“เกิดอะไรขึ้น” เสียงเนิบนาบด้านในรถม้าเอ่ยถามขึ้นในชั่วขณะนั้น
กู่ซิงอีได้ยินยลก็พบว่าคนผู้หนึ่งหน้าตาดีขนาดนั้นได้แล้ว เสียงเองก็ยังน่าฟังมากยิ่งนัก อดเผลอมองไปที่หน้าต่างรถม้าซึ่งมีผ้าม่านปิดอยู่มิได้
หลี่เซียวที่นั่งอยู่หน้ารถม้าก็รายงานเข้าไปให้คนด้านในฟังว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่เขามัวแต่หันไปบอกคุณชายของตนว่าใกล้ถึงที่หมายแล้วจึงไม่ทันเห็นว่าสตรีผู้นี้ผ่านหน้ารถม้าตนตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เสียงม้าร้องขึ้นมาแล้ว
กู่ซิงอีหันมาสนใจฉีหย่าที่ทำท่าจะลุกแต่ก็ล้มลงไปกับพื้นต่อ พลางพิเคราะห์ในใจว่า แผนนี้ของเซี่ยลู่หลินอาจใช้ได้ผลแปดส่วนเท่านั้น เพราะส่วนมากคนที่ถูกรถม้าชนในตลาดมักจะเป็นขอทาน คนไร้บ้าน หรือพวกต้มตุ๋น สามกลุ่มนี้ล้วนมีเป้าหมายเดียวกันคือทำเพื่อหลอกเงินคนร่ำรวยอย่างคุณชายว่านเท่านั้น
แต่ครั้งนี้อาจจะต่างออกไปก็ได้ เพราะว่าคนที่ถูกชนเป็นสตรีหน้าตางดงามนางหนึ่ง ความงามย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง ผู้ใดพบเห็นจะต้องสงสารแม่นางฉีหย่าก่อนถามไถ่ความจริงเป็นแน่
ด้านว่านฟู่เฉิงพอฟังจบแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นก็สั่งให้หลี่เซียวไปจัดการตามสมควร เรื่องเงินเขาไม่คิดมาก อย่างไรเสียก็เป็นเพียงแค่เศษเงินในมือของตนเท่านั้น หากทำให้เรื่องไม่วุ่นวายและเดินทางต่อได้โดยไวก็ถือว่าคุ้มค่า
หลี่เซียวตอบรับ ด้วยรู้ว่าคุณชายของตนรักหน้ารักตาขนาดไหน ย่อมไม่อยากให้เรื่องอุบัติเหตุในครั้งนี้ตกเป็นขี้ปากของชาวบ้าน แม้เหตุการณ์ตรงหน้าจะดูไม่ชอบมาพากลก็เถอะ เพียงแต่ว่าตนเองไม่มีหลักฐาน และคนขับรถม้าเองก่อนลงไปเมื่อครู่ก็บอกว่าไม่เห็นแม่นางคนนี้ตั้งแต่แรกแล้วเหมือนกัน
ปกติตัวเขาที่นั่งด้านหน้ารถม้ามาด้วยจะคอยระวังอยู่เสมอ และเพราะคุณชายของตนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นด้านในไม่สะดวกเดินทางมากนักรถม้าของพวกเขาจึงเคลื่อนที่ช้ากว่าของคนอื่น ดังนั้นไม่มีทางที่จะชนแม่นางคนนี้จนล้มแรงถึงขนาดลุกไม่ขึ้นแบบนี้
“ขอโทษด้วยเจ้าค่ะ ขอโทษด้วย เป็นข้าที่ผิดเอง” ฉีหย่าที่เพิ่งจะลุกขึ้นนั่งได้ก็รีบขอโทษขอโพยยกใหญ่ น้ำตาไหลรินอาบสองแก้ม แต่เพราะตอนนี้ผมนางปิดใบหน้าไปส่วนหนึ่งจึงเห็นใบหน้าแค่บางส่วนเท่านั้น
และเมื่อพอได้เห็นบุรุษอีกคนที่ท่าทางดูดีเดินเข้ามาหาก็รีบบีบน้ำตาอีกระลอกหนึ่ง แต่ฉีหย่ารู้ว่าคนผู้นี้ไม่ใช่คุณชายว่านที่นางต้องจับให้อยู่หมัด เพราะนางได้ยินมาว่าคุณชายว่านเดินเหินมิได้ ดังนั้นจึงเดาว่านี่อาจเป็นลูกน้องคนสนิทของเขา
หลี่เซียวเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังคนขับรถม้า ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้ในตลาด เขาเห็นจนชินชาว่าพวกต้มตุ๋นชอบวิ่งให้รถม้าของคนมีเงินชนแล้วร้องขอเงินค่ารักษา แต่คนพวกนั้นพอถูกชนก็จะโวยวายเสียงดังให้คนมามุงดู เอ่ยปากออกมาแต่ละทีก็มีแต่เรียกร้องความเป็นธรรมให้ตนเอง ทว่าสตรีผู้นี้กลับขอโทษก่อนแถมท่าทางก็ดูหวาดกลัวจนตัวสั่น
“แม่นางบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” หลี่เซียวเมื่อเห็นคนโดนชนไม่เหมือนคนที่ตนเคยเจอจึงถามออกไปอย่างมีมารยาท
“ขาของข้าเหมือนจะพลิกเจ้าค่ะ ข้าลุกไม่ได้” ฉีหย่าที่ก้มหน้าจนผมปิดบังใบหน้าไปครึ่งหนึ่งก็พลันเงยหน้าขึ้นมาตอบ
ใบหน้างามสวยสะคราญตาพลันปรากฏให้ทุกคนแถวนั้นได้ยลโฉม ดวงตาที่มีม่านน้ำตาเจือปนอยู่ก็ทำให้ดวงหน้าสวยดูบอบบางลงไปอีกเท่าตัว
“น่าสงสารยิ่งนัก” กู่ซิงอีหันไปพูดกับท่านป้าข้างกายที่เหมือนกำลังรอจะเอ่ยปากอยู่เหมือนกัน น้ำเสียงของเขาทั้งทอดถอนใจและคล้ายตำหนิคนผิดอยู่กลาย ๆ
ท่านป้าคนแรกไม่กล้าเอ่ยอะไรเพราะรู้ดีว่าเจ้าของรถม้าเป็นใคร แต่พอมีคนพูดนางก็เอาบ้าง “นั่นสิ ขาเจ็บขนาดนี้จะเดินได้วันไหนก็ไม่รู้” ครั้นพอท่านป้าพูดจบ กลุ่มชาวบ้านที่มาดูต่างก็พากันแสดงความคิดเห็นคนละประโยคสองประโยค จากแค่คนกลุ่มหนึ่งจึงเริ่มกระจายไปเป็นวงกว้าง
“คนทั้งคนไยจึงเผลอไปชนได้”
“นางกลัวจนตัวสั่นไปหมดแล้ว”
“สตรีคนนี้หน้าตางดงามยิ่งนัก”
และย่อมมีหลายคนออกปากชมเป็นเสียงเดียวกัน เป็นไปตามความต้องการของกู่ซิงอีพอดี ระหว่างนั้นกู่ซิงอีก็ชำเลืองตามองม่านหน้าต่างเป็นพัก ๆ แต่ก็ยังไร้การเคลื่อนไหวเหมือนเคย
“แม่นางหากลุกไม่ไหวข้าจะช่วยเจ้าเอง จะเป็นการล่วงเกินเจ้าหรือไม่” หลี่เซียวถามความเห็นอีกฝ่ายก่อน นางเป็นสตรีอยู่ในวัยแต่งงาน หน้าตาก็งดงาม จึงไม่กล้าผลีผลามถูกเนื้อต้องตัวโดยตรง
กู่ซิงอีเมื่อเห็นว่าหน้าที่ของตนเสร็จสิ้นแล้วและด้วยกลัวว่าตนจะถูกสังเกตเห็นเข้าจึงก้าวถอยหลังเดินออกจากจุดเดิม หากเรื่องนี้ไม่สำเร็จและยังต้องเปลี่ยนแผน ดังนั้นถ้าเขาปรากฏตัวบ่อยครั้งอาจจะทำให้คนของตระกูลว่านสังเกตเห็นตนเข้าพอดี จะทำอะไรต่อไปก็คงเคลื่อนไหวได้ยากแล้ว
ทว่าในตอนที่กู่ซิงอีถอยออกไปจากละครฉากนี้ ผ้าม่านของรถม้าตระกูลว่านก็ถูกพัดเล่มหนึ่งที่ยังถูกพับไว้อยู่เขี่ยเปิดออกไปด้านข้าง
ว่านฟู่เฉิงเห็นคนของตนเองออกไปสักพักยังไม่จบเรื่องก็ลองเปิดม่านไปมอง ในตอนนั้นกลิ่นหอมที่เขาเคยสงสัยว่าเป็นกลิ่นอะไรก็ลอยเข้ามาในรถม้า
ครั้นหันมองไปด้านข้างก็ได้พบกับบุรุษผู้หนึ่งคนที่เดินสวนทางกับฝูงชนที่พากันเข้ามามุงดูเรื่องสนุกออกไป อาจเพราะความสูงที่สูงกว่าชาวบ้านทั่วไปเล็กน้อยทำให้เขาดูโดดเด่นขึ้นมา อีกทั้งหน้าตาก็งดงามเกลี้ยงเกลาน่ามอง แต่กลิ่นอายรอบตัวกลับเต็มไปด้วยความเฉยชาทำให้มีความรู้สึกว่าเข้าหาได้ยาก
ว่านฟู่เฉิงคิดว่าคนผู้นี้คงทำงานอยู่แถวนี้เป็นแน่ นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ได้เจอกัน และถ้าหากเขาเดาไม่ผิดวันนั้นที่ตนนั่งดูต้นพลับอยู่ก็เป็นคนผู้นี้แน่ที่บ่นต้นพลับของผู้อื่นอยู่ด้านนอกกำแพง
ด้ามพัดถูกดึงกลับเข้ามาด้านใน ว่านฟู่เฉิงปิดม่านลงไม่อยากมองตามคนผู้นั้นไป ด้วยเกรงว่าหากใส่ใจมากเกินไปเวลาไปไหนก็คงเจอกันบ่อยขึ้น ในใจคาดว่าที่พบกันครั้งนี้อีกรอบคงเป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น
ส่วนกู่ซิงอีก็เดินกลับมาหาสหายรัก มองดูเหตุการณ์อยู่ไกล ๆ เห็นชาวบ้านพากันกดดันคนของตระกูลว่านทั้งสองคน จากนั้นไม่นานฉีหย่าก็ได้นั่งอยู่ด้านหน้ารถม้าแต่รถม้าไม่ได้เคลื่อนตัวเข้าไปที่ร้านว่านในทันที กลับไปส่งนางที่อื่นก่อน ที่นั่งด้านหน้าไม่ได้กว้างมากนักดังนั้นจึงนั่งได้แค่สองคน คนขับรถม้าคนเดิมถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง หลี่เซียวจึงทำหน้าที่เป็นสารถีแทน
กู่ซิงอีกับเซี่ยลู่หลินก็เดินตามมาตลอดทาง
“นางงดงามขนาดนี้เจ้าคิดว่าคุณชายว่านจะชอบนางหรือไม่” เซี่ยลู่หลินถามขึ้น
“นางงดงามเป็นเรื่องจริง ส่วนเรื่องคุณชายว่านจะชอบนางหรือไม่ข้ามิอาจเดาส่งเดชได้ แล้วดูตอนนี้แม้กระทั่งหน้าของนางคุณชายว่านก็ยังไม่ได้เห็นเลย คนของตระกูลว่านไม่ยอมพาคุณชายว่านออกจากรถม้าเพื่อไปส่งที่ร้านว่านก่อนด้วยซ้ำ กลับมุ่งตรงไปที่อื่น ข้าเดาว่าคงไปโรงหมอ เกรงว่าหากนางไม่ใช้มารยาอีกนิดเรียกร้องขอทำงานกับคุณชายว่านให้ไวกว่านี้ตามแผนที่เราวางไว้ นางคงถูกส่งไปโรงหมอแล้วได้เงินค่าเสียหายมาแทนก่อนจะได้เจอคุณชายว่านเสียอีก”
กู่ซิงอีเริ่มกังวล หากเรื่องนี้ไม่สำเร็จก็เท่ากับตนเสียเงินโดยสูญเปล่า ค่าตัวแม่นางฉีหย่าไม่ใช่น้อย ๆ เลย นั่นเป็นเงินเก็บตั้งสองปีของเขาเชียวนะ!
แผนการที่กู่ซิงอีคิดไว้คือให้ฉีหย่าได้พบกับคุณชายว่านก่อน ดังนั้นเมื่อครู่พอเห็นนางขึ้นรถม้าไปก็เบาใจ แต่ไหนเลยจะคิดว่ารถม้ากลับตรงไปแทนที่จะเลี้ยวเข้าร้านว่าน ทำให้การที่ฉีหย่าจะได้เจอคุณชายว่านนั้นน้อยลงไปยิ่งกว่าเดิม รถม้าของตระกูลว่านยังคงเคลื่อนที่ช้ามากนักแม้จะเลยจุดที่ผู้คนเนืองแน่นมาแล้วก็ตาม แต่ก็ดีเพราะเหตุนี้ทั้งสองคนถึงได้เดินตามมาได้ทัน ในตอนนั้นก็ได้ยินแม่นางฉีหย่าส่งเสียงพูดไม่หยุด “คุณชาย รบกวนท่านแล้ว บ่าวไม่เป็นไรมากเจ้าค่ะ พักสักนิดก็หาย ไม่จำเป็นต้องพาบ่าวไปถึงโรงหมอหรอกเจ้าค่ะ” ฉีหย่าพยายามกล่าวเสียงดังให้คนด้านในได้ยิน แม้กระทั่งคำเรียกขานตนเองนางก็เปลี่ยนให้ตนดูต้อยต่ำลง “เป็นบ่าวที่ผิดเอง เพราะไม่ได้กินอะไรมาหลายวันจึงหน้ามืดเดินไม่ดูทาง” แม้ว่าน้ำเสียงของนางทั้งนุ่มนวลและอ้อยอิ่งใครได้ยินจำต้องอยากสนทนาด้วยอีกสักหน่อย แต่กลับไร้เสียงตอบกลับมาจากด้านในอย่างที่ควร “แม่นางรอพบหมอก่อนเถิด ข้าจะมอบเงินค่าเสียหายให้แน่นอน เจ้าจะได้มีเงินไว้ซื้อข้าวกิน” ประโยคนี้เป็นหลี่เซียวที่นั่งข้างกันเป็นคนกล่าวแทน “ท่านมอบเงินให้บ่าวก็เหมือนมอบปลาใ
สองสามวันผ่านไปก็ไร้วี่แววว่าฉีหย่าจะทำงานสำเร็จ ในตอนนั้นร้านว่านรับสมัครบ่าวชายไปทำงานที่จวนตระกูลว่านพอดี กู่ซิงอีจึงรีบไปเสนอหน้าก่อนใคร แถมด้วยความฉลาดพูดของเขาก็ทำให้ได้งานในทันที กู่ซิงอีพอย้ายเข้ามาในจวนก็ส่งข่าวให้ฉีหย่าหาเรื่องมาที่จวนตระกูลว่านให้ได้ในสองสามวันนี้ เพราะเขาได้ข่าวว่าทางการสั่งห้ามออกจากบ้านเป็นเวลาเจ็ดวันหากเลยยามซวี [1] ไปแล้ว ดังนั้นจะต้องหาเรื่องให้นางรั้งอยู่จนถึงยามนั้นเพื่อให้นางพักที่จวนตระกูลว่านให้ได้ ([1] ยามซวี คือช่วงเวลา 19.00-20.59 น.) ความจริงถ้ามีเวลามากกว่านี้กู่ซิงอีคิดว่าคงให้นางค่อย ๆ เอาชนะใจคุณชายว่าน แต่เพราะระยะเวลากระชั้นชิดเกินไป ต้องรีบหาทางให้ทั้งคู่ได้เจอกันก่อน ตกดึกคืนนั้นกู่ซิงอีกลับได้รับหน้าที่เพิ่มเติมคือต้องไปเดินตรวจตรารอบจวนแทนคนเก่าที่เกิดหกล้มจนเดินไม่ได้ขึ้นมากะทันหัน จวนตระกูลว่านค่อนข้างใหญ่โต จึงแบ่งการเดินตรวจเวรออกเป็นสองฝั่ง ในแต่ละรอบจะมีคนเดินตรวจตราทีละสองคน กู่ซิงอีแต่เดิมก็เป็นคนมีความจำเป็นเลิศ บ่าวชายอีกคนที่ทำงานในวันนี้ด้วยกันบอกเส้นทางเพียงครั้งเดียวเขาก็รู้ว่าตนต้องไปทางไ
เอาเข้าจริงหากเซี่ยลู่หลินเห็นเพียงด้านหลังของอีกฝ่ายและได้ยินน้ำเสียงนี้ก็คงไม่รู้แน่ว่าเป็นสหายของตน กู่ซิงอีนั้นนอกจากจะดัดเสียงแล้วยังปลอมตัวอีกด้วย เขาสวมผ้าคาดที่หน้าผากแบบบ่าวทั่วไปชอบสวมแถมยังมัดผมขึ้นจนหมดไม่ได้ปล่อยหางม้าแบบเคย และอย่างไรเสียคุณชายว่านกับเขาก็เคยเจอหน้ากันหนหนึ่งเท่านั้นแถมเป็นตอนที่เขาอยู่ไกลกันค่อนข้างมาก คงไม่มีทางจำกันได้ ว่านฟู่เฉิงคาดไม่ถึงว่าบ่าวชายจะซ่อมล้อรถเข็นให้ตนเช่นนี้ คิดว่าอีกฝ่ายคงจะพาตนเองกลับไป ไม่ก็ไปเรียกคนสนิทของตนมาให้ หรือไม่ก็ไปหารถเข็นตัวสำรองมาแทน แถมเมื่อครู่ตอนเขาล้มบ่าวคนนี้ก็ไม่พูดไม่จาไม่ถามเขาว่าเจ็บหรือไม่ ทำเพียงอุ้มเขาขึ้นมาอย่างง่ายดายแล้วจากไป ไม่เหมือนกับคนที่เขาเคยเจอเลยสักนิด ความรู้สึกโกรธจึงเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัยแทน กู่ซิงอีเห็นอีกฝ่ายเงียบไปก็เงยหน้าขึ้นมอง “หรือว่าคุณชายบาดเจ็บตรงไหน” เพิ่งจะมาเอ่ยปากถามเอาตอนนี้เอง ว่านฟู่เฉิงแทบอยากถอนหายใจใส่แต่ก็ทำเพียงเก็บอารมณ์นั้นเอาไว้ในใจ กล่าวเนิบนาบอย่างรักษาท่าทีว่า “เจ็บหัวเข่านิดหน่อยแต่ไม่เป็นไรมาก” บ่าวคนนี้ความรู้สึกช้ายิ่งนัก!
ก่อนหน้านี้เพียงนิดเป็นกู่ซิงอีที่นำทางฉีหย่ามาที่ลานว่างหน้าเรือนของคุณชายว่านด้วยตนเอง วันนี้นอกจากเขาจะต้องทำงานบ้านแบกน้ำแบกของแล้วยังต้องมารับหน้าที่ตรวจเวรแทนคนเดิมอีกเช่นเคย ดังนั้นพอเขาเดินไปไหนมาไหนทั่วจวนก็ดูไม่น่าผิดสังเกตมากนัก ทุกอย่างช่างเข้าที่เข้าทาง ระหว่างที่ส่งฉีหย่าไปแล้วตัวเขาก็ไม่ได้ไปไหนไกล รั้งหลบรอดูเหตุการณ์อยู่แถวนั้น กู่ซิงอีเห็นว่าพอแม่นางฉีหย่าพูดไปได้สักพักก็เริ่มเข้าไปทำท่าจะนั่งบนตักของคุณชายว่าน แต่เพราะคุณชายว่านหันหลังอยู่กู่ซิงอีจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าอย่างไร คาดเดาไปแล้วว่าแม่นางฉีหย่าคงทำสำเร็จ ด้วยการพูดที่ชาญฉลาดและช่างเอาใจจึงคิดว่าที่นางสามารถไปนั่งตักคุณชายว่านได้คงเพราะอีกฝ่ายคงเรียกนางเข้าไปหาเป็นแน่ รอยยิ้มมุมปากพลันปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขา ทว่าขาของฉีหย่ายังไม่ทันนั่งลงถึงที่หมายร่างบางก็ถูกผลักออกอย่างแรงจนตัวกระเด็นไปนั่งอยู่บนพื้น จากนั้นกู่ซิงอีที่ยืนอยู่ไม่ไกลมากนักก็ได้ยินเสียงคุณชายว่านตะโกนเรียกหลี่เซียวให้เข้ามาหา กู่ซิงอีขมวดคิ้วมุ่นตามเหตุการณ์ไม่ทัน รีบขยับเข้าใกล้ไปอีกนิดเพื่อฟังว่าเกิดอะไร
กู่ซิงอีอดเป็นห่วงคุณชายว่านไม่ได้ตอนเดินตรวจตรารอบจวนจึงรีบไปรีบกลับ ครั้นพอกลับมาก็มาหยุดยืนหน้าห้องน้ำส่งเสียงบอกคนด้านในว่าตนมาถึงแล้ว “อาเซียวยังไม่กลับมาอีกหรือ” น้ำเสียงที่ตอบกลับมาดูเยือกเย็นเหมือนเดิมแล้ว “เรื่องนี้บ่าวเองก็ไม่ทราบ ให้บ่าวไปถามคนอื่นดูหรือไม่ขอรับ” กู่ซิงอีไม่รู้ว่าหลี่เซียวลากฉีหย่าไปไหน เมื่อครู่เดินไปทั่วฝั่งที่ตนดูแลแล้วก็ไม่พบคน ยามนี้ทางการมีคำสั่งห้ามออกจากจวนก็จริงแต่เกรงว่าคนอย่างคุณชายว่านคงไม่สนใจเรื่องคำสั่งพวกนั้น ท่าทางโกรธเกรี้ยวระคนขุ่นเคืองตอนโยนผ้าคลุมขามาให้ก็ดูท่าจะอารมณ์เสียไม่น้อย กู่ซิงอีมาถึงจุดนี้จึงคาดเดาได้แล้วว่าคนด้านในคงไม่ชอบให้ใครโดนตัวถึงได้ถามหาลูกน้องคนสนิทแบบนี้ “...” ว่านฟู่เฉิงถอนหายใจ เขาอยากออกจากน้ำสักพักแล้วแต่พยายามอย่างไรก็ส่งตัวเองออกไปไม่ไหว ถังไม้อาบน้ำใบนี้เพิ่งเปลี่ยนใหม่มันสูงกว่าใบเดิมที่เขาเคยใช้มากนัก หลี่เซียวก็คงปลีกตัวกลับมาไม่ได้ถึงได้ไปนานขนาดนี้ ยามนี้คงเดินหลบพวกทหารด้านนอกอยู่เป็นแน่ น้ำเริ่มอุ่นมากแล้วและหากแช่ต่อไปเนื้อตัวเขาคงเปื่อยยุ่ยไปกับน้ำแน่ สุดท้ายชั่งใจอยู่นา
กู่ซิงอีออกจากตระกูลว่านมาได้ก็ตรงมาที่จวนตระกูลเซี่ยตั้งแต่เช้าตรู่ ลงมือเคาะหน้าต่างอยู่สามทีเหมือนเดิม คราวนี้ไม่ผิดพลาดซ้ำรอยเดิมอีก เขาหลบออกจากบานหน้าต่างก่อนเจ้าของห้องจะวิ่งมาเปิดหน้าต่างชนเข้ากับเขาเหมือนครั้งก่อนอีก “อาอี?!” เซี่ยลู่หลินแปลกใจอยู่บ้าง ปกติหากมีเสียงเคาะแบบนี้ครั้งที่สองนางก็มาเปิดแล้วเพราะไม่มีใครคนไหนในจวนจะมาเคาะห้องของนางแบบนี้ และปกติกู่ซิงอีไม่เคยมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสางเช่นนี้มาก่อนนางจึงรอเสียงเคาะครบสามครั้งถึงได้มาเปิด “เข้ามาก่อน” นางชะเง้อคอมองออกไปด้านนอกพอเห็นว่าไร้ผู้คนก็รีบถอยห่างจากบานหน้าต่างเพื่อให้กู่ซิงอีเข้ามา กู่ซิงอีกระโดดข้ามหน้าต่างอย่างคล่องแคล่วเข้าไปในห้องแล้วเดินนำไปนั่งที่โต๊ะน้ำชาก่อนเจ้าของห้องเสียอีก ต่อจากนั้นก็เล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟังจนหมด จบท้ายด้วยประโยคที่ว่า “อีกสักพักฉีหย่าคงถูกส่งมาที่นี่” “คุณชายว่านระวังตัวยิ่งนัก ข้าเองก็เคยได้ยินมาว่าเขาเป็นคนรักหน้ารักตามาก เคยมีคนใส่ร้ายร้านค้าของเขาว่าเอาเปรียบ ขายของคุณภาพต่ำให้ชาวบ้าน เขาก็รีบออกมาแก้ไขในทันที ดังนั้นยิ่งไม่แปลกถ้าจะไม่ให้แม่นางฉีหย่าเข้าใ
ทว่า...ทุกอย่างกลับผิดแผนไปหมด! ทันทีที่สตรีกลุ่มหนึ่งถูกส่งเข้าไปในห้องที่คุณชายว่านอยู่ต่อมาก็เกิดเสียงโวยวายขึ้นมา จากนั้นทั้งนางรำ นักเล่นดนตรี และสตรีร่างงดงามที่นุ่งน้อยห่มน้อยอีกห้าหกคนก็ถูกโยนออกมาจนหมด เจ้าของหอเริงรมย์ที่คราแรกแย้มยิ้มส่งคนของตัวเองเข้าไปก็หน้าเจื่อนทันที ไม่นานเกินรอคุณชายว่านก็ตามออกมาติด ๆ เพื่อเดินทางออกจากหอ ก่อนไปยังเหลือบตามองเจ้าของหอเริงรมย์ด้วยความไม่พอใจอย่างไม่คิดจะปิดบัง กู่ซิงอีที่แสร้งทำเป็นเดินมาเก็บโต๊ะอยู่ที่กลางโถงใหญ่ก็สามารถมองเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ได้ทั้งหมด เขารีบหันตัวหลบยามที่ว่านฟู่เฉิงกำลังถูกพาตัวออกไปที่ประตู โดยมีเจ้าของหอเริงรมย์วิ่งตามอยู่ด้านหลังพร้อมตะโกนกล่าวขอโทษขอโพยยกใหญ่ ครานี้กู่ซิงอีกระจ่างแจ้งแล้วว่าจะใช้สตรีมาล่อลวงคนผู้นี้ไม่ได้! วันต่อมาคราวนี้เซี่ยลู่หลินได้ออกมาข้างนอกจึงนัดเจอกับเขาที่โรงน้ำชาแห่งหนึ่งที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักมากนักแต่ก็เป็นที่ประจำของพวกเขาไปแล้ว “เสี่ยวลู่...เจ้าไม่ลองไปคุยกับคุณชายว่านโดยตรงดู” กู่ซิงอีคราแรกใจเย็น แต่ครานี้เริ่มคิดหนักเพราะไม่กี่วันก็จะถึงงานหม
“ไม่มีอะไรชอบเป็นพิเศษ” อีกฝ่ายก็ตอบกลับมา นี่เป็นการถามคำตอบคำที่ดูยาวขึ้นกว่าปกติเล็กน้อยเท่านั้น และมีเพียงกู่ซิงอีและหลี่เซียวที่รู้ว่าคุณชายว่านพยายามรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ขนาดไหน “ฮ่า ๆ ๆ” ในตอนนั้นคนที่เรียบร้อยอ่อนหวานมาตลอดก็ระเบิดหัวเราะออกมา “คุณชายว่านคุณสนุกยิ่งนัก! ฮ่า ๆ” กู่ซิงอีพยายามกดยิ้มไว้ไม่หัวเราะตามสหายของตน ท่าทางสตรีที่หัวเราะไม่สนใจหน้าตาเช่นนี้ คุณชายว่านคงไม่ชอบกระมัง ทว่าเมื่อเหลือบตามองกลับพบว่าอีกฝ่ายยังมีท่าทางสงบนิ่งเช่นเดิม กินขนมเงียบ ๆ อยู่อย่างนั้น มีเพียงหลี่เซียวที่ขมวดคิ้วเข้าด้วยกันด้วยความแปลกใจแทน พอเห็นว่าการหัวเราะหยาบคายไม่ได้ผล กู่ซิงอีก็แกล้งทำจอกชาที่รับคืนมาจากเซี่ยลู่หลินในตอนนั้นร่วงหลุดออกจากมือ จอกชาตกกระทบพื้นเสียงดังเคร้ง! ก่อนจะแตกกระจายไปคนละทิศคนละทาง เสียงก้องกังวานจึงดังขึ้นอีกหลายครั้ง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่กู่ซิงอีเหยียบเท้าของเซี่ยลู่หลินอย่างแรงว่าให้รีบทำตามแผนที่เหลือแทน “อ๊ะ ขอโทษขอรับ ขอโทษขอรับ เป็นบ่าวไม่ระวังเอง คุณหนูรองเจ็บตรงไหนหรือไม่ขอรับ” กู่ซิงอีรีบนั่งคุกเข่า
ท่าทางการเดินไต่ตัวบนกำแพงจวนก็ดูคล่องแคล่วยิ่งนัก หลอมรวมกับยามนั้นมีสายลมของสารทฤดูพัดผ่านมาพอดี ชายเสื้อสะบัดพลิ้วไหวชวนให้คิดว่านี่อาจเป็นปีศาจตนใดมาล่อลวงผู้คนเข้าแล้ว ภาพที่เห็นตรงหน้าราวกับเขาเป็นผู้เมามายเสียเองจนเห็นภาพหลอน ทว่าเสียงเท้าหนัก ๆ ที่กระโดดลงมาจากกำแพงของเจ้าตัวก็ทำให้รู้ว่านี่ไม่ใช่เป็นภาพที่เขาคิดไปเอง รอยยิ้มที่แต่งแต้มไว้บนใบหน้าก็ดูต่างไปจากเดิมอยู่บ้าง สรุปแล้วเมื่อวานหรือวันนี้กันแน่ที่เมามาย ว่านฟู่เฉิงจึงคิดว่าหรือไม่แน่วันนี้ก็คงเมาเหมือนเดิมนั่นแหละ ในใจพลันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที ตัวเขาเป็นคนจริงจังทำงานเป็นเวลาและไม่ชอบคนเหลาะแหละ คนที่กำลังเดินเข้ามาหาทำตัวราวกับคนว่างงาน ตั้งแต่ที่ได้สบตากันวันนั้นก็เจอคนผู้นี้ป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวมาโดยตลอด วันนี้ก็โผล่มาอีกแล้ว แถมถ้าเมามาอีกจะคิดสิ่งใดได้นอกจากเป็นคนไม่เอาการเอางานผู้หนึ่งที่วัน ๆ คงเอาแต่สำมะเลเทเมาไปเรื่อยเปื่อย ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่ตัวของคนผู้นี้มักจะมีกลิ่นหอมของสุราติดมาด้วยตลอด “วันนี้ไม่มีดวงจันทร์แล้ว...” กู่ซิงอีเงยหน้ามองท้องฟ้ามือผสานไว้ด้านหลังก่อนจะเดินมาหาคนที่น
ระหว่างทางไปบ้านของตนจำต้องผ่านจวนตระกูลว่านก่อน กู่ซิงอีพลันหยุดมองดูต้นพลับต้นเดิม ส่งเสียงเหอะออกมาอย่างเย้ยหยัน ยกสุรากระดกขึ้นจนหมดไหแล้วโยนไหสุราทิ้งไว้ที่พุ่มหญ้าแถวนั้น ใบหน้าที่ถูกสีชมพูอ่อนจางเคลือบไว้หนึ่งชั้นก็กระตุกยิ้มขึ้นในความมืด ดวงตาเปล่งประกายกว่าเดิมเล็กน้อย นึกครึ้มใจหาทางปีนเข้าไปด้านในจวนของผู้อื่น กาลก่อนเขาเคยแอบมาปีนกำแพงเพื่อตามดูว่านฟู่เฉิงก็จริงแต่ก็เข้าไปถึงด้านในไม่ได้ ทำได้แต่มองอยู่ข้างนอก ทว่าภายหลังจากที่ได้เข้าไปทำงานในจวนตระกูลว่านแล้วและทำหน้าที่เป็นคนเดินตรวจเวรมาก่อนย่อมรู้ว่ายามไหนที่จะหลบพ้นสายตาผู้คนในจวนได้ แถมจากที่ชอบปีนเข้าไปหาเซี่ยลู่หลินบ่อย ๆ ก็ทำเรื่องแบบนี้อย่างเคยชินจนกลายเป็นอาชีพไปเสียแล้ว ต่อให้เมาก็มิใช่เรื่องยากที่จะปีนเข้าไป ใกล้กับห้องนอนของคุณชายว่านที่เป็นลานกว้างนอกจากต้นพลับที่มีลูกดกแล้วก็ยังมีต้นไม้ต้นหนึ่งอยู่กลางลานด้วย เป็นต้นไม้ที่ใบของมันยังเหลืออยู่มากพอให้เขาหลบซ่อนตัวได้พอดี ครั้นพอเข้ามาในจวนได้กู่ซิงอีก็ปีนขึ้นไปหลบอยู่บนนั้นด้วยความคล่องแคล่ว หวังคิดจะหลอกผีเจ้าของจวนเสียหน่อย อี
“ไม่มีอะไรชอบเป็นพิเศษ” อีกฝ่ายก็ตอบกลับมา นี่เป็นการถามคำตอบคำที่ดูยาวขึ้นกว่าปกติเล็กน้อยเท่านั้น และมีเพียงกู่ซิงอีและหลี่เซียวที่รู้ว่าคุณชายว่านพยายามรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ขนาดไหน “ฮ่า ๆ ๆ” ในตอนนั้นคนที่เรียบร้อยอ่อนหวานมาตลอดก็ระเบิดหัวเราะออกมา “คุณชายว่านคุณสนุกยิ่งนัก! ฮ่า ๆ” กู่ซิงอีพยายามกดยิ้มไว้ไม่หัวเราะตามสหายของตน ท่าทางสตรีที่หัวเราะไม่สนใจหน้าตาเช่นนี้ คุณชายว่านคงไม่ชอบกระมัง ทว่าเมื่อเหลือบตามองกลับพบว่าอีกฝ่ายยังมีท่าทางสงบนิ่งเช่นเดิม กินขนมเงียบ ๆ อยู่อย่างนั้น มีเพียงหลี่เซียวที่ขมวดคิ้วเข้าด้วยกันด้วยความแปลกใจแทน พอเห็นว่าการหัวเราะหยาบคายไม่ได้ผล กู่ซิงอีก็แกล้งทำจอกชาที่รับคืนมาจากเซี่ยลู่หลินในตอนนั้นร่วงหลุดออกจากมือ จอกชาตกกระทบพื้นเสียงดังเคร้ง! ก่อนจะแตกกระจายไปคนละทิศคนละทาง เสียงก้องกังวานจึงดังขึ้นอีกหลายครั้ง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่กู่ซิงอีเหยียบเท้าของเซี่ยลู่หลินอย่างแรงว่าให้รีบทำตามแผนที่เหลือแทน “อ๊ะ ขอโทษขอรับ ขอโทษขอรับ เป็นบ่าวไม่ระวังเอง คุณหนูรองเจ็บตรงไหนหรือไม่ขอรับ” กู่ซิงอีรีบนั่งคุกเข่า
ทว่า...ทุกอย่างกลับผิดแผนไปหมด! ทันทีที่สตรีกลุ่มหนึ่งถูกส่งเข้าไปในห้องที่คุณชายว่านอยู่ต่อมาก็เกิดเสียงโวยวายขึ้นมา จากนั้นทั้งนางรำ นักเล่นดนตรี และสตรีร่างงดงามที่นุ่งน้อยห่มน้อยอีกห้าหกคนก็ถูกโยนออกมาจนหมด เจ้าของหอเริงรมย์ที่คราแรกแย้มยิ้มส่งคนของตัวเองเข้าไปก็หน้าเจื่อนทันที ไม่นานเกินรอคุณชายว่านก็ตามออกมาติด ๆ เพื่อเดินทางออกจากหอ ก่อนไปยังเหลือบตามองเจ้าของหอเริงรมย์ด้วยความไม่พอใจอย่างไม่คิดจะปิดบัง กู่ซิงอีที่แสร้งทำเป็นเดินมาเก็บโต๊ะอยู่ที่กลางโถงใหญ่ก็สามารถมองเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ได้ทั้งหมด เขารีบหันตัวหลบยามที่ว่านฟู่เฉิงกำลังถูกพาตัวออกไปที่ประตู โดยมีเจ้าของหอเริงรมย์วิ่งตามอยู่ด้านหลังพร้อมตะโกนกล่าวขอโทษขอโพยยกใหญ่ ครานี้กู่ซิงอีกระจ่างแจ้งแล้วว่าจะใช้สตรีมาล่อลวงคนผู้นี้ไม่ได้! วันต่อมาคราวนี้เซี่ยลู่หลินได้ออกมาข้างนอกจึงนัดเจอกับเขาที่โรงน้ำชาแห่งหนึ่งที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักมากนักแต่ก็เป็นที่ประจำของพวกเขาไปแล้ว “เสี่ยวลู่...เจ้าไม่ลองไปคุยกับคุณชายว่านโดยตรงดู” กู่ซิงอีคราแรกใจเย็น แต่ครานี้เริ่มคิดหนักเพราะไม่กี่วันก็จะถึงงานหม
กู่ซิงอีออกจากตระกูลว่านมาได้ก็ตรงมาที่จวนตระกูลเซี่ยตั้งแต่เช้าตรู่ ลงมือเคาะหน้าต่างอยู่สามทีเหมือนเดิม คราวนี้ไม่ผิดพลาดซ้ำรอยเดิมอีก เขาหลบออกจากบานหน้าต่างก่อนเจ้าของห้องจะวิ่งมาเปิดหน้าต่างชนเข้ากับเขาเหมือนครั้งก่อนอีก “อาอี?!” เซี่ยลู่หลินแปลกใจอยู่บ้าง ปกติหากมีเสียงเคาะแบบนี้ครั้งที่สองนางก็มาเปิดแล้วเพราะไม่มีใครคนไหนในจวนจะมาเคาะห้องของนางแบบนี้ และปกติกู่ซิงอีไม่เคยมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสางเช่นนี้มาก่อนนางจึงรอเสียงเคาะครบสามครั้งถึงได้มาเปิด “เข้ามาก่อน” นางชะเง้อคอมองออกไปด้านนอกพอเห็นว่าไร้ผู้คนก็รีบถอยห่างจากบานหน้าต่างเพื่อให้กู่ซิงอีเข้ามา กู่ซิงอีกระโดดข้ามหน้าต่างอย่างคล่องแคล่วเข้าไปในห้องแล้วเดินนำไปนั่งที่โต๊ะน้ำชาก่อนเจ้าของห้องเสียอีก ต่อจากนั้นก็เล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟังจนหมด จบท้ายด้วยประโยคที่ว่า “อีกสักพักฉีหย่าคงถูกส่งมาที่นี่” “คุณชายว่านระวังตัวยิ่งนัก ข้าเองก็เคยได้ยินมาว่าเขาเป็นคนรักหน้ารักตามาก เคยมีคนใส่ร้ายร้านค้าของเขาว่าเอาเปรียบ ขายของคุณภาพต่ำให้ชาวบ้าน เขาก็รีบออกมาแก้ไขในทันที ดังนั้นยิ่งไม่แปลกถ้าจะไม่ให้แม่นางฉีหย่าเข้าใ
กู่ซิงอีอดเป็นห่วงคุณชายว่านไม่ได้ตอนเดินตรวจตรารอบจวนจึงรีบไปรีบกลับ ครั้นพอกลับมาก็มาหยุดยืนหน้าห้องน้ำส่งเสียงบอกคนด้านในว่าตนมาถึงแล้ว “อาเซียวยังไม่กลับมาอีกหรือ” น้ำเสียงที่ตอบกลับมาดูเยือกเย็นเหมือนเดิมแล้ว “เรื่องนี้บ่าวเองก็ไม่ทราบ ให้บ่าวไปถามคนอื่นดูหรือไม่ขอรับ” กู่ซิงอีไม่รู้ว่าหลี่เซียวลากฉีหย่าไปไหน เมื่อครู่เดินไปทั่วฝั่งที่ตนดูแลแล้วก็ไม่พบคน ยามนี้ทางการมีคำสั่งห้ามออกจากจวนก็จริงแต่เกรงว่าคนอย่างคุณชายว่านคงไม่สนใจเรื่องคำสั่งพวกนั้น ท่าทางโกรธเกรี้ยวระคนขุ่นเคืองตอนโยนผ้าคลุมขามาให้ก็ดูท่าจะอารมณ์เสียไม่น้อย กู่ซิงอีมาถึงจุดนี้จึงคาดเดาได้แล้วว่าคนด้านในคงไม่ชอบให้ใครโดนตัวถึงได้ถามหาลูกน้องคนสนิทแบบนี้ “...” ว่านฟู่เฉิงถอนหายใจ เขาอยากออกจากน้ำสักพักแล้วแต่พยายามอย่างไรก็ส่งตัวเองออกไปไม่ไหว ถังไม้อาบน้ำใบนี้เพิ่งเปลี่ยนใหม่มันสูงกว่าใบเดิมที่เขาเคยใช้มากนัก หลี่เซียวก็คงปลีกตัวกลับมาไม่ได้ถึงได้ไปนานขนาดนี้ ยามนี้คงเดินหลบพวกทหารด้านนอกอยู่เป็นแน่ น้ำเริ่มอุ่นมากแล้วและหากแช่ต่อไปเนื้อตัวเขาคงเปื่อยยุ่ยไปกับน้ำแน่ สุดท้ายชั่งใจอยู่นา
ก่อนหน้านี้เพียงนิดเป็นกู่ซิงอีที่นำทางฉีหย่ามาที่ลานว่างหน้าเรือนของคุณชายว่านด้วยตนเอง วันนี้นอกจากเขาจะต้องทำงานบ้านแบกน้ำแบกของแล้วยังต้องมารับหน้าที่ตรวจเวรแทนคนเดิมอีกเช่นเคย ดังนั้นพอเขาเดินไปไหนมาไหนทั่วจวนก็ดูไม่น่าผิดสังเกตมากนัก ทุกอย่างช่างเข้าที่เข้าทาง ระหว่างที่ส่งฉีหย่าไปแล้วตัวเขาก็ไม่ได้ไปไหนไกล รั้งหลบรอดูเหตุการณ์อยู่แถวนั้น กู่ซิงอีเห็นว่าพอแม่นางฉีหย่าพูดไปได้สักพักก็เริ่มเข้าไปทำท่าจะนั่งบนตักของคุณชายว่าน แต่เพราะคุณชายว่านหันหลังอยู่กู่ซิงอีจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าอย่างไร คาดเดาไปแล้วว่าแม่นางฉีหย่าคงทำสำเร็จ ด้วยการพูดที่ชาญฉลาดและช่างเอาใจจึงคิดว่าที่นางสามารถไปนั่งตักคุณชายว่านได้คงเพราะอีกฝ่ายคงเรียกนางเข้าไปหาเป็นแน่ รอยยิ้มมุมปากพลันปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขา ทว่าขาของฉีหย่ายังไม่ทันนั่งลงถึงที่หมายร่างบางก็ถูกผลักออกอย่างแรงจนตัวกระเด็นไปนั่งอยู่บนพื้น จากนั้นกู่ซิงอีที่ยืนอยู่ไม่ไกลมากนักก็ได้ยินเสียงคุณชายว่านตะโกนเรียกหลี่เซียวให้เข้ามาหา กู่ซิงอีขมวดคิ้วมุ่นตามเหตุการณ์ไม่ทัน รีบขยับเข้าใกล้ไปอีกนิดเพื่อฟังว่าเกิดอะไร
เอาเข้าจริงหากเซี่ยลู่หลินเห็นเพียงด้านหลังของอีกฝ่ายและได้ยินน้ำเสียงนี้ก็คงไม่รู้แน่ว่าเป็นสหายของตน กู่ซิงอีนั้นนอกจากจะดัดเสียงแล้วยังปลอมตัวอีกด้วย เขาสวมผ้าคาดที่หน้าผากแบบบ่าวทั่วไปชอบสวมแถมยังมัดผมขึ้นจนหมดไม่ได้ปล่อยหางม้าแบบเคย และอย่างไรเสียคุณชายว่านกับเขาก็เคยเจอหน้ากันหนหนึ่งเท่านั้นแถมเป็นตอนที่เขาอยู่ไกลกันค่อนข้างมาก คงไม่มีทางจำกันได้ ว่านฟู่เฉิงคาดไม่ถึงว่าบ่าวชายจะซ่อมล้อรถเข็นให้ตนเช่นนี้ คิดว่าอีกฝ่ายคงจะพาตนเองกลับไป ไม่ก็ไปเรียกคนสนิทของตนมาให้ หรือไม่ก็ไปหารถเข็นตัวสำรองมาแทน แถมเมื่อครู่ตอนเขาล้มบ่าวคนนี้ก็ไม่พูดไม่จาไม่ถามเขาว่าเจ็บหรือไม่ ทำเพียงอุ้มเขาขึ้นมาอย่างง่ายดายแล้วจากไป ไม่เหมือนกับคนที่เขาเคยเจอเลยสักนิด ความรู้สึกโกรธจึงเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัยแทน กู่ซิงอีเห็นอีกฝ่ายเงียบไปก็เงยหน้าขึ้นมอง “หรือว่าคุณชายบาดเจ็บตรงไหน” เพิ่งจะมาเอ่ยปากถามเอาตอนนี้เอง ว่านฟู่เฉิงแทบอยากถอนหายใจใส่แต่ก็ทำเพียงเก็บอารมณ์นั้นเอาไว้ในใจ กล่าวเนิบนาบอย่างรักษาท่าทีว่า “เจ็บหัวเข่านิดหน่อยแต่ไม่เป็นไรมาก” บ่าวคนนี้ความรู้สึกช้ายิ่งนัก!
สองสามวันผ่านไปก็ไร้วี่แววว่าฉีหย่าจะทำงานสำเร็จ ในตอนนั้นร้านว่านรับสมัครบ่าวชายไปทำงานที่จวนตระกูลว่านพอดี กู่ซิงอีจึงรีบไปเสนอหน้าก่อนใคร แถมด้วยความฉลาดพูดของเขาก็ทำให้ได้งานในทันที กู่ซิงอีพอย้ายเข้ามาในจวนก็ส่งข่าวให้ฉีหย่าหาเรื่องมาที่จวนตระกูลว่านให้ได้ในสองสามวันนี้ เพราะเขาได้ข่าวว่าทางการสั่งห้ามออกจากบ้านเป็นเวลาเจ็ดวันหากเลยยามซวี [1] ไปแล้ว ดังนั้นจะต้องหาเรื่องให้นางรั้งอยู่จนถึงยามนั้นเพื่อให้นางพักที่จวนตระกูลว่านให้ได้ ([1] ยามซวี คือช่วงเวลา 19.00-20.59 น.) ความจริงถ้ามีเวลามากกว่านี้กู่ซิงอีคิดว่าคงให้นางค่อย ๆ เอาชนะใจคุณชายว่าน แต่เพราะระยะเวลากระชั้นชิดเกินไป ต้องรีบหาทางให้ทั้งคู่ได้เจอกันก่อน ตกดึกคืนนั้นกู่ซิงอีกลับได้รับหน้าที่เพิ่มเติมคือต้องไปเดินตรวจตรารอบจวนแทนคนเก่าที่เกิดหกล้มจนเดินไม่ได้ขึ้นมากะทันหัน จวนตระกูลว่านค่อนข้างใหญ่โต จึงแบ่งการเดินตรวจเวรออกเป็นสองฝั่ง ในแต่ละรอบจะมีคนเดินตรวจตราทีละสองคน กู่ซิงอีแต่เดิมก็เป็นคนมีความจำเป็นเลิศ บ่าวชายอีกคนที่ทำงานในวันนี้ด้วยกันบอกเส้นทางเพียงครั้งเดียวเขาก็รู้ว่าตนต้องไปทางไ