เขาเองก็รู้ว่า สถานที่อย่างแดนเถื่อนนั้น มิใช่สถานที่ที่สตรีตัวคนเดียวจะไปได้ การเนรเทศนางไปที่นั่น เท่ากับส่งนางไปขุมนร
“เลือดของนาง...”เจียงหว่านสีหน้าตกตะลึงตอนนั้น ตอนที่ฮุ่ยอี๋มอบยาถอนพิษใส่ในมือนาง นางเคยเอาทิ้งไว้หลายขวด เดิมทีคิดศึกษาส่วนผสมในนั้น ทว่าด้านในกลับมีส่วนผสมยาเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือเลือดมนุษย์...แรกเริ่ม นางคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล! กระทั่งยามนี้นางถึงได้เชื่อความจริง ส่วนประกอบของยานั้น มีเพียงเลือดมนุษย์จริงๆ! ทั้งยังเป็นเลือดของหลินซวงเอ๋อร์! เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ในที่สุดนางก็เข้าใจ!มิน่า...ตอนนั้น นางใช้ยาปริมาณมาก แต่กลับไม่อาจทำให้หลินซวงเอ๋อร์ถึงตาย! ไม่คิดว่าเลือดของนางจะขจัดพิษในร่างนางโดยมองไม่เห็น...ฮุ่ยอี๋เอ่ย “เจ้ายังมีหน้าพูดว่าไม่ได้ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาอีก! เจียงหว่าน เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้าวางยาซวงเอ๋อร์อย่างไร? เสด็จอาให้อภัยเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ข้าไม่มีวันเกรงใจเจ้า!”คำพูดนี้สองแง่สองง่าม เห็นชัดว่ากำเย้ยหยันเยี่ยเป่ยเฉิงที่ดึงหมาป่าเจ้าเล่ห์เข้าบ้าน!เยี่ยเป่ยเฉิงตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ไร้ซึ่งแรงโต้กลับยามนี้ เขามิอาจชำระคืนได้ ซวงเอ๋อร์ของเขาไม่มีวันกลับมาอีกต่อไป!สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คือทำให้เจียงหว่านชดใช้อย่างสาสมที่สุด ส่วนตัวเขา ชีวิตที่
เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาที่มองเจียงหว่านเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง ไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิดเขาอยากฆ่านางตั้งนานแล้ว ที่ปล่อยนางรอดมาจนถึงตอนนี้ ก็แค่อยากให้นางได้รับความทรมานจนตายบัดนี้เห็นนางตกยากเช่นนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงกลับรู้สึกว่าบทลงโทษแค่นี้ยังมิพอเจียงหว่านถูกทรมานจนเหมือนตายดีกว่าอยู่มานานแล้ว นางรู้ เยี่ยเป่ยเฉิงไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ หลังจากคิดดูแล้ว หากตายด้วยน้ำมือของเยี่ยเป่ยเฉิงได้ ก็คงจะดีกว่าตอนนี้ ที่ดูดซับยาเข้าสู่ร่างกายทุกวัน ถูกฝันร้ายหลอกหลอนทุกคืนสุดท้ายก็ไม่สามารถหนีจากพิษและเสียชีวิตลงได้!อย่างไรก็ตาย มิสู้ให้เยี่ยเป่ยเฉิงจบชีวิตนางด้วยมือเขาเอง!เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็ยิ้มเยาะ จงใจกล่าวยั่วยุเขา “เยี่ยเป่ยเฉิง เจ้ามีฝีมือแค่นี้หรือ? แน่จริงก็ฆ่าข้าไปเลยสิ!”“ฆ่าข้าให้มันจบๆ ไปเสีย!”เยี่ยเป่ยเฉิงปรายตามองนาง พลางกล่าวอย่างเย็นชา “ตอนนั้น เจ้าก็ทรมานซวงเอ๋อร์เช่นนี้!”เจียงหว่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วอย่างไร!”“ลูกในท้องนางข้าก็เป็นคนทำร้ายเอง! ร่างกายอ่อนแอแบบนั้นของนางต่อไปจะตั้งครรภ์ไม่ได้อีกแล้ว!”“ที่นางฝันร้ายทุกคืน ก็เป็นข้าที่ทำเอง
หลายสิบปีมานี้ นางทำเรื่องชั่วมานับไม่ถ้วน ทุกเรื่อง นางจิตใจสงบ ไม่เคยรู้สึกผิดเลยมีเพียงเจียงหลิง…มีเพียงการตายของเจียงหลิง ทำให้นางยากจะข่มตานอนได้…ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในฐานะคุณหนูรอง เจียงหว่านไม่เป็นที่ชื่นชอบของพ่อแม่มาตลอด พี่ชายก็ยิ่งไม่สนใจนาง ทว่าเจียงหลิงกลับได้รับความรักมากมาย…นางอิจฉาเจียงหลิง และแทบอยากทำให้อีกฝ่ายหายไปจากโลกใบนี้แต่เจียงหลิงกลับรักเอ็นดูนางมาตั้งแต่ต้นจนจบ ปกป้องนาง มอบของที่ดีที่สุดในโลกใบนี้ให้แก่นาง…เจียงหลิงเป็นพี่สาวที่ดีต่อนางที่สุดบนโลกใบนี้…ทว่าที่นางต้องการหาใช่แค่พี่สาวอย่างเดียว นางต้องการความรักของทุกคน นางต้องการให้พ่อแม่ พี่ชายรกนางแค่คนเดียว นางอยากครอบครองของที่ดีที่สุดไว้กับตัวเอง ไม่ใช่รอให้คนอื่นมอบให้!ดังนั้น ในคืนวันหิมะตก นางผลักเจียงหลิงตกน้ำ มองนางจมตายทั้งเป็นอยู่ใต้น้ำ หลังจากนั้นนางก็ติดวันเกิดเวลาเกิดของเจียงหลิงบนตุ๊กตาคุณไสย แทงเธอทุกวัน สวดภาวนาทุกคืน นางต้องการให้เจียงหลิงไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิด ไม่หวนกลับมาตลอดกาล!เพราะมีเพียงแค่ทำแบบนี้ นางถึงจะไม่มีโอกาสแก้แค้นตัวเอง!แต่ทำไม…ทำไมตอนนี้นางถึงยังหาตัวเอง
ยาซึมเข้าสู่ร่างกายติดกันหลายวันทำให้เจียงหว่านค่อยๆ เป็นบ้าในห้องที่ปิดสนิท เจียงหว่านหดตัวอยู่บนพื้นเหมือนดินโคลนตัวนางเหม็นมาก ชุดกระโปรงสีรากบัวเปลี่ยนเป็นสกปรกและเก่าองครักษ์ทำให้เส้นเอ็นมือของนางขาด ตรงบาดแผลถูกทาขี้ผึ้งปิดแผลชั้นแล้วชั้นเล่าแม้ขี้ผึ้งปิดแผลจะเป็นยาสำหรับปกปิด ทว่ากลับมีผลดีต่อการหยุดเลือดบาดแผลแข็งตัวจนกลายเป็นสะเก็ดไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้รับการรักษาที่ดีกว่านี้ แม้จะดีขึ้นก็ยังเหลือรอยแผลเป็นอัปลักษณ์เอาไว้ธูปในห้องไม่เคยลดลงเลยทั้งวัน ประกอบกับกระกระตุ้นของต้นคลีเวีย ความคิดต่ำช้าที่อยู่ในตัวนางแทบจะถูกกระตุ้นออกมาทั้งหมดสองตานางแดงก่ำ ดูฉุนเฉียวไม่น้อย กรีดร้องโวยวายอยู่ในห้อง ประหนึ่งคนบ้าคนหนึ่งองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องไม่สนใจนางสักนิด ได้แต่ทรมานนางไม่ให้นางตายทุกวันความเคียดแค้นฉายออกมาจากในตาเจียงหว่าน เวลานี้ นางได้ปล่อยว่างความหลงใหลต่อเยี่ยเป่ยเฉิงแล้ว ไม่ว่าจะรักมากขนาดไหนก็แปรเปลี่ยนเป็นความชิงชังเข้ากระดูก“เยี่ยเป่ยเฉิง! ปล่อยข้ากลับไป! ปล่อยข้ากลับไปสิ!”“แน่จริงก็ฆ่าข้าเลยสิ!ฆ่าข้าให้มันจบๆ ! ท่านมีสิทธิ์อะไรมาขังข้าไว้เช่นนี
“ได้ยินว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเจ้าเสียไปนานแล้ว แล้วเจ้ากับพี่ชายอยู่มาได้อย่างไร?”“แล้วเหตุใดเจ้าจึงขายตัวไปเป็นบ่าวไพร่? หลายปีมานี้ เจ้าคงผ่านความลำบากมิใช่น้อย เคยถูกใครรังแกหรือไม่?”หลินซวงเอ๋อร์พลันเกิดความขมขื่นในจิตใจเดิมที หากไม่เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ นางยังพออดทนได้บ้าง แต่เมื่ออวี๋หว่านหนิงถามขึ้นมา นางก็อดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเสียมิได้นางเม้มปากพลางจ้องมองนิ้วมือตนเอง น้ำตาเริ่มเอ่อล้น พร้อมหยดแหมะลงหลังมือทีละหยดนางอยู่สบายหรือไม่?นางเคยถามตนเองอยู่เช่นกันหลายปีมานี้ นางผ่านเรื่องราวมากมาย สูญเสียบิดามารดา สูญเสียพี่ชายไป กลายเป็นเด็กกำพร้าที่ไร้ญาติขาดมิตรโดยแท้แต่หากคิดดีๆ ชีวิตนางก็เคยอยู่สุขสบายมาช่วงหนึ่งนั่นคือตอนอยู่กับเยี่ยเป่ยเฉิง นางมีความสุขจริงๆในตอนนั้น เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นกำลังใจให้นาง ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ หาของดีมาให้กิน สอนนางเรียนหนังสือ พาไปเดินเล่นท่องทะเลสาบ ให้ความรักต่อนางอย่างชนิดไร้ผู้เทียบเทียม...ในเวลานั้น นางมีความสุขเหลือล้น เป็นความสุขมากที่สุดในชีวิต แม้แต่ฝันก็ยังเป็นฝันหวาน...แต่ต่อมา ทุกอย่างกลับแปรเปลี่ยน ก่อนหน้านี้เคยสุ
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลินซวงเอ๋อร์แทบชะงักงันไปที่บั้นเอวนางมีปานแดงรูปเสี้ยวจันทร์จริงๆ ท่านแม่บอกว่า มันมีติดตัวมาตั้งแต่นางเกิด เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่บั้นเอว จึงมีน้อยคนที่จะรู้เรื่องนี้“ท่าน...คือแม่ของข้าจริงหรือ?” หลินซวงเอ๋อร์หัวใจเต้นแรง ขอบตาแดงเรื่อขึ้นอวี๋หว่านหนิงยื่นมือมาจับมือของนางไว้ พลางกล่าวเสียวเศร้า “ซวงเอ๋อร์ ข้าคือแม่เจ้าจริงๆ หลายปีนี้ทำให้เจ้าลำบากนัก...”แม่นมซุนอยู่ด้านข้างพลางกล่าวเสริม “องค์หญิง นางคือเสด็จแม่ของท่านจริงๆ หลายปีมานี้ ฮองเฮาไม่เคยเลิกราในการตามหาท่าน เพียงแต่ภาคกลางกว้างขวางนัก พวกท่านเองก็ข่าวคราวเงียบหาย หลายปีนี้ พวกท่านลำบากก็จริง ฮองเฮาก็ไม่ได้สุขสบายใจ...”หลินซวงเอ๋อร์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ พลันหันไปมองอวี๋หว่านหนิงแล้วกล่าว “ที่จริง ข้าไม่เคยตำหนิท่านเลย เพียงแต่บางครั้งก็เคยคิด ว่าท่านแม่จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้หรือไม่”“ตอนยังเป็นเด็ก ข้าเคยคาดหวังให้นางมาหาบ้าง แต่พอโตขึ้นก็ไม่เห็นนางมาเสียที ข้าจึงภาวนาให้นางอยู่ดีมีสุขแทน แม้จะไม่ได้พบหน้า แต่ขอให้นางยังมีชีวิตอยู่ เป็นความคิดถึงในใจก็เพียงพอแล้ว...”
อวี๋หว่านหนิงรับเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา พลันเกิดความตื้นตันจนไม่รู้ตอบอย่างไรดีทันใดนั้น แม่นมซุนเดินขึ้นมาพร้อมกล่าว “องค์หญิง ที่นี่คือวังหลวงแห่งเป่ยหรง ฮองเฮาทรงตามหาท่านมานาน ทุ่มแทแรงกายแรงใจไม่น้อยกว่าจะหาพบ...”“องค์หญิง?” หลินซวงเอ๋อร์นึกว่าตนหูฝาดไป “ท่านเรียกข้าอยู่หรือ?”นางกล่าวตอบ “พวกท่านจำคนผิดหรือเปล่า ข้าไม่ใช่องค์หญิง ข้าคือหลินซวงเอ๋อร์ต่างหาก”นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง เติบโตมาจากชนบทแร้นแค้น เป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยผู้หนึ่งเท่านั้นองค์หญิงอะไรกัน ยังมีวังเป่ยหรงอีก แล้วใครคือฮองเฮา?พวกนางคงจำคนผิดเป็นแน่แม่นมซุนกล่าวตอบ “ไม่ผิดเจ้าค่ะ ไม่มีผิดแน่นอน ท่านก็คือองค์หญิงของเรา องค์หญิงที่พลัดพรากจากฮองเฮาไป...”หลินซวงเอ๋อร์คล้ายกับยังมึนงงอยู่ ความคิดนางเกิดความสับสน ปวดหัวเป็นอย่างมากแม่นมซุนอธิบายต่อ “สมัยที่อดีตฮ่องเต้สวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ราชสำนักเป่ยหรงเกิดความวุ่นวาย ตอนนั้นฮองเฮายังมีฐานะเป็นเพียงพระชายาแห่งรัชทายาท นางเสี่ยงอันตรายให้กำเนิดแฝดชายหญิงคู่หนึ่ง เพื่อปกป้องชีวิตของพวกท่านไว้ จึงให้คนสนิทส่งพวกท่านออก
หลินซวงเอ๋อร์เปลือกตากระตุกเล็กน้อย นางก็อยากตื่น แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจตื่นขึ้นมาหน้าอกคล้ายถูกกรีดจนเป็นแผลเหวอะหวะ เหงื่อเย็นในตัวไหลพราก ลำคอคล้ายถูกงูพิษตัวหนึ่งรัดไว้ ยิ่งรัดก็ยิ่งแน่น จนนางใกล้จะหายใจไม่ออกข้างโสตนั้น ได้ยินเสียงคุ้นหูประเดี๋ยวไกลประเดี๋ยวใกล้ ถัดจากนั้น คล้ายมีมืออ่อนโยนลูบไล้ใบหน้านางเบาๆ“เด็กดี หมดเรื่องแล้ว เจ้าปลอดภัยดีแล้ว รีบตื่นมาเถิด ตื่นมาเร็วเข้า...”หลังจากได้ยินเสียงนั้นชัดเจนมากขึ้น ลำคอที่ถูกรัดแน่นก็ค่อยๆ คลายออก นางลืมตาช้าๆ ภาพเบื้องหน้าจากพร่ามัวจนกลายเป็นชัดเจน สิ่งแรกที่เข้าสู่ม่านตาก็คือม่านคลุมเตียงสีม่วงที่อยู่เหนือศีรษะขึ้นไป คล้ายเป็นภาพฝัน เสมือนเป็นแหยักษ์ที่ถูกเหวี่ยงลงมา เพื่อคลุมตัวนางให้อยู่ตรงกลางเตียงนี้เป็นเตียงที่สวยงาม จนแม้แต่เสาเตียงก็เป็นลวดลายที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน หัวเตียงนอกจากจะแกะสลักลายดอกไม้แล้วยังฝังด้วยหยกเจียระไนงดงามและพลอยล้ำค่าอีกชั่วขณะนั้น นางรู้สึกมึนงงยิ่งนี่มันเป็นที่ไหนกัน?“ซวงเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกตัวแล้วรึ?” จนกระทั่งข้างหูได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง นางจำได้ว่าตอนอยู่ในความฝัน ได้ยินเสียงนี้จนคุ