แต่แล้วสิ่งที่แม่พิศหวาดหวั่นพรั่นพรึงก็ไม่ได้น่ากลัวเกรงอย่างที่แอบอกสั่นขวัญแขวนเลยสักนิด กลับกันที่หล่อนได้รับความเพลิดเพลินจนต้องครวญครางในลำคอเบา
“อื้อ... พี่อ่ำจ๋า... พี่ทำอะไรฉัน”
แม่พิศดิ้นพล่านเมื่อแม่อ่ำซุกไซ้จมูกที่ซอกคอทำให้หล่อนเสียวสยิวจนต้องบิดกายอย่างทำอะไรไม่ถูก ยิ่งแม่อ่ำลูบไล้ไปบนเนินเนื้ออวบอิ่มสมวัยสาวสะพรั่ง แม่พิศก็ต้องห่อไหล่หนีก่อนจะเปลี่ยนเป็นแอ่นอกสู้มือแม่อ่ำไม่หยุด
“อา... พี่อ่ำจ๋า... พี่ทำอะไรฉัน พี่จะฆ่าฉันหรือไร”
แม่พิศบิดกายไปมาเพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่บังเกิดอยู่ในอกหล่อนนี้เรียกว่าอะไร รู้แต่ว่ามันกำลังทำให้หล่อนหายใจติดขัด จนต้องอ้าปากพะงาบๆ เรียกเอาลมหายใจเข้าสู่ร่างกายโดยเร็ว
“พี่ก็จะทำให้น้องพิศมีความสุขยังไงเล่าจ๊ะ รับรองว่าน้องพิศจะมีแต่ความสุขมิรู้ลืม”
แม่อ่ำเคลื่อนมือไปปลดผ้าแถบรัดอกอึดอัดนั้นให้คลายออก ก่อนจะเลื่อนฝ่ามือขึ้นไปกอบกุมความอวบอิ่มเอาไว้ทั้งสองข้าง ใบหน้าซุกไซ้สูดดมความหอมของน้ำอบน้ำปรุงและกลิ่นกายสาวสะพรั่งที่ไม่เคยได้ต้องมือชายใดมาก่อน เพราะได้รู้ได้เห็นและแอบมองแม่พิศมาตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อสาว แต่ในยามนั้นตัวหล่อนเองก็มีสาวน้อยสาวใหญ่ในตำหนักมาให้เชยชมมิได้ขาด ด้วยก็หวังจะได้ดิบได้ดีอยู่ในตำหนักกรมหมื่นฯ กันทั้งนั้น
และในยามนี้ก็ถึงคราวที่แม่พิศจะเป็นหนึ่งในเด็กสาวพวกนั้น แค่น้าสาวของแม่พิศเอ่ยฝาก หล่อนก็แทบจะรับฝากเสียเดี๋ยวนั้น แต่เพราะขนบในรั้วในวังนั้นมีขั้นมีตอน กว่าจะนำความขึ้นทูลและกรมหมื่นฯ ท่านอนุญาต หล่อนก็แทบจะรอคอยให้ถึงวันนี้ไม่ไหว แลเมื่อเนื้อหวานอันโอชะมารอคอยอยู่ตรงหน้าก็ต้องกลืนกินให้สมความกระหายอยาก
“อา... พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำทำอะไรฉัน... อา...”
ริมฝีปากสาวน้อยอ้าพะงาบๆ พร่ำคำพูดพร้อมหอบหายใจน้อยๆ อย่างคนที่ไม่เคยเจอกับเรื่องอัศจรรย์ใจแบบนี้มาก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกำลังกลายเป็นเชื้อไฟที่โลมเลียร่างกายของหล่อน จนสะบัดร้อนสะบัดหนาวสั่นสะท้านไปหมดทั้งตัว แต่ความใคร่รู้ก็มีมากเสียจนต้องผงกหัวขึ้นมองในสิ่งที่แม่อ่ำกำลังทำ
ดวงตาสาวน้อยเบิกกว้างมองหัวทุยของแม่อ่ำที่ก้มๆ เงยๆ อยู่ที่บัวคู่งาม ดอกบัวตูมที่เพิ่งเคยเจอฝ่ามือคนอื่นเป็นครั้งแรกนอกจากมือตัวเองที่คอยขัดถูคราบเหงื่อไคลทุกคืนวัน
และไม่เพียงแค่ฝ่ามือเพราะปลายลิ้นของแม่อ่ำที่แลบออกมายาวก่อนจะเลียไล้ที่ปลายยอดพร้อมกับใช้ริมฝีปากดูดดุนปลายยอดไปมา ก็ทำให้แม่พิศตาเหลือกกว้างมองสิ่งอัศจรรย์นั้นอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก แต่ก็ต้องหลับตาพริ้มเพื่อซึมซับเอาความอัศจรรย์ที่แม่อ่ำกระทำต่อไปไม่หยุด และแม่พิศก็ได้เรียนรู้อีกอย่างหนึ่ง
เมื่อทุกจังหวะที่ปลายลิ้นของแม่อ่ำเลียไล้ขึ้นลงหรือทุกครั้งที่ริมฝีปากของแม่อ่ำดูดดุนยอดอกกระจิริดนั้นเข้าสู่อุ้งปาก อะไรบางอย่างก็กระตุกวาบๆ อยู่ที่เครื่องเพศของหล่อน จนต้องบดเบียดหน้าขาเข้าหากันแน่น ทั้งภายในใจก็ร่ำร้องอยากจะให้แม่อ่ำแตะต้องที่จุดนั้นเสียเหลือเกิน
“อื้อ... พี่อ่ำจ๋า... ฉัน... ฉัน...”
“เสียวใช่รึไม่น้องพิศจ๋า ประเดี๋ยวน้องพิศจะได้เสียวยิ่งกว่านี้อีก เสียวจนจะขาดใจตายแต่ก็ไม่ตาย มันคือความสุขอย่างสุดยอด จนน้องพิศต้องกรีดร้องให้พี่ช่วย”
แม่อ่ำบอกเสียงกระเส่าพลางก้มลงสูดดมความหอมจากร่องอกอวบอิ่มสมวัย
“จริงหรือจ๊ะ จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือจ๊ะ พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำจะทำให้ฉันมีความสุขจริงๆ หรือจ๊ะ”
“จริงสิจ๊ะน้องพิศจ๋า คอยดูก็แล้วกัน พี่จะทำจนน้องพิศสุขที่สุด”
“อื้อ... พี่อ่ำจ๋า... ฉัน... ฉัน... ฉันเสียวอีกแล้ว โอย... พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำทำอะไรฉัน โอย...”
แม่พิศดิ้นพล่านไม่หยุดจนผ้าโจงหลุดออก เนื้อตัวที่ดีดดิ้นนั้นล่อนจ้อนราวกับเด็กแรกเกิด และเมื่อแม่อ่ำตะปบฝ่ามือลงบนความเป็นหญิงพร้อมกับเคล้นคลึงไปมาเบาๆ แม่พิศก็ยิ่งอ้าปากพะงาบๆ หายใจหายคอแทบไม่ทัน เมื่อความรู้สึกหนึ่งเข้าแทรกกลางระหว่างร่าง จนหล่อนต้องอ้าหน้าขาที่บดเบียดกันนั้นออก เพื่อให้ฝ่ามือของแม่อ่ำแตะต้องสัมผัสกับดอกไม้แรกแย้มที่หล่อนควรสงวนไว้อย่างเต็มที่
“อา... พี่อ่ำจ๋า... ฉันเสียวเหลือเกิน อา...”
“พี่จะทำให้น้องพิศเสียวไม่หยุด”
และแม่อ่ำก็ทำได้ตามปากพูดเมื่อเรือนร่างที่เปล่าเปลือยไม่ต่างกันนั้นเคลื่อนริมฝีปากลงต่ำไปตามหน้าท้องและสีข้างขณะที่ฝ่ามือไม่ได้ละออกจากดอกไม้แรกแย้มนั้นเลย
แม่พิศบิดกายไปมาไม่หยุด ดวงตาสวยหวานเบิกกว้างมองแต่ขื่อคานด้านบนพลางนึกอยากจะล่องลอยขึ้นไปอยู่บนคานขื่อนั้นนัก เพราะยิ่งริมฝีปากของแม่อ่ำลากไล้ลงต่ำเท่าไร เนื้อกายของหล่อนก็อยากจะโลดแล่นให้สูงขึ้นอีก แต่แม่พิศก็ไม่รู้ว่าหล่อนจะแอ่นตัวได้สูงสักเท่าไร รู้แต่ว่าสะโพกผายนั้นอยู่ไม่ติดที่นอนเย็บนุ่นนุ่มนิ่มนั้นเลย แต่แล้วหล่อนก็ได้รู้
“อ่ะ! พี่อ่ำจ๋า... โอว... พี่อ่ำ... พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำ... อื้อ... พี่อ่ำจ๋า...”
แม่พิศสะบัดใบหน้าร่ำร้องหาแต่ชื่อของแม่อ่ำอยู่ตลอด เพราะในเวลานี้หล่อนรู้แล้วว่าสะโพกผายนั้นจะแอ่นไปสูงได้แค่ไหนกัน และแค่ไหนที่หล่อนจะพอใจ เมื่อดอกไม้แรกแย้มนั้นเบ่งบานออกจากกันจนสุด และกำลังถูกชำแรกด้วยปลายลิ้นน้อยๆ ของแม่อ่ำอย่างรัวเร็ว“อ้าย... พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำ! อื้อ! พี่อ่ำ!”เสียงกรีดร้องรัวเร็วราวกับจะเร่งเร้าจึงดังออกจากปากน้อยๆ นั้นอย่างไม่ขาดสาย ร่างกายเบาหวิวราวกับวิญญาณวิ่งพรวดออกจากร่างก่อนจะกระเด็นกระดอนกลับเข้าไปใหม่อย่างรุนแรง ทำให้ร่างเปล่าเปลือยกระตุกวาบติดกันหลายต่อหลายครั้งแม่พิศหอบหายใจและหมดเรี่ยวแรงราวกับวิ่งหนีอะไรมาเสียไกล ได้แต่นอนแผ่ร่างเปล่าเปลือยอวดเนื้อหนังมังสาให้เป็นอาหารตาแก่แม่อ่ำต่อไป และเพียงไม่นานแม่อ่ำก็เริ่มต้นกลืนกินเนื้อตัวของหล่อนอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้แม่พิศเองก็ครวญครางซู้ดซี้ดริมฝีปากของตัวเองไปมาราวกับได้กินของเผ็ดร้อนที่เอร็ดอร่อยที่สุดในชีวิต..นับจากนั้นการเล่นเพื่อนหรือเรียกอีกอย่างว่า ‘เล่นสวาท’ หากจะพูดให้ทะลึ่งตึงตังก็ไม่ได้น่ากลัวสำหรับแม่พิศอีกต่อไป แต่กลับทำให้แม่พิศได้มาเป็นนางพนักงานในตำหนักกรมหมื่นฯ ได้อยู่ดีก
แม่อ่ำได้แต่ตีอกชกตัวตนเอง เพราะตนนั้นทั้งรักทั้งหลงแม่พิศเสียจนสรรหาแต่สิ่งดีๆ มาให้ เครื่องประทินผิว อาหารการกิน เครื่องทอง เครื่องเงิน หากแม่พิศอยากได้ ไม่เคยเลยที่จะไม่ให้ แล้วเหตุใดแม่พิศจึงเลือกที่จะออกเรือน ไม่เลือกที่จะเคียงคู่กับตนไปจนแก่เฒ่าอยู่ในวังกรมหมื่นฯ นี้เล่า“พี่อ่ำจ๋า ไม่ใช่ว่าฉันไม่เห็นค่าในความรักของพี่ แต่พี่อ่ำดูสิจ๊ะ ปีนี้ฉันอายุได้ยี่สิบปีเต็มแล้ว มันเลยวัยที่ฉันจะมีเหย้ามีเรือนแล้วหนาพี่ หากฉันปล่อยให้เวลาเนิ่นนานกว่านี้ คงจะไม่มีใครมาสู่ขอฉันไปเป็นเมียแน่ พี่อ่ำเห็นใจฉันด้วยเถิด พ่อกับแม่ก็มีฉันเป็นลูกสาวอยู่ผู้เดียว หวังจะได้ฝากผีฝากไข้ หากฉันไม่แต่งงานออกเหย้าออกเรือนไป ฉันจะมีโอกาสไหนได้ตอบแทนพระคุณท่านอีกล่ะพี่ ฉันมิกลายเป็นลูกอกตัญญูไปดอกเหรอ ที่เห็นทางจะทำให้พ่อแม่มีความสุขได้ แต่ฉันกลับเลือกเอาความสุขของตนเองเป็นที่ตั้ง ใช่ว่าฉันไม่เจ็บปวด”น้ำตาพรั่งพรูด้วยความเจ็บช้ำหวังว่าแม่อ่ำจะเข้าใจในสิ่งที่ตนเลือกตัดสินใจในครั้งนี้และไม่คิดขัดขวางหนทางแห่งความสุข แต่แท้จริงแล้วนั้น นี่ก็คือมารยาหญิงที่แม่พิศหมั่นฝึกปรืออยู่บ่อยครั้ง ไม่เช่นนั้นคงมิได้ข้าวของม
และเมื่อคุณหลวงในร่างของแม่อ่ำปลดผ้าแถบรัดอกของหล่อนออก พร้อมทั้งใช้จมูกซุกไซ้ไปตามเนินอกอวบก่อนจะสูดดมและดูดดึงปลายยอดชูชัน แม่พิศก็แทบจะแอ่นความเป็นหญิงให้ท่านเชยชมเสียเดี๋ยวนี้ อยากจะกรีดร้องเรียกชื่อคุณหลวงออกมา แต่ดีที่ว่าสายตาเห็นหัวของแม่อ่ำลอยเด่นอยู่บนหน้าท้องของตนเองเสียก่อน คำร้องออกมาจึงเป็น“โอว... พี่อ่ำจ๋า... ฉันมีความสุขเหลือเกิน โอว... จะหาใครให้ความสุขกับฉันได้เท่าพี่ พี่อ่ำจ๋า... อูย... พี่อ่ำ... อื้อ... พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำ...”ริมฝีปากพ่นคำหวานเพื่อให้แม่อ่ำติดตรึงใจมากที่สุด สะโพกส่ายร่อนไม่หยุดเมื่อเจอลิ้นร้อนของแม่อ่ำเข้าไปกระทบที่กลีบดอกบอบบางดอกไม้เบ่งบานจากนิ้วมือและปลายลิ้นของแม่อ่ำที่ซุกไซ้ให้แม่พิศต้องดิ้นพล่านไม่หยุด ปากก็ร่ำร้องแต่ชื่อของแม่อ่ำอย่างทิ้งทวน“พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำ...”ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับการ ‘เล่นเพื่อน’ เพราะในค่ำคืนครั้งหน้าคงเป็นการเล่น ‘ผัวเมีย’ เท่านั้นที่หล่อนต้องเรียนรู้ และหวังว่าการเล่นครั้งใหม่จะทำให้หล่อนขึ้นสวรรค์ได้หลายๆ ครั้งอย่างที่แม่อ่ำทำให้ หรือจะให้ดี หากร่างกายของหล่อนจะเบาบางราวกับโบยบินขึ้นไปบน
“เรียกพี่เถิดแม่พิศ แม่พิศเป็นเมียของพี่ เป็นศรีแห่งเรือนนี้ ต่อแต่นี้ไปแม่พิศจะเป็นใหญ่ที่สุดในเรือน จักทำอะไรก็ตามแต่สมควรเถิด ป่ะ... ขึ้นเรือนกัน พี่จะพาแม่พิศเดินดูให้ทั่วทุกห้องหับ”“เจ้าค่ะคุณพี่”แม่พิศอมยิ้มอย่างเอียงอาย เพราะสายตาของคุณหลวงที่สื่อมานั้นคือความเสน่หา ไม่ต่างจากสายตาของแม่อ่ำที่ใช้มองหล่อนเลยสักนิด แล้วเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในห้องหอตลอดทั้งค่ำคืนนี้เล่า หล่อนจะต้องพบเจอกับสิ่งน่าอัศจรรย์ใดบ้าง จะต้องกรีดร้องคร่ำครวญเหมือนเมื่อคราเล่นเพื่อนครั้งแรกกับแม่อ่ำหรือไม่ หรือจะหลับตาพริ้มซึมซับเอาความสุขขึ้นไปบนสวรรค์ อย่างไรกันเล่าที่หล่อนกำลังจะเผชิญใบหน้างดงามผินมองขอบฟ้าที่แม้แดดจะร่มแต่ก็ยังอีกนานกว่าเวลาพลบค่ำจะมาถึง ทั้งที่หัวใจของหล่อนนั้นประหวัดอยากให้ถึงยามค่ำเสียให้เร็ว แม้จะเป็นความน่าละอายที่หญิงมิควรคิดสัปดนเยี่ยงนี้ แต่หล่อนจะห้ามความคิดนั้นได้อย่างไรกันเล่า ในเมื่อขณะนี้ เนื้อกายสะบัดร้อนสะบัดหนาวเสียราวกับจะจับไข้ ใคร่อยากจะดึงทึ้งเสื้อผ้าเกะกะนี้ให้พ้นไปจากเนื้อกายแต่โดยเร็ว“แม่พิศหนาวเหรอจ๊ะ”“มิได้เจ้าค่ะคุณพี่ น้อง... เอ่อ... น้อง...” เนื้อตัวแข็
ข้าวปลาอาหารสำรับเย็นที่บ่าวไพร่จัดเตรียมไว้ให้แทบจะกลายเป็นของหวานไปในทันทีเพราะหลวงสรเดชฯ เอาอกเอาใจแม่พิศมากมายเสียจนแม่พิศแทบจะกลืนกินอาหารไม่ได้ ด้วยเพราะความอายและไม่เคยมีผู้ชายมาเอาอกเอาใจเยี่ยงนี้ทุกครั้งที่สายตาของหลวงสรเดชฯ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีมองมา แม่พิศก็สะเทิ้นสะบัดร้อนสะบัดหนาวไปทั้งเนื้อตัว ความรู้สึกร้อนรุ่มรุมเร้าจนแม่พิศคิดอยากจะอาบน้ำให้คลายอาการสะท้านร้อนนี้ เพราะดวงตาคมเข้มของบุรุษที่ทอดมองไปตามเนื้อกายนั้นไม่ต่างเลยกับเปลวไฟที่กำลังโลมเลียผิวเนื้อสัมผัสอุ่นวาบ ซาบซ่าน ราวจะเกิดขึ้นไปทุกที่ที่สายตานั้นทอดมอง จนแม่พิศอยากจะให้มื้ออาหารนี้ผ่านไปเสียโดยเร็ว อยากให้ถึงเวลานั้น... “แม่พิศไปอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อยเถิด พี่จะนั่งรับลมตรงนี้สักครู่” “เจ้าค่ะคุณพี่” เมื่อมื้ออาหารสิ้นสุด คำที่หลวงสรเดชฯ เอ่ยบอกก็ทำให้แม่พิศต้องก้มหน้าซ่อนซุกแววขวยเขินนั้นไว้ให้มาก ด้วยรู้ดีว่าช่วงเวลาต่อจากนี้ไปอีกไม่นาน หล่อนจะได้พานพบกับความหฤหรรษ์ดังที่ใครๆ ว่าไว้ แลหลวงสรเดชฯ ก็คงไม่อยากให้หล่อนเขินอายไปมากกว่านี้ จึงเปิดโอกาสให้หล่อนได้ทำธุระ
แม่พิศอมยิ้มดวงตาสวยหวานมองโต๊ะเครื่องแป้งที่ปรารถนาสักวันหนึ่งว่าอาจได้มี เพราะเครื่องของใช้เหล่านี้มิใช่ฐานะเพียงนางพนักงานจะหาซื้อได้ ต้องเป็นพวกเจ้านายเท่านั้นที่จะมีเงินมีทองไปแลกมาแลกระจกบานใหญ่นั้นก็ใสเสียจนสะท้อนใบหน้าเอียงอายของหล่อนออกมาอย่างชัดเจน และในนั้นหล่อนก็เห็นสายตาของสามีกำลังโลมเลียเนื้อตัวของหล่อนด้วยความกระหายแลเมื่อดวงตาคมเข้มช้อนขึ้นสบดวงตาของหล่อน ก็เป็นหล่อนเองที่เอียงอายจนต้องหลบเลี่ยง “พี่จัดเตรียมไว้ให้แม่พิศโดยเฉพาะ เพราะรู้ว่าสตรีล้วนต้องการมีข้าวของเครื่องใช้ที่สวยงาม และหากพี่พบเจอของสวยหรือน้ำอบน้ำปรุงที่เหมาะสมกับแม่พิศ พี่ก็จักจัดหามาให้มิขาด” “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” แม่พิศละทิ้งความอายหันร่างมาเผชิญหน้าก่อนจะก้มกราบลงที่อกของสามี เมื่อเวลานี้จริตจะกร้านแต่พองามกำลังส่งผล “แม่พิศง่วงรึยัง” น้ำเสียงทุ้มที่ถามมาอย่างลองเชิงยิ่งทำให้แม่พิศต้องก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มเอียงอายมากขึ้น ใครเล่าจะไม่รู้ว่าคำถามนี้ส่อความหมายถึงสิ่งใด ในเมื่อฝ่ามือของหลวงสรเดชฯ นั้นยังเคลื่อนไปมาบนเรือนกายของหล่อนไม่หยุด
มันวูบๆ วาบๆ ปนเสียว ปนกลัวเกรงไปหมด เหมือนรู้ว่าฝนกำลังจะมาแต่หล่อนก็ต้องออกไปหาของสำคัญที่ทำตกเอาไว้ ไม่ไปเอาก็ไม่ได้เพราะคงจะทรมานด้วยความต้องการของสิ่งนั้นจนอดรนนอนหลับไม่ไหว“คุณ... คุณพี่เจ้าคะ คุณพี่... คุณพี่...”หลวงสรเดชฯ ยิ้ม เมื่อได้ยินเสียงหวานๆ เปล่งครวญครางเรียกเขา และอีกไม่นานนับจากนี้หล่อนจะต้องส่งเสียงครางระงมพร้อมกรีดร้องด้วยความสุขสมครั้งแรกจนอดไม่อยู่จมูกซุกไซ้ควานหาความหอมหวานที่มีตามธรรมชาติของกายสาว และกลิ่นเนื้อสาวก็เร่งเร้าให้ความแข็งขืนตื่นตัวมากมายกว่าครั้งไหนสาวบริสุทธิ์เขาเคยได้ร่วมมาก็มาก รู้ดีว่าครั้งแรกนั้นแต่ละคนต้องเจ็บปวดรวดร้าวสักเพียงไหน แต่เพราะนั่นเขาไม่คิดที่จะถนอม การเสพสมกับบ่าวไพร่ไม่มีความจำเป็นใดที่เขาต้องรอคอย อีกทั้งเนื้อตัวของบ่าวไพร่ก็ไม่ได้หอมกรุ่นจนเขาต้องละเลียดดม ก็แค่ต้องการปลดเปลื้องความตื่นตัวในแต่ละค่ำคืนให้จางหายไปเท่านั้น แต่สำหรับแม่พิศคนนี้ไม่ใช่แม่ศรีแม่เรือนที่เขานับวันรอคอยจะได้ร่วมหอร่วมห้อง เขาจำต้องถนอมเนื้อหวานๆ นี้ไว้กินให้ได้นานที่สุด ยิ่งบำรุงบำเรอแม่พิศให้งดงามเพียงใด ก็ยิ่งถือว่าเป็นหน้าเป็นตาสำหรับเรือน“แม่
แม่พิศร้องเสียงหลงใส่จริตเต็มที่ เมื่อปลายลิ้นของสามีแตะต้องที่กลีบดอกไม้ ทว่าสามีไม่ได้ฟังหล่อนเลย เพราะปลายลิ้นร้อนนั้นกำลังชอกชอนไต่ตวัดไล้ที่ติ่งเสียวจนหล่อนอยากกรีดร้องครวญครางให้มากกว่านี้ แต่สำนึกแห่งจริตก็ยังทำให้หล่อนยั้งไว้‘โอว... มันมากกว่าที่พี่อ่ำทำเหลือเกิน โอว... เร็วๆ สิเจ้าคะคุณพี่... อา... ซี้ด... น้องเสียว... ซี้ด...’สิ่งที่คิดกับคำที่ร้องบอกไม่ใกล้กันเลย น้ำเสียงหวานกระเส่าที่เปล่งร้องออกมานั้น คือคำร้องห้าม“อา... ไม่นะเจ้าคะ คุณพี่ ไม่นะ... อื้อ... ไม่... คุณพี่เจ้าขา... คุณพี่... อื้อ...”ทั้งที่อยากจะร้องดังใจคิด แต่นั่นคงไม่ใช่จริตที่ควรทำ หล่อนจำต้องสะกดเก็บทุกความรู้สึกและรอคอยสวรรค์ที่จะโน้มลงมา ยามนี้หล่อนรู้แล้วที่คุณน้าพินพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร เพราะแค่ปลายลิ้นของพี่อ่ำกับคุณพี่สนก็แตกต่างกันจนเทียบไม่ได้ หล่อนคิดไม่ผิดหรอกที่ไม่พิสมัยเล่นเพื่อนเสียจนเคยตัว เพราะความสาก ความอุ่น และความแข็งแกร่งจากปลายลิ้นของคุณพี่สนนั้น ทำให้หล่อนเห็นสวรรค์รำไร“อา... คุณพี่ขา... คุณพี่เจ้าขา... น้อง... อื้อ... คุณพี่เจ้าขา...”ยิ่งแม่พิศร้องครางเท่าไรปลายลิ้นก็เร่
แม่จันทร์สะอื้นฮึกฮัก เพราะไม่อาจรู้ได้ว่าความเจ็บปวดร้าวรวดดั่งถูกมีดแหลมคมปักกรีดอยู่กึ่งกลางร่างกายนี้ จะมลายคลายลงได้อย่างไร เมื่อมันเจ็บเสียจนหล่อนไม่กล้าที่จะร่ำร้อง ด้วยกลัวว่าเพียงร่างกายขยับ ความเจ็บปวดนั้นจะทวีทบเท่า แลถึงตอนนั้นร่างกายนี้อาจตายเสียก็ได้ ทว่าแม้นเจ็บเพียงใด สัญชาตญาณก็ยังร้องสั่งให้แม่จันทร์มอง เพื่อให้รู้ที่มาของความเจ็บนั้น และสิ่งที่แม่จันทร์เห็นก็ทำให้ริมฝีปากต้องอ้าค้างมากขึ้น ด้วยไม่ใช่มีดพร้าที่ทิ่มตำร่างกาย แต่กลับเป็น ‘ท่อนเนื้อ’ ขนาดใหญ่ที่ยื่นออกมาจากกึ่งกลางกายของท่านกำลังทิ่มตำที่โพรงดอกไม้ สีหน้ารวดร้าวของท่านและคำสอนของแม่ที่แว่วมาในความคิดทำให้แม่จันทร์ต้องยิ้มทั้งที่เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เพราะนี่คงเป็นลำดับขั้นสุดท้ายก่อนที่หล่อนจะพานพบกับสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
เมื่อริมฝีปากของท่านทาบลงมาบนกลีบปากนุ่มก่อนจะบดเบียดยั่วเย้าอย่างอ่อนโยน ตามติดมาด้วยปลายลิ้นร้อนที่เกลี่ยไล้ไปมาอยู่บนกลีบปาก นั่นทำให้แม่จันทร์ถึงกับตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก “เจ้าคุณอา...” พระยาสรเดชฯ อมยิ้มในสีหน้า ดวงตาคมเข้มเต็มเปี่ยมไปด้วยกาลเวลาทอดมองหญิงสาวที่สั่นประหม่าไปทั้งร่าง จนลืมเลือนไปเสียสิ้นว่าต้องรักษากิริยาและต้องเรียกท่านว่าเช่นไร ทว่าสิ่งที่แม่จันทร์เป็นอยู่นี้ก็ช่างน่าเอ็นดูนัก “ที่ไม่ให้เรียกเยี่ยงนั้น เพราะพี่อยากให้แม่จันทร์เรียกพี่ว่า ‘เจ้าคุณพี่’ จะได้รึไม่” “เจ้าค่ะ เจ้าคุณพี่”
เสียงมโหรีขับขานท่วงทำนองกล่อมหอดังแผ่วแว่วมาในห้อง ส่งผลให้ผู้เป็นเจ้าสาวที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียงต้องกระชับฝ่ามือเข้าหากันแน่นด้วยประหม่านัก เพราะอีกไม่นานเจ้าบ่าวซึ่งออกไปส่งผู้หลักผู้ใหญ่และขอบคุณผู้ที่มาร่วมงานก็จะกลับเข้ามา และเมื่อนั้นลำดับขั้นของงานวิวาห์จึงจะถือว่าสัมฤทธิ์ผล เจ้าสาวคนสวยชำเลืองมองที่นอนหนานุ่มขึงผ้าปูสีชมพูปักลวดลายดอกไม้กระจิริดดูอ่อนหวาน ทั้งข้าวของที่ใช้ทำ ‘พิธีเรียงหมอน’ ก็ยังวางเรียงรายกันอยู่อย่างสงบนิ่ง ฟักเขียว แมวคราว ไก่ขาว ไม้เท้า ถ้วยน้ำ และหินบดยา ถูกวางอยู่มุมซ้ายของเตียง ถุงเงินและถุงทอง ที่บรรจุถั่วเขียว งาดำ ข้าวตอก ดอกรัก ดอกบานไม่รู้โรย ถูกเปิดและหยิบเอาถั่ว งา และดอกไม้เหล่านั้นออกมาโปรยบนที่นอนเพื่อเป็นมงคล เมื่อนึกถึงเหตุที่เพิ่งผ่านไปเจ้าสาวก
ฟาววววววว... ควับ! “กรี๊ดดดดด...” สิ้นสุดเสียงกรีดร้องร่างที่สะบักสะบอมไปด้วยบาดแผลของนางแพงก็มีอันสิ้นสติไปด้วยความเจ็บปวด แต่คุณพระท่านก็ยังไม่หนำใจ ทั้งที่ตนเองก็หอบตัวโยนด้วยลงแรงไปกับหวายทั้งตัว คุณพระท่านร้องสั่งให้ข้าทาสไปนำเกลือเม็ดละลายน้ำเอามาสาดใส่บาดแผลของนางแพงให้มันฟื้นคืนขึ้นมาอีก เพื่อจะให้เรือนร่างนี้ได้รับความเจ็บปวดอย่างต่อเนื่อง ให้สาสมกับสิ่งที่มันทำเอาไว้ เพราะมันเจ็บกาย แต่ท่านนั้นเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ รักมากก็แค้นมาก หวงมากก็อยากจะให้ตายคามือด้วยความทรยศ “สาดเข้าไป! เอาให้มันเจ็บมันแสบ มันจะได้รู้ว่าใครอย่าบังอาจมาทำเรื่องอัปรีย์จัญไรบนเรือนกูอีก ไอ้อีหน้าไหนที่มันกล้า มันจะต้องโดนเยี่ยงน
ฉาด! ฝ่ามือกระทบใบหน้าของนางแพงอีกครั้งให้หันไปตามแรงตบ เมื่อนางแพงเอาแต่ยิ้มและหัวเราะขันกับคำพูดของตนเอง มันทำความเสื่อมเสียเพียงผู้เดียวยังไม่พอ ยังจะริปากดีป้ายสีให้แม่พิศเมียรักต้องมัวหมองไปด้วย “ตบอีกสิเจ้าคะ ตบให้อีแพงมันตายไปเลย ไม่ต้องรอหวายแล้วเจ้าค่ะ แค่น้ำมือคุณท่าน อีแพงก็แทบจะตายคามืออยู่แล้ว แต่ก่อนตายขออีแพงได้พูดให้หมดเปลือกเถิด อีแพงคบชู้ อีแพงยอมรับ แต่หากคุณนายพิศคบชู้เล่าเจ้าคะ คุณท่านจะทำเช่นไร จะลงโทษคุณนายเทียบเท่ากับอีแพงรึไม่ หรือจักส่งคุณนายไปให้กองโปลิศตัดสิน ให้ประณามหยามเหยียดไปทั่วพระนคร ว่าลูกสาวบ้านนี้สัญชาติคบชู้สู่ชาย บ้านใดนำไปเป็นลูกเป็นเมีย ก็รังแต่จะเสื่อมเสียคบชู้อยู่ร่ำไป” “อีแพง!” 
“เอ็งช่างกล้าพูดนักนังแพง...” น้ำเสียงเอ่ยออกมาด้วยความเข่นเครียด ยิ่งเห็นเรือนร่างอวบอิ่มของเมียสาวคราวลูกสั่นสะท้านไปด้วยแรงสะอื้น คุณพระท่านยิ่งสะท้อนไปถึงหัวใจ เพราะนางแพงเมียทาสผู้นี้ ท่านสนิทเสน่หามันยิ่งนัก กลับมาคืนเรือนครั้งนี้ ท่านก็หวังจะโอ้โลมมันให้มีความสุข เพราะทิ้งร้างให้เปล่าเปลี่ยวอยู่นาน จนต้องสั่งให้เจ้าเข้มมาแจ้งข่าวกับแม่พิศว่าท่านจะคืนเรือนในวันนี้ ให้นางแพงได้เตรียมตัวต้อนรับท่านเถิด แต่กลับกลายเป็นว่านางแพงมันมีความสุขจนแทบจะสำลักอยู่แล้ว แม้จะรู้ว่าท่านคืนเรือนวันนี้ มันก็ยังกล้าที่จะพาไอ้บุญทิ้งไปร่วมรักกันบนเรือน บนเตียงที่ทับรอยของท่าน รวมทั้งคำรักที่มันพร่ำพลอดแก่กันและกันนั้น แปลว่านางแพงผู้นี้ไม่เคยเห็นท่านอยู่ในสายตาสักนิด มันไม่คิดถึงความสุขสบายที่ท่านปรน
ริมฝีปากยังคงแนบชิดแต่ท่อนแขนช้อนเรือนร่างอวบอิ่มขึ้นโอบอุ้มพาก้าวเดินไปสู่เตียงสี่เสาที่มีม่านลูกไม้สีขาวประดับอยู่ ร่างงดงามถูกวางไว้บนฟูกนุ่มที่ขึงเรียบตึงด้วยผ้าปูเตียงสีชมพูอ่อน กอปรกับแสงไฟสีนวลจากตะเกียงก็ช่วยส่งขับให้ผิวกายสีน้ำผึ้งนวลเนียนนี้ให้ยิ่งนวลน่าลูบไล้ฝ่ามือลงไปสัมผัสมากยิ่งขึ้น “พี่บุญทิ้งจ๋า... แพงรักพี่เหลือเกิน” “พี่ก็รักแม่แพงยิ่งนัก” แม่แพงคล้องฝ่ามือรอบลำคอแกร่งของไอ้ทาสวัยหนุ่มพลางรั้งใบหน้าคมเข้มนั้นเข้าหาตัว ความแข็งแกร่งนี้ที่หล่อนปรารถนา ความเข้มแข็ง ดุดัน ของคนรุ่นหนุ่ม หาใช่ความแก่ชราของชายวัยคราวพ่อเฉกเช่นคุณพระท่าน และเมื่อใบหน้าคมเข้มนั้นเคลื่อนเข้าใกล้ แม่แพงก็หลับตาพ
“อา... บุญทิ้งจ๋า... กระแทกลงมาแรงๆ เลย บุญทิ้งจ๋า...” “ขอรับคุณท่าน ไอ้ทิ้งจะกระแทกให้แหลกคา...” ขาดคำของบุญทิ้ง ไอ้ทิ้งน้อยก็โจนทะยานไปข้างหน้า ทะลวงเข้าไปในโพรงฉ่ำน้ำของคุณนายพิศอย่างบ้าคลั่ง และเมื่อคุณนายกรีดร้องด้วยความสุข ไอ้ทิ้งน้อยก็พ่นพิษร้อนออกมาอย่างท่วมท้นเช่นเดียวกัน โพรงดอกไม้ตอดตุบจนบุญทิ้งต้องซุกซบใบหน้าลงไปที่เต้าอวบอิ่มของคุณนายพิศ พร้อมทั้งจูบซับปลายยอดงอนงามด้วยความซ่านเสียวและพิศวาส ความร้อนแรงของคุณนายเจ้าของเรือนยังมีให้มันอย่างไม่หยุดหย่อน ตราบจนเสียงไก่ขันดังแว่วมา ไอ้ทิ้งน้อยจึงจำต้องอำลาโพรงน้ำหวานกลับไป เพื่อทำหน้าที่ทาสในเรือนเฉกเช่นเดิม.. 
“ขอบใจแพง” “ใช่ ข้าขอบใจที่แม่แพงจะไม่นำเรื่องของบุญทิ้งไปบอกคุณพระท่าน” “เอ่อ... เจ้าค่ะ” แม่แพงก้มหน้าไม่กล้าสบสายตาคุณนายพิศ ด้วยไม่รู้ว่าคุณนายรู้เรื่องมากไปกว่านี้รึไม่ และคำพูดต่อมาของคุณนายก็ทำให้แม่แพงเข้าใจว่าคุณนายพิศไม่ได้รู้เรื่องระหว่างตนกับบุญทิ้ง “ข้าหลงผิดไปเอง ต่อแต่นี้ไปข้าจะไม่กระทำผิดเยี่ยงนั้นอีก” เสียงสะอื้นของคุณนายพิศทำให้แม่แพงต้องมองคุณนายใหญ่เจ้าของเรือนด้วยความเห็นใจและสะท้อนในหัวอกตัวเองอย่างที่สุด เพราะสิ่งที่คุณนายพิศตั้งมั่นว่าจะไม่ทำผิดนั้น บัดนี้ตัวของแม่แพงเองนั่นแหละที่กร