“กรี๊ดดดดด...”
ฟาววววว... ควับ!
เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดสลับกับเสียงเส้นหวายแหวกอากาศไปปะทะกับเนื้อบอบบางเป็นจังหวะไม่ขาดสายดังออกมาจากเรือนไทยหมู่ 5 หลังที่ปลูกสร้างด้วยไม้สักทองงดงามและยิ่งใหญ่สมตำแหน่งเจ้าของเรือน
แม้เสียงกรีดร้องยังคงดัง แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปห้ามปรามหรือช่วงชิงเส้นหวายนั้นจากมือของคนที่หวดเอาๆ อย่างไม่ลดล่ะ มีเพียงก้มหน้าก้มตาไม่กล้าดู แต่ก็ยังชำเลืองมองเพราะความอยากรู้และสมเพชเวทนาร่างเล็กๆ ที่กรีดร้องไม่หยุด ด้วยเบื้องหลังนั้นมากมีไปด้วยรอยหวดเป็นเส้นยาว จนบางบาดแผลนั้นเปิดออกจนเห็นเนื้อในสีขาวไม่ต่างจากมันเปลวที่นำมาเจียวน้ำมัน
ฟาววววว... ควับ!
“กรี๊ดดดดด...”
สิ้นสุดเสียงร้อง ร่างที่สะบักสะบอมไปด้วยบาดแผลก็มีอันสิ้นสติไปด้วยความเจ็บปวด แต่ท่านเจ้าของเรือนก็ยังไม่หนำใจ ยังสั่งให้ข้าทาสไปนำเกลือเม็ดละลายน้ำเอามาสาดใส่บาดแผลให้เจ้าของร่างที่สลบไสลฟื้นคืนขึ้นมาอีก เพื่อจะให้เรือนร่างนี้ได้รับความเจ็บปวดอย่างต่อเนื่อง ให้สาสมกับสิ่งที่มันทำเอาไว้
“สาดเข้าไป! เอาให้มันเจ็บให้มันแสบ มันจะได้รู้! ไม่ว่าใครก็ตามอย่าบังอาจมาทำเรื่องอัปรีย์จัญไรบนเรือนกูอีก ไอ้อีหน้าไหนที่มันกล้า มันจะต้องโดนเยี่ยงนี้ สาดเข้าไป! ฟาดมันเข้าไปอีก! ฟาดเข้าไป!”
เสียงทรงอำนาจของท่านเจ้าของเรือนตวาดก้องทำให้เหล่าทาสต่างพากันหัวหดไม่กล้าเผยอใบหน้าขึ้นมอง ก่อนจะสะดุ้งไปตามๆ กันกับเพราะเสียงกรีดร้องโหยหวนของนางทาสสาว ที่ครั้งหนึ่งเคยได้ดิบได้ดีเป็นเมียท่าน
“กรี๊ดดดดด...”
เสียงกรีดร้องดังออกมาจากใบหน้าบวมปูดและแตกยับเพราะถูกตบตีอย่างทารุณอีกครั้ง โดยเฉพาะแผ่นหลังที่ร้อนวูบและแสบลึกจากน้ำเกลือที่แทรกซึมเข้าสู่บาดแผลอย่างมากมายจนนับไม่ถ้วน มันคือความเจ็บปวดจนเกินจะทานทนแล้ว
ดวงตาฉ่ำชื้นไปด้วยหยาดน้ำตาของอีทาสสาววัยละอ่อนเงยขึ้นมองคุณพระผัวรัก ที่ครั้งหนึ่งเคยสนิทเสน่หามันยิ่งนัก แต่ตอนนี้ผัวรักไม่ต่างจากภูติผีร้ายที่กำลังช่วงชิงลมหายใจสุดท้ายไปจากมัน ด้วยข้อหาที่มันไม่อาจแก้ต่างได้เพราะมันคือ ‘ความจริง!’
ก่อนที่แววอาฆาตจะตวัดมองไปยังคนที่นั่งหน้าซีดอยู่เคียงข้างผัวรัก ดั่งจะจดจำไว้ว่าใบหน้าอ่อนโยนและงดงามเยี่ยงนี้ แท้จริงแล้วนั้นซุกซ่อนนางยักษ์ร้ายกาจไว้อยู่ภายใน
และเมื่อเสียงเส้นหวายกระทบเนื้ออีกครั้ง ร่างกายที่ไม่สามารถจะทานทนความเจ็บปวดได้อีกก็สะดุ้งวาบ ดวงตาเบิกค้างเพราะลมหายใจเฮือกสุดท้าย ปลิดปลิวไปพร้อมๆ กับหวายที่ฟาดหวดอากาศลงมากระทบผิวกายของมัน
ไม่มีแล้วความเจ็บปวด ไม่มีแล้วความแสบลึกจากน้ำเกลือที่จะทะลวงเข้าสู่บาดแผล มีแต่วิญญาณที่ล่องลอยออกจากร่างเพื่อไปให้พ้นบ่วงพันธนาการอันเป็นนิรันดร์
แม่พิศขนหัวขนกายลุกตั้งปากคอมือไม้สั่นไปหมด เมื่อสบกับดวงตาอาฆาตของนางแพง ดวงตาที่เบิกกว้างด้วยความแค้นของอีทาสสาววัยกำดัดมองมาที่แม่พิศอย่างไม่ต้องคาดเดา
แม่พิศชำเลืองดวงตาหวาดหวั่นมองไปยังพระสรเดชมนตรีผู้เป็นผัวแก่วัยใกล้เคียงพ่อด้วยความหวาดกลัวเต็มที่ เพราะถ้อยคำเต็มไปด้วยอำนาจนั้นไม่พ้นจะเข้าตัวเอง
หากคุณพระรู้ว่าหล่อนเองก็มีพฤติกรรมไม่ต่างจากนางแพงหรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ โทษที่ได้รับจะเป็นเยี่ยงไร จะถูกหวายเฆี่ยนจนแดดิ้นสิ้นใจตายตามนางแพงไป หรือจะถูกส่งตัวให้หลวงไปพิจารณาคดี ข้อหา ‘คบชู้สู่ชาย’ โทษใดเล่าที่คุณพระจะกระทำต่อหล่อน
แม่พิศก้มหน้าก้มตาไม่กล้าที่จะชำเลืองมองสภาพศพของนางแพงที่ยังคงมองมาด้วยความอาฆาต เพราะขณะนี้ใจหล่อนประหวัดไปถึงไอ้คนที่ลงเรือแจวไปโดยเร็วนั้น หวังอย่างที่สุดก็คือ อย่าให้คนของคุณพระตามมันพบเลย ขอให้มันไปให้พ้นคุ้งน้ำนี้ อย่าให้มันกลับมาถูกสอบสาวราวเรื่องว่าต้นสายปลายเหตุนั้นเป็นเยี่ยงไร อย่าให้มีสิ่งใดที่ทำให้ความลับไม่เป็นความลับอีกเลย
แต่แล้วคำภาวนาของหล่อนคงไม่สมหวังเมื่อเสียงอื้ออึงของข้าทาสในเรือนตะโกนดังมาจากทางท่าน้ำ ความแปลบปลาบแห่งความกลัวที่แล่นเข้าสู่หัวใจไม่ต่างจากถูกเส้นหวายที่หวดลงบนเนื้อหนังของนางแพงเลยสักนิด และแวบหนึ่งนั้นหล่อนเห็นริมฝีปากของนางแพงมันแสยะยิ้มได้ พร้อมกับแววตาสาแก่ใจนักของมันที่จะได้มีเพื่อนตายตกไปตามกัน
“อีพิศ!!”
สิ้นเสียงตวาดลั่นแม่พิศก็ตาเหลือกโพลงปากคอสั่นไปไม่เป็น เมื่อทาสรุ่นหนุ่ม 2 คน ตรงขึ้นมาบนเรือน ประชิดตัวเข้ามาหิ้วปีกคนละข้าง
ร่างอวบอัดของสาวใหญ่วัย 40 ปี อ่อนเปลี้ยด้วยความกลัวจนฉี่ราดออกมาละพื้น แต่นั่นไม่ได้สร้างความเวทนาในสายตาของเหล่าทาสหญิงชายเลยสักนิด
สิ่งที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของทาสเหล่านั้นคือความสาแก่ใจไม่ต่างจากดวงตาของนางแพงที่มองมาสักน้อย
แม่พิศเหลียวหาใครก็ได้ที่พอจะช่วย แต่ก็ไม่มีเลย มีแต่คนมองเมินหรือไม่ก็สมใจที่กรรมกำลังสนองหล่อนแล้ว
ฟาววววว... ควับ!
“กรี๊ดดดดด...”
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมาจากร่างอวบอัดเมื่อเสียงเส้นหวายแหวกอากาศครั้งแรกกระทบผิวกาย ดวงตาสวยงามสะท้านใจชายเบิกกว้างด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส พานคิดไปว่านางแพงถูกเฆี่ยนไปถึง 30 ครั้งกว่าจะตาย แล้วหล่อนเล่ากี่ครั้งกันที่ความเจ็บปวดนี้จะสิ้นสุดลง เมื่อสุดสายตานั้น ‘ไอ้บุญทิ้ง’ ทาสหนุ่มชู้รักก็กำลังมีชะตากรรมไม่ต่างกัน
ความเจ็บปวดที่เสียดแทงลงลึกสู่ผิวเนื้อส่งให้ความทรงจำของแม่พิศย้อนไปสู่จุดเริ่มต้นเมื่อ 20 ปีก่อน เพราะหากเลือกได้ หล่อนจะยอมอดกลั้นความปรารถนานั้นเอาไว้ จะไม่ยอมให้ตัณหา ราคะ มีอำนาจเหนือลมหายใจอย่างเด็ดขาด
ทว่าสิ่งที่ระลึกได้ในยามนี้ก็สายไปเสียแล้ว ไม่มีวันเวลาใดจะย้อนกลับคืนได้ ทำสิ่งใดไว้ย่อมได้ผลตามนั้น ไม่มีทางหลีกหนี
เมื่อ ‘กรรม’ คือ การกระทำ สิ่งที่ได้รับนี้ก็ล้วนมาจากสิ่งที่ ‘กระทำ’ ทั้งสิ้น
สยามประเทศ ก่อน “พระราชบัญญัติเลิกทาส ร.ศ.124”ยุคสมัยที่สยามประเทศเปิดรับวัฒนธรรมทางยุโรปมากขึ้น หญิงสาวต่างแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่งดงามและมีเครื่องประทินผิวหอมจรุงใจโดยเฉพาะหญิงสาวชาววังล้วนเป็นที่หมายปองของบุรุษเพศ เพราะหญิงสาวเหล่านั้นจะได้รับการอบรมทั้งกิริยามารยาท ทั้งงานบ้านงานเรือน เหมาะสมสำหรับการสู่ขอมาเป็นแม่ศรีเรือน จนถึงขนาดมีแม่สื่อแม่ชักมาขอดูตัวเพื่อจับจองกันไว้ตั้งแต่เป็นสาวรุ่น และ ‘แม่พิศ’ ก็เป็น 1 ในหญิงสาวเหล่านั้นแม่พิศเป็นหลานสาวของคุณพิน ซึ่งทำหน้าที่เป็นนางพนักงานห้องเครื่องอยู่ในวัง พ่อกับแม่จึงได้นำแม่พิศมาฝากฝัง เพื่อให้เรียนรู้ขนบธรรมเนียมชาววังตั้งแต่เป็นเด็กหญิง เพราะเชื่อว่าหากลูกสาวได้ดิบได้ดีเป็นนางพนักงานอยู่ในวังเฉกเช่นเดียวกับคุณพิน ผู้ชายทั้งหลายก็ใคร่จะสู่ขอให้ออกเรือนไปกับตนทั้งสิ้น และหากแม่พิศได้ออกเรือนกับขุนน้ำขุนนางไป พ่อแม่จะได้สบายได้พึ่งพาใบบุญของลูกสาว ได้มั่งมีความสุขในยามแก่ชราแม่พิศเป็นเด็กหญิงที่ว่านอนสอนง่าย ฉลาด และเรียนรู้งานได้เร็ว จึงได้ทำงานเป็นนางพนักงานห้องเครื่องของหม่อมห้ามองค์หนึ่งเมื่อแม่พิศเติบใหญ่กลายเป็นสาวรุ
แต่แล้วสิ่งที่แม่พิศหวาดหวั่นพรั่นพรึงก็ไม่ได้น่ากลัวเกรงอย่างที่แอบอกสั่นขวัญแขวนเลยสักนิด กลับกันที่หล่อนได้รับความเพลิดเพลินจนต้องครวญครางในลำคอเบา“อื้อ... พี่อ่ำจ๋า... พี่ทำอะไรฉัน”แม่พิศดิ้นพล่านเมื่อแม่อ่ำซุกไซ้จมูกที่ซอกคอทำให้หล่อนเสียวสยิวจนต้องบิดกายอย่างทำอะไรไม่ถูก ยิ่งแม่อ่ำลูบไล้ไปบนเนินเนื้ออวบอิ่มสมวัยสาวสะพรั่ง แม่พิศก็ต้องห่อไหล่หนีก่อนจะเปลี่ยนเป็นแอ่นอกสู้มือแม่อ่ำไม่หยุด“อา... พี่อ่ำจ๋า... พี่ทำอะไรฉัน พี่จะฆ่าฉันหรือไร”แม่พิศบิดกายไปมาเพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่บังเกิดอยู่ในอกหล่อนนี้เรียกว่าอะไร รู้แต่ว่ามันกำลังทำให้หล่อนหายใจติดขัด จนต้องอ้าปากพะงาบๆ เรียกเอาลมหายใจเข้าสู่ร่างกายโดยเร็ว“พี่ก็จะทำให้น้องพิศมีความสุขยังไงเล่าจ๊ะ รับรองว่าน้องพิศจะมีแต่ความสุขมิรู้ลืม”แม่อ่ำเคลื่อนมือไปปลดผ้าแถบรัดอกอึดอัดนั้นให้คลายออก ก่อนจะเลื่อนฝ่ามือขึ้นไปกอบกุมความอวบอิ่มเอาไว้ทั้งสองข้าง ใบหน้าซุกไซ้สูดดมความหอมของน้ำอบน้ำปรุงและกลิ่นกายสาวสะพรั่งที่ไม่เคยได้ต้องมือชายใดมาก่อน เพราะได้รู้ได้เห็นและแอบมองแม่พิศมาตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อสาว แต่ในยามนั้นตัวหล่อนเองก็มีสาวน้อยสาวใ
แม่พิศสะบัดใบหน้าร่ำร้องหาแต่ชื่อของแม่อ่ำอยู่ตลอด เพราะในเวลานี้หล่อนรู้แล้วว่าสะโพกผายนั้นจะแอ่นไปสูงได้แค่ไหนกัน และแค่ไหนที่หล่อนจะพอใจ เมื่อดอกไม้แรกแย้มนั้นเบ่งบานออกจากกันจนสุด และกำลังถูกชำแรกด้วยปลายลิ้นน้อยๆ ของแม่อ่ำอย่างรัวเร็ว“อ้าย... พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำ! อื้อ! พี่อ่ำ!”เสียงกรีดร้องรัวเร็วราวกับจะเร่งเร้าจึงดังออกจากปากน้อยๆ นั้นอย่างไม่ขาดสาย ร่างกายเบาหวิวราวกับวิญญาณวิ่งพรวดออกจากร่างก่อนจะกระเด็นกระดอนกลับเข้าไปใหม่อย่างรุนแรง ทำให้ร่างเปล่าเปลือยกระตุกวาบติดกันหลายต่อหลายครั้งแม่พิศหอบหายใจและหมดเรี่ยวแรงราวกับวิ่งหนีอะไรมาเสียไกล ได้แต่นอนแผ่ร่างเปล่าเปลือยอวดเนื้อหนังมังสาให้เป็นอาหารตาแก่แม่อ่ำต่อไป และเพียงไม่นานแม่อ่ำก็เริ่มต้นกลืนกินเนื้อตัวของหล่อนอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้แม่พิศเองก็ครวญครางซู้ดซี้ดริมฝีปากของตัวเองไปมาราวกับได้กินของเผ็ดร้อนที่เอร็ดอร่อยที่สุดในชีวิต..นับจากนั้นการเล่นเพื่อนหรือเรียกอีกอย่างว่า ‘เล่นสวาท’ หากจะพูดให้ทะลึ่งตึงตังก็ไม่ได้น่ากลัวสำหรับแม่พิศอีกต่อไป แต่กลับทำให้แม่พิศได้มาเป็นนางพนักงานในตำหนักกรมหมื่นฯ ได้อยู่ดีก
แม่อ่ำได้แต่ตีอกชกตัวตนเอง เพราะตนนั้นทั้งรักทั้งหลงแม่พิศเสียจนสรรหาแต่สิ่งดีๆ มาให้ เครื่องประทินผิว อาหารการกิน เครื่องทอง เครื่องเงิน หากแม่พิศอยากได้ ไม่เคยเลยที่จะไม่ให้ แล้วเหตุใดแม่พิศจึงเลือกที่จะออกเรือน ไม่เลือกที่จะเคียงคู่กับตนไปจนแก่เฒ่าอยู่ในวังกรมหมื่นฯ นี้เล่า“พี่อ่ำจ๋า ไม่ใช่ว่าฉันไม่เห็นค่าในความรักของพี่ แต่พี่อ่ำดูสิจ๊ะ ปีนี้ฉันอายุได้ยี่สิบปีเต็มแล้ว มันเลยวัยที่ฉันจะมีเหย้ามีเรือนแล้วหนาพี่ หากฉันปล่อยให้เวลาเนิ่นนานกว่านี้ คงจะไม่มีใครมาสู่ขอฉันไปเป็นเมียแน่ พี่อ่ำเห็นใจฉันด้วยเถิด พ่อกับแม่ก็มีฉันเป็นลูกสาวอยู่ผู้เดียว หวังจะได้ฝากผีฝากไข้ หากฉันไม่แต่งงานออกเหย้าออกเรือนไป ฉันจะมีโอกาสไหนได้ตอบแทนพระคุณท่านอีกล่ะพี่ ฉันมิกลายเป็นลูกอกตัญญูไปดอกเหรอ ที่เห็นทางจะทำให้พ่อแม่มีความสุขได้ แต่ฉันกลับเลือกเอาความสุขของตนเองเป็นที่ตั้ง ใช่ว่าฉันไม่เจ็บปวด”น้ำตาพรั่งพรูด้วยความเจ็บช้ำหวังว่าแม่อ่ำจะเข้าใจในสิ่งที่ตนเลือกตัดสินใจในครั้งนี้และไม่คิดขัดขวางหนทางแห่งความสุข แต่แท้จริงแล้วนั้น นี่ก็คือมารยาหญิงที่แม่พิศหมั่นฝึกปรืออยู่บ่อยครั้ง ไม่เช่นนั้นคงมิได้ข้าวของม
และเมื่อคุณหลวงในร่างของแม่อ่ำปลดผ้าแถบรัดอกของหล่อนออก พร้อมทั้งใช้จมูกซุกไซ้ไปตามเนินอกอวบก่อนจะสูดดมและดูดดึงปลายยอดชูชัน แม่พิศก็แทบจะแอ่นความเป็นหญิงให้ท่านเชยชมเสียเดี๋ยวนี้ อยากจะกรีดร้องเรียกชื่อคุณหลวงออกมา แต่ดีที่ว่าสายตาเห็นหัวของแม่อ่ำลอยเด่นอยู่บนหน้าท้องของตนเองเสียก่อน คำร้องออกมาจึงเป็น“โอว... พี่อ่ำจ๋า... ฉันมีความสุขเหลือเกิน โอว... จะหาใครให้ความสุขกับฉันได้เท่าพี่ พี่อ่ำจ๋า... อูย... พี่อ่ำ... อื้อ... พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำ...”ริมฝีปากพ่นคำหวานเพื่อให้แม่อ่ำติดตรึงใจมากที่สุด สะโพกส่ายร่อนไม่หยุดเมื่อเจอลิ้นร้อนของแม่อ่ำเข้าไปกระทบที่กลีบดอกบอบบางดอกไม้เบ่งบานจากนิ้วมือและปลายลิ้นของแม่อ่ำที่ซุกไซ้ให้แม่พิศต้องดิ้นพล่านไม่หยุด ปากก็ร่ำร้องแต่ชื่อของแม่อ่ำอย่างทิ้งทวน“พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำ...”ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับการ ‘เล่นเพื่อน’ เพราะในค่ำคืนครั้งหน้าคงเป็นการเล่น ‘ผัวเมีย’ เท่านั้นที่หล่อนต้องเรียนรู้ และหวังว่าการเล่นครั้งใหม่จะทำให้หล่อนขึ้นสวรรค์ได้หลายๆ ครั้งอย่างที่แม่อ่ำทำให้ หรือจะให้ดี หากร่างกายของหล่อนจะเบาบางราวกับโบยบินขึ้นไปบน
“เรียกพี่เถิดแม่พิศ แม่พิศเป็นเมียของพี่ เป็นศรีแห่งเรือนนี้ ต่อแต่นี้ไปแม่พิศจะเป็นใหญ่ที่สุดในเรือน จักทำอะไรก็ตามแต่สมควรเถิด ป่ะ... ขึ้นเรือนกัน พี่จะพาแม่พิศเดินดูให้ทั่วทุกห้องหับ”“เจ้าค่ะคุณพี่”แม่พิศอมยิ้มอย่างเอียงอาย เพราะสายตาของคุณหลวงที่สื่อมานั้นคือความเสน่หา ไม่ต่างจากสายตาของแม่อ่ำที่ใช้มองหล่อนเลยสักนิด แล้วเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในห้องหอตลอดทั้งค่ำคืนนี้เล่า หล่อนจะต้องพบเจอกับสิ่งน่าอัศจรรย์ใดบ้าง จะต้องกรีดร้องคร่ำครวญเหมือนเมื่อคราเล่นเพื่อนครั้งแรกกับแม่อ่ำหรือไม่ หรือจะหลับตาพริ้มซึมซับเอาความสุขขึ้นไปบนสวรรค์ อย่างไรกันเล่าที่หล่อนกำลังจะเผชิญใบหน้างดงามผินมองขอบฟ้าที่แม้แดดจะร่มแต่ก็ยังอีกนานกว่าเวลาพลบค่ำจะมาถึง ทั้งที่หัวใจของหล่อนนั้นประหวัดอยากให้ถึงยามค่ำเสียให้เร็ว แม้จะเป็นความน่าละอายที่หญิงมิควรคิดสัปดนเยี่ยงนี้ แต่หล่อนจะห้ามความคิดนั้นได้อย่างไรกันเล่า ในเมื่อขณะนี้ เนื้อกายสะบัดร้อนสะบัดหนาวเสียราวกับจะจับไข้ ใคร่อยากจะดึงทึ้งเสื้อผ้าเกะกะนี้ให้พ้นไปจากเนื้อกายแต่โดยเร็ว“แม่พิศหนาวเหรอจ๊ะ”“มิได้เจ้าค่ะคุณพี่ น้อง... เอ่อ... น้อง...” เนื้อตัวแข็
ข้าวปลาอาหารสำรับเย็นที่บ่าวไพร่จัดเตรียมไว้ให้แทบจะกลายเป็นของหวานไปในทันทีเพราะหลวงสรเดชฯ เอาอกเอาใจแม่พิศมากมายเสียจนแม่พิศแทบจะกลืนกินอาหารไม่ได้ ด้วยเพราะความอายและไม่เคยมีผู้ชายมาเอาอกเอาใจเยี่ยงนี้ทุกครั้งที่สายตาของหลวงสรเดชฯ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีมองมา แม่พิศก็สะเทิ้นสะบัดร้อนสะบัดหนาวไปทั้งเนื้อตัว ความรู้สึกร้อนรุ่มรุมเร้าจนแม่พิศคิดอยากจะอาบน้ำให้คลายอาการสะท้านร้อนนี้ เพราะดวงตาคมเข้มของบุรุษที่ทอดมองไปตามเนื้อกายนั้นไม่ต่างเลยกับเปลวไฟที่กำลังโลมเลียผิวเนื้อสัมผัสอุ่นวาบ ซาบซ่าน ราวจะเกิดขึ้นไปทุกที่ที่สายตานั้นทอดมอง จนแม่พิศอยากจะให้มื้ออาหารนี้ผ่านไปเสียโดยเร็ว อยากให้ถึงเวลานั้น... “แม่พิศไปอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อยเถิด พี่จะนั่งรับลมตรงนี้สักครู่” “เจ้าค่ะคุณพี่” เมื่อมื้ออาหารสิ้นสุด คำที่หลวงสรเดชฯ เอ่ยบอกก็ทำให้แม่พิศต้องก้มหน้าซ่อนซุกแววขวยเขินนั้นไว้ให้มาก ด้วยรู้ดีว่าช่วงเวลาต่อจากนี้ไปอีกไม่นาน หล่อนจะได้พานพบกับความหฤหรรษ์ดังที่ใครๆ ว่าไว้ แลหลวงสรเดชฯ ก็คงไม่อยากให้หล่อนเขินอายไปมากกว่านี้ จึงเปิดโอกาสให้หล่อนได้ทำธุระ
แม่พิศอมยิ้มดวงตาสวยหวานมองโต๊ะเครื่องแป้งที่ปรารถนาสักวันหนึ่งว่าอาจได้มี เพราะเครื่องของใช้เหล่านี้มิใช่ฐานะเพียงนางพนักงานจะหาซื้อได้ ต้องเป็นพวกเจ้านายเท่านั้นที่จะมีเงินมีทองไปแลกมาแลกระจกบานใหญ่นั้นก็ใสเสียจนสะท้อนใบหน้าเอียงอายของหล่อนออกมาอย่างชัดเจน และในนั้นหล่อนก็เห็นสายตาของสามีกำลังโลมเลียเนื้อตัวของหล่อนด้วยความกระหายแลเมื่อดวงตาคมเข้มช้อนขึ้นสบดวงตาของหล่อน ก็เป็นหล่อนเองที่เอียงอายจนต้องหลบเลี่ยง “พี่จัดเตรียมไว้ให้แม่พิศโดยเฉพาะ เพราะรู้ว่าสตรีล้วนต้องการมีข้าวของเครื่องใช้ที่สวยงาม และหากพี่พบเจอของสวยหรือน้ำอบน้ำปรุงที่เหมาะสมกับแม่พิศ พี่ก็จักจัดหามาให้มิขาด” “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” แม่พิศละทิ้งความอายหันร่างมาเผชิญหน้าก่อนจะก้มกราบลงที่อกของสามี เมื่อเวลานี้จริตจะกร้านแต่พองามกำลังส่งผล “แม่พิศง่วงรึยัง” น้ำเสียงทุ้มที่ถามมาอย่างลองเชิงยิ่งทำให้แม่พิศต้องก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มเอียงอายมากขึ้น ใครเล่าจะไม่รู้ว่าคำถามนี้ส่อความหมายถึงสิ่งใด ในเมื่อฝ่ามือของหลวงสรเดชฯ นั้นยังเคลื่อนไปมาบนเรือนกายของหล่อนไม่หยุด
แม่จันทร์สะอื้นฮึกฮัก เพราะไม่อาจรู้ได้ว่าความเจ็บปวดร้าวรวดดั่งถูกมีดแหลมคมปักกรีดอยู่กึ่งกลางร่างกายนี้ จะมลายคลายลงได้อย่างไร เมื่อมันเจ็บเสียจนหล่อนไม่กล้าที่จะร่ำร้อง ด้วยกลัวว่าเพียงร่างกายขยับ ความเจ็บปวดนั้นจะทวีทบเท่า แลถึงตอนนั้นร่างกายนี้อาจตายเสียก็ได้ ทว่าแม้นเจ็บเพียงใด สัญชาตญาณก็ยังร้องสั่งให้แม่จันทร์มอง เพื่อให้รู้ที่มาของความเจ็บนั้น และสิ่งที่แม่จันทร์เห็นก็ทำให้ริมฝีปากต้องอ้าค้างมากขึ้น ด้วยไม่ใช่มีดพร้าที่ทิ่มตำร่างกาย แต่กลับเป็น ‘ท่อนเนื้อ’ ขนาดใหญ่ที่ยื่นออกมาจากกึ่งกลางกายของท่านกำลังทิ่มตำที่โพรงดอกไม้ สีหน้ารวดร้าวของท่านและคำสอนของแม่ที่แว่วมาในความคิดทำให้แม่จันทร์ต้องยิ้มทั้งที่เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เพราะนี่คงเป็นลำดับขั้นสุดท้ายก่อนที่หล่อนจะพานพบกับสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
เมื่อริมฝีปากของท่านทาบลงมาบนกลีบปากนุ่มก่อนจะบดเบียดยั่วเย้าอย่างอ่อนโยน ตามติดมาด้วยปลายลิ้นร้อนที่เกลี่ยไล้ไปมาอยู่บนกลีบปาก นั่นทำให้แม่จันทร์ถึงกับตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก “เจ้าคุณอา...” พระยาสรเดชฯ อมยิ้มในสีหน้า ดวงตาคมเข้มเต็มเปี่ยมไปด้วยกาลเวลาทอดมองหญิงสาวที่สั่นประหม่าไปทั้งร่าง จนลืมเลือนไปเสียสิ้นว่าต้องรักษากิริยาและต้องเรียกท่านว่าเช่นไร ทว่าสิ่งที่แม่จันทร์เป็นอยู่นี้ก็ช่างน่าเอ็นดูนัก “ที่ไม่ให้เรียกเยี่ยงนั้น เพราะพี่อยากให้แม่จันทร์เรียกพี่ว่า ‘เจ้าคุณพี่’ จะได้รึไม่” “เจ้าค่ะ เจ้าคุณพี่”
เสียงมโหรีขับขานท่วงทำนองกล่อมหอดังแผ่วแว่วมาในห้อง ส่งผลให้ผู้เป็นเจ้าสาวที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียงต้องกระชับฝ่ามือเข้าหากันแน่นด้วยประหม่านัก เพราะอีกไม่นานเจ้าบ่าวซึ่งออกไปส่งผู้หลักผู้ใหญ่และขอบคุณผู้ที่มาร่วมงานก็จะกลับเข้ามา และเมื่อนั้นลำดับขั้นของงานวิวาห์จึงจะถือว่าสัมฤทธิ์ผล เจ้าสาวคนสวยชำเลืองมองที่นอนหนานุ่มขึงผ้าปูสีชมพูปักลวดลายดอกไม้กระจิริดดูอ่อนหวาน ทั้งข้าวของที่ใช้ทำ ‘พิธีเรียงหมอน’ ก็ยังวางเรียงรายกันอยู่อย่างสงบนิ่ง ฟักเขียว แมวคราว ไก่ขาว ไม้เท้า ถ้วยน้ำ และหินบดยา ถูกวางอยู่มุมซ้ายของเตียง ถุงเงินและถุงทอง ที่บรรจุถั่วเขียว งาดำ ข้าวตอก ดอกรัก ดอกบานไม่รู้โรย ถูกเปิดและหยิบเอาถั่ว งา และดอกไม้เหล่านั้นออกมาโปรยบนที่นอนเพื่อเป็นมงคล เมื่อนึกถึงเหตุที่เพิ่งผ่านไปเจ้าสาวก
ฟาววววววว... ควับ! “กรี๊ดดดดด...” สิ้นสุดเสียงกรีดร้องร่างที่สะบักสะบอมไปด้วยบาดแผลของนางแพงก็มีอันสิ้นสติไปด้วยความเจ็บปวด แต่คุณพระท่านก็ยังไม่หนำใจ ทั้งที่ตนเองก็หอบตัวโยนด้วยลงแรงไปกับหวายทั้งตัว คุณพระท่านร้องสั่งให้ข้าทาสไปนำเกลือเม็ดละลายน้ำเอามาสาดใส่บาดแผลของนางแพงให้มันฟื้นคืนขึ้นมาอีก เพื่อจะให้เรือนร่างนี้ได้รับความเจ็บปวดอย่างต่อเนื่อง ให้สาสมกับสิ่งที่มันทำเอาไว้ เพราะมันเจ็บกาย แต่ท่านนั้นเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ รักมากก็แค้นมาก หวงมากก็อยากจะให้ตายคามือด้วยความทรยศ “สาดเข้าไป! เอาให้มันเจ็บมันแสบ มันจะได้รู้ว่าใครอย่าบังอาจมาทำเรื่องอัปรีย์จัญไรบนเรือนกูอีก ไอ้อีหน้าไหนที่มันกล้า มันจะต้องโดนเยี่ยงน
ฉาด! ฝ่ามือกระทบใบหน้าของนางแพงอีกครั้งให้หันไปตามแรงตบ เมื่อนางแพงเอาแต่ยิ้มและหัวเราะขันกับคำพูดของตนเอง มันทำความเสื่อมเสียเพียงผู้เดียวยังไม่พอ ยังจะริปากดีป้ายสีให้แม่พิศเมียรักต้องมัวหมองไปด้วย “ตบอีกสิเจ้าคะ ตบให้อีแพงมันตายไปเลย ไม่ต้องรอหวายแล้วเจ้าค่ะ แค่น้ำมือคุณท่าน อีแพงก็แทบจะตายคามืออยู่แล้ว แต่ก่อนตายขออีแพงได้พูดให้หมดเปลือกเถิด อีแพงคบชู้ อีแพงยอมรับ แต่หากคุณนายพิศคบชู้เล่าเจ้าคะ คุณท่านจะทำเช่นไร จะลงโทษคุณนายเทียบเท่ากับอีแพงรึไม่ หรือจักส่งคุณนายไปให้กองโปลิศตัดสิน ให้ประณามหยามเหยียดไปทั่วพระนคร ว่าลูกสาวบ้านนี้สัญชาติคบชู้สู่ชาย บ้านใดนำไปเป็นลูกเป็นเมีย ก็รังแต่จะเสื่อมเสียคบชู้อยู่ร่ำไป” “อีแพง!” 
“เอ็งช่างกล้าพูดนักนังแพง...” น้ำเสียงเอ่ยออกมาด้วยความเข่นเครียด ยิ่งเห็นเรือนร่างอวบอิ่มของเมียสาวคราวลูกสั่นสะท้านไปด้วยแรงสะอื้น คุณพระท่านยิ่งสะท้อนไปถึงหัวใจ เพราะนางแพงเมียทาสผู้นี้ ท่านสนิทเสน่หามันยิ่งนัก กลับมาคืนเรือนครั้งนี้ ท่านก็หวังจะโอ้โลมมันให้มีความสุข เพราะทิ้งร้างให้เปล่าเปลี่ยวอยู่นาน จนต้องสั่งให้เจ้าเข้มมาแจ้งข่าวกับแม่พิศว่าท่านจะคืนเรือนในวันนี้ ให้นางแพงได้เตรียมตัวต้อนรับท่านเถิด แต่กลับกลายเป็นว่านางแพงมันมีความสุขจนแทบจะสำลักอยู่แล้ว แม้จะรู้ว่าท่านคืนเรือนวันนี้ มันก็ยังกล้าที่จะพาไอ้บุญทิ้งไปร่วมรักกันบนเรือน บนเตียงที่ทับรอยของท่าน รวมทั้งคำรักที่มันพร่ำพลอดแก่กันและกันนั้น แปลว่านางแพงผู้นี้ไม่เคยเห็นท่านอยู่ในสายตาสักนิด มันไม่คิดถึงความสุขสบายที่ท่านปรน
ริมฝีปากยังคงแนบชิดแต่ท่อนแขนช้อนเรือนร่างอวบอิ่มขึ้นโอบอุ้มพาก้าวเดินไปสู่เตียงสี่เสาที่มีม่านลูกไม้สีขาวประดับอยู่ ร่างงดงามถูกวางไว้บนฟูกนุ่มที่ขึงเรียบตึงด้วยผ้าปูเตียงสีชมพูอ่อน กอปรกับแสงไฟสีนวลจากตะเกียงก็ช่วยส่งขับให้ผิวกายสีน้ำผึ้งนวลเนียนนี้ให้ยิ่งนวลน่าลูบไล้ฝ่ามือลงไปสัมผัสมากยิ่งขึ้น “พี่บุญทิ้งจ๋า... แพงรักพี่เหลือเกิน” “พี่ก็รักแม่แพงยิ่งนัก” แม่แพงคล้องฝ่ามือรอบลำคอแกร่งของไอ้ทาสวัยหนุ่มพลางรั้งใบหน้าคมเข้มนั้นเข้าหาตัว ความแข็งแกร่งนี้ที่หล่อนปรารถนา ความเข้มแข็ง ดุดัน ของคนรุ่นหนุ่ม หาใช่ความแก่ชราของชายวัยคราวพ่อเฉกเช่นคุณพระท่าน และเมื่อใบหน้าคมเข้มนั้นเคลื่อนเข้าใกล้ แม่แพงก็หลับตาพ
“อา... บุญทิ้งจ๋า... กระแทกลงมาแรงๆ เลย บุญทิ้งจ๋า...” “ขอรับคุณท่าน ไอ้ทิ้งจะกระแทกให้แหลกคา...” ขาดคำของบุญทิ้ง ไอ้ทิ้งน้อยก็โจนทะยานไปข้างหน้า ทะลวงเข้าไปในโพรงฉ่ำน้ำของคุณนายพิศอย่างบ้าคลั่ง และเมื่อคุณนายกรีดร้องด้วยความสุข ไอ้ทิ้งน้อยก็พ่นพิษร้อนออกมาอย่างท่วมท้นเช่นเดียวกัน โพรงดอกไม้ตอดตุบจนบุญทิ้งต้องซุกซบใบหน้าลงไปที่เต้าอวบอิ่มของคุณนายพิศ พร้อมทั้งจูบซับปลายยอดงอนงามด้วยความซ่านเสียวและพิศวาส ความร้อนแรงของคุณนายเจ้าของเรือนยังมีให้มันอย่างไม่หยุดหย่อน ตราบจนเสียงไก่ขันดังแว่วมา ไอ้ทิ้งน้อยจึงจำต้องอำลาโพรงน้ำหวานกลับไป เพื่อทำหน้าที่ทาสในเรือนเฉกเช่นเดิม.. 
“ขอบใจแพง” “ใช่ ข้าขอบใจที่แม่แพงจะไม่นำเรื่องของบุญทิ้งไปบอกคุณพระท่าน” “เอ่อ... เจ้าค่ะ” แม่แพงก้มหน้าไม่กล้าสบสายตาคุณนายพิศ ด้วยไม่รู้ว่าคุณนายรู้เรื่องมากไปกว่านี้รึไม่ และคำพูดต่อมาของคุณนายก็ทำให้แม่แพงเข้าใจว่าคุณนายพิศไม่ได้รู้เรื่องระหว่างตนกับบุญทิ้ง “ข้าหลงผิดไปเอง ต่อแต่นี้ไปข้าจะไม่กระทำผิดเยี่ยงนั้นอีก” เสียงสะอื้นของคุณนายพิศทำให้แม่แพงต้องมองคุณนายใหญ่เจ้าของเรือนด้วยความเห็นใจและสะท้อนในหัวอกตัวเองอย่างที่สุด เพราะสิ่งที่คุณนายพิศตั้งมั่นว่าจะไม่ทำผิดนั้น บัดนี้ตัวของแม่แพงเองนั่นแหละที่กร