แต่แล้วสิ่งที่แม่พิศหวาดหวั่นพรั่นพรึงก็ไม่ได้น่ากลัวเกรงอย่างที่แอบอกสั่นขวัญแขวนเลยสักนิด กลับกันที่หล่อนได้รับความเพลิดเพลินจนต้องครวญครางในลำคอเบา
“อื้อ... พี่อ่ำจ๋า... พี่ทำอะไรฉัน”
แม่พิศดิ้นพล่านเมื่อแม่อ่ำซุกไซ้จมูกที่ซอกคอทำให้หล่อนเสียวสยิวจนต้องบิดกายอย่างทำอะไรไม่ถูก ยิ่งแม่อ่ำลูบไล้ไปบนเนินเนื้ออวบอิ่มสมวัยสาวสะพรั่ง แม่พิศก็ต้องห่อไหล่หนีก่อนจะเปลี่ยนเป็นแอ่นอกสู้มือแม่อ่ำไม่หยุด
“อา... พี่อ่ำจ๋า... พี่ทำอะไรฉัน พี่จะฆ่าฉันหรือไร”
แม่พิศบิดกายไปมาเพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่บังเกิดอยู่ในอกหล่อนนี้เรียกว่าอะไร รู้แต่ว่ามันกำลังทำให้หล่อนหายใจติดขัด จนต้องอ้าปากพะงาบๆ เรียกเอาลมหายใจเข้าสู่ร่างกายโดยเร็ว
“พี่ก็จะทำให้น้องพิศมีความสุขยังไงเล่าจ๊ะ รับรองว่าน้องพิศจะมีแต่ความสุขมิรู้ลืม”
แม่อ่ำเคลื่อนมือไปปลดผ้าแถบรัดอกอึดอัดนั้นให้คลายออก ก่อนจะเลื่อนฝ่ามือขึ้นไปกอบกุมความอวบอิ่มเอาไว้ทั้งสองข้าง ใบหน้าซุกไซ้สูดดมความหอมของน้ำอบน้ำปรุงและกลิ่นกายสาวสะพรั่งที่ไม่เคยได้ต้องมือชายใดมาก่อน เพราะได้รู้ได้เห็นและแอบมองแม่พิศมาตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อสาว แต่ในยามนั้นตัวหล่อนเองก็มีสาวน้อยสาวใหญ่ในตำหนักมาให้เชยชมมิได้ขาด ด้วยก็หวังจะได้ดิบได้ดีอยู่ในตำหนักกรมหมื่นฯ กันทั้งนั้น
และในยามนี้ก็ถึงคราวที่แม่พิศจะเป็นหนึ่งในเด็กสาวพวกนั้น แค่น้าสาวของแม่พิศเอ่ยฝาก หล่อนก็แทบจะรับฝากเสียเดี๋ยวนั้น แต่เพราะขนบในรั้วในวังนั้นมีขั้นมีตอน กว่าจะนำความขึ้นทูลและกรมหมื่นฯ ท่านอนุญาต หล่อนก็แทบจะรอคอยให้ถึงวันนี้ไม่ไหว แลเมื่อเนื้อหวานอันโอชะมารอคอยอยู่ตรงหน้าก็ต้องกลืนกินให้สมความกระหายอยาก
“อา... พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำทำอะไรฉัน... อา...”
ริมฝีปากสาวน้อยอ้าพะงาบๆ พร่ำคำพูดพร้อมหอบหายใจน้อยๆ อย่างคนที่ไม่เคยเจอกับเรื่องอัศจรรย์ใจแบบนี้มาก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกำลังกลายเป็นเชื้อไฟที่โลมเลียร่างกายของหล่อน จนสะบัดร้อนสะบัดหนาวสั่นสะท้านไปหมดทั้งตัว แต่ความใคร่รู้ก็มีมากเสียจนต้องผงกหัวขึ้นมองในสิ่งที่แม่อ่ำกำลังทำ
ดวงตาสาวน้อยเบิกกว้างมองหัวทุยของแม่อ่ำที่ก้มๆ เงยๆ อยู่ที่บัวคู่งาม ดอกบัวตูมที่เพิ่งเคยเจอฝ่ามือคนอื่นเป็นครั้งแรกนอกจากมือตัวเองที่คอยขัดถูคราบเหงื่อไคลทุกคืนวัน
และไม่เพียงแค่ฝ่ามือเพราะปลายลิ้นของแม่อ่ำที่แลบออกมายาวก่อนจะเลียไล้ที่ปลายยอดพร้อมกับใช้ริมฝีปากดูดดุนปลายยอดไปมา ก็ทำให้แม่พิศตาเหลือกกว้างมองสิ่งอัศจรรย์นั้นอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก แต่ก็ต้องหลับตาพริ้มเพื่อซึมซับเอาความอัศจรรย์ที่แม่อ่ำกระทำต่อไปไม่หยุด และแม่พิศก็ได้เรียนรู้อีกอย่างหนึ่ง
เมื่อทุกจังหวะที่ปลายลิ้นของแม่อ่ำเลียไล้ขึ้นลงหรือทุกครั้งที่ริมฝีปากของแม่อ่ำดูดดุนยอดอกกระจิริดนั้นเข้าสู่อุ้งปาก อะไรบางอย่างก็กระตุกวาบๆ อยู่ที่เครื่องเพศของหล่อน จนต้องบดเบียดหน้าขาเข้าหากันแน่น ทั้งภายในใจก็ร่ำร้องอยากจะให้แม่อ่ำแตะต้องที่จุดนั้นเสียเหลือเกิน
“อื้อ... พี่อ่ำจ๋า... ฉัน... ฉัน...”
“เสียวใช่รึไม่น้องพิศจ๋า ประเดี๋ยวน้องพิศจะได้เสียวยิ่งกว่านี้อีก เสียวจนจะขาดใจตายแต่ก็ไม่ตาย มันคือความสุขอย่างสุดยอด จนน้องพิศต้องกรีดร้องให้พี่ช่วย”
แม่อ่ำบอกเสียงกระเส่าพลางก้มลงสูดดมความหอมจากร่องอกอวบอิ่มสมวัย
“จริงหรือจ๊ะ จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือจ๊ะ พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำจะทำให้ฉันมีความสุขจริงๆ หรือจ๊ะ”
“จริงสิจ๊ะน้องพิศจ๋า คอยดูก็แล้วกัน พี่จะทำจนน้องพิศสุขที่สุด”
“อื้อ... พี่อ่ำจ๋า... ฉัน... ฉัน... ฉันเสียวอีกแล้ว โอย... พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำทำอะไรฉัน โอย...”
แม่พิศดิ้นพล่านไม่หยุดจนผ้าโจงหลุดออก เนื้อตัวที่ดีดดิ้นนั้นล่อนจ้อนราวกับเด็กแรกเกิด และเมื่อแม่อ่ำตะปบฝ่ามือลงบนความเป็นหญิงพร้อมกับเคล้นคลึงไปมาเบาๆ แม่พิศก็ยิ่งอ้าปากพะงาบๆ หายใจหายคอแทบไม่ทัน เมื่อความรู้สึกหนึ่งเข้าแทรกกลางระหว่างร่าง จนหล่อนต้องอ้าหน้าขาที่บดเบียดกันนั้นออก เพื่อให้ฝ่ามือของแม่อ่ำแตะต้องสัมผัสกับดอกไม้แรกแย้มที่หล่อนควรสงวนไว้อย่างเต็มที่
“อา... พี่อ่ำจ๋า... ฉันเสียวเหลือเกิน อา...”
“พี่จะทำให้น้องพิศเสียวไม่หยุด”
และแม่อ่ำก็ทำได้ตามปากพูดเมื่อเรือนร่างที่เปล่าเปลือยไม่ต่างกันนั้นเคลื่อนริมฝีปากลงต่ำไปตามหน้าท้องและสีข้างขณะที่ฝ่ามือไม่ได้ละออกจากดอกไม้แรกแย้มนั้นเลย
แม่พิศบิดกายไปมาไม่หยุด ดวงตาสวยหวานเบิกกว้างมองแต่ขื่อคานด้านบนพลางนึกอยากจะล่องลอยขึ้นไปอยู่บนคานขื่อนั้นนัก เพราะยิ่งริมฝีปากของแม่อ่ำลากไล้ลงต่ำเท่าไร เนื้อกายของหล่อนก็อยากจะโลดแล่นให้สูงขึ้นอีก แต่แม่พิศก็ไม่รู้ว่าหล่อนจะแอ่นตัวได้สูงสักเท่าไร รู้แต่ว่าสะโพกผายนั้นอยู่ไม่ติดที่นอนเย็บนุ่นนุ่มนิ่มนั้นเลย แต่แล้วหล่อนก็ได้รู้
“อ่ะ! พี่อ่ำจ๋า... โอว... พี่อ่ำ... พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำ... อื้อ... พี่อ่ำจ๋า...”
แม่พิศสะบัดใบหน้าร่ำร้องหาแต่ชื่อของแม่อ่ำอยู่ตลอด เพราะในเวลานี้หล่อนรู้แล้วว่าสะโพกผายนั้นจะแอ่นไปสูงได้แค่ไหนกัน และแค่ไหนที่หล่อนจะพอใจ เมื่อดอกไม้แรกแย้มนั้นเบ่งบานออกจากกันจนสุด และกำลังถูกชำแรกด้วยปลายลิ้นน้อยๆ ของแม่อ่ำอย่างรัวเร็ว“อ้าย... พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำ! อื้อ! พี่อ่ำ!”เสียงกรีดร้องรัวเร็วราวกับจะเร่งเร้าจึงดังออกจากปากน้อยๆ นั้นอย่างไม่ขาดสาย ร่างกายเบาหวิวราวกับวิญญาณวิ่งพรวดออกจากร่างก่อนจะกระเด็นกระดอนกลับเข้าไปใหม่อย่างรุนแรง ทำให้ร่างเปล่าเปลือยกระตุกวาบติดกันหลายต่อหลายครั้งแม่พิศหอบหายใจและหมดเรี่ยวแรงราวกับวิ่งหนีอะไรมาเสียไกล ได้แต่นอนแผ่ร่างเปล่าเปลือยอวดเนื้อหนังมังสาให้เป็นอาหารตาแก่แม่อ่ำต่อไป และเพียงไม่นานแม่อ่ำก็เริ่มต้นกลืนกินเนื้อตัวของหล่อนอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้แม่พิศเองก็ครวญครางซู้ดซี้ดริมฝีปากของตัวเองไปมาราวกับได้กินของเผ็ดร้อนที่เอร็ดอร่อยที่สุดในชีวิต..นับจากนั้นการเล่นเพื่อนหรือเรียกอีกอย่างว่า ‘เล่นสวาท’ หากจะพูดให้ทะลึ่งตึงตังก็ไม่ได้น่ากลัวสำหรับแม่พิศอีกต่อไป แต่กลับทำให้แม่พิศได้มาเป็นนางพนักงานในตำหนักกรมหมื่นฯ ได้อยู่ดีก
แม่อ่ำได้แต่ตีอกชกตัวตนเอง เพราะตนนั้นทั้งรักทั้งหลงแม่พิศเสียจนสรรหาแต่สิ่งดีๆ มาให้ เครื่องประทินผิว อาหารการกิน เครื่องทอง เครื่องเงิน หากแม่พิศอยากได้ ไม่เคยเลยที่จะไม่ให้ แล้วเหตุใดแม่พิศจึงเลือกที่จะออกเรือน ไม่เลือกที่จะเคียงคู่กับตนไปจนแก่เฒ่าอยู่ในวังกรมหมื่นฯ นี้เล่า“พี่อ่ำจ๋า ไม่ใช่ว่าฉันไม่เห็นค่าในความรักของพี่ แต่พี่อ่ำดูสิจ๊ะ ปีนี้ฉันอายุได้ยี่สิบปีเต็มแล้ว มันเลยวัยที่ฉันจะมีเหย้ามีเรือนแล้วหนาพี่ หากฉันปล่อยให้เวลาเนิ่นนานกว่านี้ คงจะไม่มีใครมาสู่ขอฉันไปเป็นเมียแน่ พี่อ่ำเห็นใจฉันด้วยเถิด พ่อกับแม่ก็มีฉันเป็นลูกสาวอยู่ผู้เดียว หวังจะได้ฝากผีฝากไข้ หากฉันไม่แต่งงานออกเหย้าออกเรือนไป ฉันจะมีโอกาสไหนได้ตอบแทนพระคุณท่านอีกล่ะพี่ ฉันมิกลายเป็นลูกอกตัญญูไปดอกเหรอ ที่เห็นทางจะทำให้พ่อแม่มีความสุขได้ แต่ฉันกลับเลือกเอาความสุขของตนเองเป็นที่ตั้ง ใช่ว่าฉันไม่เจ็บปวด”น้ำตาพรั่งพรูด้วยความเจ็บช้ำหวังว่าแม่อ่ำจะเข้าใจในสิ่งที่ตนเลือกตัดสินใจในครั้งนี้และไม่คิดขัดขวางหนทางแห่งความสุข แต่แท้จริงแล้วนั้น นี่ก็คือมารยาหญิงที่แม่พิศหมั่นฝึกปรืออยู่บ่อยครั้ง ไม่เช่นนั้นคงมิได้ข้าวของม
“กรี๊ดดดดด...” ฟาววววว... ควับ! เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดสลับกับเสียงเส้นหวายแหวกอากาศไปปะทะกับเนื้อบอบบางเป็นจังหวะไม่ขาดสายดังออกมาจากเรือนไทยหมู่ 5 หลังที่ปลูกสร้างด้วยไม้สักทองงดงามและยิ่งใหญ่สมตำแหน่งเจ้าของเรือนแม้เสียงกรีดร้องยังคงดัง แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปห้ามปรามหรือช่วงชิงเส้นหวายนั้นจากมือของคนที่หวดเอาๆ อย่างไม่ลดล่ะ มีเพียงก้มหน้าก้มตาไม่กล้าดู แต่ก็ยังชำเลืองมองเพราะความอยากรู้และสมเพชเวทนาร่างเล็กๆ ที่กรีดร้องไม่หยุด ด้วยเบื้องหลังนั้นมากมีไปด้วยรอยหวดเป็นเส้นยาว จนบางบาดแผลนั้นเปิดออกจนเห็นเนื้อในสีขาวไม่ต่างจากมันเปลวที่นำมาเจียวน้ำมัน ฟาววววว... ควับ! “กรี๊ดดดดด...”สิ้นสุดเสียงร้อง ร่างที่สะบักสะบอมไปด้วยบาดแผลก็มีอันสิ้นสติไปด้วยความเจ็บปวด แต่ท่านเจ้าของเรือนก็ยังไม่หนำใจ ยังสั่งให้ข้าทาสไปนำเกลือเม็ดละลายน้ำเอามาสาดใส่บาดแผลให้เจ้าของร่างที่สลบไสลฟื้นคืนขึ้นมาอีก เพื่อจะให้เรือนร่างนี้ได้รับความเจ็บปวดอย่างต่อเนื่อง ให้สาสมกับสิ่งที่มันทำเอาไว้ “สาดเข้าไป! เอาให้มันเจ็บให้มันแสบ มันจะได้รู้! ไม่ว่
สยามประเทศ ก่อน “พระราชบัญญัติเลิกทาส ร.ศ.124”ยุคสมัยที่สยามประเทศเปิดรับวัฒนธรรมทางยุโรปมากขึ้น หญิงสาวต่างแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่งดงามและมีเครื่องประทินผิวหอมจรุงใจโดยเฉพาะหญิงสาวชาววังล้วนเป็นที่หมายปองของบุรุษเพศ เพราะหญิงสาวเหล่านั้นจะได้รับการอบรมทั้งกิริยามารยาท ทั้งงานบ้านงานเรือน เหมาะสมสำหรับการสู่ขอมาเป็นแม่ศรีเรือน จนถึงขนาดมีแม่สื่อแม่ชักมาขอดูตัวเพื่อจับจองกันไว้ตั้งแต่เป็นสาวรุ่น และ ‘แม่พิศ’ ก็เป็น 1 ในหญิงสาวเหล่านั้นแม่พิศเป็นหลานสาวของคุณพิน ซึ่งทำหน้าที่เป็นนางพนักงานห้องเครื่องอยู่ในวัง พ่อกับแม่จึงได้นำแม่พิศมาฝากฝัง เพื่อให้เรียนรู้ขนบธรรมเนียมชาววังตั้งแต่เป็นเด็กหญิง เพราะเชื่อว่าหากลูกสาวได้ดิบได้ดีเป็นนางพนักงานอยู่ในวังเฉกเช่นเดียวกับคุณพิน ผู้ชายทั้งหลายก็ใคร่จะสู่ขอให้ออกเรือนไปกับตนทั้งสิ้น และหากแม่พิศได้ออกเรือนกับขุนน้ำขุนนางไป พ่อแม่จะได้สบายได้พึ่งพาใบบุญของลูกสาว ได้มั่งมีความสุขในยามแก่ชราแม่พิศเป็นเด็กหญิงที่ว่านอนสอนง่าย ฉลาด และเรียนรู้งานได้เร็ว จึงได้ทำงานเป็นนางพนักงานห้องเครื่องของหม่อมห้ามองค์หนึ่งเมื่อแม่พิศเติบใหญ่กลายเป็นสาวรุ
แม่อ่ำได้แต่ตีอกชกตัวตนเอง เพราะตนนั้นทั้งรักทั้งหลงแม่พิศเสียจนสรรหาแต่สิ่งดีๆ มาให้ เครื่องประทินผิว อาหารการกิน เครื่องทอง เครื่องเงิน หากแม่พิศอยากได้ ไม่เคยเลยที่จะไม่ให้ แล้วเหตุใดแม่พิศจึงเลือกที่จะออกเรือน ไม่เลือกที่จะเคียงคู่กับตนไปจนแก่เฒ่าอยู่ในวังกรมหมื่นฯ นี้เล่า“พี่อ่ำจ๋า ไม่ใช่ว่าฉันไม่เห็นค่าในความรักของพี่ แต่พี่อ่ำดูสิจ๊ะ ปีนี้ฉันอายุได้ยี่สิบปีเต็มแล้ว มันเลยวัยที่ฉันจะมีเหย้ามีเรือนแล้วหนาพี่ หากฉันปล่อยให้เวลาเนิ่นนานกว่านี้ คงจะไม่มีใครมาสู่ขอฉันไปเป็นเมียแน่ พี่อ่ำเห็นใจฉันด้วยเถิด พ่อกับแม่ก็มีฉันเป็นลูกสาวอยู่ผู้เดียว หวังจะได้ฝากผีฝากไข้ หากฉันไม่แต่งงานออกเหย้าออกเรือนไป ฉันจะมีโอกาสไหนได้ตอบแทนพระคุณท่านอีกล่ะพี่ ฉันมิกลายเป็นลูกอกตัญญูไปดอกเหรอ ที่เห็นทางจะทำให้พ่อแม่มีความสุขได้ แต่ฉันกลับเลือกเอาความสุขของตนเองเป็นที่ตั้ง ใช่ว่าฉันไม่เจ็บปวด”น้ำตาพรั่งพรูด้วยความเจ็บช้ำหวังว่าแม่อ่ำจะเข้าใจในสิ่งที่ตนเลือกตัดสินใจในครั้งนี้และไม่คิดขัดขวางหนทางแห่งความสุข แต่แท้จริงแล้วนั้น นี่ก็คือมารยาหญิงที่แม่พิศหมั่นฝึกปรืออยู่บ่อยครั้ง ไม่เช่นนั้นคงมิได้ข้าวของม
แม่พิศสะบัดใบหน้าร่ำร้องหาแต่ชื่อของแม่อ่ำอยู่ตลอด เพราะในเวลานี้หล่อนรู้แล้วว่าสะโพกผายนั้นจะแอ่นไปสูงได้แค่ไหนกัน และแค่ไหนที่หล่อนจะพอใจ เมื่อดอกไม้แรกแย้มนั้นเบ่งบานออกจากกันจนสุด และกำลังถูกชำแรกด้วยปลายลิ้นน้อยๆ ของแม่อ่ำอย่างรัวเร็ว“อ้าย... พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำ! อื้อ! พี่อ่ำ!”เสียงกรีดร้องรัวเร็วราวกับจะเร่งเร้าจึงดังออกจากปากน้อยๆ นั้นอย่างไม่ขาดสาย ร่างกายเบาหวิวราวกับวิญญาณวิ่งพรวดออกจากร่างก่อนจะกระเด็นกระดอนกลับเข้าไปใหม่อย่างรุนแรง ทำให้ร่างเปล่าเปลือยกระตุกวาบติดกันหลายต่อหลายครั้งแม่พิศหอบหายใจและหมดเรี่ยวแรงราวกับวิ่งหนีอะไรมาเสียไกล ได้แต่นอนแผ่ร่างเปล่าเปลือยอวดเนื้อหนังมังสาให้เป็นอาหารตาแก่แม่อ่ำต่อไป และเพียงไม่นานแม่อ่ำก็เริ่มต้นกลืนกินเนื้อตัวของหล่อนอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้แม่พิศเองก็ครวญครางซู้ดซี้ดริมฝีปากของตัวเองไปมาราวกับได้กินของเผ็ดร้อนที่เอร็ดอร่อยที่สุดในชีวิต..นับจากนั้นการเล่นเพื่อนหรือเรียกอีกอย่างว่า ‘เล่นสวาท’ หากจะพูดให้ทะลึ่งตึงตังก็ไม่ได้น่ากลัวสำหรับแม่พิศอีกต่อไป แต่กลับทำให้แม่พิศได้มาเป็นนางพนักงานในตำหนักกรมหมื่นฯ ได้อยู่ดีก
แต่แล้วสิ่งที่แม่พิศหวาดหวั่นพรั่นพรึงก็ไม่ได้น่ากลัวเกรงอย่างที่แอบอกสั่นขวัญแขวนเลยสักนิด กลับกันที่หล่อนได้รับความเพลิดเพลินจนต้องครวญครางในลำคอเบา“อื้อ... พี่อ่ำจ๋า... พี่ทำอะไรฉัน”แม่พิศดิ้นพล่านเมื่อแม่อ่ำซุกไซ้จมูกที่ซอกคอทำให้หล่อนเสียวสยิวจนต้องบิดกายอย่างทำอะไรไม่ถูก ยิ่งแม่อ่ำลูบไล้ไปบนเนินเนื้ออวบอิ่มสมวัยสาวสะพรั่ง แม่พิศก็ต้องห่อไหล่หนีก่อนจะเปลี่ยนเป็นแอ่นอกสู้มือแม่อ่ำไม่หยุด“อา... พี่อ่ำจ๋า... พี่ทำอะไรฉัน พี่จะฆ่าฉันหรือไร”แม่พิศบิดกายไปมาเพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่บังเกิดอยู่ในอกหล่อนนี้เรียกว่าอะไร รู้แต่ว่ามันกำลังทำให้หล่อนหายใจติดขัด จนต้องอ้าปากพะงาบๆ เรียกเอาลมหายใจเข้าสู่ร่างกายโดยเร็ว“พี่ก็จะทำให้น้องพิศมีความสุขยังไงเล่าจ๊ะ รับรองว่าน้องพิศจะมีแต่ความสุขมิรู้ลืม”แม่อ่ำเคลื่อนมือไปปลดผ้าแถบรัดอกอึดอัดนั้นให้คลายออก ก่อนจะเลื่อนฝ่ามือขึ้นไปกอบกุมความอวบอิ่มเอาไว้ทั้งสองข้าง ใบหน้าซุกไซ้สูดดมความหอมของน้ำอบน้ำปรุงและกลิ่นกายสาวสะพรั่งที่ไม่เคยได้ต้องมือชายใดมาก่อน เพราะได้รู้ได้เห็นและแอบมองแม่พิศมาตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อสาว แต่ในยามนั้นตัวหล่อนเองก็มีสาวน้อยสาวใ
สยามประเทศ ก่อน “พระราชบัญญัติเลิกทาส ร.ศ.124”ยุคสมัยที่สยามประเทศเปิดรับวัฒนธรรมทางยุโรปมากขึ้น หญิงสาวต่างแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่งดงามและมีเครื่องประทินผิวหอมจรุงใจโดยเฉพาะหญิงสาวชาววังล้วนเป็นที่หมายปองของบุรุษเพศ เพราะหญิงสาวเหล่านั้นจะได้รับการอบรมทั้งกิริยามารยาท ทั้งงานบ้านงานเรือน เหมาะสมสำหรับการสู่ขอมาเป็นแม่ศรีเรือน จนถึงขนาดมีแม่สื่อแม่ชักมาขอดูตัวเพื่อจับจองกันไว้ตั้งแต่เป็นสาวรุ่น และ ‘แม่พิศ’ ก็เป็น 1 ในหญิงสาวเหล่านั้นแม่พิศเป็นหลานสาวของคุณพิน ซึ่งทำหน้าที่เป็นนางพนักงานห้องเครื่องอยู่ในวัง พ่อกับแม่จึงได้นำแม่พิศมาฝากฝัง เพื่อให้เรียนรู้ขนบธรรมเนียมชาววังตั้งแต่เป็นเด็กหญิง เพราะเชื่อว่าหากลูกสาวได้ดิบได้ดีเป็นนางพนักงานอยู่ในวังเฉกเช่นเดียวกับคุณพิน ผู้ชายทั้งหลายก็ใคร่จะสู่ขอให้ออกเรือนไปกับตนทั้งสิ้น และหากแม่พิศได้ออกเรือนกับขุนน้ำขุนนางไป พ่อแม่จะได้สบายได้พึ่งพาใบบุญของลูกสาว ได้มั่งมีความสุขในยามแก่ชราแม่พิศเป็นเด็กหญิงที่ว่านอนสอนง่าย ฉลาด และเรียนรู้งานได้เร็ว จึงได้ทำงานเป็นนางพนักงานห้องเครื่องของหม่อมห้ามองค์หนึ่งเมื่อแม่พิศเติบใหญ่กลายเป็นสาวรุ
“กรี๊ดดดดด...” ฟาววววว... ควับ! เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดสลับกับเสียงเส้นหวายแหวกอากาศไปปะทะกับเนื้อบอบบางเป็นจังหวะไม่ขาดสายดังออกมาจากเรือนไทยหมู่ 5 หลังที่ปลูกสร้างด้วยไม้สักทองงดงามและยิ่งใหญ่สมตำแหน่งเจ้าของเรือนแม้เสียงกรีดร้องยังคงดัง แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปห้ามปรามหรือช่วงชิงเส้นหวายนั้นจากมือของคนที่หวดเอาๆ อย่างไม่ลดล่ะ มีเพียงก้มหน้าก้มตาไม่กล้าดู แต่ก็ยังชำเลืองมองเพราะความอยากรู้และสมเพชเวทนาร่างเล็กๆ ที่กรีดร้องไม่หยุด ด้วยเบื้องหลังนั้นมากมีไปด้วยรอยหวดเป็นเส้นยาว จนบางบาดแผลนั้นเปิดออกจนเห็นเนื้อในสีขาวไม่ต่างจากมันเปลวที่นำมาเจียวน้ำมัน ฟาววววว... ควับ! “กรี๊ดดดดด...”สิ้นสุดเสียงร้อง ร่างที่สะบักสะบอมไปด้วยบาดแผลก็มีอันสิ้นสติไปด้วยความเจ็บปวด แต่ท่านเจ้าของเรือนก็ยังไม่หนำใจ ยังสั่งให้ข้าทาสไปนำเกลือเม็ดละลายน้ำเอามาสาดใส่บาดแผลให้เจ้าของร่างที่สลบไสลฟื้นคืนขึ้นมาอีก เพื่อจะให้เรือนร่างนี้ได้รับความเจ็บปวดอย่างต่อเนื่อง ให้สาสมกับสิ่งที่มันทำเอาไว้ “สาดเข้าไป! เอาให้มันเจ็บให้มันแสบ มันจะได้รู้! ไม่ว่