อดีตของหลิวฟ่าน หลิวฟ่านอยู่ในเรือนสุนัขด้วยความสุข นางคบหาสหายมามากมาย เรียกได้ว่าเป็นที่รู้จักของชาวเมืองกุ้ยโจว แต่พอได้อยู่ที่นี่ กลับรู้สึกว่าสุนัขป่าตัวโตของคฤหาสน์สัตตบงกชมีความเป็นมิตรมากกว่าคนที่เคยคบค้า กระนั้นพวกมันก็ดุกร้าว กัดศัตรูไม่เลือกหน้าตามนิสัยของสัตว์ป่าและเมื่อขึ้นชื่อว่าสัตว์เดรัจฉาน อย่างไรก็สมสู่ไม่เลือกที่ นอกจากการสมสู่เร่าร้อนรุนแรง พวกมันยังรักเจ้านายและพวกพ้องในแบบที่เรียกว่าตายแทนกันได้และลูกสาวเจ้าบ้านหลิวที่คนทั้งเมืองนิยมในความเก่งกล้าสามารถ นางเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ได้อย่างไร ต้นสายปลายเหตุนั้น หลิวฟ่านย่อมรู้ดีแก่ใจอดีต เทศกาลโคมไฟ เมืองกุ้ยโจวหลิวฟ่านวิ่งหนีตายอย่างไม่คิดชีวิต นางตื่นตระหนกสุดขีด ภาพที่เห็นเมื่อครู่คือแขนข้างหนึ่งของชายรูปงามจากหอสังคีตถูกโยนมาหล่นตุ้บที่ปลายเท้านาง เขาเป็นคนที่นางจ้างมาดีดพิณและร้องเพลงขับกล่อมในเรือที่จอดอยู่กลางน้ำ ซึ่งนางจัดไว้สำหรับเริงสวาทค่ำคืนนี้ ทว่ากลับเกิดเหตุไม่คาดฝัน ด้วยไม่ทันได้ก้าวขึ้นเรือด้วยซ้ำ ก็มีผู้ร้ายโผล่มาขวางทางนางแล้วไล่ฆ่าคน ชวนให้ตื่นตระหนกยิ่งนักเมื่อเห็นภัยใกล้ตัว มือสังหารร
ม่านซือซืออยู่ในห้วงความฝัน เป็นฝันร้ายที่แสนน่ากลัว ทำให้นางหวีดร้องไม่หยุด ทว่าเหตุใดนางถึงไม่สะดุ้งตื่นเสียทีความเสียใจก่อขึ้นอย่างมหาศาล นางไม่คาดคิดว่าเอี๊ยะถังจะทำเรื่องเลวทรามต่อนางได้ เขารักนาง ปรารถนาดี และต้องการให้นางเป็นฮูหยินมิใช่หรอกหรือภาพต่างๆ ที่เขาเคยกระทำดีด้วยย้อนมาให้เห็น ก่อนจะเป็นภาพของเขาที่ใช้ท่อนเนื้อร้อนที่กลายร่างเป็นงูยักษ์เลื้อยรัดร่างกายนางและมันเป็นงูปีศาจมีสองหัวม่านซือซือดิ้นพล่าน แต่ยิ่งดิ้นก็เหมือนยิ่งถูกรัดหนักหน่วง งูปีศาจสีดำมันมีดวงตาสีแดง หัวหนึ่งเลื้อยพันรอบคอนางและกำลังขู่ฟ่อๆ อย่างน่ากลัว ส่วนหัวที่สองพันที่โคนขาและอ้าปากกว้าง เห็นลิ้นสองแฉกที่แลบเลีย ลิ้นที่ยาวๆ นั้นแสดงท่าคล้ายจะจู่โจมกลีบสวาทนางหญิงสาวขวัญหนีดีฝ่อ นางกลัว กลัวจนแทบสิ้นสติงูร้ายมันไม่หยุดเท่านั้น ในขณะที่ม่านซือซืออกสั่นขวัญแขวนหัวด้านบนก็บีบรัดลำคอนาง พลอยให้นางหายใจไม่ออกและต้องหวีดร้องลั่น เป็นตอนนั้นที่มันอาศัยโอกาสชั่วช้าพุ่งหัวดำอันใหญ่โตเข้ามาในโพรงปากนางม่านซือซือทำสิ่งใดไม่ได้นอกจากการดิ้นรนขัดขืน และความอึดอัดคับแน่นในโพรงปากยังไม่หนักหนาเท่ากับกลีบสวาท ด
เป็นนางที่วางยาข้า ม่านซือซือพยายามไม่พูดกับใครในคฤหาสน์แห่งนี้ ไม่ใช่เพราะนางรักสงบหรือไม่อยากสุงสิงผู้คน แต่เพราะนางรู้ว่าอาจก่อให้เกิดปัญหาบานปลายในภายหลังและเมื่ออยู่ที่นี่นานวันเข้า นางต้องพยายามทำความเข้าใจว่าจ้าวเล่อซีเป็นชายที่มักมาก และยังชอบบังคับให้นางร่วมรักอย่างเปิดเผย นอกจากนั้นดูเหมือนเขาจะหาทางกลั่นแกล้งนางให้เจ็บตัว เขาเป็นมารร้ายที่มาจากขุมนรกอย่างไม่ต้องสงสัย และหลังจากที่นางอุ่นเตียงกับเขาอย่างเร่าร้อนเมื่อสองวันก่อน ม่านซือซือมีอาการตัวร้อนจัด ก่อนจะมีระดู ทว่าเป็นระดูที่มีสีคล้ำราวกับสีน้ำหมึก และเหนืออื่นใดมันมีกลิ่นที่ชวนให้ม่านซือซือครั่นคร้ามใจ นางกลัวว่ามันจะทำร้ายร่างกายของตนระดูนั้นไหลออกมาราวๆ หนึ่งวันหนึ่งคืนก่อนจะหายไป ทว่านางกลับรู้สึกไม่สบายตัว ร้อนๆ หนาวๆ ราวกับคนจับไข้นางพยายามจะต้มยาสมุนไพรเพื่อรักษาตนเอง ทว่าพิษ หอมหมื่นลี้ที่อยู่ในร่างกายมันประหลาด ด้วยสร้างภาพหลอนแปลกๆ ให้นาง อีกทั้งบางคราเกิดหน้ามืด และหลังจากนางดื่มยาเคี่ยวไปสี่ชามนางก็ได้ยินเสียงเหม่ยหลานพร้อมทาสหญิงอีกหลายคนร้องเรียกหญิงรับใช้ประจำเรือนต่างๆ ออกไปรวมตั
“ใคร... ใครเป็นคนวางยานางจนแทบจะเสียผู้เสียคนอย่างนี้” เหม่ยหลานถามย้ำอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีใครปริปากเอ่ย กระทั่งเหม่ยหลานชี้ไปยังซ่งถิงอี้“ถิงอี้ เป็นเจ้าหรือไม่”ซ่งถิงอี้ในวันนี้ไม่ค่อยมีปากมีเสียงนัก นางเป็นสตรีนับว่ารูปโฉม งามและสูงโปร่ง การถูกส่งตัวไปอยู่ที่เรือนม้าไม้คงกำราบความพยศนางลงไม่น้อย“แน่นอน ย่อมไม่ใช่ข้าหรอกแม่นมหลาน”“แล้วเจ้าคิดว่าเป็นใคร” เหม่ยหลานเอ่ยถามซ่งถิงอี้“คงจะเป็นคนที่เสียประโยชน์ หากคุณชายเอาแต่ขลุกอยู่ที่เรือนวิหค” “สามหาว คุณชายจะเข้าออกเรือนใด เจ้ามีสิทธิ์รู้เห็นรึ”“แต่ที่แน่ๆ ตั้งแต่ข้าก้าวเข้ามาในคฤหาสน์สัตตบงกช ข้าไม่เคยรับใช้คุณชายสักครั้ง!” ซ่งถิงอี้กล่าวอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ และคำพูดของนางทำให้ม่านซือซือคิดเข้าข้างตัวเองว่าจ้าวเล่อซีพึงใจต่อนางเพียงใด“หึๆๆ นั่นเพราะ เจ้าไม่คู่ควร” เหม่ยหลานไม่อยากเสวนากับซ่งถิงอี้ นางจึงเดินไปสำรวจสาวใช้แต่ละเรือนทีละคน กระทั่งมาหยุดที่ม่านซือซือ“หรือจะเป็นเจ้า ซือซือ...”ม่านซือซือเหงื่อแตกเต็มหน้าผาก ภายในร่างกายนางปั่นป่วนไปหมด ยามนั้นลำคอแห้งผาก มันเป็นผลจากยาที่นางเคี่ยวและใช้ดื่มเพื่อกำจัดพิษหอมหมื่นลี้“
การออกล่าสัตว์ของจักรพรรดิเทียนฉางและเหล่าขุนนางเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง บางคราเป็นการปล่อยให้เสือไล่กัดเชลยศึกที่จับตัวไว้ได้ แม้แต่การยิงธนูเพื่อปลิดชีวิตนักโทษคดีร้ายแรงก็เป็นที่ชื่นชอบของเขา “เฮ้อ ไหนว่าพวกเจ้ามีเรื่องบันเทิงใจกว่านี้ แต่เท่าที่เห็นมันก็แค่นักโทษไม่กี่คน เราอยากยิงหมี หรือไม่ก็จิ้งจอกขาว พวกเจ้าไม่มีปัญญาหามาให้หรืออย่างไร”“โอ้ ฝ่าบาท ของแบบนั้นต้องเสาะหาสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้ถึงจะมีแค่ทาสและเสือ แต่รับรองว่าพระองค์จะต้องพอพระทัยแน่ๆ”จักรพรรดิเทียนฉางไม่อยากสนใจคำพูดประจบของขุนนาง เขาลุกยืนแล้วขึ้นขี่ม้าออกไปพร้อมองครักษ์จำนวนหนึ่ง กระทั่งพบกับธรรมชาติร่มรื่น และเบื้องหน้าเห็นน้ำตกจากภูเขาสูง“เราอยากล้างหน้าสักหน่อย พวกเจ้าอย่าได้กวนใจ”สิ้นคำสั่ง องครักษ์ก็ถอยออกไปอารักขาอยู่ห่างๆจักรพรรดิหนุ่มหย่อนใจกับธรรมชาติและวักน้ำเย็นล้างหน้า ซึ่งเป็นตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงขับร้องเพลงเบาๆ เสียงดังกล่าวทุ้มนุ่ม หากเจือด้วยความสดใสมากล้นเมื่อได้ยินแล้วก็เหมือนต้องมนตร์สะกด เขาก้าวตามไป กระทั่งพบร่างขาวนวลเนียนที่ว่ายน้ำอยู่ ผิวน้ำใสจนแลเห็นเรือนร่างเปลือยเปล่านั
“ฝ่าบาท แต่เมื่อครู่มันจะทำร้ายพระองค์”“จับตัวไปก็พอ!” จักรพรรดิหนุ่มเอ่ยเสียงเข้ม แต่อาเฟยอาศัยโอกาสที่มี จัดการองครักษ์คนดังกล่าวให้พ้นทาง ก่อนจะหมายมั่นทำตามคำสั่งของจ้าวเล่อซี“ใครส่งเจ้ามา อาเฟย”ขันทีหนุ่มปั้นสีหน้าเรียบเฉย ไม่ทันได้เอ่ยคำใดก็มีร่างสูงใหญ่ปรากฏ บุรุษผู้นั้นมีไอสังหารรุนแรง ซึ่งมันแผ่มาโอบคลุมร่างของจักรพรรดิเทียนฉางดวงตาเรียวเล็กจ้องมองอีกฝ่าย ละม้ายเห็นร่างพี่ชายของตนและกุ้ยเฟยผิงเสียนในคราเดียวกัน“เจ้าคือ!”จ้าวเล่อซีไม่ได้ตอบแต่มีอีกเสียงเอ่ยแทน มันเป็นเสียงอาเฟย“เขาคือคนที่ฝ่าบาทควรคืนบัลลังก์ให้อย่างไรเล่า”สิ้นคำพูดอาเฟย จ้าวเล่อซีก็สั่งให้คนจับตัวจักรพรรดิเทียนฉาง และทั้งที่เหมือนจะสำเร็จโดยง่าย แต่กลับกลายเป็นว่าโชคไม่เข้าข้างฝ่ายของจ้าวเล่อซี เมื่อจู่ๆ กลับมีเหล่าองครักษ์เสื้อแพรแอบซุ่มอยู่และโผล่ออกมาจ้าวเล่อซีมั่นใจว่าตนเองไม่มีไส้ศึกภายในเป็นแน่แท้ ทั้งหมดนี้คงเป็นเพราะอาของเขาเป็นคนขี้ขลาด ถึงได้มีคนคอยอารักขามากมายยอมตายแทน‘ท่านช่างเก่ง ช่างสรรหามดปลวกมาให้ข้าลับคมดาบ’จักรพรรดิเทียนฉางไม่เข้าใจภาษาใบ้ของหลานชาย เพียงแต่มองบุรุษหน้ากากขาวที่ท
กระต่ายน้อยจงอย่าขัดใจ ม่านซือซือตื่นนอน และคนที่อยู่ในห้องกับนางคือเหม่ยหลาน รวมถึงทาสหญิง และยังมีผู้คุมกฎบ้านหญิงสาวเตรียมอ้าปากเพื่อบอกความจริงให้ทุกคนเข้าใจ แต่เหม่ยหลานยกมือห้าม“ไม่ต้องพูดสิ่งใด ข้าเชื่อเจ้า และตอนนี้เรื่องของสาวใช้หอวิหคปล่อยเอาไว้ก่อนเถิด”“นางเป็นเช่นไรบ้างแม่นมหลาน”“นางหลับสบาย ไม่ทุกข์ร้อนอันใดอีก”เมื่อเหม่ยหลานเอ่ยเช่นนั้น ม่านซือซือก็เข้าใจว่าสตรีคนดังกล่าวจากโลกนี้ไปแล้ว จึงไม่มีสิ่งใดต้องถามไถ่อีก“ตัวเจ้าเล่า อาการดีขึ้นหรือไม่”“ดีขึ้นกว่าเดิมมาก แต่ข้าไม่ทราบได้ว่าเหตุใดถึงมีคนคิดร้ายต่อข้า”เหม่ยหลานหัวเราะออกมาน้อยๆ และตอบนาง “อย่างที่เสี่ยวเหยากล่าว เจ้าคือคนที่คุณชายพึงใจกว่าใคร และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้คนอื่นริษยา”“ข้าเพียงแต่อยากรับใช้คุณชาย ไม่คิดชิงดีชิงเด่นหรืออยากเป็นศัตรูใคร” ม่านซือซือเอ่ยอย่างเหนื่อยใจ“หึๆๆ มันสายเกินไปแล้ว เมื่อเข้ามาที่นี่เจ้าก็ไม่อาจมีชีวิตเช่นเดิม ฉะนั้นอย่าได้ทำตัวเป็นคนเขลาหรือซื่อจนเกินเหตุ”หลังจากทุกคนกลับไป ม่านซือซือก็ง่วนอยู่กับการดูแลตนเอง และเตรียมตัวให้พร้อมหากจ้าวเล่อซีต้องการหลับนอนกับนา
ชายหนุ่มว่าแล้วก็หันไปมองเรือนโอสถ ใจเขานั้นห่วงม่านซือซือ เมื่อรู้ว่านางต้องพิษเขาก็จัดการให้เหม่ยหลานเร่งหาตัวคนกระทำผิด กระทั่งจับได้ ทว่านางพวกนั้นชิงฆ่าตัวตายเสียก่อน“พรุ่งนี้จะมีสาวใช้เข้ามาใหม่อีกห้านาง คุณชายอยากทดสอบพวกนางหรือไม่ขอรับ”จ้าวเล่อซีไม่ตอบแต่ถีบอาเฟยอย่างแรง จนพ่อบ้านคนสนิทล้มลงไปกองบนพื้น‘ข้าต้องเล่นสนุกกับพวกนางอีกรึ ไสหัวไป และอย่าให้เกิดเรื่องเหลวไหลกับซือซืออีก’เมื่อได้รับข้อความนั้น อาเฟยก็แจ้งใจว่าที่องค์ชายใบ้เสียแรงลงไปคัดเลือกหญิงรับใช้ด้วยตนเองในครั้งนั้น ล้วนเป็นเพราะม่านซือซือ ในยามรุ่งสาง ม่านซือซือฝันประหลาด ความฝันยากเกินอธิบายได้ หากมันทำให้นางหลั่ง หลั่งน้ำหวานอย่างมากมาย และโชคร้ายเหลือเกิน เมื่อนางสะดุ้งตื่น คนที่อยู่ข้างกายนางคือจ้าวเล่อซีเขาพ่นลมหายใจร้อนๆ แสดงออกว่าไม่พอใจนาง จะด้วยเหตุใด หากไม่ใช่เพราะนางหลั่งความหวานออกมาจนอาบสองขาและเปียกฟูกนอน ซึ่งหลายวันที่ผ่านมาเขาไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์สัตตบงกช และเมื่อยามสายของเมื่อวานเขากลับมาที่นี่และคลอเคลียนางที่เรือนโอสถ ทว่าร่างกายของม่านซือซือยังไม่ใคร่จะหายดี นางกลัวว่าจะรับใช้เขาไม่ได้จึงพ
นางจิ้งจอกเริงสวาท จ้าวเทียนฉางมองพรมขนจิ้งจอก ที่ถูกส่งเข้ามาในห้องบรรทมของตน คราแรกเขาประหลาดใจเมื่อเหล่าขันทีซึ่งดูแลตำหนักนี้บอกว่าเป็นของขวัญจากคณะทูตต่างแดนที่มาค้าขายกับแคว้นชิง และขุนนางในกองคลังมีความประสงค์อยากถวายพรมเลอค่านี้กับเขา ทั้งที่เมื่อก่อนพวกมันล้วนมองข้ามหัวเขาไปเสียหมดกระนั้นเรื่องสำคัญไม่ได้เกี่ยวกับที่มาของพรม หากเป็นสตรีที่ซ่อนกายอยู่ข้างในมากกว่าเมื่อพรมถูกคลี่ออก สตรีรูปร่างสมส่วนจึงปรากฏให้เขาเห็น นางมิใช่หญิงงามหากเทียบกับเหล่านางสนมที่เขาเคยพบ ทว่าหญิงผู้นี้โดดเด่น ท่าทางปราดเปรียว อีกทั้งยังซ่อนความลึกลับเย้ายวนอย่างที่เขาไม่เคยสัมผัสได้จากสนมนางใดสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจจนไม่อาจไล่ตะเพิดนางออกจากห้อง เพราะเมื่อเผยกายออกจากพรมหนังแกะหนานุ่มนั้น สตรีนางนี้ไม่ได้ไว้ผมยาวสลวย เมื่อเปิดผ้าคลุมศีรษะเขาเห็นว่านางโกนผมจนเกลี้ยงประหนึ่งนักพรตหญิง หรือนางชีจากสำนักบนภูเขาสูง“หลิวฟ่าน...”เขาจดจำนางได้ นางผู้นี้รับใช้อยู่ในตำหนักของเขาเมื่อสองสามเดือนก่อน จู่ๆ นางหายตัวไป เขาเคยอยากตามหานาง แต่เป็นเพราะช่วงเวลาดังกล่าวอาเฟยมักลอบเข้ามาหาเขาและสร้างเรื่องมากมา
อารมณ์ขันร้ายกาจของจ้าวเล่อซีใครต่างรู้ดี โดยเฉพาะอาเฟยที่อยู่ใกล้ชิดมาตั้งแต่เขาแบเบาะ “ม่านเจิ้นถูกภรรยาที่มาจากสกุลใหญ่โขกสับและวาง อำนาจอยู่เหนือเขาเสมอ แต่เขาก็รักฮูหยินมิน้อยทั้งที่รู้ว่านางไม่ใช่ธิดาของตน แต่การที่เขาตั้งใจผลักไสนางให้เอี๊ยะถังและสร้างข่าวให้ฮูหยินมัวหมองจนนางไม่อาจเข้าคัดเลือกเป็นนางกำนัล ก็ดูเหมือนมีสิ่งที่น่าสงสัยมิน้อย”คราวนี้หลิวฟ่านเป็นผู้เอ่ย นางรู้ตื้นลึกหนาบางเรื่องนี้เพราะเคยเห็นม่านซือซือมาซื้อของที่ร้านขายยานางอยู่บ้าง และหลายครั้งอีกฝ่ายมีเงินไม่พอก็เป็นนางที่สั่งให้คนในร้านจัดหาให้ กระทั่งม่านซือซือเริ่มคบหาเอี๊ยะถังอย่างลับๆ หลิวฟ่านก็รู้ว่าม่านซือซือคงต้องการผู้ชายสักคนเป็นหลักยึด เพื่อให้นางไม่ต้องถูกแม่ใหญ่ส่งตัวไปเป็นอนุของตาเฒ่าหื่นกามที่ไหน‘เจ้าคิดว่าใครบีบบังคับให้เขาทำเรื่องนี้’ จ้าวเล่อซีหันไปทางหลิวฟ่าน“ตามที่หม่อมฉันตรองดูแล้ว ม่านเจิ้นมิได้ถูกใครบังคับ เขาเพียงแค่เซ่อซ่าและเชื่อคนง่ายไปสักหน่อย กล่องไม้ของเซี่ยอี๋ได้ถูกสับเปลี่ยนก่อนมอบให้ฮูหยินโดยที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำ ส่วนเหตุการณ์ก่อนหน้า เขาก็คงได้ยินกิตติศัพท์ของมเหสีอี้เหอว่าเ
ภายในคุกของศาลไท่หยาง บรรยากาศอึมครึมอยู่มาก และทั้งที่เป็นคุกประจำแคว้นและขังเฉพาะขุนนาง ทว่ากลับดูทรุดโทรมไม่ได้รับการดูแลรักษาให้ดีม่านซือซือก้าวลึกไปข้างใน คราแรกจ้าวเล่อซีจะเข้ามาเป็นเพื่อนด้วยแต่นางปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่าอยากพูดคุยกับบิดาอย่างเป็นส่วนตัวและกลัวว่าม่านเจิ้นจะอึดอัดด้วยบิดาเป็นคนถือหน้าตาตนเองเป็นสำคัญ อีกอย่างนางยังกระอักกระอ่วนใจในสถานการณ์ซึ่งบิดาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชื่อเสียงจ้าวเล่อซีด่างพร้อยเมื่อพ่อลูกได้พบหน้า ม่านเจิ้นก็แสดงความละอายใจที่เกิดเรื่องเช่นนี้ “พ่อไม่เคยคิดร้ายต่อเจ้า ซือเอ๋อร์อย่าได้เชื่อคนอื่น พ่อรักเจ้าตลอดมา และหวังจะให้เจ้าพบกับความสุข”ม่านซือซือไม่เคยสงสัยในตัวบิดา และเขาตกเป็นเครื่อง มือของคนชั่ว ทว่าคนชั่วนั้นคือผู้ใด อีกทั้งเจ้าเมืองกุ้ยโจวมาเกี่ยวข้องกับการที่นางจะได้เป็นพระชายาของจ้าวเล่อซีตั้งแต่เมื่อไหร่“อยู่ที่นี่ท่านพ่อสะดวกสบายหรือไม่ มีเรื่องใดที่อยากให้ข้าช่วยจงบอกเถิด”ม่านเจิ้นส่ายหน้าช้าๆ เขาไม่รู้ว่าตนจะหลุดพ้นจากกรงขังได้หรือไม่ ใจหนึ่งก็กลัวแต่อีกใจห่วงคนข้างหลัง“คนที่คิดแค้นต่อรัชทายาทมุ่งร้ายต่อเจ้า พวกเขารู้ว่า
สตรีที่เคียงคู่มังกร จ้าวเล่อซีไปพบเสี่ยวเหยาที่เรือนของนาง เมื่อได้เห็นบุรุษที่สวมหน้ากากขาวผู้มีเรือนกายสูงใหญ่ เสี่ยวเหยาก็มีน้ำตาเอ่อคลอหน่วย“ทะ ท่านพี่...”“สามหาว เจ้ามีสิทธิ์เรียกรัชทายาทเช่นนั้นรึ!” อาเฟยตวาดใส่เสี่ยวเหยา และนางรีบยกมือปาดน้ำตาที่นองหน้าก่อนเอ่ยเสียงสั่นๆ“รัชทายาทเล่อซี”“นั่นคือสิ่งที่เจ้าต้องพึงระลึกไว้ รัชทายาทสูงส่งเพียงใด และเจ้าเป็นเพียงสาวใช้ในเรือน ได้รับการดูแลถึงเพียงนี้ก็นับว่าโชคดี อย่าได้ก่อเรื่องใดอีก มิเช่นนั้น ผ้าขาวหรือจอกสุราเจ้าก็จะไม่ได้รับ แต่เป็นการถูกตัดลิ้น เลาะฟัน แล้วตัดเส้นเอ็นแทน แน่นอนเจ้าจะไม่ตายในทันที แต่จะทุกข์ทรมานนานแสนนานจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ”เสี่ยวเหยาพรั่นพรึงต่อคำพูดอาเฟย นางรู้เรื่องนี้ดี ด้วยที่แคว้นของนางมีวิธีทรมานคนสารพัด การที่นางมาเป็นสาวใช้ของจ้าวเล่อซีคือคำสั่งมารดาซึ่งหวังจะผูกไมตรีต่อชายหนุ่ม ทว่านางไร้วาสนา จ้าวเล่อซีไม่เคยชายตาแลนาง มิหนำซ้ำเขายังปล่อยนางทิ้งๆ ขว้าง ๆ ความสาวที่มีนับวันยิ่งโรยราลง เช่นนี้นางมีชีวิตอยู่ก็เหมือนดอกไม้ที่ขาดน้ำ นับวันยิ่งเหี่ยวเฉา มินานคงแห้งตายไป“เสี่ยวเหยามีชีวิตอยู่เพื่อรั
ในอ่างอาบน้ำไม้ขนาดใหญ่ ที่โรยด้วยกลีบดอกไม้และสมุนไพร และมีไม้หอมซึ่งยามนี้ถูกจุดเอาไว้ส่งกลิ่นสดชื่นในห้องอาบน้ำ พร้อมสร้างความรัญจวนใจต่อทั้งคู่จ้าวเล่อซีประกบอยู่ด้านหลังม่านซือซือ ร่างสามีกับภรรยาต่างเปลือยเปล่าและชโลมด้วยน้ำมันหอมระเหยทั้งตัว ซึ่งช่วยให้ผ่อนคลายยามนั้น จมูกโด่งซุกไซ้ซอกคอนาง พรมจูบ จูบแล้วดูดกระตุ้นในจุดที่ไวต่อความรู้สึกของคนตั้งครรภ์“อ๊ะ... ดูเหมือนท่านพี่นั้นเชื่องช้ามิต่างจากตาแก่ ดูสิตอนนี้น้องน้อยของสามียังคอพับคออ่อนเสียด้วย หรือว่ามันสิ้นรักต่อภรรยาแล้ว”ชายหนุ่มไฉนจะไม่รู้ว่าม่านซือซือแกล้งยั่วเย้า และถึงจะเป็นจริงอย่างคำนางกล่าวก็เป็นเพราะเขาห่วงครรภ์ของนาง อีกทั้งอยากเล้าโลมให้มาก คืนนี้เขาต้องการร่วมรักอย่างหวานซึ้งมากกว่าการรุกหนักหน่วงแล้วต่างฝ่ายต่างนอนหลับอย่างอ่อนเพลีย จ้าวเล่อซีปรารถนาอยากโอบกอดม่านซือซือ ให้กายผสานกายและใจเชื่อมถึงกัน‘ฮูหยิน เป็นเจ้าที่เร่งเร้าเอาแต่ใจ กำลังจะเป็นมารดาของลูกน้อยในไม่กี่เดือนข้างหน้า ต้องค่อยๆ กินรู้หรือไม่ซือซือ’เมื่อรับรู้ในสิ่งที่ชายหนุ่มสื่อสาร นางก็ครางหวานล้ำ ด้วยสองมือของเขาสอดใต้วงแขนเรียวเสลา และ
เป็นม้าโยกให้เจ้าเพลินใจ ม่านซือซือเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนางไม่ทันได้ตั้งตัว พอคลำหาเสียงตัวเองพบจึงรีบคว้าไว้แล้วเอ่ยถามเหม่ยหลาน“บิดาข้ามีโทษร้ายแรงเพียงใด!”เหม่ยหลานมองม่านซือซือ เห็นสิ่งชั่วร้ายที่กำลังตามรังควานหญิงสาว เรื่องนี้ไม่ง่าย คนที่จ้องเล่นงานนางไม่ได้คิดเพียงแค่อยากเอาชีวิต ม่านซือซือ แต่มีจุดมุ่งหมายคืออยากทำให้จ้าวเล่อซีคลั่งเพื่อจะได้ควบคุมเขาได้ดังเดิม“เฮ้อ นางเป็นถึงลูกสาวสุดที่รักของเจ้ากรมการปกครอง ฝ่ายนั้นมีสายเครือญาติของมเหสีอี้เหอ ถึงยามนี้นางไม่ได้ถือตราหงส์ดั่งเดิมแต่นางยังมีอำนาจอยู่บ้าง และเกากงกงไม่ได้สร้างฐานกำลังมาเพียงแค่ชั่วข้ามคืน อีกทั้งสกุลอี้ทำชั่วมานานจึงยากนักที่จะล่มสลายลงได้ง่ายๆและการวางแผนร้ายเพื่อฆ่าคน โดยเฉพาะผู้ที่จะขึ้นเป็นพระชายาของรัชทายาท ย่อมมีโทษร้ายแรง!”“แต่ท่านพ่อไม่มีทางทำเรื่องนี้” ม่านซือซือสั่นผวา การที่บิดามาเมืองหลวง นางไม่อยากเชื่อว่าจะทำให้เขาต้องพบกับความหายนะ ทั้งหมดเป็นแผนของคนที่คิดชั่วกับจ้าวเล่อซีหรอกหรือ โดยหวังจะใช้นางเป็นเครื่องมือ“ฮูหยิน เมื่อเขาเป็นบิดาท่าน เรื่องนี้ย่อมเกี่ยวพันถึงชื่
เมื่อกลับถึงตำหนักจันทร์ส่องหล้า หมอจากสำนักแพทย์ได้เข้ามาดูอาการของคนตั้งท้อง“จ้าวฮูหยินตากลมและคงแพ้เกสรดอกไม้ ให้นางพักสักวันสองวัน หากอาการไม่ดีขึ้นข้าจึงจะฝังเข็มให้” หมอจากสำนักการแพทย์เอ่ย และม่านซือซือเห็นด้วย“จริงอย่างที่ท่านหมอกล่าว เมื่อข้านอนเต็มอิ่มและกินอาหารถูกปากคงแข็งแรงดังเดิม”ถึงเหม่ยหลานได้ยินม่านซือซือกล่าวอย่างมั่นใจ แต่สีหน้านางกลับยังฉายความวิตก โดยเฉพาะยามนึกถึงตี้หยงชุนและเอี๊ยะถัง ซึ่งนางไม่ไว้ใจ ดังนั้นจึงรีบส่งข่าวนี้ให้จ้าวเล่อซีทราบทันทีและนับจากเหตุการณ์ที่พบเอี๊ยะถังกับตี้หยงชุน ราวๆ ห้าวันต่อมา ม่านซือซือมีเรื่องให้ขบคิด หนึ่งในนั้นคือการที่เสี่ยวเหยาทำพิธีกรรมแปลกประหลาด พิธีของนางมีทั้งการเล่นเครื่องดนตรีทั้งเครื่องเป่าเครื่องสายซึ่งส่งเสียงชวนให้จิตใจเศร้าหมอง นอกจากนั้นยังมีการเผากระดาษ เส้นผม เล็บ อีกทั้งทาเลือดหมูดำที่ขอบประตูกับหน้าต่าง“ดูแล้วเหมือนไสยเวทของเผ่านอกกำแพงเมือง”เหม่ยหลานอธิบายให้ม่านซือซือเข้าใจ พอนางเห็นด้วยตาตนเองก็พลอยให้รู้สึกสงสารเสี่ยวเหยา นางเป็นสตรีที่มาจากเรือนวิวาห์ที่น่าสงสาร เมื่อก่อนมุ่งหวังอยากเป็นผู้หญิงของจ้
ม่านซือซือนั่งรถม้าคันเล็กเพื่อกลับตำหนักจันทร์ส่องหล้า พอได้ครึ่งทาง นางรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวแปลกๆ การหายใจติดขัด จึงสั่งให้หยุดรถม้า และช่วงเวลาดังกล่าว ในตรอกเล็กๆ มีขอทานพเนจรถูกทหารของเมืองหลวงไล่ตะเพิด ม่านซือซือได้ยินเสียงทุบตี เสียงร้องโอดโอยใจพลันนึกสงสาร ประกอบกับสุนัขทั้งสองตัวเห่าเสียงดังขรม เสียงพวกมันฟังแล้วชวนให้สงสัย“ข้าจะลงไปดูสักหน่อย”เหม่ยหลานที่มาด้วยเห็นท่าไม่ดี จึงออกปากห้าม“ฮูหยิน เรื่องบางเรื่องท่านควรปล่อยผ่าน อย่าได้ยื่นมือไปยุ่งจำได้หรือไม่ รัชทายาทเตือนไว้อย่างไร”ม่านซือซือฉุกคิดอยู่ประเดี๋ยว ทว่านิสัยนางเป็นเช่นนี้ เมื่อเห็นคนเดือดร้อนก็ไม่อาจนิ่งเฉย “แต่ข้าคิดว่าเขาต้องการความช่วยเหลือ”หญิงสาวสังหรณ์ใจบางอย่าง พอเปิดผ้าม่านดู นางเห็นร่างที่นอนกองอยู่กับพื้น ชายขอทานถูกทหารถ่มน้ำลายใส่ บางคนเตะที่ชายโครงเขาราวกับเป็นที่ระบายอารมณ์“สั่งให้พวกเขาหยุดเดี๋ยวนี้!”เมื่อตวาดขึ้นแล้ว ม่านซือซือจึงก้าวลงจากรถม้า เป็นตอนนั้นที่ขอทานกำลังจะถูกหิ้วปีกไปทิ้งนอกประตูเมือง ทว่าพอพวกเขาเห็นว่านางลงจากรถม้าที่มีป้ายตำหนักจันทร์ส่องหล้า จึงต่างพากันถอยเปิดทางให้
บ่ายแก่ๆ ของวันต่อมา ม่านซือซือตกใจเป็นอย่างมาก นางคาดไม่ถึงว่าจะมีคนมารอพบที่หน้าตำหนักจันทร์ส่องหล้า พอสอบถามให้แน่ชัด หัวใจพลันหล่นลงไปอยู่ปลายเท้า“แม่นมหลานมั่นใจหรือว่าเป็นเขา!”เหม่ยหลานแม้ไม่อยากเอ่ยถึงบุคคลนั้น เพราะเมื่อม่านซือซือถูกซื้อขายในตลาดมืด ได้อยู่ในคฤหาสน์สัตตบงกช นางก็ไม่ใช่คนสกุลม่านอีก ชีวิตที่สองของนางเป็นคนของจ้าวเล่อซีอย่างชอบธรรม“คนเฝ้าประตูตรวจสอบแล้ว พบว่าเป็นบิดาท่านจริงๆ”“ตะ แต่เขารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่”“เรื่องนี้ ฟ้าดินเท่านั้นถึงจะตอบได้ ท่านคิดเห็นอย่างไร จงรีบตัดสินใจเถิด”“สายเลือดย่อมตัดกันไม่ขาด ที่สำคัญท่านพ่อชรามากแล้ว อย่างไรข้าคงเป็นบุตรอกตัญญูไม่ได้”เมื่อนางเอ่ยเช่นนั้น ก็แจ้งให้เหม่ยหลานนัดม่านเจิ้นไปยังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ด้วยนางไม่อาจให้ม่านเจิ้นเข้ามาในตำหนักแห่งนี้ได้ และในใจม่านซือซือยามนี้คาดเดาไปต่างๆ นานา ซึ่งล้วนเป็นลางสังหรณ์ในแง่ร้าย! เมื่อม่านเจิ้นเห็นบุตรสาวคนที่ห้าก็ยิ้มอย่างโล่งใจ ทว่าเขารู้สึกไม่ปลอดภัย ด้วยสุนัขตัวโตสีดำที่ลูกสาวพามาด้วยแสดงท่าทางไม่เป็นมิตรพวกมันมาจากเรือนสุนัขในคฤหาสน์สัตตบงกช สองตัวนี้ได้รับก