บทที่ 1 ขอพรกับดาวตก
ณ แดนเทพอันศักดิ์สิทธิ์ มหาเทพหวงหลงนั่งหรี่ตาเล็งศิลาเทวะธาตุหลายลูกในกล่องด้วยสีหน้าคร่ำเครียด ครุ่นคิดว่าจะหยิบศิลาลูกไหนขึ้นมาดีดใส่ศิลาของอีกฝ่ายเพื่อทำแต้มตีเสมอ คู่ต่อสู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามมีใบหน้างดงามราวอิสตรี เอนกายอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน พิงหมอนอิงใบใหญ่บนตั่ง อากัปกิริยาค่อนไปทางเกียจคร้าน มือขาวหมุนจอกสุราดอกท้อหยกพันปี ส่งกลิ่นหอมกรุ่นละมุนไปทั่วสวนลอยฟ้า ณ ตำหนักของมหาเทพหวงหลง ริมฝีปากหยักสีลูกท้อสุกเหยียดยิ้มยียวน เอื้อนเอ่ยเย้ยหยันฝีมือดีดลูกแก้วของสหายรัก "ท่านจะเลือกศิลาอีกนานเท่าใด หวงหลง ข้ารอจนรากจะงอกอยู่แล้ว สู้ไม่ได้ก็ยอมแพ้เสียเถิด ดันทุรังไปก็เปล่าประโยชน์" "เฮอะ! สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร ชิงหลง รอบนี้ข้าไม่แพ้เจ้าแน่!" มหาเทพหวงหลงแค่นเสียง ใบหน้าหล่อเหลาราวหยกสลักดูยุ่งเหยิง ตัดสินใจหยิบก้อนศิลา ซึ่งกำลังเปล่งแสงเรืองรองสีขาวสลับดำออกมาจากกลางกล่องถือไว้ในมือ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดพรายที่มุมปาก "เพ้ย! แบบนี้ขี้โกงกันนี่หวงหลง! ท่านจะเอาศิลาเทวะธาตุลูกนั้นออกมาใช้ไม่ได้นะ!" เสียงคัดค้านของมหาเทพชิงหลงดังขึ้นทันที หลังประจักษ์แก่สายตาว่า สหายรักเลือกหยิบศิลามหาเทวะธาตุออกมาใช้ต่อกร "ไม่ได้มีกฎข้อไหนห้ามไว้นี่ เจ้าเตรียมตัวรับความพ่ายแพ้เสียเถอะชิงหลง ฮ่าๆๆ" ทว่าในชั่วขณะที่มหาเทพหวงหลงเตรียมง้างนิ้วดีดเต็มแรงอยู่นั้น เสียงหวานล้ำทรงพลังของมหาเทวีเฟิ่งหนี่ว์ ก็ดังขึ้นขัดจังหวะการตัดสินแพ้ชนะในศึกดีดลูกแก้วครั้งนี้เสียก่อน "ท่านพี่อยู่ไหนเจ้าคะ น้องกลับมาแล้วเจ้าคะ!!!" มหาเทวีที่พึ่งออกจากกักตน ส่งเสียงถามหาพระสวามีทันทีเมื่อมาถึงตำหนัก มหาเทพหนุ่มรูปงามทั้งสองสะดุ้งเฮือก ลนลานเก็บศิลาเทวะธาตุใส่กล่อง หากมหาเทวีรู้ว่าพวกเขากำลังเล่นพนันดีดลูกแก้ว โดยใช้ศิลาเทวะธาตุเป็นอุปกรณ์ และมีสุดยอดสุราทิพย์ของนางเป็นของเดิมพันล่ะก็…ไม่อยากจะคิดถึงผลที่ตามมา ไหนว่าจะกักตนห้าร้อยปี! นี่พึ่งผ่านไปสี่ร้อยกว่าปีเอง!! หากแต่สิ่งที่ทำให้มหาเทพทั้งสองต้องประหลาดใจ ไม่ได้หยุดลงเพียงแค่นี้ ศิลาเทวะธาตุสีขาวดำ หรือก็คือ ศิลามหาเทวะธาตุหยินหยาง ศิลาธาตุอันทรงพลังที่สุด ซึ่งถือเป็นไม้ตายสำคัญที่มหาเทพหวงหลง ยอมงัดออกมาใช้เพื่อเผด็จศึกครั้งนี้ จู่ๆ ก็เปล่งแสงสว่างจ้า กลิ้งหล่นจากโต๊ะพลัดตกจากขอบระเบียงสวนลอยฟ้า ร่วงลงสู่ภพเบื้องล่าง หายวับไปต่อหน้าต่อตามหาเทพแสนซุกซนทั้งสอง "ม่ายยยย…!!!" ภพมนุษย์ มหาพิภพทงเทียนเหอ อาณาจักรอู๋ซาง บนกองฟางสูงไม่ห่างจากบ้านหลังเล็กริมทุ่งนามากนัก เด็กหญิงวัยเก้าหนาวผู้มีหน้าตาน่ารักราวตุ๊กตา องคาพยพทั้งห้าบนใบหน้าได้รูปสมบูรณ์แบบ หากแต่ความงามที่พึงมี กลับถูกปานสีชาดรูปเปลวเพลิงขนาดใหญ่ พาดอยู่บนแก้มด้านซ้ายยาวไปจนถึงขมับ เบียดบังลดทอนความสมบูรณ์แบบไปหลายส่วน ทว่ามีสิ่งหนึ่งซึ่งทำให้ทุกคนต่างเอ็นดูนางยามพบหน้า นั่นคือดวงตาดอกท้อกลมโตไร้เดียงสา สุกสกาวเจิดจรัสประหนึ่งอัญมณีเม็ดงามล้ำค่า ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือกอบของ หวังลี่ถิง แหงนมองเหล่าดวงดาราที่กำลังทอแสงระยิบระยับบนท้องฟ้ายามราตรีอย่างเหม่อลอย ภายในใจของเด็กหญิงตัวน้อย เพียรคิดว่าไยจนป่านนี้ พลังธาตุของนางถึงยังไม่ตื่นขึ้นมาเหมือนเด็กคนอื่นๆ ในครอบครัวเสียที ทั้งที่บิดาและมารดาต่างก็มีพลังธาตุด้วยกันทั้งคู่ …เพียงแต่มารดาของหวังลี่ถิงได้จากโลกนี้ไปตอนที่เด็กหญิงมีอายุได้ห้าหนาว เมื่อครั้งที่อาณาจักรหวงซา ยกทัพมารุกรานดินแดนทางใต้ของอาณาจักรอู๋ซาง มารดาของหวังลี่ถิงดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพแห่งแดนทักษิณ พลีชีพในสมรภูมิ เสียสละชีวิตตนเองปกป้องต้าอ๋องผู้เป็นแม่ทัพ เมื่อไร้ซึ่งมารดา ชีวิตของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างหวังลี่ถิง ในจวนเสนาธิการทหารก็เปลี่ยนไปตลอดกาล… เริ่มต้นจากที่นางถูกน้องชายต่างมารดา ผลักตกสระน้ำในช่วงต้นเหมันตฤดู หวังลี่ถิงล้มป่วยอย่างหนัก ไข้ขึ้นสูงอยู่ห้าวันเต็มๆ หลังจากไข้ลดลง กลับปรากฏปานสีชาดขนาดใหญ่บนใบหน้า และเมื่อหายจากอาการป่วย ร่างกายที่เคยแข็งแรง กลับอ่อนแอลงเรื่อยๆ เด็กหญิงถูกย้ายออกเรือนใหญ่ ส่งไปอยู่เรือนเล็กท้ายจวนตามคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่า…ผู้เป็นท่านย่าแท้ๆ ของนาง ยามเมื่อถึงเวลาปลุกพลัง เด็กๆ ทุกคนที่มีอายุถึงเกณฑ์ ซึ่งอยู่ในวัยหกหรือเจ็ดหนาวตามช่วงเดือนที่เกิด จะถูกพาไปทดสอบพลังในวิหารเทวะธาตุของแต่ละเมือง ผลปรากฏออกมาว่า ตัวนางซึ่งเป็นบุตรที่เกิดอดีตฮูหยินเอกผู้ล่วงลับกลับไร้พลังธาตุใดๆ ส่วนพี่น้องอีกสามคน ซึ่งเกิดจากฮูหยินรองและอนุ กลับมีพลังธาตุไฟสองคน ธาตุดินหนึ่งคน ถึงแม้เจ้าวิหารจะบอกกับ หวังเหลียง ผู้เป็นบิดาของหวังลี่ถิงว่า เด็กบางคนพลังธาตุอาจตื่นช้าไปบ้าง ตัวเขาเคยเจอเด็กหลายคนที่พลังธาตุตื่นขึ้นตอนอายุสิบหนาว ขอให้บิดาของนางรอดูไปก่อนอย่าเพิ่งหมดหวัง ทว่าสำหรับท่านเสนาธิการ การมีบุตรสาวหน้าตาอัปลักษณ์ กระทั่งเจ็ดหนาวพลังธาตุก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา นี่ถือเป็นจุดด่างพร้อยอันน่าอับอายของวงศ์ตระกูล หวังลี่ถิงในวัยเจ็ดหนาว ถูกบิดาบริภาษจนน้ำตาร่วง ถ้อยคำเสียดแทงหัวใจดวงน้อยที่กล่าวว่านางเป็นขยะไร้ประโยชน์ ดังก้องสองหูในคืนนั้น เช้าวันถัดมา หวังเหลียงมีคำสั่งให้ส่งตัวหวังลี่ถิงออกจากจวน ด้วยการส่งนางและบ่าวรับใช้คนสนิทไปอยู่ไกลถึงหมู่บ้านติดชายแดนอาณาจักร ผ่านมาสองปีกว่าแล้วที่หวังลี่ถิงมาใช้ชีวิตอยู่ ณ หมู่บ้านซีซานกับแม่นมและสาวใช้ ร่างเล็กถอนหายใจราวผู้ใหญ่มีเรื่องกลัดกลุ้ม ฉับพลันนั้นเองบนท้องนภาสีหมึกปรากฏดาวตก ส่องสว่างโชติช่วงทอดยาวเป็นสาย หวังลี่ถิงลุกพรวดมาขึ้นนั่งพนมมือ กล่าวคำอธิษฐานกับดาวตก เสียงดังฟังชัดใจความว่า "ข้าแต่ท่านมหาเทพบนสรวงสวรรค์เจ้าขา ขอท่านโปรดเมตตาช่วยให้พลังธาตุของถิงเอ๋อร์ตื่นขึ้นโดยเร็ววัน หากเป็นไปได้ขอให้เป็นธาตุหายากด้วยเถิดเจ้าค่าาาา" หวังลี่ถิงเงยหน้าขอพรเสียงดัง ริมฝีปากจิ้มลิ้มอ้ากว้างในท้ายประโยค อุ๊บ! หินปริศนารสชาติเค็มๆ มันๆ ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า ตกใส่ปากของเด็กหญิงพอดิบพอดี ทั้งยังลื่นไหลลงคอไปอย่างรวดเร็ว แค่กๆๆๆ หวังลี่ถิงไอโขลก พยายามล้วงคอเอาหินก้อนนั้นออกมา หากแต่ไม่ทันการณ์เสียแล้ว… ความเย็นจัดขุมหนึ่งพลันบังเกิดในช่องท้อง ณ บริเวณจุดตันเถียน ลุกลามกระจายไปทุกอณูรูขุมขน ร่างเล็กหนาวสะท้านประหนึ่งตกลงไปในทะเลสาบช่วงฤดูเหมันต์ เสี้ยวลมหายใจต่อมา ทั่วทั้งร่างของหวังลี่ถิงถูกห่อหุ้มด้วยน้ำแข็งอย่างไร้ที่มาที่ไป ทั้งที่ช่วงนี้เป็นฤดูคิมหันต์ หลังผ่านไปราวสองเค่อ น้ำแข็งที่ห่อหุ้มร่างค่อยๆ ปริแตกสลายไป ขุมความร้อนจัดในช่องท้องพลันเข้ามาแทนที่ ผิวกายขาวผ่องของร่างเล็ก เปลี่ยนเป็นสีแดงดุจเปลวเพลิง หวังลี่ถิงกรีดร้องจากความทรมานสุดแสน คิดว่าตนคงกำลังจะลาลับ น้ำตาเม็ดโตราวไข่มุกหลั่งรินเป็นสาย เด็กหญิงหวาดกลัวสุดหัวใจ สะอื้นไห้ร้องหามารดา “ท่านแม่ ฮึก ท่านแม่ช่วยถิงเอ๋อร์ด้วย ฮึก ท่านแม่เจ้าขา ถิงเอ๋อร์เจ็บบบ ฮืออ” ร่างเล็กอ่อนแรงลงช้าๆ ดวงตาดอกท้อเริ่มพร่าเลือนสติสัมปชัญญะดับวูบลง… ในขณะที่หวังลี่ถิงนอนหมดสติ ร่างกายที่เคยร้อนผ่าวราวเพลิงผลาญ บัดนี้กลับมาเป็นปกติ ของเสียมากมายถูกขับออกมาทางผิวหนัง เกิดเป็นคราบสีดำเปรอะเปื้อนทั่วตัว ทั้งยังส่งกลิ่นไม่น่าพิศมัยคละคลุ้ง ปานสีชาดขนาดใหญ่บนหน้าจางหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่ รอบกายร่างเล็กโอบล้อมด้วยปราณสีเงินบริสุทธิ์ ประดุจแสงแห่งรัชนีกรในคืนเต็มดวง สลับไปมากับปราณสีทองอบอุ่นประหนึ่งแสงแห่งรุ่งอรุณยามเช้าบทเสริมมหาพิภพทงเทียนเหอ ประกอบไปด้วยสี่อาณาจักรทิศเหนือ อาณาจักรอู๋ซางทิศใต้ อาณาจักรหวงซาทิศตะวันออก อาณาจักรตงหลงทิศตะวันตก อาณาจักรเว่ยเสินพลังธาตุในมหาพิภพทงเทียนเหอชนิดพลังธาตุและสีของไฟธาตุต้นกำเนิด (ที่เรียกว่าไฟธาตุ เพราะดูเก๋ตามจินตนาการของนักเขียนค่ะ หากฟังดูไม่เข้าท่าในความคิดของนักอ่านบางท่าน ก็อย่าเก็บมาคิดมากนะคะเน้นจินตนาการและความบันเทิงค่ะ)พลังธาตุปกติดิน ปฐพีธาตุ ไฟธาตุสีน้ำตาลน้ำ วารีธาตุ ไฟธาตุสีขาวใสลม วาโยธาตุ ไฟธาตุสีขาวแกมเขียวอ่อนไฟ อัคคีธาตุ ไฟธาตุสีส้มแดงไม้ พฤกษาธาตุ ไฟธาตุสีเขียวเข้มพลังธาตุพิเศษ แบ่งเป็นสายฟ้า อัสนีธาตุ ไฟธาตุสีเงินน้ำแข็ง หรือ หิมะ เหมันต์ธาตุ ไฟธาตุสีฟ้าพลังธาตุพิเศษหายาก หรือ มหาธาตุหยินหยางธาตุแสง ไฟธาตุสีทอง เรียกอีกชื่อว่า อัคคีหิรัณย์ธาตุมืด ไฟธาตุสีดำ เรียกอีกชื่อว่า อัคคีนิลกาฬอาณาจักรอู๋ซางราชวงศ์หวงฝู่ ปกครองโดยเผ่ามนุษย์สี่สำนักใหญ่สำนักเพลิงจักรพรรดิสำนักหงสาจันทราสำนักกระบี่สวรรค์สำนักอัสนีเทพสองตำหนักใหญ่ในอาณาจักรอู๋ซาง มีราชวงศ์ปกครองตนเอง ได้แก่ตำหนักเทวาอนธการ ปกครองโดยเผ่ามนุษย์สายเลือดมารส
บทที่ 2 พลังที่ตื่นขึ้น แสงทองของวันใหม่ทาบทับขอบฟ้า เสียงสกุณาขับขานบทเพลงแห่งชีวิต สายลมอุ่นยามเช้าโลมเลียผิวอ่อนของเด็กหญิงตัวน้อยบนกองฟาง เปลือกตาของร่างเล็กพลันเคลื่อนไหว "คิกๆๆ จั๊กจี้ เช้าแล้วเหรอ นี่ข้ายังไม่ตายเหรอ?!" หวังลี่ถิงปรือตาตื่น ผมเผ้ายุ่งเหยิงมีฟางติดผมหลายเส้น ดวงตาดอกท้อกลอกไปมาแลดูสับสน "ก็เช้าแล้วน่ะสิ ถิงเอ๋อร์ ไยเจ้าถึงมาหลับอยู่ตรงนี้กัน แล้วที่บอกว่ายังไม่ตายอีก แปลกจริงเขียว ว่าแต่เจ้าไปทำอะไรมาถึงได้สกปรกเหม็นหึ่งขนาดนี้" นกกระเต็นสีฟ้าสดใสใช้ปากของมันเขี่ยใบหูของเด็กหญิง ส่งเสียงเจื้อยแจ้วทักทายอยู่ข้างหูเล็ก นี่คือความพิเศษของหวังลี่ถิง ซึ่งมีเพียงแม่นมและสาวใช้คนสนิทเท่านั้นที่รู้ แม้ว่านางจะไม่มีพลังธาตุ ทว่ากลับสามารถสื่อสารกับสัตว์ได้ทุกชนิด ยกเว้นจำพวกแมลง… "อรุณสวัสดิ์ เสี่ยวหลาน!" เด็กหญิงเอ่ยทักทายนกน้อยเสียงใส ก้มหน้าสำรวจคราบสีดำส่งกลิ่นคละคลุ้งบนร่างกาย "เห คราบสีดำพวกนี้มาได้อย่างไรเนี่ย เหม็นชะมัด" หรือว่านางนอนละเมอไปเล่นกับหมูอสูรในเล้ามากันนะ ร่างเล็กรีบไถลลงจากกองฟาง วิ่งตรงไปยังบ้านของตนเพื่อชำระร่างกาย "ข้ารีบกลับบ้านไ
บทที่ 3 /1 มหาธาตุหยินหยาง เสียงเจื้อยแจ้วของเสี่ยวหลานช่วยเรียกสติหวังลี่ถิงให้กลับมา ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ จ้องมองไฟธาตุสีทองและสีดำที่เพิ่งเรียกขึ้นมาในมือด้วยแววตาใคร่รู้ จนแทบมองเห็นเครื่องหมายคำถามผุดขึ้นเหนือศีรษะเล็กๆ ของนาง "เสี่ยวหลาน ท่านปู่นกฮูกได้บอกหรือไม่ ว่าไฟธาตุพิเศษมีสีอะไรบ้าง ธาตุปกติข้าพอรู้ ธาตุพิเศษอย่างสายฟ้ากับน้ำแข็งก็เคยได้ยินมาบ้าง แต่ธาตุแสงกับธาตุมืดนี่สิ ข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน" นกกระเต็นที่ดื่มน้ำจนหายคอแห้ง รีบยืดอกของตนก่อนเอ่ยตอบเด็กหญิง ด้วยท่าทางคล้ายผู้คงแก่เรียน "อ่ะ แฮ่ม นี่ใคร นี่เสี่ยวหลานนะ เรื่องรอบคอบขอให้บอกนกกระเต็นแสนสวยอย่างข้า ไฟธาตุต้นกำเนิดในมือของถิงเอ๋อร์ก็คือธาตุแสงและธาตุมืดอย่างไรล่ะ เห็นชัดออกขนาดนี้ แต่ไม่ต้องห่วงนะ ข้าไม่ได้บอกเรื่องของเจ้ากับท่านปู่นกฮูกหรือใครๆทั้งสิ้น" "ธาตุแสงและธาตุมืดอย่างนั้นหรือ?" หวังลี่พึมพำเสียงแผ่วก่อนที่… "ว้ายยย ถิงเอ๋อร์เจ้าเป็นอะไรไป! จวี๋จื่อช่วยที" เสี่ยวหลานร้องเสียงหลง ยามเห็นสหายมนุษย์ตัวน้อยของมันลมจับหงายท้องตึง ลงไปกองอยู่บนตั่งจากอารามตกใจเรื่องธาตุสุดพิเศษของตน แมวส้มหน้า
บทที่ 3/2 มหาธาตุหยินหยาง "โอ้ นี่มันธาตุลมเหมือนกับของฮูหยินเลยเจ้าค่ะ" ดวงตาสองคู่จดจ้องลมหมุนสีเขียวอ่อนบนฝ่ามือเล็กอย่างยินดี พวกนางดีใจที่หวังลี่ถิงมีธาตุลมเหมือนมารดา หาใช่ธาตุไฟเหมือนบุรษใจดำผู้นั้น! หวังลี่ถิงเก็บพลังของตน ก่อนขอให้แม่นมและสาวใช้ตามนางเข้าไปห้องนอน เอ่ยขอให้ทั้งสองนั่งลงบนตั่ง พลางหันไปพูดกับนกกระเต็น "เสี่ยวหลาน ช่วยดูให้ถิงเอ๋อร์ทีว่ามีใครอยู่แถวหน้าบ้านหรือด้านหลังหรือเปล่า" "ได้เลย" นกกระเต็นผละออกไปตามคำขอ ครู่หนึ่งจึงบินกลับมาหาเด็กหญิง ยามได้รับคำตอบว่ารอบบ้านปลอดคน หวังลี่ถิงจึงหันมาหาแม่นมและสาวใช้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ที่มองอย่างไรก็น่าเอ็นดูที่สุดในสายตาของผู้ใหญ่ทั้งสอง "แม่นมเจ้าคะ พี่ชุนอิ่งเจ้าคะ สิ่งที่ถิงเอ๋อร์กำลังจะบอก เป็นเรื่องสำคัญมากเจ้าค่ะ และถิงเอ๋อร์ก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรดี แต่ก่อนอื่น ถิงเอ๋อร์อยากให้พวกท่านสัญญาก่อนเจ้าค่ะว่าจะไม่ตกใจ" แม่นมชุนหงหันมาสบตากับหลานสาว คล้ายกำลังสื่อสารว่าวันนี้คุณหนูดูมีลับลมคมนัยแปลกๆ ทั้งสองพยักหน้าให้กัน ก่อนหันมาตอบรับคำของเจ้านายตัวน้อยอย่างพร้อมเพรียง "พวกเราสัญญาว่าจะไม่ตกใจเจ้า
บทที่ 4/1 รวี่เยว่ "คุณหนูคิดถึงท่านเสนาธิการมากเลยหรือเจ้าคะ" เสียงของแม่นมชุนราบเรียบทว่าแฝงความขุ่นมัวอยู่ในนั้น หวังลี่ถิงเป็นเด็กไวต่อความรู้สึกและอ่อนไหว นางจึงจับสังเกตได้จากน้ำเสียงของแม่นม ริมฝีปากจิ้มลิ้มเม้มเข้ากันจนเป็นเส้นตรง ก้มหน้าลงเล็กน้อย หลังจากผ่านไปราวสามอึดใจจึงตัดสินใจเอ่ยปากออกมา "ถิงเอ๋อร์คิดถึงท่านพ่อเจ้าค่ะแม่นม แต่ทำไมแม่นมถึงดูไม่ค่อยพอใจหรือเจ้าคะ ท่านพ่อ…ทำอะไรผิดหรือเจ้าคะ" ชุนอิ่งหันไปสบตาท่านป้าของนาง ส่ายศีรษะเล็กน้อยอย่างไม่เห็นด้วย คุณหนูยังเด็กเกินไปที่จะมารับรู้เรื่องราวน่าอดสูที่กำลังเผชิญ "ช้าเร็วก็ต้องบอกอยู่ดี ไม่บอกวันนี้จะรอให้ข้าบอกวันไหนอาอิ่ง" ท่าทีของแม่นมชุนดูเคร่งเครียด ปฏิเสธความเห็นของหลานสาว จริงอยู่ที่หวังลี่ถิงยังเด็ก ทว่ากลับฉลาดหลักแหลมและรู้ความไม่น้อยไปกว่าผู้ใหญ่ นางมีค่าเกินกว่าจะมีบุรุษไร้ใจเห็นแก่ตัวอย่างหวังเหลียงเป็นบิดา หากเขาทราบว่าบัดนี้บุตรสาวพลังธาตุตื่นขึ้นแล้ว ทั้งยังเป็นมหาธาตุหยินหยาง คงไม่แคล้วจะมาพาตัวกลับไปและฉกฉวยหาผลประโยชน์จากนางเป็นแน่ "คุณหนูรอสักครู่นะเจ้าคะ เดี๋ยวแม่นมกลับมา" ร่างท้วมขอ
บทที่ 4 รวี่เยว่ /2 "ด่าได้ดีจวี๋จื่อ!" เสี่ยวหลานถูหัวของมันกับแก้มของแมวสาว แม่นมชุนยกยิ้ม ชื่นชมคุณหนูของตนว่าสมแล้วที่เป็นบุตรีของนักรบผู้หาญกล้า สายเลือดของเยว่หนิงลี่เข้มข้นกว่าสายเลือดคนตระกูลหวังโดยแท้จริง นางชอบใจตรงที่คุณหนูใช้คำว่า ข้าอนุญาต!!! สาแก่ใจยิ่งนัก นางเลยเขียนตัวหนังสือของคำนั้นใหญ่กว่าตัวหนังสืออื่นๆในสาร เมื่อเขียนสารจบพวกนางจึงนั่งรถม้าเข้าไปในเมืองเพื่อส่งสารไปยังเมืองหลวง ระหว่างทางได้เห็นประกาศของสำนักบำเพ็ญติดไว้ที่จตุรัสกลางเมือง - ในอีกสามเดือนตัวแทนของสี่สำนักใหญ่จะมาดูการทดสอบนักเรียนของสำนักกระบี่จันทรา หรือผู้ที่ประสงค์จะเข้าร่วมการทดสอบ อายุต้องไม่เกินสิบสองหนาว หากเด็กคนใดสนใจ สามารถลงชื่อสมัครได้ที่สำนักกระบี่จันทราโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ดวงตาของหวังลี่ถิงสว่างวาบนางหันไปหาแม่นมกับสาวใช้ เอ่ยปากบอกความประสงค์ของตนออกมาอย่างไม่ลังเล "ข้าต้องเข้าร่วมการทดสอบนี้เจ้าค่ะ ช่วยพาข้าไปลงชื่อสมัครทีนะเจ้าคะ" สำนักกระบี่จันทราเป็นสำนักมีชื่อเสียงประจำเมืองลวี่เฟิง ซึ่งถือเป็นเมืองใหญ่ของทิศอีสาน ในทุกๆปีจะจัดงานประลองขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้ศิษย์ของสำนัก
บทที่ 5 อาจารย์ของรวี่เยว่/1 หมู่บ้านซีซาน เป็นหนึ่งในหมู่บ้านของเขตเมืองลวี่เฟิง ตั้งอยู่บนพื้นที่ห่างไกลอันแสนสงบสุข ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักรอู๋ซาง ทิวทัศน์งดงามของเทือกเขาเขียวขจีสูงใหญ่ทอดยาวสุดสายตา ดูละม้ายคล้ายมังกรสีเขียวตัวมหึมากำลังหลับใหล ความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า กอปรกับแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลลงมาจากเทือกเขาสูง มุ่งลงทิศใต้ผ่านป่าเขาลำเนาไพร มอบความชุ่มชื้นและชีวิตให้สรรพสิ่ง รวี่เยว่น้อยเปิดม่านหน้าต่างรถม้า หลับตาสูดหายใจรับพลังปราณบริสุทธิ์จากธรรมชาติ ตามที่แม่นมชุนให้คำแนะนำ และเมื่อกลับถึงบ้านนางก็ตรงเข้าห้อง ฝึกเดินลมปราณต่อทันทีจนถึงเวลาอาหารเย็น หลังกินอาหารเย็นเรียบร้อย ร่างเล็กจึงมานอนเล่นบนกองฟางเหม่อมองท้องฟ้าและดวงดารา อย่างที่ชอบทำอยู่เป็นประจำก่อนเข้านอน โดยมีแมวส้มจวี๋จื่ออยู่เป็นเพื่อน เสี่ยวหลานกลับรังของมันไปตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ตก ตามธรรมชาติของนกน้อย ท้องฟ้ายามราตรีในคืนนี้ สว่างไสวจากแสงแห่งจันทรา มือเล็กเรียกไฟธาตุกำเนิดในมือข้างซ้ายออกมารับแสงจันทร์ "ถิงเอ๋อร์ ไม่สิ รวี่เยว่ เจ้าจะลงประลองในอีกสามเดือนจริงๆ อย่างนั้นหรือ" จวี๋จื่อเกยคา
บททึ่ 5 อาจารย์ของรวี่เยว่ /2 วูบบบ มหาเทพหวงหลงซึ่งกำลังคันไม้คันมือคล้ายเด็กได้ของเล่นใหม่ รีบพาร่างเล็กมาโผล่ ณ ลานฝึกกลางหุบเขาเล็กๆ ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังปราณฟ้าดิน ต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นมีละอองสีเงินและสีทองล้อมรอบ "ที่นี่คือลานฝึกที่ข้าสร้างให้เจ้าโดยเฉพาะ ยอดเยี่ยมไปเลยใช่หรือไม่" มหาเทพจอมซนยืนเอามือไพล่หลังยืดอกบอกรวี่เยว่ด้วยความภาคภูมิใจ "ท่านเทพสร้างให้รวี่เยว่โดยเฉพาะเลยหรือเจ้าคะ?!" ร่างเล็กถามเสียงสูงด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ พลางกวาดตามองไปทั่วหุบเขา หากเดาไม่ผิดต้นไม้ใบหญ้าพวกนี้คือพืชปราณทั้งหมด!! "ถูกต้อง พวกเรามาเริ่มฝึกกันเถอะเด็กน้อย" "เอ่ออ แล้วรวี่เยว่ไม่ต้องกราบท่านเทพเป็นอาจารย์ก่อนหรือเจ้าคะ" ร่างเล็กยืนเอามือประสานไว้ที่หน้าอก เอียงหน้ากะพริบตาปริบๆ เอ่ยถามมหาเทพเรื่องที่ศิษย์ต้องกราบอาจารย์ ก่อนได้รับการสั่งสอนตามธรรมเนียม…หรือว่าบนแดนเทพไม่มีธรรมเนียมปฏิบัตินี้กัน? "…" มหาเทพหวงหลง คำถามของรวี่เยว่สร้างความงุนงงให้กับมหาเทพหวงหลงไม่น้อย ด้วยเพราะเขาไม่เคยรับศิษย์หรือสั่งสอนวิชาให้ใครมาก่อน จึงแอบส่งจิตไปถามมหาเทพชิงหลง ที่ชอบแอบหนีลงมาเที่ยวเล่นบนพิ
บทที่ 51/2 คนร้ายตัวจริง ถึงแม้ตัวเลี่ยวโร่เป้ยจะโดดเด่นเปี่ยมด้วยพรสวรรค์อย่างไร แต่กลับไม่มีสิทธิ์นั่งบัลลังก์ของอาณาจักรหวงซา ด้วยว่ามีมารดาเป็นสตรีจากอาณาจักรอู๋ซาง รวมถึงเรื่องที่นางเป็นเพียงบุตรีจากอนุ เมื่อเป็นเช่นนั้น เลี่ยวเจิงเวยจึงหารือกับสือเซิน วางแผนช่วยเขาพิชิตอาณาจักรอู๋ซาง หากทำสำเร็จเลี่ยวเจิงเวยสัญญาเป็นมั่นเหมาะว่า จะแต่งตั้งเลี่ยวโร่เป้ยขึ้นเป็นผู้ปกครองอาณาจักรอู๋ซางคนต่อไป ภายใต้ร่มเงาของอาณาจักรหวงซา เรื่องนี้วั่งเฉาหาได้รับรู้ เขาเข้าใจว่า หากหวงฝู่ฮ่าวอวี่ได้นั่งบัลลังก์ต่อจากพระบิดา สำนักกระบี่สวรรค์จะสนับสนุนวั่งเตี้ยนเถียน ให้ได้รับตำแหน่งฮองเฮาอย่างเต็มที่…ทั้งที่ความจริงตนเป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งของสือเซิน …อาณาจักรหวงซาซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ของมหาพิภพทงเทียนเหอ มีสายแร่หลายชนิดเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของอาณาจักร ทว่าพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย และเต็มไปด้วยภูเขาหินจึงขาดแคลนพื้นทำการเกษตร หลายร้อยปีมานี้มักเข้าโจมตีเมืองติดชายแดนของอาณาจักรอู๋ซางอยู่เนืองๆ จุดประสงค์เพื่อแย่งชิงดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ในเขตนั้นมาเป็นของตน เพิ่งจะมีการทำสัญญาสงบศึกไปเม
บทที่ 51/1 คนร้ายตัวจริง จวนอัครมหาเสนาบดี ภายในโถงรับรองของเรือนส่วนตัว วั่งเฉาเข่าทรุดกระอักเลือด รับแรงกดดันหนักหน่วงจากบุรุษในชุดผ้าไหมสีเงินที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ภายในใจอัดแน่นไปด้วยความหวาดหวั่นค่อนไปทางหวาดกลัว หวนรำลึกถึงเรื่องเมื่อสิบกว่าปีก่อน ในวันที่บุรุษผู้นี้เดินทางมาหาเขา พร้อมยื่นข้อเสนออันแสนหอมหวานยั่วยวนเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน สิ่งที่เขาต้องลงมือทำคือการกำจัดเด็กหญิงซึ่งมีชะตาหงส์ตามคำทำนายของหอพยากรณ์ในปีนั้น เด็กผู้หญิงอายุห้าหนาว ที่เกิดกลางฤดูวสันต์หลายคนถูกกำจัด ไม่ก็ถูกทำให้ไร้ซึ่งพลังธาตุ หากแต่คาดไม่ถึงว่า หนึ่งในนั้นจะรอดพ้นการคุกคามทั้งหมดทั้งมวลมาได้! กระทั่งเติบใหญ่ขึ้นมาและกลายเป็นธิดาเทพแห่งตำหนักเทวาอนธการผู้สูงส่ง แม้แต่พยัคฆ์อนธการยังยอมรับนางเป็นคู่พันธะ! “อาจารย์ หากวั่งเฉาตายจะมีคนสงสัยได้นะขอรับ โปรดยั้งมือด้วยเถิด” เสียงทุ้มของชายหนุ่มรูปงามที่นั่งกอดกระบี่อยู่บนเก้าอี้ดังขึ้น แรงกดดันหายไปตามคำขอ วั่งเฉาหอบหายใจรีบโกยอากาศเข้าปอดหนักหน่วง นึกว่าตนจะแดดิ้นด้วยมือบุรุษตรงหน้าเสียแล้ว เพียงแค่แรงกดดันยังทำเขากระอักเลือดไปหลายคำจนแทบสิ้นสติ
บทที่ 50/2 ความหวาดหวั่นและยำเกรง บัดนี้ เด็กคนนั้นกลายเป็นธิดาเทพแห่งตำหนักเทวาอนธการอันยิ่งใหญ่ สูงส่งห่างไกลจนมิอาจเอื้อมถึง เขาเคยปรามาสนางว่าเป็นเพียงแค่ขยะไร้ประโยชน์ ทั้งที่ความจริงนางคืออัจฉริยะ จะมีสักกี่คนบนมหาพิภพทงเทียนเหอ ที่สามารถบรรลุระดับหยวนอิงตั้งแต่อายุสิบห้า!… เขาและมารดาทำลายวาสนาอันยิ่งใหญ่ที่สมควรเป็นของตนลงกับมือ! ช่างน่าแค้นใจนัก… แต่หากว่าเขาทวงสิทธิ์ความเป็นบิดาของนาง กลับคืนมาต่อหน้าธารกำนัลในเวลานี้ ไม่แน่ว่าครั้งนี้อาจได้ผล! ด้วยเพราะฮ่องเต้ทรง ให้ความสำคัญเรื่องความกตัญญู ต่อบุพการีและผู้มีพระคุณเป็นอย่างยิ่ง หวังเหลียงหยัดกายลุกขึ้นก้าวออกมาที่ขอบกั้นอัฒจันทร์ กำลังจะอ้าปากเปล่งเสียงเรียกชื่อบุตรี ทว่ากลับถูกพลังลึกลับอันแข็งแกร่ง กระแทกเข้าที่ลำคอจนจุกแน่นก่อนกระอักเลือดออกมา ครั้นเหลือบมองขึ้นไปด้านบน สายตาพลันประสบเข้ากับดวงตาสีเขียวมรกต ทรงอำนาจดุดันของพยัคฆ์อนธการ พร้อมถ้อยคำส่งผ่านพลังปราณดังกึกก้องในโสตประสาท “หากไม่อยากสลายเป็นจุณ ก็เลิกคิดตอแยกับรวี่เยว่ซะ เพราะข้าหาใช่ผู้มีจิตใจเมตตา จำใส่กระโหลกหนาๆ ของเจ้าเอาไว้ให้ดี!” ร่างอรช
บทที่ 50/1 ความหวาดหวั่นและยำเกรง สุ้มเสียงแว่วหวาน เอื้อนเอ่ยแสดงความเคารพฮ่องเต้ของแคว้นอู๋ซางอย่างนอบน้อม วรกายสูงสง่าของโอรสสวรรค์ หยัดขึ้นจากเก้าอี้ประธาน ก้าวมาหาหญิงสาวด้วยรอยยิ้มประดับมุมปากบางเบา “ธิดาเทพ ยินดีที่ได้พบ” เขากล่าวรับคำทักทายของนาง ก่อนเอ่ยวาจาต่อจากนั้น “คล้ายมาก ช่างคล้ายมากจริงๆ ต้าอ๋อง ท่านเองก็คิดเหมือนข้าใช่หรือไม่” ฮ่องเต้หวงฝู่ฮุ่ยหมิ่นหันไปถามลูกพี่ลูกน้องของตน ผู้เป็นอ๋องปกครองแดนทักษิณ ต้าอ๋องหรือ หวงฝู่เจิ้งหยาง บุตรชายของต้าอ๋องผู้เฒ่าผู้ล่วงลับ ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระปิตุลาของหวงฝู่ฮุ่ยหมิ่น “คล้ายอาลี่มากพะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมเห็นด้วยกับพระองค์” ต้าอ๋องลุกขึ้นจากที่นั่งก้าวมาสมทบกับฮ่องเต้ “ธิดาเทพ ข้าคงต้องขอละลาบละล้วงถามท่านซักคำถาม ไม่ทราบว่าพอจะบอกข้าได้ไหมว่า มารดาของท่านมีนามว่าอะไรหรือ” ต้าอ๋องเอ่ยถามสิ่งที่ต้องการทราบ ด้วยน้ำเสียงสุภาพและอ่อนโยน “เรียนต้าอ๋อง มารดาของหม่อมฉันมีนามว่า เยว่หนิงลี่เพคะ” คำตอบของนางสร้างความตื่นตะลึงอีกครั้งให้ใครหลายๆคนในสนามประลอง บุตรีรองแม่ทัพเยว่หนิงลี่! นั่นก็หมายความว่า หญิงสาวตรงหน้าคือเด
บทที่ 49/2 วันเปิดงาน ฮั่วเฮ่อฉีเองช่วงนี้ก็มัวแต่วุ่นวายอยู่กับพี่น้อง และศิษย์จากตำหนักเทพอนันต์ จนแทบไม่มีเวลาปลีกตัวมาพบรวี่เยว่ ชายหนุ่มถูกผู้อาวุโสขอให้ช่วยหลอมยา ให้บรรดาน้องๆ และศิษย์ตัวแทน จนตัวเขาแทบหมดเรี่ยวแรงทุกวี่วัน อี้หรงได้แต่มองคู่พันธะอย่างเห็นใจ ‘ใครใช้ให้ท่านอยากเป็นนักปรุงโอสถระดับเก้า ตั้งแต่อายุเท่านี้กันล่ะ ก้มหน้ารับชะตากรรมไปเถอะ ข้าเอาใจช่วย‘ สรุปว่าการเอาใจช่วยของอี้หรง ซึ่งหากฟังดีๆ จะคล้ายว่ากำลังสมน้ำหน้าเขา ทำให้มันโดนฮั่วเฮ่อฉีกัดหูไปหนึ่งทีจนน้ำตาร่วง… จากฤดคิมหันต์ย่างเข้าต้นฤดูสารท อากาศที่เคยร้อนอบอ้าวผันเปลี่ยนเป็นเย็นสดชื่นอีกครั้ง เวลาแห่งการประลองอันยิ่งใหญ่ของอาณาจักรอู๋ซางได้เริ่มต้นขึ้น ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศเดินทางเข้าเมืองเทียนหวงเพื่อร่วมแข่งขัน หรือร่วมเป็นสักขีพยานในศึกของนักพรตรุ่นเยาว์ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่อึดใจ สนามประลองหลักที่ใช้ทำพิธีเปิดนี้ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองหลวง สามารถจุผู้ชมได้มากถึงสองหมื่นคน ท้องฟ้าสีครามสดใสไร้เมฆบัง สายลมเย็นพัดเข้ามาเบาๆ ราวกับดนตรีที่เล่นโดยธรรมชาติ ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง
บทที่ 49/1 วันเปิดงานประลอง สิบห้าวันต่อมา ตัวแทนจากตำหนักเทวาอนธการได้เดินมาถึง โดยมีผู้อาวุโสหนึ่งและสอง นำศิษย์มากฝีมือซึ่งมีอายุไม่เกินสิบแปด จำนวนทั้งหมดหกคนที่จะเข้าร่วมการประลอง เดินทางมาด้วยตนเอง ส่วนองค์ไท่จื่ออย่างองค์ชายใหญ่ และองค์หญิงรองมิได้เข้าร่วมการประลองในครั้งนี้ เพียงแค่มาร่วมชมความสนุกเฉยๆ ฮ่องเต้ทราบข่าวจากชินอ๋องอวี้เหวินเทียนหยา จึงมอบตำหนักรับรองริมทะเลสาบให้เป็นที่พักสำหรับคนจากตำหนักเทวาอนธการ ส่วนคนจากตำหนักเทพอนันต์ มีตำหนักใกล้ภูเขาทางทิศเหนือเป็นที่พักประจำอยู่แล้ว อวี้เหวินเทียนหยาและรวี่เยว่ไปรอรับพวกเขาอยู่ที่นั่นตั้งแต่ช่วงสาย ครั้นพอได้เวลามวลอากาศบนท้องฟ้าเหนือตำหนักก็แยกออกเป็นช่องกว้างขนาดใหญ่ คณะเดินทางทั้งหมดจากตำหนักเทวาอนธการก็ทยอยกันออกมา ทันทีที่อวี้เหวินอิงเอ๋อร์เห็นหน้ารวี่เยว่ นางก็ขี่กระบี่พุ่งตรงมาหา ใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราจดจ้องธิดาเทพผู้เป็นสหายรักด้วยแววตาน้อยอกน้อยใจ “รวี่เยว่ คนใจร้าย ท่านทิ้งข้าไว้คนเดียวตั้งหลายเดือน ข้าเหงามากเลยรู้ไหม ฮึก ไม่มีใครเล่นสนุกกับข้าเลย ทุกคนเอาแต่เก็บตัวฝึกวิชา…ท่านสัญญาได้หรือไม่ว่าต่อไป
บทที่ 48/2 ความเปลี่ยนแปลง ในที่สุดก็ครบกำหนดจ่ายหนี้ที่ค้างไว้ ทั้งหวังเหลียงและฮูหยินผู้เฒ่าต่างอ้อนวอนหญิงสาว ขอให้นางเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก ยอมให้พวกเขาอาศัยอยู่ที่จวนหลังนี้ต่อไป เพราะอย่างไรเสียพวกเขาก็คือครอบครัวของนาง รวี่เยว่หัวเราะเย้ยหยัน ก่อนกล่าววาจาตอบโต้จนคนฟังหน้าชา “ฮ่าๆๆ ให้ข้าเห็นกับความเป็นพ่อลูกอย่างนั้นรึ! ช่างพูดออกมาได้ไม่อายปาก หากไม่ตกที่นั่งลำบากคงยังมองว่าข้าเป็นเพียงขยะไร้ประโยชน์อยู่สิท่า หึ! หน้าหนาไร้ยางอาย ข้าหาใช่บุตรหลานของพวกท่านนานแล้ว จำมิได้รึ?! เสมียนหวัง ท่านยังจำได้หรือไม่ หลังจากท่านส่งหนังสือตัดขาดไปให้ข้าเมื่อหกปีก่อน ท่านก็หยุดส่งเสียข้า ไม่สนใจว่าข้าจะมีที่ซุกหัวนอนหรือมีข้าวกิน โชคดีที่เจ้าของบ้านเช่าหลังนั้นเวทนาข้า แม่นมชุน และพี่ชุนอิ่ง ถึงได้ยอมให้พวกข้าอยู่โดยไม่เก็บเงินค่าเช่าเป็นเวลาสามเดือน! ไฉนตอนนั้นพวกท่านถึงไม่คิดว่าข้าเป็นคนในครอบครัวบ้างเล่า ทั้งๆ ที่เสวยสุขอยู่บนทรัพย์สินของมารดาข้าแท้ๆ! ข้าให้เวลาพวกท่านเก็บของหนึ่งวัน พรุ่งนี้เช้ายามเฉิน (07:00-08:59) พวกท่านทุกคนต้องย้ายออกไปจากที่นี่! หากไม่ยอมไปข้าจะไปแจ้งทาง
บทที่ 48/1 ความเปลี่ยนแปลง หวังเหลียงกระดกจอกสุราเข้าปากจนหมด ก่อนหันมามองมารดาด้วยสายตาว่างเปล่า “ท่านแม่จะถามข้าทำไมขอรับ ในเมื่อท่านบอกเองว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งสิ้น” “อาเหลียง นี่มันใช่เวลาที่เจ้าจะมาประชดประชันข้าไหม ลองตรองดูให้ดี บางทีเรื่องนี้อาจเชื่อมโยงกัน เริ่มจากการที่เจ้ามาถามข้าเรื่องพิษ ต่อมาลุงของเจ้าก็หายตัว จากนั้นพลังของเจ้าก็…เฮ้อออ “ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจยาวในท้ายประโยคและเริ่มกล่าวต่อ “เจ้าไม่คิดว่ามันน่าแปลกหรอกรึ แต่ที่ข้ามาถามเจ้า เป็นเพราะวันนี้ทั้งเสียนเอ๋อร์และเหยียนเอ๋อร์ จู่ๆ ก็ไข้ขึ้นสูงอย่างไม่มีสาเหตุ หมอกี่คนมาตรวจต่างบอกว่าเป็นไข้ไม่ได้ถูกพิษ อาการเหมือนกับเจ้าก่อนหน้านี้ไม่มีผิด” คำพูดของหญิงชรามีความเป็นไปได้อยู่หลายส่วน หากนำมาเชื่อมโยงกันให้ดีๆ ก็จะเห็นจุดที่น่าสงสัย ทว่าในเอกสารที่เขาเคยอ่านผ่านตา ระบุไว้ชัดเจนเรื่องพิษเพลิงอสูรสดับปราณ ว่าจะออกฤทธิ์ได้ดีกับเด็กเล็กเท่านั้น ทั้งไม่เคยปรากฏในบันทึกไว้ว่าพิษนี้มีผลกับผู้ใหญ่ แต่หากตัวเขาถูกพิษชนิดนี้จริง นั่นก็หมายความว่า ต้องมีนักปรุงโอสถระดับสูง ที่สามารถปรุงพิษเพลิงอสูร
บทที่ 47/2 สองตำหนักเปิดใจ ครั้งนี้ฮั่วเฮ่อฉีดวงตาเบิกกว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ หากองค์ราชาอวี้เหวินเทียนเหิงมีความสามารถพิเศษนี้จริง นั่นก็หมายความว่ารวี่เยว่คือองค์หญิงของตำหนักเทวาอนธการ และอวี้เหวินเทียนหยาก็คือพระปิตุลาของนาง! มิน่าเล่าเขาถึงกล่าวว่า สวรรค์เล่นตลกกับเขา! รอยยิ้มงดงามเจิดจ้าราวแสงตะวันยามเช้า ที่ส่งไปถึงดวงตาของฮั่วเฮ่อฉีผุดพรายเต็มดวงหน้า มือใหญ่ยกมากุมต้นแขนทั้งสองข้างของอวี้เหวินเทียนหยาพร้อมเขย่าเบาๆ “หลานเขยคงต้องขอฝากตัวกับท่านแล้ว พระปิตุลาของรวี่เยว่” เขาลอยหน้าลอยตาเอ่ยวาจาฝากฝังตัวเองกับอีกฝ่ายแบบเนียนๆ อวี้เหวินเทียนหยาคิ้วกระตุก ก้าวถอยหลังให้หลุดจากการเกาะกุมของฮั่วเฮ่อฉี ก่อนเอ่ยวาจาน้ำเสียงเนิบนาบระคนหมั่นไส้อย่างอดไม่อยู่ “หึ! อย่าเพิ่งหลงระเริงนัก ข้ายังไม่ได้บอกว่าท่านผ่านการทดสอบแล้วเสียหน่อย เรื่องนี้คงต้องดูกันอีกนาน และที่สำคัญเสด็จพี่ของข้าฝากมาบอกท่านว่า” “ธิดาของข้าจะเป็นเพียงภรรยาคนเดียวในชีวิตของสามีนาง หากบุรุษผู้นั้นทำไม่ได้ ก็ไสหัวไปไกลๆ เพราะข้าจะไม่มีวันยกนางให้เด็ดขาด!” อวี้เหวินเทียนหยาถ่ายทอดวาจาของ