สยามประเทศ ก่อน “พระราชบัญญัติเลิกทาส ร.ศ.124”
ยุคสมัยที่สยามประเทศเปิดรับวัฒนธรรมทางยุโรปมากขึ้น หญิงสาวต่างแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่งดงามและมีเครื่องประทินผิวหอมจรุงใจ
โดยเฉพาะหญิงสาวชาววังล้วนเป็นที่หมายปองของบุรุษเพศ เพราะหญิงสาวเหล่านั้นจะได้รับการอบรมทั้งกิริยามารยาท ทั้งงานบ้านงานเรือน เหมาะสมสำหรับการสู่ขอมาเป็นแม่ศรีเรือน จนถึงขนาดมีแม่สื่อแม่ชักมาขอดูตัวเพื่อจับจองกันไว้ตั้งแต่เป็นสาวรุ่น และ ‘แม่พิศ’ ก็เป็น 1 ในหญิงสาวเหล่านั้น
แม่พิศเป็นหลานสาวของคุณพิน ซึ่งทำหน้าที่เป็นนางพนักงานห้องเครื่องอยู่ในวัง พ่อกับแม่จึงได้นำแม่พิศมาฝากฝัง เพื่อให้เรียนรู้ขนบธรรมเนียมชาววังตั้งแต่เป็นเด็กหญิง เพราะเชื่อว่าหากลูกสาวได้ดิบได้ดีเป็นนางพนักงานอยู่ในวังเฉกเช่นเดียวกับคุณพิน ผู้ชายทั้งหลายก็ใคร่จะสู่ขอให้ออกเรือนไปกับตนทั้งสิ้น และหากแม่พิศได้ออกเรือนกับขุนน้ำขุนนางไป พ่อแม่จะได้สบายได้พึ่งพาใบบุญของลูกสาว ได้มั่งมีความสุขในยามแก่ชรา
แม่พิศเป็นเด็กหญิงที่ว่านอนสอนง่าย ฉลาด และเรียนรู้งานได้เร็ว จึงได้ทำงานเป็นนางพนักงานห้องเครื่องของหม่อมห้ามองค์หนึ่ง
เมื่อแม่พิศเติบใหญ่กลายเป็นสาวรุ่นวัย 18 ปี ด้วยหน้าตาที่จัดว่าสะสวย ผิวพรรณผุดผ่องเป็นยองใย ตลอดจนจริตกิริยานั้นก็ได้รับการปรุงแต่งอย่างเหมาะสม รู้ว่าควรจะหวานในเวลาใดและควรจะมีจริตจะกร้านในเวลาไหน แม่พิศจึงไม่พ้นจะถูกนางพนักงานคนอื่นอิจฉา
ความเป็นอยู่ในวังนั้นแม้จะสุขสบาย แต่ก็บ่มเพาะไปด้วยความอิจฉาริษยา
ด้วยนางพนักงานแต่ละคนล้วนแต่อยากเป็นคนโปรดของคุณท้าวนางหรือหวังได้เลื่อนขั้นไปรับใช้ใกล้ชิดเจ้าจอมหรือเจ้าหญิงพระองค์ใดพระองค์หนึ่งกันทั้งนั้น เพราะนั่นก็เหมือนกับเป็นการเลื่อนตำแหน่งหน้าที่การงานและเป็นการเพิ่มคุณค่าในตัวเองได้อีกทาง เพราะหากได้รับใช้ใกล้ชิดเจ้านายที่มีตำแหน่งสูง โอกาสที่จะได้ตบแต่งเป็นเมียออกหน้าของเจ้าขุนมูลนายผู้ใดผู้หนึ่งก็ไม่ไกลเกินเอื้อม
ทว่าหนทางของแม่พิศนั้นแม้จะไม่ได้ยากยิ่งเพราะคุณพินให้การสนับสนุนอยู่แล้วและก็มีหน้าตาที่สะสวยอยู่เป็นทุน แต่หนทางก็ย่อมมีอุปสรรคอยู่บ้าง เมื่อความงดงามนั้นต้องถูกโอ้โลมด้วยฝ่ามือของสตรีด้วยกัน
ความสวยงามของแม่พิศนั้นเป็นที่เสน่หาของ ‘แม่อ่ำ’ นางพนักงานต้นห้องของกรมหมื่นหญิงผู้สูงศักดิ์ และเมื่อแม่พิศอยากจะได้ดีย้ายจากนางพนักงานห้องเครื่องมารับราชการในวังกรมหมื่นหญิง แม่พิศก็ต้องเอาตัวเข้าแลก
‘มันจะเสียหายอันใดกันเล่าแม่พิศ ก็แค่ให้มันลูบๆ คลำๆ เล่นก็เท่านั้นเอง สึกหรอเสียที่ไหนกันล่ะ ก็ผู้หญิงด้วยกันทั้งนั้น’
เสียงคุณน้าพินยังก้องอยู่ในหู แต่สิ่งที่แม่พิศกำลังเผชิญอยู่นี้เล่า มันไม่ใช่แค่การลูบๆ คลำๆ อย่างที่คุณน้าพินบอกสักนิด เพราะแม่อ่ำนั้นกำลังทำให้ความเป็นสาวของแม่พิศแตกตื่น
“โอ๊ะ! พี่อ่ำ อย่าจับตรงนั้นสิจ๊ะ ฉัน... ฉันจักจี้”
แม่พิศร้องขึ้นอย่างตกใจเมื่อแม่อ่ำตะปบฝ่ามือวางไว้ใต้ราวนม พลางลูบไล้เล่นอย่างเบามือ
“โธ่... น้องพิศจ๊ะ ครั้งแรกก็แบบนี้แหละจ้ะ ประเดี๋ยวน้องพิศก็จะชินไปเอง คราวหน้าน้องพิศนั่นแหละจะเป็นคนเร่งเร้าให้พี่อ่ำจับบ่อยๆ”
แม่อ่ำพูดขณะมือไม้ไม่ได้หยุดอยู่กับที่เลยสักนิด ยังคงทำหน้าที่บีบเคล้นลูบไล้บนเนื้อตัวของสาวรุ่นที่สวยสดงดงามไม่ต่างจากดอกไม้แรกแย้ม และหากหล่อนจะได้เป็นคนแรกที่ชอนชิมหยาดน้ำหวานจากดอกไม้งดงามนี้ หล่อนก็คงจะมีความสุขราวกับขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็ไม่ปราน
“จะ... จริงเหรอจ๊ะ พี่อ่ำไม่หลอกฉันแน่นะ”
แม่พิศถามอย่างตะกุกตะกักเริ่มรู้สึกวาบๆ หวิวๆ ในอกสาว เมื่อมือของแม่อ่ำนั้นแตะไต่ไปมาตามเนื้อตัวของหล่อนราวกับหนวดหมึกที่มักจะพันนิ้วมือของหล่อนเสมอในยามเตรียมของทะเลสดๆ ให้คุณน้าพินปรุงอาหาร
“จริงสิจ๊ะ พี่จะหลอกน้องพิศทำไมกันเล่า ว่าแต่น้องพิศน่ะอยากมาอยู่กับพี่จริงๆ หรือเปล่า หรือจะแค่มาหลอกให้พี่พาน้องพิศไปฝากฝังกับกรมหมื่นฯ ท่านเท่านั้น”
“โธ่... ทำไมพี่อ่ำพูดเยี่ยงนั่นเล่าจ๊ะ พูดอย่างนี้ฉันก็เสียหายได้ ถ้าฉันไม่อยากมาอยู่กับพี่ ฉันก็คงไม่...”
แม่พิศพูดแล้วก็อยากจะกัดลิ้นตัวเองนัก เมื่อดวงหน้าของแม่อ่ำที่มิได้สวยงามแต่อย่างใด ทั้งยังมีลักษณะเป็นเหลี่ยมเป็นสันเฉกเช่นผู้ชายกำลังลอยเด่นอยู่เบื้องหน้าของตนเอง และทำท่าจะโน้มต่ำลงมาหาในไม่ช้า
ใจหนึ่งอยากจะกรีดร้องพร้อมดีดดิ้นให้ร่างนี้พ้นไปจากตัว แต่ก็จำต้องกลั้นใจเอาไว้ ทั้งฝ่ามือก็กำเข้าหากันแน่นเพื่อลดความประหม่าพรั่นพรึงกับการ ‘เล่นเพื่อน’ ครั้งแรกของตนเอง
แม้จะรู้ว่าการเล่นเพื่อนนั้น ตนเองไม่ได้เป็นฝ่ายสูญเสีย แต่มันก็คือสิ่งที่หล่อนไม่เคยคิดจะปรารถนามาก่อน เรือนร่างนี้อยากเก็บไว้ให้บุรุษมาเชยชิด ไม่ใช่ให้นางอ่ำนางข้าหลวงกรมหมื่นฯ มาชื่นชิดเชยชมเป็นคนแรก
แต่แล้วสิ่งที่แม่พิศหวาดหวั่นพรั่นพรึงก็ไม่ได้น่ากลัวเกรงอย่างที่แอบอกสั่นขวัญแขวนเลยสักนิด กลับกันที่หล่อนได้รับความเพลิดเพลินจนต้องครวญครางในลำคอเบา“อื้อ... พี่อ่ำจ๋า... พี่ทำอะไรฉัน”แม่พิศดิ้นพล่านเมื่อแม่อ่ำซุกไซ้จมูกที่ซอกคอทำให้หล่อนเสียวสยิวจนต้องบิดกายอย่างทำอะไรไม่ถูก ยิ่งแม่อ่ำลูบไล้ไปบนเนินเนื้ออวบอิ่มสมวัยสาวสะพรั่ง แม่พิศก็ต้องห่อไหล่หนีก่อนจะเปลี่ยนเป็นแอ่นอกสู้มือแม่อ่ำไม่หยุด“อา... พี่อ่ำจ๋า... พี่ทำอะไรฉัน พี่จะฆ่าฉันหรือไร”แม่พิศบิดกายไปมาเพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่บังเกิดอยู่ในอกหล่อนนี้เรียกว่าอะไร รู้แต่ว่ามันกำลังทำให้หล่อนหายใจติดขัด จนต้องอ้าปากพะงาบๆ เรียกเอาลมหายใจเข้าสู่ร่างกายโดยเร็ว“พี่ก็จะทำให้น้องพิศมีความสุขยังไงเล่าจ๊ะ รับรองว่าน้องพิศจะมีแต่ความสุขมิรู้ลืม”แม่อ่ำเคลื่อนมือไปปลดผ้าแถบรัดอกอึดอัดนั้นให้คลายออก ก่อนจะเลื่อนฝ่ามือขึ้นไปกอบกุมความอวบอิ่มเอาไว้ทั้งสองข้าง ใบหน้าซุกไซ้สูดดมความหอมของน้ำอบน้ำปรุงและกลิ่นกายสาวสะพรั่งที่ไม่เคยได้ต้องมือชายใดมาก่อน เพราะได้รู้ได้เห็นและแอบมองแม่พิศมาตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อสาว แต่ในยามนั้นตัวหล่อนเองก็มีสาวน้อยสาวใ
แม่พิศสะบัดใบหน้าร่ำร้องหาแต่ชื่อของแม่อ่ำอยู่ตลอด เพราะในเวลานี้หล่อนรู้แล้วว่าสะโพกผายนั้นจะแอ่นไปสูงได้แค่ไหนกัน และแค่ไหนที่หล่อนจะพอใจ เมื่อดอกไม้แรกแย้มนั้นเบ่งบานออกจากกันจนสุด และกำลังถูกชำแรกด้วยปลายลิ้นน้อยๆ ของแม่อ่ำอย่างรัวเร็ว“อ้าย... พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำจ๋า... พี่อ่ำ! อื้อ! พี่อ่ำ!”เสียงกรีดร้องรัวเร็วราวกับจะเร่งเร้าจึงดังออกจากปากน้อยๆ นั้นอย่างไม่ขาดสาย ร่างกายเบาหวิวราวกับวิญญาณวิ่งพรวดออกจากร่างก่อนจะกระเด็นกระดอนกลับเข้าไปใหม่อย่างรุนแรง ทำให้ร่างเปล่าเปลือยกระตุกวาบติดกันหลายต่อหลายครั้งแม่พิศหอบหายใจและหมดเรี่ยวแรงราวกับวิ่งหนีอะไรมาเสียไกล ได้แต่นอนแผ่ร่างเปล่าเปลือยอวดเนื้อหนังมังสาให้เป็นอาหารตาแก่แม่อ่ำต่อไป และเพียงไม่นานแม่อ่ำก็เริ่มต้นกลืนกินเนื้อตัวของหล่อนอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้แม่พิศเองก็ครวญครางซู้ดซี้ดริมฝีปากของตัวเองไปมาราวกับได้กินของเผ็ดร้อนที่เอร็ดอร่อยที่สุดในชีวิต..นับจากนั้นการเล่นเพื่อนหรือเรียกอีกอย่างว่า ‘เล่นสวาท’ หากจะพูดให้ทะลึ่งตึงตังก็ไม่ได้น่ากลัวสำหรับแม่พิศอีกต่อไป แต่กลับทำให้แม่พิศได้มาเป็นนางพนักงานในตำหนักกรมหมื่นฯ ได้อยู่ดีก
แม่อ่ำได้แต่ตีอกชกตัวตนเอง เพราะตนนั้นทั้งรักทั้งหลงแม่พิศเสียจนสรรหาแต่สิ่งดีๆ มาให้ เครื่องประทินผิว อาหารการกิน เครื่องทอง เครื่องเงิน หากแม่พิศอยากได้ ไม่เคยเลยที่จะไม่ให้ แล้วเหตุใดแม่พิศจึงเลือกที่จะออกเรือน ไม่เลือกที่จะเคียงคู่กับตนไปจนแก่เฒ่าอยู่ในวังกรมหมื่นฯ นี้เล่า“พี่อ่ำจ๋า ไม่ใช่ว่าฉันไม่เห็นค่าในความรักของพี่ แต่พี่อ่ำดูสิจ๊ะ ปีนี้ฉันอายุได้ยี่สิบปีเต็มแล้ว มันเลยวัยที่ฉันจะมีเหย้ามีเรือนแล้วหนาพี่ หากฉันปล่อยให้เวลาเนิ่นนานกว่านี้ คงจะไม่มีใครมาสู่ขอฉันไปเป็นเมียแน่ พี่อ่ำเห็นใจฉันด้วยเถิด พ่อกับแม่ก็มีฉันเป็นลูกสาวอยู่ผู้เดียว หวังจะได้ฝากผีฝากไข้ หากฉันไม่แต่งงานออกเหย้าออกเรือนไป ฉันจะมีโอกาสไหนได้ตอบแทนพระคุณท่านอีกล่ะพี่ ฉันมิกลายเป็นลูกอกตัญญูไปดอกเหรอ ที่เห็นทางจะทำให้พ่อแม่มีความสุขได้ แต่ฉันกลับเลือกเอาความสุขของตนเองเป็นที่ตั้ง ใช่ว่าฉันไม่เจ็บปวด”น้ำตาพรั่งพรูด้วยความเจ็บช้ำหวังว่าแม่อ่ำจะเข้าใจในสิ่งที่ตนเลือกตัดสินใจในครั้งนี้และไม่คิดขัดขวางหนทางแห่งความสุข แต่แท้จริงแล้วนั้น นี่ก็คือมารยาหญิงที่แม่พิศหมั่นฝึกปรืออยู่บ่อยครั้ง ไม่เช่นนั้นคงมิได้ข้าวของม
“กรี๊ดดดดด...” ฟาววววว... ควับ! เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดสลับกับเสียงเส้นหวายแหวกอากาศไปปะทะกับเนื้อบอบบางเป็นจังหวะไม่ขาดสายดังออกมาจากเรือนไทยหมู่ 5 หลังที่ปลูกสร้างด้วยไม้สักทองงดงามและยิ่งใหญ่สมตำแหน่งเจ้าของเรือนแม้เสียงกรีดร้องยังคงดัง แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปห้ามปรามหรือช่วงชิงเส้นหวายนั้นจากมือของคนที่หวดเอาๆ อย่างไม่ลดล่ะ มีเพียงก้มหน้าก้มตาไม่กล้าดู แต่ก็ยังชำเลืองมองเพราะความอยากรู้และสมเพชเวทนาร่างเล็กๆ ที่กรีดร้องไม่หยุด ด้วยเบื้องหลังนั้นมากมีไปด้วยรอยหวดเป็นเส้นยาว จนบางบาดแผลนั้นเปิดออกจนเห็นเนื้อในสีขาวไม่ต่างจากมันเปลวที่นำมาเจียวน้ำมัน ฟาววววว... ควับ! “กรี๊ดดดดด...”สิ้นสุดเสียงร้อง ร่างที่สะบักสะบอมไปด้วยบาดแผลก็มีอันสิ้นสติไปด้วยความเจ็บปวด แต่ท่านเจ้าของเรือนก็ยังไม่หนำใจ ยังสั่งให้ข้าทาสไปนำเกลือเม็ดละลายน้ำเอามาสาดใส่บาดแผลให้เจ้าของร่างที่สลบไสลฟื้นคืนขึ้นมาอีก เพื่อจะให้เรือนร่างนี้ได้รับความเจ็บปวดอย่างต่อเนื่อง ให้สาสมกับสิ่งที่มันทำเอาไว้ “สาดเข้าไป! เอาให้มันเจ็บให้มันแสบ มันจะได้รู้! ไม่ว่