แม่พิศสะบัดใบหน้าร่ำร้องหาแต่ชื่อของแม่อ่ำอยู่ตลอด เพราะในเวลานี้หล่อนรู้แล้วว่าสะโพกผายนั้นจะแอ่นไปสูงได้แค่ไหนกัน และแค่ไหนที่หล่อนจะพอใจ เมื่อดอกไม้แรกแย้มนั้นเบ่งบานออกจากกันจนสุด และกำลังถูกชำแรกด้วยปลายลิ้นน้อยๆ ของแม่อ่ำอย่างรัวเร็ว
“อ้าย... พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำ! อื้อ! พี่อ่ำ!”
เสียงกรีดร้องรัวเร็วราวกับจะเร่งเร้าจึงดังออกจากปากน้อยๆ นั้นอย่างไม่ขาดสาย ร่างกายเบาหวิวราวกับวิญญาณวิ่งพรวดออกจากร่างก่อนจะกระเด็นกระดอนกลับเข้าไปใหม่อย่างรุนแรง ทำให้ร่างเปล่าเปลือยกระตุกวาบติดกันหลายต่อหลายครั้ง
แม่พิศหอบหายใจและหมดเรี่ยวแรงราวกับวิ่งหนีอะไรมาเสียไกล ได้แต่นอนแผ่ร่างเปล่าเปลือยอวดเนื้อหนังมังสาให้เป็นอาหารตาแก่แม่อ่ำต่อไป และเพียงไม่นานแม่อ่ำก็เริ่มต้นกลืนกินเนื้อตัวของหล่อนอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้แม่พิศเองก็ครวญครางซู้ดซี้ดริมฝีปากของตัวเองไปมาราวกับได้กินของเผ็ดร้อนที่เอร็ดอร่อยที่สุดในชีวิต
.
.
นับจากนั้นการเล่นเพื่อนหรือเรียกอีกอย่างว่า ‘เล่นสวาท’ หากจะพูดให้ทะลึ่งตึงตังก็ไม่ได้น่ากลัวสำหรับแม่พิศอีกต่อไป แต่กลับทำให้แม่พิศได้มาเป็นนางพนักงานในตำหนักกรมหมื่นฯ ได้อยู่ดีกินดี มั่งมีศรีสุขเสียยิ่งกว่าเป็นนางพนักงานต้นเครื่องเสียไหนๆ
อีกทั้งกรมหมื่นฯ ท่านก็มีเมตตาผ่อนปรนให้นางพนักงานได้อยู่กันอย่างมีอิสระเสรี โดยมีแม่อ่ำต้นห้องคอยกำชับดูแล แม่พิศจึงสุขเสียยิ่งกว่าได้ขึ้นสวรรค์เพราะไม่ว่าจะต้องการสิ่งใดแม่อ่ำก็จัดหามาให้มิได้ขาด ทั้งแม่อ่ำยังพาแม่พิศไปเที่ยวเล่นหาซื้อข้าวของที่ ‘หน้าประตูศรีสุดาวงศ์’ อยู่เป็นนิจ
ประตูศรีสุดาวงศ์เป็นประตูด้านหลังของกำแพงพระราชวังฝ่ายใน อยู่ตรงกันข้ามกับ ‘ประตูช่องกุด’ ซึ่งเป็นประตูกำแพงวังชั้นนอก จะคึกคักที่สุดในช่วงเช้า เพราะเป็นเวลาที่พ่อค้าแม่ขายจากด้านนอกจะนำสินค้ามาขายให้กับสาวๆ ชาววังได้ซื้อหาของใช้ส่วนตัวไว้ใช้กัน ซึ่งถือเป็นโอกาสที่สาวชาววังจะได้พบปะกับผู้คนจากภายนอกบ้าง และอาจเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่บรรดาพ่อสื่อแม่สื่อจะชักพาหนุ่มๆ ให้มาดูตัวสาวที่หมายมั่นจะสู่ขอไปเป็นศรีภรรยาอีกด้วย และแม่พิศเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
เมื่อความสวยของแม่พิศติดตาต้องใจข้าราชบริพารหนุ่มเล็กหนุ่มใหญ่อยู่หลายท่านด้วยกัน แม่อ่ำจึงไม่อนุญาตให้แม่พิศออกมาซื้อหาข้าวของที่หน้าประตูศรีสุดาวงศ์อีกเลย แต่จะเป็นผู้จัดหาให้ทุกอย่างตามที่แม่พิศต้องการ
ทว่าแม่พิศนั้นแม้จะสุขสบายที่ได้รับการปรนเปรอจากแม่อ่ำทุกอย่าง แต่วิสัยนกเมื่อปีกกล้าก็อยากจะโผบิน แม่พิศใคร่ไปเลือกซื้อและจับจ่ายซื้อหาข้าวของด้วยตนเองบ้าง ไม่ได้อยากเป็นนกที่ถูกแม่อ่ำขังเอาไว้เสียในกรง
นั่นจึงเป็นเหตุให้แม่พิศและแม่อ่ำทะเลาะเบาะแว้ง ด้วยแม่อ่ำหึงหวงไปเสียทุกสิ่ง
เมื่อความทราบถึงกรมหมื่นฯ แม้โดยวิสัยแล้ว ท่านจะมิยุ่งเกี่ยวในเรื่องส่วนตัวของผู้ใด เพราะคิดว่าหากปกครองกันได้ก็ปกครองกันไป แต่มาคราวนี้ไม่ยุ่งไม่ได้เพราะแม่อ่ำดูจะร้อนรนกว่าทุกครั้ง จนงานการไม่เป็นอันทำ ฟุ้งซ่านหึงหวงแม่พิศอยู่ทุกเมื่อไป ท่านจึงต้องยื่นมือเข้ายุ่ง
เมื่อมีแม่สื่อมาทาบทามแม่พิศให้กับขุนนางหนุ่มผู้หนึ่ง ทรงโปรดเรียกแม่พิศมาสอบถามความสมัครใจว่าต้องการจะตบแต่งมีเหย้ามีเรือนหรือไม่
ประจวบเหมาะในยามนั้นแม่พิศเองก็อิดหนาระอาใจกับความหึงหวงของแม่อ่ำนักหนา อีกทั้ง ‘หลวงสรเดชมนตรี’ หนุ่มใหญ่วัย 35 ปี ก็มิได้ขี้ริ้วขี้เหร่ แต่กลับอาจองสมสง่าชายชาตรี
แม่พิศสาวรุ่นที่ไม่เคยประสาในมือชาย แรกแค่สบสายตากับหนุ่มใหญ่ แม่พิศก็สะเทื้อนอายจนแทบจะเก็บกิริยาไว้ไม่อยู่ ใคร่ครวญพร้อมปรึกษากับคุณน้าพินแล้ว ทั้งหน้าที่งานราชการของคุณหลวงท่านก็ดูว่าจะก้าวไกล อีกไม่นานคงได้เป็น ‘คุณพระ’ แลหากวาสนาส่งอาจเป็นถึง ‘เจ้าพระยา’ เมื่อนั้นวาสนาก็จะตกถึงแม่พิศด้วย ให้ได้เป็นคุณนายคุณหญิงกับเขาบ้าง
คุณน้าพินท่านก็เห็นควรที่แม่พิศจะแต่งงานออกเหย้าออกเรือนไป ดีกว่าตกอยู่ใต้อาณัติของแม่อ่ำจนต้องกลายเป็นสาวเทื้ออยู่ในเขตวังกรมหมื่นฯ เยี่ยงนี้
แม่พิศจึงตกลงปลงใจและนับวันรอคอย ‘คุณพี่สน’ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ หลวงสรเดชมนตรีจะจัดข้าวของตามธรรมเนียมมาสู่ขอ
.
.
“น้องพิศ ทำไมถึงได้ใจร้ายกับพี่เยี่ยงนี้ พี่ไม่ดีกับน้องพิศตรงไหน พี่รักน้องพิศยิ่งกว่าหญิงใดที่เคยได้ร่วม เหตุใดน้องพิศจึงตอบแทนความรักของพี่เยี่ยงนี้”
แม่อ่ำตัดพ้อน้ำตานองหน้า เมื่อทราบความว่าแม่พิศตกลงปลงใจจะออกเรือนไปกับหลวงสรเดชมนตรี ด้วยความที่เป็นนางพนักงานมาตั้งแต่เด็กยันเป็นสาวใหญ่ ทำให้แม่อ่ำเห็นการหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนของเหล่านางพนักงานมาช้านาน รู้และเห็นในยามนางเหล่านั้นออกเรือนไปกับขุนน้ำขุนนางก็บ่อยครั้ง รวมทั้งหญิงที่เคยหยอกเย้าเล่นเพื่อนกันนั้นก็มีอยู่หลายนางที่ออกเรือนไป แต่ก็ไม่เคยมีใครทำให้ทุกข์ใจได้เท่าแม่พิศอีกแล้ว
แม่อ่ำได้แต่ตีอกชกตัวตนเอง เพราะตนนั้นทั้งรักทั้งหลงแม่พิศเสียจนสรรหาแต่สิ่งดีๆ มาให้ เครื่องประทินผิว อาหารการกิน เครื่องทอง เครื่องเงิน หากแม่พิศอยากได้ ไม่เคยเลยที่จะไม่ให้ แล้วเหตุใดแม่พิศจึงเลือกที่จะออกเรือน ไม่เลือกที่จะเคียงคู่กับตนไปจนแก่เฒ่าอยู่ในวังกรมหมื่นฯ นี้เล่า“พี่อ่ำจ๋า ไม่ใช่ว่าฉันไม่เห็นค่าในความรักของพี่ แต่พี่อ่ำดูสิจ๊ะ ปีนี้ฉันอายุได้ยี่สิบปีเต็มแล้ว มันเลยวัยที่ฉันจะมีเหย้ามีเรือนแล้วหนาพี่ หากฉันปล่อยให้เวลาเนิ่นนานกว่านี้ คงจะไม่มีใครมาสู่ขอฉันไปเป็นเมียแน่ พี่อ่ำเห็นใจฉันด้วยเถิด พ่อกับแม่ก็มีฉันเป็นลูกสาวอยู่ผู้เดียว หวังจะได้ฝากผีฝากไข้ หากฉันไม่แต่งงานออกเหย้าออกเรือนไป ฉันจะมีโอกาสไหนได้ตอบแทนพระคุณท่านอีกล่ะพี่ ฉันมิกลายเป็นลูกอกตัญญูไปดอกเหรอ ที่เห็นทางจะทำให้พ่อแม่มีความสุขได้ แต่ฉันกลับเลือกเอาความสุขของตนเองเป็นที่ตั้ง ใช่ว่าฉันไม่เจ็บปวด”น้ำตาพรั่งพรูด้วยความเจ็บช้ำหวังว่าแม่อ่ำจะเข้าใจในสิ่งที่ตนเลือกตัดสินใจในครั้งนี้และไม่คิดขัดขวางหนทางแห่งความสุข แต่แท้จริงแล้วนั้น นี่ก็คือมารยาหญิงที่แม่พิศหมั่นฝึกปรืออยู่บ่อยครั้ง ไม่เช่นนั้นคงมิได้ข้าวของม
และเมื่อคุณหลวงในร่างของแม่อ่ำปลดผ้าแถบรัดอกของหล่อนออก พร้อมทั้งใช้จมูกซุกไซ้ไปตามเนินอกอวบก่อนจะสูดดมและดูดดึงปลายยอดชูชัน แม่พิศก็แทบจะแอ่นความเป็นหญิงให้ท่านเชยชมเสียเดี๋ยวนี้ อยากจะกรีดร้องเรียกชื่อคุณหลวงออกมา แต่ดีที่ว่าสายตาเห็นหัวของแม่อ่ำลอยเด่นอยู่บนหน้าท้องของตนเองเสียก่อน คำร้องออกมาจึงเป็น“โอว... พี่อ่ำจ๋า... ฉันมีความสุขเหลือเกิน โอว... จะหาใครให้ความสุขกับฉันได้เท่าพี่ พี่อ่ำจ๋า... อูย... พี่อ่ำ... อื้อ... พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำ...”ริมฝีปากพ่นคำหวานเพื่อให้แม่อ่ำติดตรึงใจมากที่สุด สะโพกส่ายร่อนไม่หยุดเมื่อเจอลิ้นร้อนของแม่อ่ำเข้าไปกระทบที่กลีบดอกบอบบางดอกไม้เบ่งบานจากนิ้วมือและปลายลิ้นของแม่อ่ำที่ซุกไซ้ให้แม่พิศต้องดิ้นพล่านไม่หยุด ปากก็ร่ำร้องแต่ชื่อของแม่อ่ำอย่างทิ้งทวน“พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำ...”ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับการ ‘เล่นเพื่อน’ เพราะในค่ำคืนครั้งหน้าคงเป็นการเล่น ‘ผัวเมีย’ เท่านั้นที่หล่อนต้องเรียนรู้ และหวังว่าการเล่นครั้งใหม่จะทำให้หล่อนขึ้นสวรรค์ได้หลายๆ ครั้งอย่างที่แม่อ่ำทำให้ หรือจะให้ดี หากร่างกายของหล่อนจะเบาบางราวกับโบยบินขึ้นไปบน
“เรียกพี่เถิดแม่พิศ แม่พิศเป็นเมียของพี่ เป็นศรีแห่งเรือนนี้ ต่อแต่นี้ไปแม่พิศจะเป็นใหญ่ที่สุดในเรือน จักทำอะไรก็ตามแต่สมควรเถิด ป่ะ... ขึ้นเรือนกัน พี่จะพาแม่พิศเดินดูให้ทั่วทุกห้องหับ”“เจ้าค่ะคุณพี่”แม่พิศอมยิ้มอย่างเอียงอาย เพราะสายตาของคุณหลวงที่สื่อมานั้นคือความเสน่หา ไม่ต่างจากสายตาของแม่อ่ำที่ใช้มองหล่อนเลยสักนิด แล้วเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในห้องหอตลอดทั้งค่ำคืนนี้เล่า หล่อนจะต้องพบเจอกับสิ่งน่าอัศจรรย์ใดบ้าง จะต้องกรีดร้องคร่ำครวญเหมือนเมื่อคราเล่นเพื่อนครั้งแรกกับแม่อ่ำหรือไม่ หรือจะหลับตาพริ้มซึมซับเอาความสุขขึ้นไปบนสวรรค์ อย่างไรกันเล่าที่หล่อนกำลังจะเผชิญใบหน้างดงามผินมองขอบฟ้าที่แม้แดดจะร่มแต่ก็ยังอีกนานกว่าเวลาพลบค่ำจะมาถึง ทั้งที่หัวใจของหล่อนนั้นประหวัดอยากให้ถึงยามค่ำเสียให้เร็ว แม้จะเป็นความน่าละอายที่หญิงมิควรคิดสัปดนเยี่ยงนี้ แต่หล่อนจะห้ามความคิดนั้นได้อย่างไรกันเล่า ในเมื่อขณะนี้ เนื้อกายสะบัดร้อนสะบัดหนาวเสียราวกับจะจับไข้ ใคร่อยากจะดึงทึ้งเสื้อผ้าเกะกะนี้ให้พ้นไปจากเนื้อกายแต่โดยเร็ว“แม่พิศหนาวเหรอจ๊ะ”“มิได้เจ้าค่ะคุณพี่ น้อง... เอ่อ... น้อง...” เนื้อตัวแข็
ข้าวปลาอาหารสำรับเย็นที่บ่าวไพร่จัดเตรียมไว้ให้แทบจะกลายเป็นของหวานไปในทันทีเพราะหลวงสรเดชฯ เอาอกเอาใจแม่พิศมากมายเสียจนแม่พิศแทบจะกลืนกินอาหารไม่ได้ ด้วยเพราะความอายและไม่เคยมีผู้ชายมาเอาอกเอาใจเยี่ยงนี้ทุกครั้งที่สายตาของหลวงสรเดชฯ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีมองมา แม่พิศก็สะเทิ้นสะบัดร้อนสะบัดหนาวไปทั้งเนื้อตัว ความรู้สึกร้อนรุ่มรุมเร้าจนแม่พิศคิดอยากจะอาบน้ำให้คลายอาการสะท้านร้อนนี้ เพราะดวงตาคมเข้มของบุรุษที่ทอดมองไปตามเนื้อกายนั้นไม่ต่างเลยกับเปลวไฟที่กำลังโลมเลียผิวเนื้อสัมผัสอุ่นวาบ ซาบซ่าน ราวจะเกิดขึ้นไปทุกที่ที่สายตานั้นทอดมอง จนแม่พิศอยากจะให้มื้ออาหารนี้ผ่านไปเสียโดยเร็ว อยากให้ถึงเวลานั้น... “แม่พิศไปอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อยเถิด พี่จะนั่งรับลมตรงนี้สักครู่” “เจ้าค่ะคุณพี่” เมื่อมื้ออาหารสิ้นสุด คำที่หลวงสรเดชฯ เอ่ยบอกก็ทำให้แม่พิศต้องก้มหน้าซ่อนซุกแววขวยเขินนั้นไว้ให้มาก ด้วยรู้ดีว่าช่วงเวลาต่อจากนี้ไปอีกไม่นาน หล่อนจะได้พานพบกับความหฤหรรษ์ดังที่ใครๆ ว่าไว้ แลหลวงสรเดชฯ ก็คงไม่อยากให้หล่อนเขินอายไปมากกว่านี้ จึงเปิดโอกาสให้หล่อนได้ทำธุระ
แม่พิศอมยิ้มดวงตาสวยหวานมองโต๊ะเครื่องแป้งที่ปรารถนาสักวันหนึ่งว่าอาจได้มี เพราะเครื่องของใช้เหล่านี้มิใช่ฐานะเพียงนางพนักงานจะหาซื้อได้ ต้องเป็นพวกเจ้านายเท่านั้นที่จะมีเงินมีทองไปแลกมาแลกระจกบานใหญ่นั้นก็ใสเสียจนสะท้อนใบหน้าเอียงอายของหล่อนออกมาอย่างชัดเจน และในนั้นหล่อนก็เห็นสายตาของสามีกำลังโลมเลียเนื้อตัวของหล่อนด้วยความกระหายแลเมื่อดวงตาคมเข้มช้อนขึ้นสบดวงตาของหล่อน ก็เป็นหล่อนเองที่เอียงอายจนต้องหลบเลี่ยง “พี่จัดเตรียมไว้ให้แม่พิศโดยเฉพาะ เพราะรู้ว่าสตรีล้วนต้องการมีข้าวของเครื่องใช้ที่สวยงาม และหากพี่พบเจอของสวยหรือน้ำอบน้ำปรุงที่เหมาะสมกับแม่พิศ พี่ก็จักจัดหามาให้มิขาด” “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” แม่พิศละทิ้งความอายหันร่างมาเผชิญหน้าก่อนจะก้มกราบลงที่อกของสามี เมื่อเวลานี้จริตจะกร้านแต่พองามกำลังส่งผล “แม่พิศง่วงรึยัง” น้ำเสียงทุ้มที่ถามมาอย่างลองเชิงยิ่งทำให้แม่พิศต้องก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มเอียงอายมากขึ้น ใครเล่าจะไม่รู้ว่าคำถามนี้ส่อความหมายถึงสิ่งใด ในเมื่อฝ่ามือของหลวงสรเดชฯ นั้นยังเคลื่อนไปมาบนเรือนกายของหล่อนไม่หยุด
มันวูบๆ วาบๆ ปนเสียว ปนกลัวเกรงไปหมด เหมือนรู้ว่าฝนกำลังจะมาแต่หล่อนก็ต้องออกไปหาของสำคัญที่ทำตกเอาไว้ ไม่ไปเอาก็ไม่ได้เพราะคงจะทรมานด้วยความต้องการของสิ่งนั้นจนอดรนนอนหลับไม่ไหว“คุณ... คุณพี่เจ้าคะ คุณพี่... คุณพี่...”หลวงสรเดชฯ ยิ้ม เมื่อได้ยินเสียงหวานๆ เปล่งครวญครางเรียกเขา และอีกไม่นานนับจากนี้หล่อนจะต้องส่งเสียงครางระงมพร้อมกรีดร้องด้วยความสุขสมครั้งแรกจนอดไม่อยู่จมูกซุกไซ้ควานหาความหอมหวานที่มีตามธรรมชาติของกายสาว และกลิ่นเนื้อสาวก็เร่งเร้าให้ความแข็งขืนตื่นตัวมากมายกว่าครั้งไหนสาวบริสุทธิ์เขาเคยได้ร่วมมาก็มาก รู้ดีว่าครั้งแรกนั้นแต่ละคนต้องเจ็บปวดรวดร้าวสักเพียงไหน แต่เพราะนั่นเขาไม่คิดที่จะถนอม การเสพสมกับบ่าวไพร่ไม่มีความจำเป็นใดที่เขาต้องรอคอย อีกทั้งเนื้อตัวของบ่าวไพร่ก็ไม่ได้หอมกรุ่นจนเขาต้องละเลียดดม ก็แค่ต้องการปลดเปลื้องความตื่นตัวในแต่ละค่ำคืนให้จางหายไปเท่านั้น แต่สำหรับแม่พิศคนนี้ไม่ใช่แม่ศรีแม่เรือนที่เขานับวันรอคอยจะได้ร่วมหอร่วมห้อง เขาจำต้องถนอมเนื้อหวานๆ นี้ไว้กินให้ได้นานที่สุด ยิ่งบำรุงบำเรอแม่พิศให้งดงามเพียงใด ก็ยิ่งถือว่าเป็นหน้าเป็นตาสำหรับเรือน“แม่
แม่พิศร้องเสียงหลงใส่จริตเต็มที่ เมื่อปลายลิ้นของสามีแตะต้องที่กลีบดอกไม้ ทว่าสามีไม่ได้ฟังหล่อนเลย เพราะปลายลิ้นร้อนนั้นกำลังชอกชอนไต่ตวัดไล้ที่ติ่งเสียวจนหล่อนอยากกรีดร้องครวญครางให้มากกว่านี้ แต่สำนึกแห่งจริตก็ยังทำให้หล่อนยั้งไว้‘โอว... มันมากกว่าที่พี่อ่ำทำเหลือเกิน โอว... เร็วๆ สิเจ้าคะคุณพี่... อา... ซี้ด... น้องเสียว... ซี้ด...’สิ่งที่คิดกับคำที่ร้องบอกไม่ใกล้กันเลย น้ำเสียงหวานกระเส่าที่เปล่งร้องออกมานั้น คือคำร้องห้าม“อา... ไม่นะเจ้าคะ คุณพี่ ไม่นะ... อื้อ... ไม่... คุณพี่เจ้าขา... คุณพี่... อื้อ...”ทั้งที่อยากจะร้องดังใจคิด แต่นั่นคงไม่ใช่จริตที่ควรทำ หล่อนจำต้องสะกดเก็บทุกความรู้สึกและรอคอยสวรรค์ที่จะโน้มลงมา ยามนี้หล่อนรู้แล้วที่คุณน้าพินพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร เพราะแค่ปลายลิ้นของพี่อ่ำกับคุณพี่สนก็แตกต่างกันจนเทียบไม่ได้ หล่อนคิดไม่ผิดหรอกที่ไม่พิสมัยเล่นเพื่อนเสียจนเคยตัว เพราะความสาก ความอุ่น และความแข็งแกร่งจากปลายลิ้นของคุณพี่สนนั้น ทำให้หล่อนเห็นสวรรค์รำไร“อา... คุณพี่ขา... คุณพี่เจ้าขา... น้อง... อื้อ... คุณพี่เจ้าขา...”ยิ่งแม่พิศร้องครางเท่าไรปลายลิ้นก็เร่
ทว่าเมื่อแม่พิศรับรู้ได้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่ใหญ่ยิ่งเสียกว่าปลายนิ้วของผัวรัก ดวงตาหลับพริ้มจึงเบิกกว้าง พร้อมเปล่งเสียงกรีดร้องแผดลั่นด้วยไม่เคยถูกล่วงล้ำมาก่อน“กรี๊ดดดดด... คุณพี่! น้องเจ็บ! คุณพี่! กรี๊ดดดดด...”ฝ่ามือพยายามผลักดันร่างแข็งแกร่งด้านบนให้ผละออก แต่ก็เหมือนเรี่ยวแรงจะขาดหายไปกับความสุขครั้งแรกจนไม่อาจทำให้ร่างของสามีสะเทือนแม่พิศเจ็บปวดดุจเนื้อกายกำลังจะแบ่งแยกออกเป็นสอง หยาดน้ำตาไหลนองใบหน้า เพราะไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไร คุณหลวงผู้เป็นสามีก็ไม่ขยับกายเลยสักนิด แลต้นเหตุของความเจ็บปวดยังค่อยๆ สอดแทรกลงมาให้แม่พิศต้องกรีดร้องครวญครางมากขึ้น“โอ้ย... คุณพี่เจ้าขา... ได้โปรดเมตตาน้องเถิด น้องเจ็บจนใจจะขาดอยู่แล้ว... คุณพี่เจ้าขา... คุณพี่... น้องเจ็บ...”หลวงสรเดชฯ ให้สงสารเมียสาวแรกรุ่นยิ่งนัก แต่มาถึงขั้นนี้แล้วจะให้เขาถอนตัวตนออกก็คงจะไม่ได้ จำต้องเดินหน้าต่อไป เพื่อส่งแม่พิศให้ขึ้นสวรรค์ไปกับเขาให้ได้ความยิ่งใหญ่จึงแหย่ทิ้งไว้ชั่วครู่ก่อนจะหันมาปลุกปลอบหัวใจให้คลายความเจ็บปวดและหวาดหวั่นลงบ้าง“แม่พิศจ๋า... แม่พิศของพี่ ครั้งแรกก็เป็นแบบนี้แหละเจ้า แต่ครั้งต่อๆ ไปมันจะ
แม่จันทร์สะอื้นฮึกฮัก เพราะไม่อาจรู้ได้ว่าความเจ็บปวดร้าวรวดดั่งถูกมีดแหลมคมปักกรีดอยู่กึ่งกลางร่างกายนี้ จะมลายคลายลงได้อย่างไร เมื่อมันเจ็บเสียจนหล่อนไม่กล้าที่จะร่ำร้อง ด้วยกลัวว่าเพียงร่างกายขยับ ความเจ็บปวดนั้นจะทวีทบเท่า แลถึงตอนนั้นร่างกายนี้อาจตายเสียก็ได้ ทว่าแม้นเจ็บเพียงใด สัญชาตญาณก็ยังร้องสั่งให้แม่จันทร์มอง เพื่อให้รู้ที่มาของความเจ็บนั้น และสิ่งที่แม่จันทร์เห็นก็ทำให้ริมฝีปากต้องอ้าค้างมากขึ้น ด้วยไม่ใช่มีดพร้าที่ทิ่มตำร่างกาย แต่กลับเป็น ‘ท่อนเนื้อ’ ขนาดใหญ่ที่ยื่นออกมาจากกึ่งกลางกายของท่านกำลังทิ่มตำที่โพรงดอกไม้ สีหน้ารวดร้าวของท่านและคำสอนของแม่ที่แว่วมาในความคิดทำให้แม่จันทร์ต้องยิ้มทั้งที่เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เพราะนี่คงเป็นลำดับขั้นสุดท้ายก่อนที่หล่อนจะพานพบกับสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
เมื่อริมฝีปากของท่านทาบลงมาบนกลีบปากนุ่มก่อนจะบดเบียดยั่วเย้าอย่างอ่อนโยน ตามติดมาด้วยปลายลิ้นร้อนที่เกลี่ยไล้ไปมาอยู่บนกลีบปาก นั่นทำให้แม่จันทร์ถึงกับตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก “เจ้าคุณอา...” พระยาสรเดชฯ อมยิ้มในสีหน้า ดวงตาคมเข้มเต็มเปี่ยมไปด้วยกาลเวลาทอดมองหญิงสาวที่สั่นประหม่าไปทั้งร่าง จนลืมเลือนไปเสียสิ้นว่าต้องรักษากิริยาและต้องเรียกท่านว่าเช่นไร ทว่าสิ่งที่แม่จันทร์เป็นอยู่นี้ก็ช่างน่าเอ็นดูนัก “ที่ไม่ให้เรียกเยี่ยงนั้น เพราะพี่อยากให้แม่จันทร์เรียกพี่ว่า ‘เจ้าคุณพี่’ จะได้รึไม่” “เจ้าค่ะ เจ้าคุณพี่”
เสียงมโหรีขับขานท่วงทำนองกล่อมหอดังแผ่วแว่วมาในห้อง ส่งผลให้ผู้เป็นเจ้าสาวที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียงต้องกระชับฝ่ามือเข้าหากันแน่นด้วยประหม่านัก เพราะอีกไม่นานเจ้าบ่าวซึ่งออกไปส่งผู้หลักผู้ใหญ่และขอบคุณผู้ที่มาร่วมงานก็จะกลับเข้ามา และเมื่อนั้นลำดับขั้นของงานวิวาห์จึงจะถือว่าสัมฤทธิ์ผล เจ้าสาวคนสวยชำเลืองมองที่นอนหนานุ่มขึงผ้าปูสีชมพูปักลวดลายดอกไม้กระจิริดดูอ่อนหวาน ทั้งข้าวของที่ใช้ทำ ‘พิธีเรียงหมอน’ ก็ยังวางเรียงรายกันอยู่อย่างสงบนิ่ง ฟักเขียว แมวคราว ไก่ขาว ไม้เท้า ถ้วยน้ำ และหินบดยา ถูกวางอยู่มุมซ้ายของเตียง ถุงเงินและถุงทอง ที่บรรจุถั่วเขียว งาดำ ข้าวตอก ดอกรัก ดอกบานไม่รู้โรย ถูกเปิดและหยิบเอาถั่ว งา และดอกไม้เหล่านั้นออกมาโปรยบนที่นอนเพื่อเป็นมงคล เมื่อนึกถึงเหตุที่เพิ่งผ่านไปเจ้าสาวก
ฟาววววววว... ควับ! “กรี๊ดดดดด...” สิ้นสุดเสียงกรีดร้องร่างที่สะบักสะบอมไปด้วยบาดแผลของนางแพงก็มีอันสิ้นสติไปด้วยความเจ็บปวด แต่คุณพระท่านก็ยังไม่หนำใจ ทั้งที่ตนเองก็หอบตัวโยนด้วยลงแรงไปกับหวายทั้งตัว คุณพระท่านร้องสั่งให้ข้าทาสไปนำเกลือเม็ดละลายน้ำเอามาสาดใส่บาดแผลของนางแพงให้มันฟื้นคืนขึ้นมาอีก เพื่อจะให้เรือนร่างนี้ได้รับความเจ็บปวดอย่างต่อเนื่อง ให้สาสมกับสิ่งที่มันทำเอาไว้ เพราะมันเจ็บกาย แต่ท่านนั้นเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ รักมากก็แค้นมาก หวงมากก็อยากจะให้ตายคามือด้วยความทรยศ “สาดเข้าไป! เอาให้มันเจ็บมันแสบ มันจะได้รู้ว่าใครอย่าบังอาจมาทำเรื่องอัปรีย์จัญไรบนเรือนกูอีก ไอ้อีหน้าไหนที่มันกล้า มันจะต้องโดนเยี่ยงน
ฉาด! ฝ่ามือกระทบใบหน้าของนางแพงอีกครั้งให้หันไปตามแรงตบ เมื่อนางแพงเอาแต่ยิ้มและหัวเราะขันกับคำพูดของตนเอง มันทำความเสื่อมเสียเพียงผู้เดียวยังไม่พอ ยังจะริปากดีป้ายสีให้แม่พิศเมียรักต้องมัวหมองไปด้วย “ตบอีกสิเจ้าคะ ตบให้อีแพงมันตายไปเลย ไม่ต้องรอหวายแล้วเจ้าค่ะ แค่น้ำมือคุณท่าน อีแพงก็แทบจะตายคามืออยู่แล้ว แต่ก่อนตายขออีแพงได้พูดให้หมดเปลือกเถิด อีแพงคบชู้ อีแพงยอมรับ แต่หากคุณนายพิศคบชู้เล่าเจ้าคะ คุณท่านจะทำเช่นไร จะลงโทษคุณนายเทียบเท่ากับอีแพงรึไม่ หรือจักส่งคุณนายไปให้กองโปลิศตัดสิน ให้ประณามหยามเหยียดไปทั่วพระนคร ว่าลูกสาวบ้านนี้สัญชาติคบชู้สู่ชาย บ้านใดนำไปเป็นลูกเป็นเมีย ก็รังแต่จะเสื่อมเสียคบชู้อยู่ร่ำไป” “อีแพง!” 
“เอ็งช่างกล้าพูดนักนังแพง...” น้ำเสียงเอ่ยออกมาด้วยความเข่นเครียด ยิ่งเห็นเรือนร่างอวบอิ่มของเมียสาวคราวลูกสั่นสะท้านไปด้วยแรงสะอื้น คุณพระท่านยิ่งสะท้อนไปถึงหัวใจ เพราะนางแพงเมียทาสผู้นี้ ท่านสนิทเสน่หามันยิ่งนัก กลับมาคืนเรือนครั้งนี้ ท่านก็หวังจะโอ้โลมมันให้มีความสุข เพราะทิ้งร้างให้เปล่าเปลี่ยวอยู่นาน จนต้องสั่งให้เจ้าเข้มมาแจ้งข่าวกับแม่พิศว่าท่านจะคืนเรือนในวันนี้ ให้นางแพงได้เตรียมตัวต้อนรับท่านเถิด แต่กลับกลายเป็นว่านางแพงมันมีความสุขจนแทบจะสำลักอยู่แล้ว แม้จะรู้ว่าท่านคืนเรือนวันนี้ มันก็ยังกล้าที่จะพาไอ้บุญทิ้งไปร่วมรักกันบนเรือน บนเตียงที่ทับรอยของท่าน รวมทั้งคำรักที่มันพร่ำพลอดแก่กันและกันนั้น แปลว่านางแพงผู้นี้ไม่เคยเห็นท่านอยู่ในสายตาสักนิด มันไม่คิดถึงความสุขสบายที่ท่านปรน
ริมฝีปากยังคงแนบชิดแต่ท่อนแขนช้อนเรือนร่างอวบอิ่มขึ้นโอบอุ้มพาก้าวเดินไปสู่เตียงสี่เสาที่มีม่านลูกไม้สีขาวประดับอยู่ ร่างงดงามถูกวางไว้บนฟูกนุ่มที่ขึงเรียบตึงด้วยผ้าปูเตียงสีชมพูอ่อน กอปรกับแสงไฟสีนวลจากตะเกียงก็ช่วยส่งขับให้ผิวกายสีน้ำผึ้งนวลเนียนนี้ให้ยิ่งนวลน่าลูบไล้ฝ่ามือลงไปสัมผัสมากยิ่งขึ้น “พี่บุญทิ้งจ๋า... แพงรักพี่เหลือเกิน” “พี่ก็รักแม่แพงยิ่งนัก” แม่แพงคล้องฝ่ามือรอบลำคอแกร่งของไอ้ทาสวัยหนุ่มพลางรั้งใบหน้าคมเข้มนั้นเข้าหาตัว ความแข็งแกร่งนี้ที่หล่อนปรารถนา ความเข้มแข็ง ดุดัน ของคนรุ่นหนุ่ม หาใช่ความแก่ชราของชายวัยคราวพ่อเฉกเช่นคุณพระท่าน และเมื่อใบหน้าคมเข้มนั้นเคลื่อนเข้าใกล้ แม่แพงก็หลับตาพ
“อา... บุญทิ้งจ๋า... กระแทกลงมาแรงๆ เลย บุญทิ้งจ๋า...” “ขอรับคุณท่าน ไอ้ทิ้งจะกระแทกให้แหลกคา...” ขาดคำของบุญทิ้ง ไอ้ทิ้งน้อยก็โจนทะยานไปข้างหน้า ทะลวงเข้าไปในโพรงฉ่ำน้ำของคุณนายพิศอย่างบ้าคลั่ง และเมื่อคุณนายกรีดร้องด้วยความสุข ไอ้ทิ้งน้อยก็พ่นพิษร้อนออกมาอย่างท่วมท้นเช่นเดียวกัน โพรงดอกไม้ตอดตุบจนบุญทิ้งต้องซุกซบใบหน้าลงไปที่เต้าอวบอิ่มของคุณนายพิศ พร้อมทั้งจูบซับปลายยอดงอนงามด้วยความซ่านเสียวและพิศวาส ความร้อนแรงของคุณนายเจ้าของเรือนยังมีให้มันอย่างไม่หยุดหย่อน ตราบจนเสียงไก่ขันดังแว่วมา ไอ้ทิ้งน้อยจึงจำต้องอำลาโพรงน้ำหวานกลับไป เพื่อทำหน้าที่ทาสในเรือนเฉกเช่นเดิม.. 
“ขอบใจแพง” “ใช่ ข้าขอบใจที่แม่แพงจะไม่นำเรื่องของบุญทิ้งไปบอกคุณพระท่าน” “เอ่อ... เจ้าค่ะ” แม่แพงก้มหน้าไม่กล้าสบสายตาคุณนายพิศ ด้วยไม่รู้ว่าคุณนายรู้เรื่องมากไปกว่านี้รึไม่ และคำพูดต่อมาของคุณนายก็ทำให้แม่แพงเข้าใจว่าคุณนายพิศไม่ได้รู้เรื่องระหว่างตนกับบุญทิ้ง “ข้าหลงผิดไปเอง ต่อแต่นี้ไปข้าจะไม่กระทำผิดเยี่ยงนั้นอีก” เสียงสะอื้นของคุณนายพิศทำให้แม่แพงต้องมองคุณนายใหญ่เจ้าของเรือนด้วยความเห็นใจและสะท้อนในหัวอกตัวเองอย่างที่สุด เพราะสิ่งที่คุณนายพิศตั้งมั่นว่าจะไม่ทำผิดนั้น บัดนี้ตัวของแม่แพงเองนั่นแหละที่กร