และเมื่อคุณหลวงในร่างของแม่อ่ำปลดผ้าแถบรัดอกของหล่อนออก พร้อมทั้งใช้จมูกซุกไซ้ไปตามเนินอกอวบก่อนจะสูดดมและดูดดึงปลายยอดชูชัน แม่พิศก็แทบจะแอ่นความเป็นหญิงให้ท่านเชยชมเสียเดี๋ยวนี้ อยากจะกรีดร้องเรียกชื่อคุณหลวงออกมา แต่ดีที่ว่าสายตาเห็นหัวของแม่อ่ำลอยเด่นอยู่บนหน้าท้องของตนเองเสียก่อน คำร้องออกมาจึงเป็น
“โอว... พี่อ่ำจ๋า... ฉันมีความสุขเหลือเกิน โอว... จะหาใครให้ความสุขกับฉันได้เท่าพี่ พี่อ่ำจ๋า... อูย... พี่อ่ำ... อื้อ... พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำ...”
ริมฝีปากพ่นคำหวานเพื่อให้แม่อ่ำติดตรึงใจมากที่สุด สะโพกส่ายร่อนไม่หยุดเมื่อเจอลิ้นร้อนของแม่อ่ำเข้าไปกระทบที่กลีบดอกบอบบาง
ดอกไม้เบ่งบานจากนิ้วมือและปลายลิ้นของแม่อ่ำที่ซุกไซ้ให้แม่พิศต้องดิ้นพล่านไม่หยุด ปากก็ร่ำร้องแต่ชื่อของแม่อ่ำอย่างทิ้งทวน
“พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำ...”
ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับการ ‘เล่นเพื่อน’ เพราะในค่ำคืนครั้งหน้าคงเป็นการเล่น ‘ผัวเมีย’ เท่านั้นที่หล่อนต้องเรียนรู้ และหวังว่าการเล่นครั้งใหม่จะทำให้หล่อนขึ้นสวรรค์ได้หลายๆ ครั้งอย่างที่แม่อ่ำทำให้ หรือจะให้ดี หากร่างกายของหล่อนจะเบาบางราวกับโบยบินขึ้นไปบนยอดเขาพระสุเมรุได้อย่างที่นางพนักงานรุ่นพี่บอกเล่า ก็จะดีมาก เพราะหล่อนก็อยากลองทะยานขึ้นไปดูสักครั้งว่าจะมีความสุขจริง หรือเป็นเพียงคำร่ำลือ
.
.
ทันทีที่เรือจอดเทียบท่าน้ำ ฝ่ามือใหญ่ที่ผายมาเบื้องหน้าก็ทำให้แม่พิศชะงัก แต่ก็ยอมวางมือของตนไว้ในฝ่ามืออบอุ่นของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของตนเองอย่างขวยเขิน นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ได้ถูกเนื้อต้องตัวกับผู้ชายที่มิใช่ญาติพี่น้อง และนับจากคืนนี้ไปก็คงจะไม่ใช่แค่ฝ่ามือ แต่คงจะเป็นตลอดทั้งเรือนร่างนี้ ยิ่งคิดแม่พิศก็ยิ่งสะท้านจนแทบจะขืนตัวเองให้ก้าวเดินไม่ไหว
หลวงสรเดชมนตรีใช้เรือนร่างสูงใหญ่ของตนเองคอยพยุงนางพนักงานที่แสนจะงดงามให้ก้าวเดินขึ้นจากเรือ ดวงตาคมเข้มสุขุมทอดมองใบหน้าระเรื่อไปด้วยเลือดฝาดอย่างเสน่หา
ในยามนี้ตนรับแม่พิศมาเป็นแม่ศรีเรือนด้วยความภาคภูมิใจ ด้วยความงามของแม่พิศนี้ระบือไกลจนใครๆ ก็พากันอิจฉา เพราะหาได้มีเพียงเขาคนเดียวไม่ที่หมายปองอยากได้แม่พิศมาร่วมเรือน ทว่าที่สุดแล้วแม่พิศก็เลือกที่จะออกเรือนกับเขา
เรือนหมู่ 5 หลังที่ปลูกสร้างจากไม้สักทองหันหน้าเข้าชนกันโดยมีชานแล่นเป็นตัวเชื่อม สร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่แม่พิศยิ่งนัก อีกทั้งอาณาบริเวณที่กว้างขวางก็ทำให้แม่พิศต้องยิ้มด้วยความสุขใจอย่างที่สุด คิดไม่ผิดจริงๆ ที่เลือกออกเรือนกับคุณหลวงครั้งนี้ ด้วยฐานะที่คุณหลวงมีแต่ดั้งเดิมจักนำพาให้พ่อแม่สบายจริงตามที่หล่อนต้องการเสียที
“ไปเถอะแม่พิศ ขึ้นไปดูบนเรือนกันเถิด พี่จัดหาข้าวของไว้ตามแต่เห็นสมควร แต่ไม่รู้ว่าจะถูกใจแม่พิศหรือไม่ หากแม่พิศไม่ชอบใจก็สั่งบ่าวไพร่ให้มันจัดเตรียมให้ใหม่เถิด”
หลวงสรเดชฯ กล่าวพลางโอบประคองร่างสะท้านน้อยๆ ในทุกครั้งที่เขาแตะต้องให้เดินเข้าสู่ตัวเรือนด้านใน
ดวงตาคมเข้มมองสำรวจดวงหน้าที่เจือสีชมพูระเรื่อของเมียสาวอย่างแสนจะหลงใหล ตามประสาชายที่มีเมียมามากทั้งเมียบ่าวและเมียทาสในเรือน แต่ก็ไม่เคยมีใครที่จะทำให้เขาหัวใจเต้นแรงได้เท่านี้ อาจเพราะความงดงามดูเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้วของแม่พิศ รวมทั้งจริตจะกร้านกิริยาที่บ่มเพาะมาจากในรั้วในวัง จึงทำให้เขาสนิทเสน่หาหล่อนมากยิ่งขึ้น นึกอยากให้ถึงเวลาเข้าหอโดยเร็ว เพราะอยากจะเชยชิดและพิศความงดงามด้านในร่มผ้าให้ได้มากกว่านี้
‘ภายนอกยังงดงามได้เท่านี้แล้วภายในเล่าจะงดงามได้ขนาดไหน’
ความคิดเร่าร้อนที่มาพร้อมกับความแข็งขืนกึ่งกลางกายทำให้หลวงสรเดชฯ ออกอาการเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันตัวเอง เพราะเขากำลังสงบสติและอารมณ์เตลิดของตัวเองไว้ไม่ได้ ยิ่งได้กลิ่นหอมรัญจวนจากเรือนกาย ความเป็นชายก็ยิ่งเร่งเร้าให้กระทำเสียในเวลานี้
“เอ่อ... คุณหลวงเจ้าคะ”
แม่พิศเอียงหน้าอย่างเขินอายพลางทอดสายตามองข้าวของมากมายในลำเรือที่หล่อนนำติดตัวมาด้วย ทั้งผ้าแพรพรรณ ทั้งเครื่องประทินผิว รวมทั้งหีบเครื่องประดับที่สะสมจากแม่อ่ำก็ตั้งมาก จะให้ไว้ใจค้างอยู่บนเรือได้อย่างไรเล่า แต่เมื่อหันมาเห็นดวงตาวาววาบของผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามี แม่พิศก็ต้องก้มหน้าเอียงอายอีกครั้ง เพราะดวงตาของเขานั้นกำลังจะ ‘กิน’ หล่อน
“แม่พิศขึ้นเรือนกับพี่เถิด ทางนี้ให้บ่าวไพร่มันจัดการไป เข้ม จัดการให้ด้วย”
หลวงสรเดชฯ เอ่ยกับเมียรักด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะใช้เสียงทรงอำนาจกับ ‘เข้ม’ บ่าวรับใช้ที่คอยติดตาม ซึ่งเจ้าเข้มก็รับคำและหันไปสั่งการคนเรือกับเหล่านางทาสที่ต่างวิ่งกรูกันออกมาช่วยหยิบจับข้าวของ
“เจ้าค่ะคุณหลวง”
“เรียกพี่เถิดแม่พิศ แม่พิศเป็นเมียของพี่ เป็นศรีแห่งเรือนนี้ ต่อแต่นี้ไปแม่พิศจะเป็นใหญ่ที่สุดในเรือน จักทำอะไรก็ตามแต่สมควรเถิด ป่ะ... ขึ้นเรือนกัน พี่จะพาแม่พิศเดินดูให้ทั่วทุกห้องหับ”“เจ้าค่ะคุณพี่”แม่พิศอมยิ้มอย่างเอียงอาย เพราะสายตาของคุณหลวงที่สื่อมานั้นคือความเสน่หา ไม่ต่างจากสายตาของแม่อ่ำที่ใช้มองหล่อนเลยสักนิด แล้วเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในห้องหอตลอดทั้งค่ำคืนนี้เล่า หล่อนจะต้องพบเจอกับสิ่งน่าอัศจรรย์ใดบ้าง จะต้องกรีดร้องคร่ำครวญเหมือนเมื่อคราเล่นเพื่อนครั้งแรกกับแม่อ่ำหรือไม่ หรือจะหลับตาพริ้มซึมซับเอาความสุขขึ้นไปบนสวรรค์ อย่างไรกันเล่าที่หล่อนกำลังจะเผชิญใบหน้างดงามผินมองขอบฟ้าที่แม้แดดจะร่มแต่ก็ยังอีกนานกว่าเวลาพลบค่ำจะมาถึง ทั้งที่หัวใจของหล่อนนั้นประหวัดอยากให้ถึงยามค่ำเสียให้เร็ว แม้จะเป็นความน่าละอายที่หญิงมิควรคิดสัปดนเยี่ยงนี้ แต่หล่อนจะห้ามความคิดนั้นได้อย่างไรกันเล่า ในเมื่อขณะนี้ เนื้อกายสะบัดร้อนสะบัดหนาวเสียราวกับจะจับไข้ ใคร่อยากจะดึงทึ้งเสื้อผ้าเกะกะนี้ให้พ้นไปจากเนื้อกายแต่โดยเร็ว“แม่พิศหนาวเหรอจ๊ะ”“มิได้เจ้าค่ะคุณพี่ น้อง... เอ่อ... น้อง...” เนื้อตัวแข็
ข้าวปลาอาหารสำรับเย็นที่บ่าวไพร่จัดเตรียมไว้ให้แทบจะกลายเป็นของหวานไปในทันทีเพราะหลวงสรเดชฯ เอาอกเอาใจแม่พิศมากมายเสียจนแม่พิศแทบจะกลืนกินอาหารไม่ได้ ด้วยเพราะความอายและไม่เคยมีผู้ชายมาเอาอกเอาใจเยี่ยงนี้ทุกครั้งที่สายตาของหลวงสรเดชฯ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีมองมา แม่พิศก็สะเทิ้นสะบัดร้อนสะบัดหนาวไปทั้งเนื้อตัว ความรู้สึกร้อนรุ่มรุมเร้าจนแม่พิศคิดอยากจะอาบน้ำให้คลายอาการสะท้านร้อนนี้ เพราะดวงตาคมเข้มของบุรุษที่ทอดมองไปตามเนื้อกายนั้นไม่ต่างเลยกับเปลวไฟที่กำลังโลมเลียผิวเนื้อสัมผัสอุ่นวาบ ซาบซ่าน ราวจะเกิดขึ้นไปทุกที่ที่สายตานั้นทอดมอง จนแม่พิศอยากจะให้มื้ออาหารนี้ผ่านไปเสียโดยเร็ว อยากให้ถึงเวลานั้น... “แม่พิศไปอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อยเถิด พี่จะนั่งรับลมตรงนี้สักครู่” “เจ้าค่ะคุณพี่” เมื่อมื้ออาหารสิ้นสุด คำที่หลวงสรเดชฯ เอ่ยบอกก็ทำให้แม่พิศต้องก้มหน้าซ่อนซุกแววขวยเขินนั้นไว้ให้มาก ด้วยรู้ดีว่าช่วงเวลาต่อจากนี้ไปอีกไม่นาน หล่อนจะได้พานพบกับความหฤหรรษ์ดังที่ใครๆ ว่าไว้ แลหลวงสรเดชฯ ก็คงไม่อยากให้หล่อนเขินอายไปมากกว่านี้ จึงเปิดโอกาสให้หล่อนได้ทำธุระ
แม่พิศอมยิ้มดวงตาสวยหวานมองโต๊ะเครื่องแป้งที่ปรารถนาสักวันหนึ่งว่าอาจได้มี เพราะเครื่องของใช้เหล่านี้มิใช่ฐานะเพียงนางพนักงานจะหาซื้อได้ ต้องเป็นพวกเจ้านายเท่านั้นที่จะมีเงินมีทองไปแลกมาแลกระจกบานใหญ่นั้นก็ใสเสียจนสะท้อนใบหน้าเอียงอายของหล่อนออกมาอย่างชัดเจน และในนั้นหล่อนก็เห็นสายตาของสามีกำลังโลมเลียเนื้อตัวของหล่อนด้วยความกระหายแลเมื่อดวงตาคมเข้มช้อนขึ้นสบดวงตาของหล่อน ก็เป็นหล่อนเองที่เอียงอายจนต้องหลบเลี่ยง “พี่จัดเตรียมไว้ให้แม่พิศโดยเฉพาะ เพราะรู้ว่าสตรีล้วนต้องการมีข้าวของเครื่องใช้ที่สวยงาม และหากพี่พบเจอของสวยหรือน้ำอบน้ำปรุงที่เหมาะสมกับแม่พิศ พี่ก็จักจัดหามาให้มิขาด” “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” แม่พิศละทิ้งความอายหันร่างมาเผชิญหน้าก่อนจะก้มกราบลงที่อกของสามี เมื่อเวลานี้จริตจะกร้านแต่พองามกำลังส่งผล “แม่พิศง่วงรึยัง” น้ำเสียงทุ้มที่ถามมาอย่างลองเชิงยิ่งทำให้แม่พิศต้องก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มเอียงอายมากขึ้น ใครเล่าจะไม่รู้ว่าคำถามนี้ส่อความหมายถึงสิ่งใด ในเมื่อฝ่ามือของหลวงสรเดชฯ นั้นยังเคลื่อนไปมาบนเรือนกายของหล่อนไม่หยุด
มันวูบๆ วาบๆ ปนเสียว ปนกลัวเกรงไปหมด เหมือนรู้ว่าฝนกำลังจะมาแต่หล่อนก็ต้องออกไปหาของสำคัญที่ทำตกเอาไว้ ไม่ไปเอาก็ไม่ได้เพราะคงจะทรมานด้วยความต้องการของสิ่งนั้นจนอดรนนอนหลับไม่ไหว“คุณ... คุณพี่เจ้าคะ คุณพี่... คุณพี่...”หลวงสรเดชฯ ยิ้ม เมื่อได้ยินเสียงหวานๆ เปล่งครวญครางเรียกเขา และอีกไม่นานนับจากนี้หล่อนจะต้องส่งเสียงครางระงมพร้อมกรีดร้องด้วยความสุขสมครั้งแรกจนอดไม่อยู่จมูกซุกไซ้ควานหาความหอมหวานที่มีตามธรรมชาติของกายสาว และกลิ่นเนื้อสาวก็เร่งเร้าให้ความแข็งขืนตื่นตัวมากมายกว่าครั้งไหนสาวบริสุทธิ์เขาเคยได้ร่วมมาก็มาก รู้ดีว่าครั้งแรกนั้นแต่ละคนต้องเจ็บปวดรวดร้าวสักเพียงไหน แต่เพราะนั่นเขาไม่คิดที่จะถนอม การเสพสมกับบ่าวไพร่ไม่มีความจำเป็นใดที่เขาต้องรอคอย อีกทั้งเนื้อตัวของบ่าวไพร่ก็ไม่ได้หอมกรุ่นจนเขาต้องละเลียดดม ก็แค่ต้องการปลดเปลื้องความตื่นตัวในแต่ละค่ำคืนให้จางหายไปเท่านั้น แต่สำหรับแม่พิศคนนี้ไม่ใช่แม่ศรีแม่เรือนที่เขานับวันรอคอยจะได้ร่วมหอร่วมห้อง เขาจำต้องถนอมเนื้อหวานๆ นี้ไว้กินให้ได้นานที่สุด ยิ่งบำรุงบำเรอแม่พิศให้งดงามเพียงใด ก็ยิ่งถือว่าเป็นหน้าเป็นตาสำหรับเรือน“แม่
แม่พิศร้องเสียงหลงใส่จริตเต็มที่ เมื่อปลายลิ้นของสามีแตะต้องที่กลีบดอกไม้ ทว่าสามีไม่ได้ฟังหล่อนเลย เพราะปลายลิ้นร้อนนั้นกำลังชอกชอนไต่ตวัดไล้ที่ติ่งเสียวจนหล่อนอยากกรีดร้องครวญครางให้มากกว่านี้ แต่สำนึกแห่งจริตก็ยังทำให้หล่อนยั้งไว้‘โอว... มันมากกว่าที่พี่อ่ำทำเหลือเกิน โอว... เร็วๆ สิเจ้าคะคุณพี่... อา... ซี้ด... น้องเสียว... ซี้ด...’สิ่งที่คิดกับคำที่ร้องบอกไม่ใกล้กันเลย น้ำเสียงหวานกระเส่าที่เปล่งร้องออกมานั้น คือคำร้องห้าม“อา... ไม่นะเจ้าคะ คุณพี่ ไม่นะ... อื้อ... ไม่... คุณพี่เจ้าขา... คุณพี่... อื้อ...”ทั้งที่อยากจะร้องดังใจคิด แต่นั่นคงไม่ใช่จริตที่ควรทำ หล่อนจำต้องสะกดเก็บทุกความรู้สึกและรอคอยสวรรค์ที่จะโน้มลงมา ยามนี้หล่อนรู้แล้วที่คุณน้าพินพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร เพราะแค่ปลายลิ้นของพี่อ่ำกับคุณพี่สนก็แตกต่างกันจนเทียบไม่ได้ หล่อนคิดไม่ผิดหรอกที่ไม่พิสมัยเล่นเพื่อนเสียจนเคยตัว เพราะความสาก ความอุ่น และความแข็งแกร่งจากปลายลิ้นของคุณพี่สนนั้น ทำให้หล่อนเห็นสวรรค์รำไร“อา... คุณพี่ขา... คุณพี่เจ้าขา... น้อง... อื้อ... คุณพี่เจ้าขา...”ยิ่งแม่พิศร้องครางเท่าไรปลายลิ้นก็เร่
ทว่าเมื่อแม่พิศรับรู้ได้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่ใหญ่ยิ่งเสียกว่าปลายนิ้วของผัวรัก ดวงตาหลับพริ้มจึงเบิกกว้าง พร้อมเปล่งเสียงกรีดร้องแผดลั่นด้วยไม่เคยถูกล่วงล้ำมาก่อน“กรี๊ดดดดด... คุณพี่! น้องเจ็บ! คุณพี่! กรี๊ดดดดด...”ฝ่ามือพยายามผลักดันร่างแข็งแกร่งด้านบนให้ผละออก แต่ก็เหมือนเรี่ยวแรงจะขาดหายไปกับความสุขครั้งแรกจนไม่อาจทำให้ร่างของสามีสะเทือนแม่พิศเจ็บปวดดุจเนื้อกายกำลังจะแบ่งแยกออกเป็นสอง หยาดน้ำตาไหลนองใบหน้า เพราะไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไร คุณหลวงผู้เป็นสามีก็ไม่ขยับกายเลยสักนิด แลต้นเหตุของความเจ็บปวดยังค่อยๆ สอดแทรกลงมาให้แม่พิศต้องกรีดร้องครวญครางมากขึ้น“โอ้ย... คุณพี่เจ้าขา... ได้โปรดเมตตาน้องเถิด น้องเจ็บจนใจจะขาดอยู่แล้ว... คุณพี่เจ้าขา... คุณพี่... น้องเจ็บ...”หลวงสรเดชฯ ให้สงสารเมียสาวแรกรุ่นยิ่งนัก แต่มาถึงขั้นนี้แล้วจะให้เขาถอนตัวตนออกก็คงจะไม่ได้ จำต้องเดินหน้าต่อไป เพื่อส่งแม่พิศให้ขึ้นสวรรค์ไปกับเขาให้ได้ความยิ่งใหญ่จึงแหย่ทิ้งไว้ชั่วครู่ก่อนจะหันมาปลุกปลอบหัวใจให้คลายความเจ็บปวดและหวาดหวั่นลงบ้าง“แม่พิศจ๋า... แม่พิศของพี่ ครั้งแรกก็เป็นแบบนี้แหละเจ้า แต่ครั้งต่อๆ ไปมันจะ
กลีบดอกไม้บอบบางที่อ้าออกจากกัน ในลักษณะบานออกและหุบเข้ายิ่งกระตุ้นแรงอารมณ์แห่งความต้องการให้โหมกระหน่ำมากขึ้น และเมื่อเสียงร้องครวญครางดังออกมาเป็นสาย คุณหลวงก็ไม่คิดจะยั้งโคคึกให้เชื่องอีกแล้ว เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีจึงโหมกระหน่ำใส่ลงไปไม่ยั้ง กระแทกกระทั้นความแข็งแกร่งเข้าออกไม่หยุด เข้าออก เข้าออก ตามจังหวะที่แม่พิศกรีดร้องครั้งแล้วครั้งเล่า “อ่ะ! อ่ะ! คุณพี่! คุณพี่! คุณพี่เจ้าขา! อ่ะ! กรี๊ดดดดด...”แม่พิศกรีดร้องสุดเสียง ร่างกายบางเบาราวล่องลอยขึ้นสู่ฟากฟ้า ดอกไม้กลีบบางตอดรัดความแข็งแกร่งของคุณหลวงแนบแน่น จนหล่อนต้องกรีดร้องซ้ำๆ หลายต่อหลายครั้ง ด้วยสุขเสียจนไม่อาจสรรหาคำไหนมาบรรยายได้ และเมื่อสามีเกร็งร่างแน่น หล่อนก็ได้ยินและได้เห็นความสุขของเขาเช่นกัน“โอว... แม่พิศ โอว... แม่พิศจ๋า... โอว... โอว... อูย...”เสียงคำรามแหบพร่าราวคนเจ็บ พร้อมหยาดน้ำอุ่นวาบที่พุ่งตรงซึมซาบอยู่ในช่องท้องของหล่อน ก่อเกิดความรู้สึกแนบแน่นมากกว่าตอนตอดรัดนิ้วของคุณหลวง และความสุขที่ได้รับครั้งนี้ก็ทำให้หล่อนแน่ใจว่าสิ่งนี้แหละแน่แท้นี่คือหนทางแห่งความสุขที่คนเป็น
“หรือพี่ทำให้แม่พิศไม่มีความสุข”“มิได้เจ้าค่ะคุณพี่...”แม่พิศเขินอายยิ่งนักที่ฉุดรั้งคุณหลวงให้หันมองตน เมื่อสามีทำทีเป็นเง้างอนและกำลังจากไป หล่อนรั้งต้นแขนแกร่งให้คุณหลวงหันมอง หวาดหวั่นนักว่าผัวรักจะกริ้วโกรธ ด้วยในฐานะเมียหล่อนไม่ควรให้สิ่งนี้เกิดขึ้นเลย“แล้วอันใดกันเล่า แม่พิศถึงได้ห้ามพี่”“น้อง... เอ่อ... น้องกลัวเจ็บเจ้าค่ะ มันเจ็บเหลือเกิน น้องไม่รู้ว่าจะทนได้อีกหรือไม่ น้อง...”“โธ่... พี่คิดว่าเรื่องอันใด แม่พิศของพี่”ใบหน้าโน้มต่ำเข้าหาเมียรัก จูบรับขวัญซ้ายขวาอย่างแสนรักแสนหลง เมื่อคิดว่าเมียรักช่างไม่ประสานัก เรื่องความเจ็บนั้นใครกันเล่าที่จะเจ็บนาน“มันแค่ครั้งแรกเท่านั้นที่แม่พิศจะเจ็บ แต่ครั้งต่อๆ ไปจะมีแต่ความสุขเท่านั้นที่แม่พิศจะได้รับ พี่คงต้องพิสูจน์ แม่พิศจะได้รู้ว่าพี่พูดจริง”เมื่อคุณหลวงผัวรักโน้มใบหน้าลงหาพร้อมกับพรมจูบไปทั่วทั้งร่าง แม่พิศก็ยิ้มรับอย่างยินดี เพราะต้องการรู้เพียงเท่านั้น หากครั้งต่อไปไม่เจือไปด้วยความเจ็บอีก สิ่งที่ได้ยินมาก็คงจริงแท้แน่นอน‘สุข’ ราวได้ล่องลอยขึ้นสู่สรวงสวรรค์ สุขราวกับโลดแล่นขึ้นไปบนเขาพระสุเมรุแม้หล่อนจะไม่รู้ว่าสวรรค
แม่จันทร์สะอื้นฮึกฮัก เพราะไม่อาจรู้ได้ว่าความเจ็บปวดร้าวรวดดั่งถูกมีดแหลมคมปักกรีดอยู่กึ่งกลางร่างกายนี้ จะมลายคลายลงได้อย่างไร เมื่อมันเจ็บเสียจนหล่อนไม่กล้าที่จะร่ำร้อง ด้วยกลัวว่าเพียงร่างกายขยับ ความเจ็บปวดนั้นจะทวีทบเท่า แลถึงตอนนั้นร่างกายนี้อาจตายเสียก็ได้ ทว่าแม้นเจ็บเพียงใด สัญชาตญาณก็ยังร้องสั่งให้แม่จันทร์มอง เพื่อให้รู้ที่มาของความเจ็บนั้น และสิ่งที่แม่จันทร์เห็นก็ทำให้ริมฝีปากต้องอ้าค้างมากขึ้น ด้วยไม่ใช่มีดพร้าที่ทิ่มตำร่างกาย แต่กลับเป็น ‘ท่อนเนื้อ’ ขนาดใหญ่ที่ยื่นออกมาจากกึ่งกลางกายของท่านกำลังทิ่มตำที่โพรงดอกไม้ สีหน้ารวดร้าวของท่านและคำสอนของแม่ที่แว่วมาในความคิดทำให้แม่จันทร์ต้องยิ้มทั้งที่เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เพราะนี่คงเป็นลำดับขั้นสุดท้ายก่อนที่หล่อนจะพานพบกับสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
เมื่อริมฝีปากของท่านทาบลงมาบนกลีบปากนุ่มก่อนจะบดเบียดยั่วเย้าอย่างอ่อนโยน ตามติดมาด้วยปลายลิ้นร้อนที่เกลี่ยไล้ไปมาอยู่บนกลีบปาก นั่นทำให้แม่จันทร์ถึงกับตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก “เจ้าคุณอา...” พระยาสรเดชฯ อมยิ้มในสีหน้า ดวงตาคมเข้มเต็มเปี่ยมไปด้วยกาลเวลาทอดมองหญิงสาวที่สั่นประหม่าไปทั้งร่าง จนลืมเลือนไปเสียสิ้นว่าต้องรักษากิริยาและต้องเรียกท่านว่าเช่นไร ทว่าสิ่งที่แม่จันทร์เป็นอยู่นี้ก็ช่างน่าเอ็นดูนัก “ที่ไม่ให้เรียกเยี่ยงนั้น เพราะพี่อยากให้แม่จันทร์เรียกพี่ว่า ‘เจ้าคุณพี่’ จะได้รึไม่” “เจ้าค่ะ เจ้าคุณพี่”
เสียงมโหรีขับขานท่วงทำนองกล่อมหอดังแผ่วแว่วมาในห้อง ส่งผลให้ผู้เป็นเจ้าสาวที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียงต้องกระชับฝ่ามือเข้าหากันแน่นด้วยประหม่านัก เพราะอีกไม่นานเจ้าบ่าวซึ่งออกไปส่งผู้หลักผู้ใหญ่และขอบคุณผู้ที่มาร่วมงานก็จะกลับเข้ามา และเมื่อนั้นลำดับขั้นของงานวิวาห์จึงจะถือว่าสัมฤทธิ์ผล เจ้าสาวคนสวยชำเลืองมองที่นอนหนานุ่มขึงผ้าปูสีชมพูปักลวดลายดอกไม้กระจิริดดูอ่อนหวาน ทั้งข้าวของที่ใช้ทำ ‘พิธีเรียงหมอน’ ก็ยังวางเรียงรายกันอยู่อย่างสงบนิ่ง ฟักเขียว แมวคราว ไก่ขาว ไม้เท้า ถ้วยน้ำ และหินบดยา ถูกวางอยู่มุมซ้ายของเตียง ถุงเงินและถุงทอง ที่บรรจุถั่วเขียว งาดำ ข้าวตอก ดอกรัก ดอกบานไม่รู้โรย ถูกเปิดและหยิบเอาถั่ว งา และดอกไม้เหล่านั้นออกมาโปรยบนที่นอนเพื่อเป็นมงคล เมื่อนึกถึงเหตุที่เพิ่งผ่านไปเจ้าสาวก
ฟาววววววว... ควับ! “กรี๊ดดดดด...” สิ้นสุดเสียงกรีดร้องร่างที่สะบักสะบอมไปด้วยบาดแผลของนางแพงก็มีอันสิ้นสติไปด้วยความเจ็บปวด แต่คุณพระท่านก็ยังไม่หนำใจ ทั้งที่ตนเองก็หอบตัวโยนด้วยลงแรงไปกับหวายทั้งตัว คุณพระท่านร้องสั่งให้ข้าทาสไปนำเกลือเม็ดละลายน้ำเอามาสาดใส่บาดแผลของนางแพงให้มันฟื้นคืนขึ้นมาอีก เพื่อจะให้เรือนร่างนี้ได้รับความเจ็บปวดอย่างต่อเนื่อง ให้สาสมกับสิ่งที่มันทำเอาไว้ เพราะมันเจ็บกาย แต่ท่านนั้นเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ รักมากก็แค้นมาก หวงมากก็อยากจะให้ตายคามือด้วยความทรยศ “สาดเข้าไป! เอาให้มันเจ็บมันแสบ มันจะได้รู้ว่าใครอย่าบังอาจมาทำเรื่องอัปรีย์จัญไรบนเรือนกูอีก ไอ้อีหน้าไหนที่มันกล้า มันจะต้องโดนเยี่ยงน
ฉาด! ฝ่ามือกระทบใบหน้าของนางแพงอีกครั้งให้หันไปตามแรงตบ เมื่อนางแพงเอาแต่ยิ้มและหัวเราะขันกับคำพูดของตนเอง มันทำความเสื่อมเสียเพียงผู้เดียวยังไม่พอ ยังจะริปากดีป้ายสีให้แม่พิศเมียรักต้องมัวหมองไปด้วย “ตบอีกสิเจ้าคะ ตบให้อีแพงมันตายไปเลย ไม่ต้องรอหวายแล้วเจ้าค่ะ แค่น้ำมือคุณท่าน อีแพงก็แทบจะตายคามืออยู่แล้ว แต่ก่อนตายขออีแพงได้พูดให้หมดเปลือกเถิด อีแพงคบชู้ อีแพงยอมรับ แต่หากคุณนายพิศคบชู้เล่าเจ้าคะ คุณท่านจะทำเช่นไร จะลงโทษคุณนายเทียบเท่ากับอีแพงรึไม่ หรือจักส่งคุณนายไปให้กองโปลิศตัดสิน ให้ประณามหยามเหยียดไปทั่วพระนคร ว่าลูกสาวบ้านนี้สัญชาติคบชู้สู่ชาย บ้านใดนำไปเป็นลูกเป็นเมีย ก็รังแต่จะเสื่อมเสียคบชู้อยู่ร่ำไป” “อีแพง!” 
“เอ็งช่างกล้าพูดนักนังแพง...” น้ำเสียงเอ่ยออกมาด้วยความเข่นเครียด ยิ่งเห็นเรือนร่างอวบอิ่มของเมียสาวคราวลูกสั่นสะท้านไปด้วยแรงสะอื้น คุณพระท่านยิ่งสะท้อนไปถึงหัวใจ เพราะนางแพงเมียทาสผู้นี้ ท่านสนิทเสน่หามันยิ่งนัก กลับมาคืนเรือนครั้งนี้ ท่านก็หวังจะโอ้โลมมันให้มีความสุข เพราะทิ้งร้างให้เปล่าเปลี่ยวอยู่นาน จนต้องสั่งให้เจ้าเข้มมาแจ้งข่าวกับแม่พิศว่าท่านจะคืนเรือนในวันนี้ ให้นางแพงได้เตรียมตัวต้อนรับท่านเถิด แต่กลับกลายเป็นว่านางแพงมันมีความสุขจนแทบจะสำลักอยู่แล้ว แม้จะรู้ว่าท่านคืนเรือนวันนี้ มันก็ยังกล้าที่จะพาไอ้บุญทิ้งไปร่วมรักกันบนเรือน บนเตียงที่ทับรอยของท่าน รวมทั้งคำรักที่มันพร่ำพลอดแก่กันและกันนั้น แปลว่านางแพงผู้นี้ไม่เคยเห็นท่านอยู่ในสายตาสักนิด มันไม่คิดถึงความสุขสบายที่ท่านปรน
ริมฝีปากยังคงแนบชิดแต่ท่อนแขนช้อนเรือนร่างอวบอิ่มขึ้นโอบอุ้มพาก้าวเดินไปสู่เตียงสี่เสาที่มีม่านลูกไม้สีขาวประดับอยู่ ร่างงดงามถูกวางไว้บนฟูกนุ่มที่ขึงเรียบตึงด้วยผ้าปูเตียงสีชมพูอ่อน กอปรกับแสงไฟสีนวลจากตะเกียงก็ช่วยส่งขับให้ผิวกายสีน้ำผึ้งนวลเนียนนี้ให้ยิ่งนวลน่าลูบไล้ฝ่ามือลงไปสัมผัสมากยิ่งขึ้น “พี่บุญทิ้งจ๋า... แพงรักพี่เหลือเกิน” “พี่ก็รักแม่แพงยิ่งนัก” แม่แพงคล้องฝ่ามือรอบลำคอแกร่งของไอ้ทาสวัยหนุ่มพลางรั้งใบหน้าคมเข้มนั้นเข้าหาตัว ความแข็งแกร่งนี้ที่หล่อนปรารถนา ความเข้มแข็ง ดุดัน ของคนรุ่นหนุ่ม หาใช่ความแก่ชราของชายวัยคราวพ่อเฉกเช่นคุณพระท่าน และเมื่อใบหน้าคมเข้มนั้นเคลื่อนเข้าใกล้ แม่แพงก็หลับตาพ
“อา... บุญทิ้งจ๋า... กระแทกลงมาแรงๆ เลย บุญทิ้งจ๋า...” “ขอรับคุณท่าน ไอ้ทิ้งจะกระแทกให้แหลกคา...” ขาดคำของบุญทิ้ง ไอ้ทิ้งน้อยก็โจนทะยานไปข้างหน้า ทะลวงเข้าไปในโพรงฉ่ำน้ำของคุณนายพิศอย่างบ้าคลั่ง และเมื่อคุณนายกรีดร้องด้วยความสุข ไอ้ทิ้งน้อยก็พ่นพิษร้อนออกมาอย่างท่วมท้นเช่นเดียวกัน โพรงดอกไม้ตอดตุบจนบุญทิ้งต้องซุกซบใบหน้าลงไปที่เต้าอวบอิ่มของคุณนายพิศ พร้อมทั้งจูบซับปลายยอดงอนงามด้วยความซ่านเสียวและพิศวาส ความร้อนแรงของคุณนายเจ้าของเรือนยังมีให้มันอย่างไม่หยุดหย่อน ตราบจนเสียงไก่ขันดังแว่วมา ไอ้ทิ้งน้อยจึงจำต้องอำลาโพรงน้ำหวานกลับไป เพื่อทำหน้าที่ทาสในเรือนเฉกเช่นเดิม.. 
“ขอบใจแพง” “ใช่ ข้าขอบใจที่แม่แพงจะไม่นำเรื่องของบุญทิ้งไปบอกคุณพระท่าน” “เอ่อ... เจ้าค่ะ” แม่แพงก้มหน้าไม่กล้าสบสายตาคุณนายพิศ ด้วยไม่รู้ว่าคุณนายรู้เรื่องมากไปกว่านี้รึไม่ และคำพูดต่อมาของคุณนายก็ทำให้แม่แพงเข้าใจว่าคุณนายพิศไม่ได้รู้เรื่องระหว่างตนกับบุญทิ้ง “ข้าหลงผิดไปเอง ต่อแต่นี้ไปข้าจะไม่กระทำผิดเยี่ยงนั้นอีก” เสียงสะอื้นของคุณนายพิศทำให้แม่แพงต้องมองคุณนายใหญ่เจ้าของเรือนด้วยความเห็นใจและสะท้อนในหัวอกตัวเองอย่างที่สุด เพราะสิ่งที่คุณนายพิศตั้งมั่นว่าจะไม่ทำผิดนั้น บัดนี้ตัวของแม่แพงเองนั่นแหละที่กร