ภายในพื้นที่ล่าสัตว์สายลมเบาๆพัดผ่านป่าโปร่งที่มีต้นไม้ขึ้นอยู่ห่างๆกัน พร้อมกับเสียงลูกธนูที่ดัง "ฟรึบฟรึบ" จำนวนนับไม่ถ้วน ใบไม้ร่วงหล่นลงเหมือนนักเต้นรำ พลิ้วไหวไปตามสายลมในอากาศ พร้อมกับความรู้สึกที่หนาวเย็นเล็กน้อยดวงอาทิตย์ในสารทฤดูส่องแสงเจิดจ้า ลมพัดไปไปทั่วทุกสารทิศ ทำให้ในป่ามีบรรยากาศที่อึมขรึมเหล่าบุรุษสวมชุดขี่ม้าที่รัดรูป แต่ละคนแบกธนูและแขวนถุงผ้าที่ใช้บรรจุเหยื่อไว้บนหลังม้าม้าวิ่งผ่านเส้นทางแคบๆในป่า ขบวนได้เคลื่อนตัวไปยังส่วนลึกของพื้นที่ล่าสัตว์ของราชวงศ์ขณะที่สุนัขล่าเนื้อกำลังไล่ตามเป้าหมาย ก็มีกวางตัวหนึ่งกระโดดออกมาจากในป่าเว่ยหวยซานดึงสายธนู และเล็งไปที่เป้าหมายพอได้โอกาสที่เหมาะสม เขาก็คลายนิ้ว ลูกธนูก็พุ่งออกไป แต่ตอนที่กำลังจะยิงโดนเป้าหมาย ก็ถูกลูกธนูอีกดอกหนึ่งยิงสกัดเอาไว้ลูกธนูถูกตัดตรงกลาง ทำให้ยิงเฉียดกวางไปเว่ยหวยซานมองดูกวางหลบหนีไปต่อหน้าต่อตา และหายไปอย่างไร้ร่องรอยในชั่วพริบตาเดียวเขามองไปที่เยี่ยเป่ยเฉิงด้วยความงุนงง และกล่าวว่า " ท่านอ๋องทำเช่นนี้ทำไมหรือ? ข้าเกือบจะยิงกวางตัวนั้นได้แล้วเชียว"เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวอย่างสงบนิ่งว่
จากนั้น นางก็ดึงลูกธนูดอกหนึ่งออกมาจากซองใส่ลูกธนู ดึงสายธนู หรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วเล็งไปที่กระต่ายตัวนั้น และพูดด้วยใบหน้าที่มั่นใจว่า: "เจ้าดูข้านะ ข้าจะแสดงฝีมือให้เจ้าเห็น!"ทันทีที่พูดจบ นางก็คลายนิ้ว ลูกศรก็พุ่งออกไปอย่างเฉเฉียงเอียงเอนหลินซวงเอ๋อร์มองดูด้วยสีหน้าที่ไร้ซึ่งความรู้สึก และเห็นว่าลูกธนูดอกนั้นถูกยิงออกไปเพียงไม่กี่ฟุตเท่านั้น ไม่เพียงแต่ระยะทางไม่พอเท่านั้น แต่ทิศทางยังแตกต่างกันมากอีกด้วยกระต่ายยืนอยู่กับที่ นิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกระโดดจากไปฮุ่ยอี๋: "...."หลินซวงเอ๋อร์ "..."ทักษะการยิงธนูนี้ สู้จับมันด้วยมือเปล่าไม่ได้เลยฮุ่ยอี๋กระแอมสองครั้ง แล้วกล่าวว่า "อยู่บนม้ายากที่จะแสดงฝีมือ ข้าเปลี่ยนท่าก่อนนะ"ขณะที่พูด นางก็พลิกตัวลงมาจากหลังม้า พยายามยิงอีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้ ผลลัพธ์ก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่ยิงโดนต้นไม้ ก็ปักลงบนพื้น กล่าวโดยสรุปคือไม่มีธนูดอกไหนโดนเหยื่อเลยหลินซวงเอ๋อร์มองไปที่ฮุ่ยอี๋ ด้วยสายตาที่มีนัยความหมายเล็กน้อยเมื่อสักครู่นี้ยังหัวเราะเยาะนางอยู่เลย แต่ตอนนี้ตนเองกลับเคอะเขินเสียเองแต่ว่า หลินซวงเอ๋อร์ไม่ได้หัวเราะเยาะนาง เพราะ
เมื่อเห็นว่าฮุ่ยอี๋ไม่ยอมจำนน หลินซวงเอ๋อร์จึงพูดอีกครั้งว่า: " ทักษะการยิงธนูแบบสวามีของข้า ถึงเรียกว่าโดดเด่นกว่าผู้ใด ทักษะของเจ้า พูดได้แค่ว่าเพิ่งจะเรียนรู้วิธีการถือลูกธนูเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นที่จะบอกว่ายิงเก่งหรือยิงไม่เก่ง "เมื่อพูดถึงเยี่ยเป่ยเฉิง หลินซวงเอ๋อร์ก็มีใบหน้าที่ภูมิอกภูมิใจเมื่อเห็นว่านางเอาแต่พูดถึงเยี่ยเป่ยเฉิง ฮุ่ยอี๋ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า "เจ้าชอบท่านลุงมากขนาดนั้นเลยหรือ?"หลินซวงเอ๋อร์พูดอย่างไม่ลังเลว่า: "ชอบสิ ชอบที่สุดเลย"นางเป็นคนพูดตรงไปตรงมา ไม่เหมือนหญิงสาวคนอื่นๆ ที่กระมิดกระเมี้ยน ในเรื่องนี้ ฮุ่ยอี๋ชอบนิสัยที่ตรงไปตรงมาของนางมากฮุ่ยอี๋กล่าวว่า: "ในเมื่อเจ้าชอบท่านลุงของข้า ก็ห้ามชอบฉีหมิงอีก! ต่อจากนี้ไป ห้ามไปพัวพันกับเขา เข้าใจไหม?"คำพูดนางแฝงไปด้วยคำเตือนอย่างชัดเจน หลินซวงเอ๋อร์มองไปที่ฮุ่ยอี๋ และกล่าวว่า " ในเมื่อข้าเป็นคนของสวามี จะเข้าไปพัวพันกับชายอื่นได้อย่างไร? หาหสวามีของข้ารู้ คงไม่มีความสุขถ้าเขารู้ คงจะไม่มีความสุขแน่ "ฮุ่ยอี๋กล่าวว่า: " รู้ก็ดีแล้ว! ถ้าเจ้าโลภมากไม่รู้จักพอ ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆแน่! "หลินซวงเอ๋อร์กล่
เมื่อเห็นว่านางหาข้อแก้ต่างอย่างร้อนใจ ฮุ่ยอี๋ก็ยิ้มพร้อมกล่าวว่า " ล้อเล่นแค่นี้ทำเป็นจริงจังไปได้? "เดิมทีฮุ่ยอี๋เป็นคนที่ไม่ชอบพูด แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด พออยู่ต่อหน้าหลินซวงเอ๋อร์ นางก็ไม่สามารถกลั้นคำพูดเอาไว้ได้ และทำเหมือนว่าเป็นคนที่ชอบพูดมากในทางกลับกัน หลินซวงเอ๋อร์จะแค่ตอบคำถามเท่านั้น และไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านี้หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: "องค์หญิงโปรดอย่าล้อเล่นกับข้าเลย บางครั้งสวามีของข้าก็ดุร้ายกับข้ามากเช่นกัน บางครั้งข้าก็กลัวเขา..."หลินซวงเอ๋อร์กลัวว่าจะทำให้เขาโกรธ ถ้าเขาโกรธ หลินซวงเอ๋อร์จะไม่กล้าเข้าใกล้เขา แต่สิ่งที่นางกลัวที่สุดก็คือ เรื่องบนเตียงของพวกเขาสองคนมากกว่า...แต่หลินซวงเอ๋อร์ไม่กล้าบอกฮุ่ยอี๋ เกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งสองคนพูดคุยกันจนลืมดูทาง และค่อยๆเดินลึกเข้าไปในป่าเมื่อเห็นว่าค่ำแล้ว หลินซวงเอ๋อร์ก็ไม่ยอมเดินต่อไปขณะที่พวกนางเดินเข้าไป ได้เดินตามผ้าสีแดงนำทางตลอด แต่ดูเหมือนว่าสีแดงที่อยู่ข้างหน้าจะน้อยลงเรื่อยๆหลินซวงเอ๋อร์กลัวว่าจะหลงทาง ดังนั้นจึงแนะนำให้กลับไปทางเดิมนางจึงพูดกับฮุ่ยอี๋ว่า: "นี่มันก็ค่ำมากแล้ว สวามีน่าจะกลับมาแล้ว พวก
“ ซวงเอ๋อร์ ในป่าแห่งนี้จะมีสัตว์กินคนหรือไม่? ”“อีกสักพักเสด็จพ่อของข้าจะตามหาพวกเราเจอจริงๆใช่ไหม?”“ ซวงเอ๋อร์ เจ้าเข้ามาใกล้ๆข้าหน่อยได้ไหม ข้ารู้สึกกลัวนิดหน่อย…”เสียงพร่ำบ่นของฮุ่ยอี๋ยังคงดังขึ้นที่ข้างหูไม่หยุดหลินซวงเอ๋อร์ก็รู้สึกหวาดกลัวเช่นกัน แต่ก็ต้องกล่าวปลอบใจนางอย่างอดทนว่า: "ไม่มีสัตว์ป่าที่ดุร้ายหรอก สวามีของข้าบอกว่า ในนี้ปล่อยแค่กระต่ายและไก่ฟ้าเท่านั้น สัตว์ป่าอื่นๆได้ถูกขับเข้าไปในพื้นที่ล่าสัตว์หมดแล้ว "เมื่อได้ยินดังนี้ ฮุ่ยอี๋ก็รู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่นางยังไม่ได้ผ่อนคลาย ก็เห็นตะขาบใหญ่ตัวหนึ่งที่อยู่บนพื้นคลานไปตามหลังเท้าของนาง“อร็าย!!!” ฮุ่ยอี๋ตกใจจนลุกขึ้นยืนทันที และกระโดดอยู่กับที่สองสามครั้ง“ตะขาบ! ตะขาบ!” ฮุ่ยอี๋ตกใจจนมีสีหน้าที่ซีดเผือด ถกกระโปรงขึ้นแล้วถอยหลังกลับไปสองสามก้าวแก้วหูของหลินซวงเอ๋อร์แทบแตก นางลูบโคนหูแล้วลุกขึ้นยืน เหลือบมองตะขาบที่อยู่บนพื้น แล้วกล่าวว่า "เป็นเรื่องปกติที่จะมีตะขาบอยู่ในป่า"ฮุ่ยอี๋อยากจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออก: " เจ้าไม่กลัวหรือ? ถ้าเจ้าเก่งจริง ก็เอามันออกไปสิ... "ตะขาบที่น่าเกลียดแบบนี้ ใครบ้างจะไม
ฮุ่ยอี๋มองแล้วรู้สึกขนหัวลุก: "รีบโยนมันทิ้งเร็ว!""อ้อ~"หลินซวงเอ๋อร์เอาแมงมุมโยนลงบนพื้นทันทีที่แมงมุมตกลงบนพื้น มันก็คลานไปทางฮุ่ยอี๋อีกครั้งหลินซวงเอ๋อร์ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเจ้าตัวเล็กเหล่านี้ถึงได้ชอบฮุ่ยอี๋มากขนาดนี้ จากนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องสุดปอดของฮุ่ยอี๋“ มันมันมัน...มันมาอีกแล้ว... ซวงเอ๋อร์ เจ้ารีบห้ามมันเร็วเข้า เร็วเข้า เร็วเข้า!! ”“แคร็ก!” หลินซวงเอ๋อร์ได้ยินแล้วรู้สึกรำคาญ จึงเหยียบแมงมุมจนแหลกหลาญ“มันตายแล้ว” หลินซวงเอ๋อร์กะพริบตาแล้วมองฮุ่ยอี๋ ด้วยท่าทางที่เป็นมิตรตอนนี้ฮุ่ยอี๋รู้สึกว่า ภายนอกกับภายในของหลินซวงเอ๋อร์ไม่เหมือนกันนางไม่เข้าใจว่า คนที่มีรูปลักษณ์ที่อ่อนช้อยแบบนี้ จะมีด้านที่ดุร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร...แต่ว่า หลังจากเผชิญกับเรื่องเมื่อสักครู่นี้แล้ว ฮุ่ยอี๋ก็ไม่กล้านั่งบนพื้นมั่วซั่วอีก เพราะกลัวว่าจะมีงู แมลง หนู และมดอะไรโผล่ขึ้นมาอีกพระอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้าในป่าเต็มไปด้วยความเงียบงัน คนที่ไปล่าสัตว์ก็คงจะกลับมาที่ค่ายแล้วหลินซวงเอ๋อร์ลูบท้อง ในท้องว่างเปล่า และรู้สึกหิวมาตั้งนานแล้วนางลุกขึ้น มองไปบริเวณรอบๆ ทันใดนั้นก็เดิ
ฮุ่ยอี๋ดูเหมือนจะคิดไม่ถึงว่าหลินซวงเอ๋อร์จะแอบซ่อนมันเทศป่าสองสามลูกเอาไว้ให้นาง ดูไปแล้วลูกใหญ่กว่าสองสามลูกที่นางเพิ่งจะกินเข้าไปอีกหลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: "องค์หญิงไม่อยากชิมมันจริงๆหรือ? มันอร่อยจริงๆะ"ฮุ่ยอี๋พูดด้วยสีหน้าที่บูดบึ้ง กล่าวด้วยสีหน้าที่เย่อหยิ่งว่า: " ในเมื่อเจ้าพูดขนาดนี้แล้ว งั้นข้าก็จะฝืนใจชิมมันดูหน่อยก็ได้ "ฮุ่ยอี๋พยายามพูดเพื่อไม่ให้ตนเองเสียหน้าหลินซวงเอ๋อร์ใช้ชายผ้าเช็ดเศษหญ้าบนพื้นผิวของมันเทศป่าจนสะอาด ตอนที่มอบให้ฮุ่ยอี๋ หลินซวงเอ๋อร์ได้กล่าว่า " ตอนนี้มันเทศป่าเหล่านี้สุกแล้ว อันที่จริงสามารถกินเปลือกของมันได้ ถ้าองค์หญิงรังเกียจว่ามันสกปรก สามารถปอกเปลือกมันออกได้ "ฮุ่ยอี๋ปอกเปลือกออก แล้วค่อยๆใส่มันเทศป่าเข้าไปในปาก เคี้ยวมันอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็มีกลิ่นหอมหวานแพร่กระจายไปที่ปลายลิ้นนางไม่รู้ว่าจะอธิบายรสชาติที่หอมหวานนี้อย่างไร พูดสั้นๆก็คือเป็นสิ่งที่นางไม่เคยลิ้มรสมาก่อนเลยหลังจากที่นางกลืนมันลงไป หลินซวงเอ๋อร์ก็เช็ดอีกลูกให้สะอาดแล้วมอบให้นางอีกคราวนี้ ฮุ่ยอี๋ไม่ได้ปอกเปลือก ใส่มันเทศป่าเข้าไปในปากทันที“อร่อยไหม?” หลินซวงเอ๋อร์ถ
“ ซวงเอ๋อร์ เจ้าแก้มัดมัน แล้วปล่อยให้มันนำทาง พวกเราจะได้ตามมันออกไป”“เพคะ” หลินซวงเอ๋อร์รับปลดสายบังเหียนที่ผูกไว้กับต้นไม้อย่างรวดเร็ว…...เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ทุกคนก็ยุติการล่า และพากันกลับค่ายเยี่ยเป่ยเฉิงล่าสุนัขจิ้งจอกขาวได้สองตัว และคิดว่าจะทำเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกให้กับหลินซวงเอ๋อร์เมื่อคิดว่าวันนี้นางอารมณ์ไม่ดี ก็แสดงว่ารู้สึกหดหู่อยู่ในใจ เยี่ยเป่ยเฉิงจึงคิดที่จะใช้สุนัขจิ้งจอกสองตัวนี้เอาใจนางหลินซวงเอ๋อร์เป็นคนที่มีความคิดไร้เดียงสา ไม่ผูกพยาบาท ถ้าเขาง้อนางดีๆ นางจะต้องลืมเรื่องที่ไม่เบิกบานใจเหล่านั้นได้อย่างแน่นอนใครจะไปรู้ว่า เมื่อกลับมาถึงค่าย เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พบร่างที่สดใสร่างนั้นวิ่งมาหาเขาเยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป จากที่เขารู้จักหลินซวงเอ๋อร์ ถ้าได้ยินว่ามีการเคลื่อนไหว สาวน้อยคนนั้นจะต้องกระโดดเข้าสู่อ้อมแขนของเขาอย่างอดรนทนไม่ไหวแล้วขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่ เขาก็เห็นนางกำนัลคนหนึ่งคุกเข่าต่อหน้าองค์จักรพรรดิด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก“ องค์หญิงฮุ่ยอี๋ล่ะ? เหตุใดข้าถึงไม่เห็นนาง?” องค์จักรพรรดิถือจิ้งจอกแดงตัวหนึ่งเอาไว้ในมือ กำล
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก