“กรี๊ดดดดด...”
ฟาววววว... ควับ!
เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดสลับกับเสียงเส้นหวายแหวกอากาศไปปะทะกับเนื้อบอบบางเป็นจังหวะไม่ขาดสายดังออกมาจากเรือนไทยหมู่ 5 หลังที่ปลูกสร้างด้วยไม้สักทองงดงามและยิ่งใหญ่สมตำแหน่งเจ้าของเรือน
แม้เสียงกรีดร้องยังคงดัง แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปห้ามปรามหรือช่วงชิงเส้นหวายนั้นจากมือของคนที่หวดเอาๆ อย่างไม่ลดล่ะ มีเพียงก้มหน้าก้มตาไม่กล้าดู แต่ก็ยังชำเลืองมองเพราะความอยากรู้และสมเพชเวทนาร่างเล็กๆ ที่กรีดร้องไม่หยุด ด้วยเบื้องหลังนั้นมากมีไปด้วยรอยหวดเป็นเส้นยาว จนบางบาดแผลนั้นเปิดออกจนเห็นเนื้อในสีขาวไม่ต่างจากมันเปลวที่นำมาเจียวน้ำมัน
ฟาววววว... ควับ!
“กรี๊ดดดดด...”
สิ้นสุดเสียงร้อง ร่างที่สะบักสะบอมไปด้วยบาดแผลก็มีอันสิ้นสติไปด้วยความเจ็บปวด แต่ท่านเจ้าของเรือนก็ยังไม่หนำใจ ยังสั่งให้ข้าทาสไปนำเกลือเม็ดละลายน้ำเอามาสาดใส่บาดแผลให้เจ้าของร่างที่สลบไสลฟื้นคืนขึ้นมาอีก เพื่อจะให้เรือนร่างนี้ได้รับความเจ็บปวดอย่างต่อเนื่อง ให้สาสมกับสิ่งที่มันทำเอาไว้
“สาดเข้าไป! เอาให้มันเจ็บให้มันแสบ มันจะได้รู้! ไม่ว่าใครก็ตามอย่าบังอาจมาทำเรื่องอัปรีย์จัญไรบนเรือนกูอีก ไอ้อีหน้าไหนที่มันกล้า มันจะต้องโดนเยี่ยงนี้ สาดเข้าไป! ฟาดมันเข้าไปอีก! ฟาดเข้าไป!”
เสียงทรงอำนาจของท่านเจ้าของเรือนตวาดก้องทำให้เหล่าทาสต่างพากันหัวหดไม่กล้าเผยอใบหน้าขึ้นมอง ก่อนจะสะดุ้งไปตามๆ กันกับเพราะเสียงกรีดร้องโหยหวนของนางทาสสาว ที่ครั้งหนึ่งเคยได้ดิบได้ดีเป็นเมียท่าน
“กรี๊ดดดดด...”
เสียงกรีดร้องดังออกมาจากใบหน้าบวมปูดและแตกยับเพราะถูกตบตีอย่างทารุณอีกครั้ง โดยเฉพาะแผ่นหลังที่ร้อนวูบและแสบลึกจากน้ำเกลือที่แทรกซึมเข้าสู่บาดแผลอย่างมากมายจนนับไม่ถ้วน มันคือความเจ็บปวดจนเกินจะทานทนแล้ว
ดวงตาฉ่ำชื้นไปด้วยหยาดน้ำตาของอีทาสสาววัยละอ่อนเงยขึ้นมองคุณพระผัวรัก ที่ครั้งหนึ่งเคยสนิทเสน่หามันยิ่งนัก แต่ตอนนี้ผัวรักไม่ต่างจากภูติผีร้ายที่กำลังช่วงชิงลมหายใจสุดท้ายไปจากมัน ด้วยข้อหาที่มันไม่อาจแก้ต่างได้เพราะมันคือ ‘ความจริง!’
ก่อนที่แววอาฆาตจะตวัดมองไปยังคนที่นั่งหน้าซีดอยู่เคียงข้างผัวรัก ดั่งจะจดจำไว้ว่าใบหน้าอ่อนโยนและงดงามเยี่ยงนี้ แท้จริงแล้วนั้นซุกซ่อนนางยักษ์ร้ายกาจไว้อยู่ภายใน
และเมื่อเสียงเส้นหวายกระทบเนื้ออีกครั้ง ร่างกายที่ไม่สามารถจะทานทนความเจ็บปวดได้อีกก็สะดุ้งวาบ ดวงตาเบิกค้างเพราะลมหายใจเฮือกสุดท้าย ปลิดปลิวไปพร้อมๆ กับหวายที่ฟาดหวดอากาศลงมากระทบผิวกายของมัน
ไม่มีแล้วความเจ็บปวด ไม่มีแล้วความแสบลึกจากน้ำเกลือที่จะทะลวงเข้าสู่บาดแผล มีแต่วิญญาณที่ล่องลอยออกจากร่างเพื่อไปให้พ้นบ่วงพันธนาการอันเป็นนิรันดร์
แม่พิศขนหัวขนกายลุกตั้งปากคอมือไม้สั่นไปหมด เมื่อสบกับดวงตาอาฆาตของนางแพง ดวงตาที่เบิกกว้างด้วยความแค้นของอีทาสสาววัยกำดัดมองมาที่แม่พิศอย่างไม่ต้องคาดเดา
แม่พิศชำเลืองดวงตาหวาดหวั่นมองไปยังพระสรเดชมนตรีผู้เป็นผัวแก่วัยใกล้เคียงพ่อด้วยความหวาดกลัวเต็มที่ เพราะถ้อยคำเต็มไปด้วยอำนาจนั้นไม่พ้นจะเข้าตัวเอง
หากคุณพระรู้ว่าหล่อนเองก็มีพฤติกรรมไม่ต่างจากนางแพงหรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ โทษที่ได้รับจะเป็นเยี่ยงไร จะถูกหวายเฆี่ยนจนแดดิ้นสิ้นใจตายตามนางแพงไป หรือจะถูกส่งตัวให้หลวงไปพิจารณาคดี ข้อหา ‘คบชู้สู่ชาย’ โทษใดเล่าที่คุณพระจะกระทำต่อหล่อน
แม่พิศก้มหน้าก้มตาไม่กล้าที่จะชำเลืองมองสภาพศพของนางแพงที่ยังคงมองมาด้วยความอาฆาต เพราะขณะนี้ใจหล่อนประหวัดไปถึงไอ้คนที่ลงเรือแจวไปโดยเร็วนั้น หวังอย่างที่สุดก็คือ อย่าให้คนของคุณพระตามมันพบเลย ขอให้มันไปให้พ้นคุ้งน้ำนี้ อย่าให้มันกลับมาถูกสอบสาวราวเรื่องว่าต้นสายปลายเหตุนั้นเป็นเยี่ยงไร อย่าให้มีสิ่งใดที่ทำให้ความลับไม่เป็นความลับอีกเลย
แต่แล้วคำภาวนาของหล่อนคงไม่สมหวังเมื่อเสียงอื้ออึงของข้าทาสในเรือนตะโกนดังมาจากทางท่าน้ำ ความแปลบปลาบแห่งความกลัวที่แล่นเข้าสู่หัวใจไม่ต่างจากถูกเส้นหวายที่หวดลงบนเนื้อหนังของนางแพงเลยสักนิด และแวบหนึ่งนั้นหล่อนเห็นริมฝีปากของนางแพงมันแสยะยิ้มได้ พร้อมกับแววตาสาแก่ใจนักของมันที่จะได้มีเพื่อนตายตกไปตามกัน
“อีพิศ!!”
สิ้นเสียงตวาดลั่นแม่พิศก็ตาเหลือกโพลงปากคอสั่นไปไม่เป็น เมื่อทาสรุ่นหนุ่ม 2 คน ตรงขึ้นมาบนเรือน ประชิดตัวเข้ามาหิ้วปีกคนละข้าง
ร่างอวบอัดของสาวใหญ่วัย 40 ปี อ่อนเปลี้ยด้วยความกลัวจนฉี่ราดออกมาละพื้น แต่นั่นไม่ได้สร้างความเวทนาในสายตาของเหล่าทาสหญิงชายเลยสักนิด
สิ่งที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของทาสเหล่านั้นคือความสาแก่ใจไม่ต่างจากดวงตาของนางแพงที่มองมาสักน้อย
แม่พิศเหลียวหาใครก็ได้ที่พอจะช่วย แต่ก็ไม่มีเลย มีแต่คนมองเมินหรือไม่ก็สมใจที่กรรมกำลังสนองหล่อนแล้ว
ฟาววววว... ควับ!
“กรี๊ดดดดด...”
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมาจากร่างอวบอัดเมื่อเสียงเส้นหวายแหวกอากาศครั้งแรกกระทบผิวกาย ดวงตาสวยงามสะท้านใจชายเบิกกว้างด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส พานคิดไปว่านางแพงถูกเฆี่ยนไปถึง 30 ครั้งกว่าจะตาย แล้วหล่อนเล่ากี่ครั้งกันที่ความเจ็บปวดนี้จะสิ้นสุดลง เมื่อสุดสายตานั้น ‘ไอ้บุญทิ้ง’ ทาสหนุ่มชู้รักก็กำลังมีชะตากรรมไม่ต่างกัน
ความเจ็บปวดที่เสียดแทงลงลึกสู่ผิวเนื้อส่งให้ความทรงจำของแม่พิศย้อนไปสู่จุดเริ่มต้นเมื่อ 20 ปีก่อน เพราะหากเลือกได้ หล่อนจะยอมอดกลั้นความปรารถนานั้นเอาไว้ จะไม่ยอมให้ตัณหา ราคะ มีอำนาจเหนือลมหายใจอย่างเด็ดขาด
ทว่าสิ่งที่ระลึกได้ในยามนี้ก็สายไปเสียแล้ว ไม่มีวันเวลาใดจะย้อนกลับคืนได้ ทำสิ่งใดไว้ย่อมได้ผลตามนั้น ไม่มีทางหลีกหนี
เมื่อ ‘กรรม’ คือ การกระทำ สิ่งที่ได้รับนี้ก็ล้วนมาจากสิ่งที่ ‘กระทำ’ ทั้งสิ้น
สยามประเทศ ก่อน “พระราชบัญญัติเลิกทาส ร.ศ.124”ยุคสมัยที่สยามประเทศเปิดรับวัฒนธรรมทางยุโรปมากขึ้น หญิงสาวต่างแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่งดงามและมีเครื่องประทินผิวหอมจรุงใจโดยเฉพาะหญิงสาวชาววังล้วนเป็นที่หมายปองของบุรุษเพศ เพราะหญิงสาวเหล่านั้นจะได้รับการอบรมทั้งกิริยามารยาท ทั้งงานบ้านงานเรือน เหมาะสมสำหรับการสู่ขอมาเป็นแม่ศรีเรือน จนถึงขนาดมีแม่สื่อแม่ชักมาขอดูตัวเพื่อจับจองกันไว้ตั้งแต่เป็นสาวรุ่น และ ‘แม่พิศ’ ก็เป็น 1 ในหญิงสาวเหล่านั้นแม่พิศเป็นหลานสาวของคุณพิน ซึ่งทำหน้าที่เป็นนางพนักงานห้องเครื่องอยู่ในวัง พ่อกับแม่จึงได้นำแม่พิศมาฝากฝัง เพื่อให้เรียนรู้ขนบธรรมเนียมชาววังตั้งแต่เป็นเด็กหญิง เพราะเชื่อว่าหากลูกสาวได้ดิบได้ดีเป็นนางพนักงานอยู่ในวังเฉกเช่นเดียวกับคุณพิน ผู้ชายทั้งหลายก็ใคร่จะสู่ขอให้ออกเรือนไปกับตนทั้งสิ้น และหากแม่พิศได้ออกเรือนกับขุนน้ำขุนนางไป พ่อแม่จะได้สบายได้พึ่งพาใบบุญของลูกสาว ได้มั่งมีความสุขในยามแก่ชราแม่พิศเป็นเด็กหญิงที่ว่านอนสอนง่าย ฉลาด และเรียนรู้งานได้เร็ว จึงได้ทำงานเป็นนางพนักงานห้องเครื่องของหม่อมห้ามองค์หนึ่งเมื่อแม่พิศเติบใหญ่กลายเป็นสาวรุ
แต่แล้วสิ่งที่แม่พิศหวาดหวั่นพรั่นพรึงก็ไม่ได้น่ากลัวเกรงอย่างที่แอบอกสั่นขวัญแขวนเลยสักนิด กลับกันที่หล่อนได้รับความเพลิดเพลินจนต้องครวญครางในลำคอเบา“อื้อ... พี่อ่ำจ๋า... พี่ทำอะไรฉัน”แม่พิศดิ้นพล่านเมื่อแม่อ่ำซุกไซ้จมูกที่ซอกคอทำให้หล่อนเสียวสยิวจนต้องบิดกายอย่างทำอะไรไม่ถูก ยิ่งแม่อ่ำลูบไล้ไปบนเนินเนื้ออวบอิ่มสมวัยสาวสะพรั่ง แม่พิศก็ต้องห่อไหล่หนีก่อนจะเปลี่ยนเป็นแอ่นอกสู้มือแม่อ่ำไม่หยุด“อา... พี่อ่ำจ๋า... พี่ทำอะไรฉัน พี่จะฆ่าฉันหรือไร”แม่พิศบิดกายไปมาเพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่บังเกิดอยู่ในอกหล่อนนี้เรียกว่าอะไร รู้แต่ว่ามันกำลังทำให้หล่อนหายใจติดขัด จนต้องอ้าปากพะงาบๆ เรียกเอาลมหายใจเข้าสู่ร่างกายโดยเร็ว“พี่ก็จะทำให้น้องพิศมีความสุขยังไงเล่าจ๊ะ รับรองว่าน้องพิศจะมีแต่ความสุขมิรู้ลืม”แม่อ่ำเคลื่อนมือไปปลดผ้าแถบรัดอกอึดอัดนั้นให้คลายออก ก่อนจะเลื่อนฝ่ามือขึ้นไปกอบกุมความอวบอิ่มเอาไว้ทั้งสองข้าง ใบหน้าซุกไซ้สูดดมความหอมของน้ำอบน้ำปรุงและกลิ่นกายสาวสะพรั่งที่ไม่เคยได้ต้องมือชายใดมาก่อน เพราะได้รู้ได้เห็นและแอบมองแม่พิศมาตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อสาว แต่ในยามนั้นตัวหล่อนเองก็มีสาวน้อยสาวใ
แม่พิศสะบัดใบหน้าร่ำร้องหาแต่ชื่อของแม่อ่ำอยู่ตลอด เพราะในเวลานี้หล่อนรู้แล้วว่าสะโพกผายนั้นจะแอ่นไปสูงได้แค่ไหนกัน และแค่ไหนที่หล่อนจะพอใจ เมื่อดอกไม้แรกแย้มนั้นเบ่งบานออกจากกันจนสุด และกำลังถูกชำแรกด้วยปลายลิ้นน้อยๆ ของแม่อ่ำอย่างรัวเร็ว“อ้าย... พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำ! อื้อ! พี่อ่ำ!”เสียงกรีดร้องรัวเร็วราวกับจะเร่งเร้าจึงดังออกจากปากน้อยๆ นั้นอย่างไม่ขาดสาย ร่างกายเบาหวิวราวกับวิญญาณวิ่งพรวดออกจากร่างก่อนจะกระเด็นกระดอนกลับเข้าไปใหม่อย่างรุนแรง ทำให้ร่างเปล่าเปลือยกระตุกวาบติดกันหลายต่อหลายครั้งแม่พิศหอบหายใจและหมดเรี่ยวแรงราวกับวิ่งหนีอะไรมาเสียไกล ได้แต่นอนแผ่ร่างเปล่าเปลือยอวดเนื้อหนังมังสาให้เป็นอาหารตาแก่แม่อ่ำต่อไป และเพียงไม่นานแม่อ่ำก็เริ่มต้นกลืนกินเนื้อตัวของหล่อนอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้แม่พิศเองก็ครวญครางซู้ดซี้ดริมฝีปากของตัวเองไปมาราวกับได้กินของเผ็ดร้อนที่เอร็ดอร่อยที่สุดในชีวิต..นับจากนั้นการเล่นเพื่อนหรือเรียกอีกอย่างว่า ‘เล่นสวาท’ หากจะพูดให้ทะลึ่งตึงตังก็ไม่ได้น่ากลัวสำหรับแม่พิศอีกต่อไป แต่กลับทำให้แม่พิศได้มาเป็นนางพนักงานในตำหนักกรมหมื่นฯ ได้อยู่ดีก
แม่อ่ำได้แต่ตีอกชกตัวตนเอง เพราะตนนั้นทั้งรักทั้งหลงแม่พิศเสียจนสรรหาแต่สิ่งดีๆ มาให้ เครื่องประทินผิว อาหารการกิน เครื่องทอง เครื่องเงิน หากแม่พิศอยากได้ ไม่เคยเลยที่จะไม่ให้ แล้วเหตุใดแม่พิศจึงเลือกที่จะออกเรือน ไม่เลือกที่จะเคียงคู่กับตนไปจนแก่เฒ่าอยู่ในวังกรมหมื่นฯ นี้เล่า“พี่อ่ำจ๋า ไม่ใช่ว่าฉันไม่เห็นค่าในความรักของพี่ แต่พี่อ่ำดูสิจ๊ะ ปีนี้ฉันอายุได้ยี่สิบปีเต็มแล้ว มันเลยวัยที่ฉันจะมีเหย้ามีเรือนแล้วหนาพี่ หากฉันปล่อยให้เวลาเนิ่นนานกว่านี้ คงจะไม่มีใครมาสู่ขอฉันไปเป็นเมียแน่ พี่อ่ำเห็นใจฉันด้วยเถิด พ่อกับแม่ก็มีฉันเป็นลูกสาวอยู่ผู้เดียว หวังจะได้ฝากผีฝากไข้ หากฉันไม่แต่งงานออกเหย้าออกเรือนไป ฉันจะมีโอกาสไหนได้ตอบแทนพระคุณท่านอีกล่ะพี่ ฉันมิกลายเป็นลูกอกตัญญูไปดอกเหรอ ที่เห็นทางจะทำให้พ่อแม่มีความสุขได้ แต่ฉันกลับเลือกเอาความสุขของตนเองเป็นที่ตั้ง ใช่ว่าฉันไม่เจ็บปวด”น้ำตาพรั่งพรูด้วยความเจ็บช้ำหวังว่าแม่อ่ำจะเข้าใจในสิ่งที่ตนเลือกตัดสินใจในครั้งนี้และไม่คิดขัดขวางหนทางแห่งความสุข แต่แท้จริงแล้วนั้น นี่ก็คือมารยาหญิงที่แม่พิศหมั่นฝึกปรืออยู่บ่อยครั้ง ไม่เช่นนั้นคงมิได้ข้าวของม