แม่อ่ำได้แต่ตีอกชกตัวตนเอง เพราะตนนั้นทั้งรักทั้งหลงแม่พิศเสียจนสรรหาแต่สิ่งดีๆ มาให้ เครื่องประทินผิว อาหารการกิน เครื่องทอง เครื่องเงิน หากแม่พิศอยากได้ ไม่เคยเลยที่จะไม่ให้ แล้วเหตุใดแม่พิศจึงเลือกที่จะออกเรือน ไม่เลือกที่จะเคียงคู่กับตนไปจนแก่เฒ่าอยู่ในวังกรมหมื่นฯ นี้เล่า
“พี่อ่ำจ๋า ไม่ใช่ว่าฉันไม่เห็นค่าในความรักของพี่ แต่พี่อ่ำดูสิจ๊ะ ปีนี้ฉันอายุได้ยี่สิบปีเต็มแล้ว มันเลยวัยที่ฉันจะมีเหย้ามีเรือนแล้วหนาพี่ หากฉันปล่อยให้เวลาเนิ่นนานกว่านี้ คงจะไม่มีใครมาสู่ขอฉันไปเป็นเมียแน่ พี่อ่ำเห็นใจฉันด้วยเถิด พ่อกับแม่ก็มีฉันเป็นลูกสาวอยู่ผู้เดียว หวังจะได้ฝากผีฝากไข้ หากฉันไม่แต่งงานออกเหย้าออกเรือนไป ฉันจะมีโอกาสไหนได้ตอบแทนพระคุณท่านอีกล่ะพี่ ฉันมิกลายเป็นลูกอกตัญญูไปดอกเหรอ ที่เห็นทางจะทำให้พ่อแม่มีความสุขได้ แต่ฉันกลับเลือกเอาความสุขของตนเองเป็นที่ตั้ง ใช่ว่าฉันไม่เจ็บปวด”
น้ำตาพรั่งพรูด้วยความเจ็บช้ำหวังว่าแม่อ่ำจะเข้าใจในสิ่งที่ตนเลือกตัดสินใจในครั้งนี้และไม่คิดขัดขวางหนทางแห่งความสุข แต่แท้จริงแล้วนั้น นี่ก็คือมารยาหญิงที่แม่พิศหมั่นฝึกปรืออยู่บ่อยครั้ง ไม่เช่นนั้นคงมิได้ข้าวของมีค่าจากแม่อ่ำมาอย่างมากมาย
“พี่อ่ำก็รู้ ตัวฉันเองก็ไม่เคยได้พบหน้าค่าตัวคุณหลวงสรเดชฯ มาก่อน เพิ่งจะเคยเจอหน้ากันก็หนนี้เท่านั้น จะให้ฉันไปผูกสมัครรักใคร่ในตัวท่านให้เหมือนพี่อ่ำนั้นคงเป็นไปไม่ได้ แต่ที่ฉันตัดสินใจนั้น ฉันตรองดูแน่แล้ว ปรึกษากับคุณน้าพินก็ด้วย ทั้งฉันกับคุณน้าหรือแม้แต่กรมหมื่นฯ ท่านก็เห็นควรว่าฉันควรจะออกเรือนในครั้งนี้ พี่อ่ำคิดว่าฉันคิดผิดหรือพี่ พี่อ่ำดูถูกหัวใจฉันนัก”
หยาดน้ำตาไหลอาบสองแก้ม ทั้งยังกลั้วด้วยก้อนสะอื้นฮึกฮักอย่างน่าเวทนา และเมื่อเห็นแม่อ่ำปรายตามองมา แม่พิศก็ยิ่งสั่นสะอื้นมากขึ้น
“พี่อย่าว่าฉันเลยนะพี่ ฉันไม่ใช่ผู้ชายที่จะบวชเรียนเพื่อทดแทนพระคุณพ่อแม่ได้ ไม่ได้ดิบดีเป็นขุนน้ำขุนนางให้พ่อแม่ได้สบาย แต่ฉันเป็นหญิง ฉันก็ต้องเลือกทำหน้าที่ลูกที่ดีในครานี้ นั่นคือการออกเรือนไปกับคนที่ให้ความสุขสบายกับครอบครัวฉันได้ พี่อ่ำจักให้ฉันคิดถึงแต่ความสุขส่วนตัวเอง จนลืมเลือนพ่อกับแม่ได้อย่างไร อีกทั้งคุณน้าพินท่านก็มิได้ออกเรือน ก็คงจะมีแต่ฉันนี่แหละที่ท่านจะฝากผีฝากไข้อีกเช่นกัน พี่อ่ำลองมาเป็นฉันดูเถิด พี่จะเข้าใจในหัวอกของฉัน”
แม่อ่ำมองแม่พิศที่สั่นสะอื้นไปด้วยความระทมทุกข์จนร่างแบบบางนั้นสะท้านขึ้นลงด้วยแรงสะอื้น นั่นทำให้แม่อ่ำลืมเลือนความน้อยเนื้อต่ำใจของตนเองไปจนหมดสิ้น
ในยามนี้ได้แต่สงสารในชะตากรรมของแม่พิศยิ่งนัก ที่ต้องทำทุกอย่างก็เพื่อพ่อแม่ และหล่อนก็รู้ดีว่าหญิงสาวเช่นแม่พิศ หากถูกแตะต้องโดยน้ำมือชายชาตรีแล้วนั้น ก็คงจะยากยิ่งที่จะหวนคืนสู่การเล่นเพื่อนอีกครา เห็นทีว่าการเล่นสวาทต่อกันคงต้องจบสิ้นลงแล้วอย่างแน่นอน
“พี่อ่ำจ๋า... ฉันจะไม่ลืมว่าพี่อ่ำทำให้ฉันมีความสุขมากแค่ไหน หากพี่อ่ำว่างวันใด พี่อ่ำไปเยี่ยมเยือนฉันที่เรือนคุณหลวงบ้างหนา ฉันคงทนไม่ได้ หาก... หากพี่จะไม่แตะต้องฉันอีก...”
แม่พิศวางฝ่ามือไว้ที่ต้นขาของแม่อ่ำ ก่อนจะบีบนวดลงน้ำหนักมือลงไป เมื่อความปรารถนาอยากให้แม่อ่ำแตะต้องหล่อนเป็นครั้งสุดท้ายกำลังปะทุอยู่ภายใน
“โธ่... น้องพิศของพี่ เจ้ายังเป็นสาวแรกแย้ม ยังไม่เคยต้องปรารถนาของผู้ชาย หากเจ้าได้ลองแล้วเจ้าจะติดใจจนลืมเลือนสัมผัสจากพี่จนหมดสิ้น”
สีหน้างงงวยของแม่พิศทำให้แม่อ่ำต้องยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูนางพนักงานรุ่นน้องนี้นักหนา ฝ่ามือขยี้เรือนผมก่อนจะหยิบจอนหูที่ยาวลงมายกทัดไว้ที่ใบหูอย่างแสนรักแสนเสน่หา
“ก็อ่อนเดียงสาเสียอย่างนี้สิเล่า พี่จึงทั้งรักทั้งหลงเจ้านัก จะหาใครมาเหมือนน้องพิศของพี่คงไม่มีอีกแล้ว”
“ฉันไม่เข้าใจที่พี่อ่ำบอกดอกจ้ะ ฉัน... ไม่กล้าคิดด้วย”
ใบหน้าเอียงอายทั้งที่หยาดน้ำตายังเอ่อล้น ยิ่งทำให้แม่อ่ำเอ็นดูแม่พิศยิ่งขึ้น ฝ่ามือแตะต้องใบหน้างดงาม ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยซับรอยน้ำตาก่อนจะขยับร่างเข้าไปชิด
“น้องพิศหลับตาก่อนสิจ๊ะ แล้วลองนึกดูว่าหากมือที่ลูบไล้เต้าอวบอิ่มของน้องพิศนี้เป็นมือของคุณหลวง”
แม่พิศหลับตาลงอย่างว่าง่ายพลางนึกตามที่แม่อ่ำบอก ก่อนจะสั่นสะท้านไปทั้งร่างจากสิ่งที่แม่อ่ำกำลังทำ
ทว่ารอยยิ้มกลับผุดขึ้นในใจเพราะแม่อ่ำเชื่อในสิ่งที่หล่อนบอกเล่าอย่างไม่ผิดเพี้ยน ใช่ว่าไม่รู้ในสิ่งที่แม่อ่ำบอกเพราะคุณน้าพินเองก็บอกเล่าจนหมดสิ้นว่าการเล่นสวาทของหญิงนั้นต่างจากชายอย่างสิ้นเชิง
ชายนั้นจะทำให้มีความสุขมากยิ่งกว่ามาก ไม่อย่างนั้นนางพนักงานทั้งหลายจะตัวสั่นระริกอยากออกไปให้หนุ่มๆ ดูตัวที่หน้าประตูฯ กันทำไมเล่า และที่กลับมาบอกเล่าก็ล้วนแต่ทะลึ่งตึงตังกันทั้งนั้น ว่ากันว่า สุขราวกับได้ปีนขึ้นไปอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ และแค่คิดว่าฝ่ามือที่กำลังลูบไล้เนื้อกายของตนเองอยู่นี้คือฝ่ามือของคุณหลวง แม่พิศก็สะท้านเสียจนอดไม่ได้ที่จะร้องครางออกมา
“อา... อื้อ...”
“กรี๊ดดดดด...” ฟาววววว... ควับ! เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดสลับกับเสียงเส้นหวายแหวกอากาศไปปะทะกับเนื้อบอบบางเป็นจังหวะไม่ขาดสายดังออกมาจากเรือนไทยหมู่ 5 หลังที่ปลูกสร้างด้วยไม้สักทองงดงามและยิ่งใหญ่สมตำแหน่งเจ้าของเรือนแม้เสียงกรีดร้องยังคงดัง แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปห้ามปรามหรือช่วงชิงเส้นหวายนั้นจากมือของคนที่หวดเอาๆ อย่างไม่ลดล่ะ มีเพียงก้มหน้าก้มตาไม่กล้าดู แต่ก็ยังชำเลืองมองเพราะความอยากรู้และสมเพชเวทนาร่างเล็กๆ ที่กรีดร้องไม่หยุด ด้วยเบื้องหลังนั้นมากมีไปด้วยรอยหวดเป็นเส้นยาว จนบางบาดแผลนั้นเปิดออกจนเห็นเนื้อในสีขาวไม่ต่างจากมันเปลวที่นำมาเจียวน้ำมัน ฟาววววว... ควับ! “กรี๊ดดดดด...”สิ้นสุดเสียงร้อง ร่างที่สะบักสะบอมไปด้วยบาดแผลก็มีอันสิ้นสติไปด้วยความเจ็บปวด แต่ท่านเจ้าของเรือนก็ยังไม่หนำใจ ยังสั่งให้ข้าทาสไปนำเกลือเม็ดละลายน้ำเอามาสาดใส่บาดแผลให้เจ้าของร่างที่สลบไสลฟื้นคืนขึ้นมาอีก เพื่อจะให้เรือนร่างนี้ได้รับความเจ็บปวดอย่างต่อเนื่อง ให้สาสมกับสิ่งที่มันทำเอาไว้ “สาดเข้าไป! เอาให้มันเจ็บให้มันแสบ มันจะได้รู้! ไม่ว่
สยามประเทศ ก่อน “พระราชบัญญัติเลิกทาส ร.ศ.124”ยุคสมัยที่สยามประเทศเปิดรับวัฒนธรรมทางยุโรปมากขึ้น หญิงสาวต่างแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่งดงามและมีเครื่องประทินผิวหอมจรุงใจโดยเฉพาะหญิงสาวชาววังล้วนเป็นที่หมายปองของบุรุษเพศ เพราะหญิงสาวเหล่านั้นจะได้รับการอบรมทั้งกิริยามารยาท ทั้งงานบ้านงานเรือน เหมาะสมสำหรับการสู่ขอมาเป็นแม่ศรีเรือน จนถึงขนาดมีแม่สื่อแม่ชักมาขอดูตัวเพื่อจับจองกันไว้ตั้งแต่เป็นสาวรุ่น และ ‘แม่พิศ’ ก็เป็น 1 ในหญิงสาวเหล่านั้นแม่พิศเป็นหลานสาวของคุณพิน ซึ่งทำหน้าที่เป็นนางพนักงานห้องเครื่องอยู่ในวัง พ่อกับแม่จึงได้นำแม่พิศมาฝากฝัง เพื่อให้เรียนรู้ขนบธรรมเนียมชาววังตั้งแต่เป็นเด็กหญิง เพราะเชื่อว่าหากลูกสาวได้ดิบได้ดีเป็นนางพนักงานอยู่ในวังเฉกเช่นเดียวกับคุณพิน ผู้ชายทั้งหลายก็ใคร่จะสู่ขอให้ออกเรือนไปกับตนทั้งสิ้น และหากแม่พิศได้ออกเรือนกับขุนน้ำขุนนางไป พ่อแม่จะได้สบายได้พึ่งพาใบบุญของลูกสาว ได้มั่งมีความสุขในยามแก่ชราแม่พิศเป็นเด็กหญิงที่ว่านอนสอนง่าย ฉลาด และเรียนรู้งานได้เร็ว จึงได้ทำงานเป็นนางพนักงานห้องเครื่องของหม่อมห้ามองค์หนึ่งเมื่อแม่พิศเติบใหญ่กลายเป็นสาวรุ
แต่แล้วสิ่งที่แม่พิศหวาดหวั่นพรั่นพรึงก็ไม่ได้น่ากลัวเกรงอย่างที่แอบอกสั่นขวัญแขวนเลยสักนิด กลับกันที่หล่อนได้รับความเพลิดเพลินจนต้องครวญครางในลำคอเบา“อื้อ... พี่อ่ำจ๋า... พี่ทำอะไรฉัน”แม่พิศดิ้นพล่านเมื่อแม่อ่ำซุกไซ้จมูกที่ซอกคอทำให้หล่อนเสียวสยิวจนต้องบิดกายอย่างทำอะไรไม่ถูก ยิ่งแม่อ่ำลูบไล้ไปบนเนินเนื้ออวบอิ่มสมวัยสาวสะพรั่ง แม่พิศก็ต้องห่อไหล่หนีก่อนจะเปลี่ยนเป็นแอ่นอกสู้มือแม่อ่ำไม่หยุด“อา... พี่อ่ำจ๋า... พี่ทำอะไรฉัน พี่จะฆ่าฉันหรือไร”แม่พิศบิดกายไปมาเพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่บังเกิดอยู่ในอกหล่อนนี้เรียกว่าอะไร รู้แต่ว่ามันกำลังทำให้หล่อนหายใจติดขัด จนต้องอ้าปากพะงาบๆ เรียกเอาลมหายใจเข้าสู่ร่างกายโดยเร็ว“พี่ก็จะทำให้น้องพิศมีความสุขยังไงเล่าจ๊ะ รับรองว่าน้องพิศจะมีแต่ความสุขมิรู้ลืม”แม่อ่ำเคลื่อนมือไปปลดผ้าแถบรัดอกอึดอัดนั้นให้คลายออก ก่อนจะเลื่อนฝ่ามือขึ้นไปกอบกุมความอวบอิ่มเอาไว้ทั้งสองข้าง ใบหน้าซุกไซ้สูดดมความหอมของน้ำอบน้ำปรุงและกลิ่นกายสาวสะพรั่งที่ไม่เคยได้ต้องมือชายใดมาก่อน เพราะได้รู้ได้เห็นและแอบมองแม่พิศมาตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อสาว แต่ในยามนั้นตัวหล่อนเองก็มีสาวน้อยสาวใ
แม่พิศสะบัดใบหน้าร่ำร้องหาแต่ชื่อของแม่อ่ำอยู่ตลอด เพราะในเวลานี้หล่อนรู้แล้วว่าสะโพกผายนั้นจะแอ่นไปสูงได้แค่ไหนกัน และแค่ไหนที่หล่อนจะพอใจ เมื่อดอกไม้แรกแย้มนั้นเบ่งบานออกจากกันจนสุด และกำลังถูกชำแรกด้วยปลายลิ้นน้อยๆ ของแม่อ่ำอย่างรัวเร็ว“อ้าย... พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำ! อื้อ! พี่อ่ำ!”เสียงกรีดร้องรัวเร็วราวกับจะเร่งเร้าจึงดังออกจากปากน้อยๆ นั้นอย่างไม่ขาดสาย ร่างกายเบาหวิวราวกับวิญญาณวิ่งพรวดออกจากร่างก่อนจะกระเด็นกระดอนกลับเข้าไปใหม่อย่างรุนแรง ทำให้ร่างเปล่าเปลือยกระตุกวาบติดกันหลายต่อหลายครั้งแม่พิศหอบหายใจและหมดเรี่ยวแรงราวกับวิ่งหนีอะไรมาเสียไกล ได้แต่นอนแผ่ร่างเปล่าเปลือยอวดเนื้อหนังมังสาให้เป็นอาหารตาแก่แม่อ่ำต่อไป และเพียงไม่นานแม่อ่ำก็เริ่มต้นกลืนกินเนื้อตัวของหล่อนอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้แม่พิศเองก็ครวญครางซู้ดซี้ดริมฝีปากของตัวเองไปมาราวกับได้กินของเผ็ดร้อนที่เอร็ดอร่อยที่สุดในชีวิต..นับจากนั้นการเล่นเพื่อนหรือเรียกอีกอย่างว่า ‘เล่นสวาท’ หากจะพูดให้ทะลึ่งตึงตังก็ไม่ได้น่ากลัวสำหรับแม่พิศอีกต่อไป แต่กลับทำให้แม่พิศได้มาเป็นนางพนักงานในตำหนักกรมหมื่นฯ ได้อยู่ดีก