กู่ซิงอีอดเป็นห่วงคุณชายว่านไม่ได้ตอนเดินตรวจตรารอบจวนจึงรีบไปรีบกลับ
ครั้นพอกลับมาก็มาหยุดยืนหน้าห้องน้ำส่งเสียงบอกคนด้านในว่าตนมาถึงแล้ว
“อาเซียวยังไม่กลับมาอีกหรือ” น้ำเสียงที่ตอบกลับมาดูเยือกเย็นเหมือนเดิมแล้ว
“เรื่องนี้บ่าวเองก็ไม่ทราบ ให้บ่าวไปถามคนอื่นดูหรือไม่ขอรับ” กู่ซิงอีไม่รู้ว่าหลี่เซียวลากฉีหย่าไปไหน เมื่อครู่เดินไปทั่วฝั่งที่ตนดูแลแล้วก็ไม่พบคน ยามนี้ทางการมีคำสั่งห้ามออกจากจวนก็จริงแต่เกรงว่าคนอย่างคุณชายว่านคงไม่สนใจเรื่องคำสั่งพวกนั้น ท่าทางโกรธเกรี้ยวระคนขุ่นเคืองตอนโยนผ้าคลุมขามาให้ก็ดูท่าจะอารมณ์เสียไม่น้อย กู่ซิงอีมาถึงจุดนี้จึงคาดเดาได้แล้วว่าคนด้านในคงไม่ชอบให้ใครโดนตัวถึงได้ถามหาลูกน้องคนสนิทแบบนี้
“...” ว่านฟู่เฉิงถอนหายใจ เขาอยากออกจากน้ำสักพักแล้วแต่พยายามอย่างไรก็ส่งตัวเองออกไปไม่ไหว ถังไม้อาบน้ำใบนี้เพิ่งเปลี่ยนใหม่มันสูงกว่าใบเดิมที่เขาเคยใช้มากนัก หลี่เซียวก็คงปลีกตัวกลับมาไม่ได้ถึงได้ไปนานขนาดนี้ ยามนี้คงเดินหลบพวกทหารด้านนอกอยู่เป็นแน่
น้ำเริ่มอุ่นมากแล้วและหากแช่ต่อไปเนื้อตัวเขาคงเปื่อยยุ่ยไปกับน้ำแน่ สุดท้ายชั่งใจอยู่นานจึงเรียกคนด้านนอกเข้ามาหา “เข้ามา แล้วหยิบเสื้อคลุมตัวใหม่มาให้ด้วย”
กู่ซิงอีรับคำแล้วรีบกวาดตามองหาไปทั่วห้องนอน ไม่นานก็พบเสื้อคลุมสีขาวที่พาดอยู่กับราวไม้แถวตู้เสื้อผ้าพอดีจึงหยิบติดมือเข้าไปด้านใน เมื่อผลักประตูเข้าไปเป็นจังหวะว่านฟู่เฉิงเพิ่งสวมเสื้อสีขาวบางตัวเดิมกลับเข้าไปเสร็จพอดี กู่ซิงอีไม่ค่อยกระจ่างเท่าไรนัก อย่างไรก็บุรุษด้วยกันมีสิ่งใดให้นึกอาย คุณชายว่านช่างหน้าบางไปแล้ว
ทว่าพอมาประชิดตัวคนที่หันหลังอยู่ก็คล้ายจะเข้าใจแล้ว แม้คุณชายว่านจะผอมมากจนเขาสามารถยกขึ้นได้ง่ายราวกับยกไหสุราใบใหญ่ที่ทำเป็นประจำ แต่ลาดไหล่ก็กว้างสมเป็นบุรุษที่โตเต็มวัย เขาต้องยอมรับตามตรงว่าไหล่ของคุณชายว่านนั้นกว้างกว่าตนมากนัก คนที่อายยามนี้จึงกลายเป็นเขาแทน
แม้เขาจะสูงกว่าบุรุษในเมืองจางแต่เพราะใบหน้าที่ดูคล้ายสตรีอยู่บ้างและไหล่ที่ไม่กว้างทำให้ถูกเข้าใจผิดบ่อย ๆ ว่าเป็นสตรี ยามนี้พอได้เห็นรูปร่างสมชายของอีกฝ่ายจึงเกิดการเปรียบเทียบขึ้นมาในใจ
ในห้องอาบน้ำจุดตะเกียงน้ำมันไว้ค่อนข้างไกล แต่แม้จะมีเพียงแสงสลัวทว่าก็มองเห็นผิวกายของคุณชายว่านที่ถูกอาภรณ์เปียกน้ำแนบไปกับลำตัวได้อย่างชัดเจน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารูปร่างใต้เนื้อผ้าสีขาวบางก็ดูดีกว่าที่คนเดินไม่ได้พึงมียิ่งนัก
กู่ซิงอีไม่เคยคิดว่าคนผู้หนึ่งที่มีหน้าตางดงาม น้ำเสียงไพเราะ กระทั่งรูปร่างที่ผอมบางก็ยังน่ามอง ผมดำเงาที่เคยมัดรวบครึ่งหัวก็ถูกปล่อยยาวสยายดูน่าสัมผัส ในความรู้สึกด้อยกว่าอีกฝ่ายกู่ซิงอีก็เกิดความทอดถอนขึ้นมาในใจ คนที่เกิดมามีพร้อมทุกอย่างแต่ในวันหนึ่งกลับขาดสิ่งสำคัญไปย่อมไม่แปลกที่จะเก็บงำความรู้สึกและมีอารมณ์ฉุนเฉียวกว่าคนทั่วไป
กู่ซิงอีที่ชะงักไปชั่วครู่เพราะได้ยลโฉมคนงามก็รั้งสติกลับมา ถอยไปด้านหลังสองก้าวมองหาผ้าเช็ดตัวก่อน เพราะจะให้สวมเสื้อคลุมตัวใหม่ทับเลยก็ไม่ได้ แถมปกติเขาไม่เคยรับใช้ใครมาก่อนจึงเงอะงะไปบ้าง และยิ่งคุณชายว่านดูเหมือนจะไม่ชอบให้ใครโดนตัวก็ยิ่งแล้วใหญ่
เมื่อกู่ซิงอีได้ผ้าเช็ดตัวที่อยู่แถวนั้นมาแล้วก็นำผ้าเช็ดตัวคลุมไปบนแผ่นหลังของคนในถังไม้พยายามไม่ทำให้ผ้าไปโดนน้ำในถัง ก่อนจะก้มลงไปช้อนตัวคุณชายว่านที่ตัวเบาพอ ๆ กับไหสุราขึ้นมา คราวนี้แขนเสื้อเดิมที่เปียกน้ำไปก่อนหน้านี้ของเขาถูกเขาดึงขึ้นแล้วจึงไม่เปียกน้ำอีกรอบ กู่ซิงอีนึกเชยชมตนเองอยู่ในใจที่รอบคอบ
เขาพาคุณชายว่านไปนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่งก่อน จากที่สังเกตตรงนี้น่าจะไว้ให้คุณชายเช็ดตัวและเปลี่ยนชุดคลุมก่อนออกไปด้านนอก
“คุณชายเช็ดตัวเสร็จแล้วค่อยเรียกบ่าวอีกทีนะขอรับ” กู่ซิงอีก้าวเท้าเพียงสี่ครั้งก็ออกจากห้องอาบน้ำไปแล้วปิดประตูลงเสียงเบา ยามนี้แม้แขนเสื้อจะไม่เปียกแต่เสื้อผ้าเขาก็เปียกไปเต็ม ๆ เพิ่งนึกชมตนเองไปยามนี้จึงร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก
ใบหน้าว่านฟู่เฉิงบูดบึ้ง ไม่อยากให้ใครถูกตัวแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ดีที่บ่าวคนนี้รู้งานไม่มองมาที่เขาสักนิดไม่เช่นนั้นเมื่อครู่เขาคงรู้สึกเหมือนเดิมอีกเป็นแน่
ความรู้สึกที่ว่านั้นชวนให้นึกถึงช่วงแรกที่เดินไม่ได้ขึ้นมา เวลาเขาไปไหนมาไหนผู้คนมักจะมองมาที่เขาด้วยสายตาที่แตกต่างออกไปจากปกติ ทั้งสนใจ เวทนาสงสาร หรืออยากรู้ ไม่ก็สมน้ำหน้าด้วยความอิจฉา
แต่กับบ่าวรับใช้คนเมื่อครู่เขาไม่เห็นเลยสักนิดว่าในแววตานั้นคิดสิ่งใดอยู่ บ่าวตรวจเวรคนก่อนหน้านี้ที่เคยผ่านมาเจอเขาในช่วงค่ำยังมีท่าทางหวาดหวั่นกระวนกระวาย แต่ก็มีน้ำใจที่จะช่วย ทว่าคนผู้นี้คล้ายไร้ความรู้สึกไปแล้ว
ว่านฟู่เฉิงไม่คิดมากอีก ถอดชุดตัวเดิมออกแล้วเช็ดตัวให้แห้งก่อนจะสวมชุดคลุมที่บ่าวคนเมื่อครู่วางไว้ให้จนเรียบร้อยแล้วถึงได้เอ่ยปากเรียกบ่าวผู้นั้นเข้ามาหาอีกรอบ แต่กลับพบว่ารอบนี้เป็นหลี่เซียวที่กลับมาถึงจวนแล้วเข้ามาแทน
“คุณชาย”
“จัดการอย่างไร” ว่านฟู่เฉิงถามเรื่องสตรีคนนั้นก่อน
“พากลับโรงเตี๊ยมแล้ว พรุ่งนี้สั่งให้คนไปส่งนางที่ตระกูลเซี่ยบอกว่าคุณชายส่งคนไปให้ขอรับ”
ว่านฟู่เฉิงผงกหัวลงเล็กน้อยเป็นเชิงเข้าใจ
สตรีผู้นั้นคราแรกเขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับการกระทำของนางเท่าไรนักและคร้านจะใส่ใจจึงมองข้ามไป แต่ไม่คิดว่าเรื่องที่ดูบังเอิญหลายครั้งขนาดนี้จะนำมาถึงจุดนี้ได้ และก็ยังมีส่วนหนึ่งที่ยังคงติดค้างในใจ แต่เขากลับไม่สามารถเชื่อมต่อความสงสัยนั้นได้ในทันที
เช้าวันรุ่งขึ้นว่านฟู่เฉิงก็ถามหาคนกับหลี่เซียว “บ่าวคนเมื่อวานที่อยู่ในห้องตอนข้าอาบน้ำมีนามว่าอะไร”
“...ดูเหมือนจะมาใหม่ ข้าน้อยเองก็ไม่แน่ใจ แต่เมื่อเช้าลุงหวังแจ้งว่าเขาลาออกไปแล้วขอรับ” เนื่องจากหลี่เซียวทำหน้าที่รับใช้ข้างกายคุณชายจำต้องรู้เรื่องหลายอย่างในจวนก็จริงแต่เพราะอีกฝ่ายเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นานเขายังไม่ทันได้รู้จักจึงไม่สามารถตอบได้ในทันที รู้เพียงแค่ว่าคนงานใหม่ลาออกไปแล้วก็เท่านั้น
ว่านฟู่เฉิงนิ่งเงียบไปสักพัก เมื่อคืนเขาคิดอยู่นานว่าบ่าวคนนั้นหน่วยก้านไม่เลว นิสัยแม้จะดูซื่อบื้อไปบ้างและความรู้สึกด้านชาค่อนข้างมากแต่ก็ดูค่อนข้างคล่องแคล่ว เลยคิดจะนำมาไว้ใช้งานข้างกาย เพิ่งได้เจอคนที่จะใช้งานได้หน่อยก็ออกไปเสียแล้ว ปกติบ่าวรับใช้มักจะทำงานค่อนข้างทนเพราะงานหายาก แต่คนผู้นั้นกลับลาออกไปเสียดื้อ ๆ ทั้งที่เพิ่งมาใหม่ นึกว่าทำงานได้ดีแล้วจะอยู่นานกว่านี้เสียอีก
หลี่เซียวลอบมองดูท่าทางเหม่อลอยที่แปลกไปของเจ้านายอยู่ด้านข้าง คุณชายของเขามักชอบนั่งเงียบ ๆ คนเดียวบ่อยครั้ง เวลาทำงานก็ชอบความสงบไม่ชอบให้ใครมารบกวน แต่ไม่เคยเห็นเหม่อลอยแบบนี้มาก่อน ทว่าเขาก็อยู่กับคุณชายมานาน ย่อมรู้ดีว่าไม่ควรถามให้มากความ
กู่ซิงอีออกจากตระกูลว่านมาได้ก็ตรงมาที่จวนตระกูลเซี่ยตั้งแต่เช้าตรู่ ลงมือเคาะหน้าต่างอยู่สามทีเหมือนเดิม คราวนี้ไม่ผิดพลาดซ้ำรอยเดิมอีก เขาหลบออกจากบานหน้าต่างก่อนเจ้าของห้องจะวิ่งมาเปิดหน้าต่างชนเข้ากับเขาเหมือนครั้งก่อนอีก “อาอี?!” เซี่ยลู่หลินแปลกใจอยู่บ้าง ปกติหากมีเสียงเคาะแบบนี้ครั้งที่สองนางก็มาเปิดแล้วเพราะไม่มีใครคนไหนในจวนจะมาเคาะห้องของนางแบบนี้ และปกติกู่ซิงอีไม่เคยมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสางเช่นนี้มาก่อนนางจึงรอเสียงเคาะครบสามครั้งถึงได้มาเปิด “เข้ามาก่อน” นางชะเง้อคอมองออกไปด้านนอกพอเห็นว่าไร้ผู้คนก็รีบถอยห่างจากบานหน้าต่างเพื่อให้กู่ซิงอีเข้ามา กู่ซิงอีกระโดดข้ามหน้าต่างอย่างคล่องแคล่วเข้าไปในห้องแล้วเดินนำไปนั่งที่โต๊ะน้ำชาก่อนเจ้าของห้องเสียอีก ต่อจากนั้นก็เล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟังจนหมด จบท้ายด้วยประโยคที่ว่า “อีกสักพักฉีหย่าคงถูกส่งมาที่นี่” “คุณชายว่านระวังตัวยิ่งนัก ข้าเองก็เคยได้ยินมาว่าเขาเป็นคนรักหน้ารักตามาก เคยมีคนใส่ร้ายร้านค้าของเขาว่าเอาเปรียบ ขายของคุณภาพต่ำให้ชาวบ้าน เขาก็รีบออกมาแก้ไขในทันที ดังนั้นยิ่งไม่แปลกถ้าจะไม่ให้แม่นางฉีหย่าเข้าใ
ทว่า...ทุกอย่างกลับผิดแผนไปหมด! ทันทีที่สตรีกลุ่มหนึ่งถูกส่งเข้าไปในห้องที่คุณชายว่านอยู่ต่อมาก็เกิดเสียงโวยวายขึ้นมา จากนั้นทั้งนางรำ นักเล่นดนตรี และสตรีร่างงดงามที่นุ่งน้อยห่มน้อยอีกห้าหกคนก็ถูกโยนออกมาจนหมด เจ้าของหอเริงรมย์ที่คราแรกแย้มยิ้มส่งคนของตัวเองเข้าไปก็หน้าเจื่อนทันที ไม่นานเกินรอคุณชายว่านก็ตามออกมาติด ๆ เพื่อเดินทางออกจากหอ ก่อนไปยังเหลือบตามองเจ้าของหอเริงรมย์ด้วยความไม่พอใจอย่างไม่คิดจะปิดบัง กู่ซิงอีที่แสร้งทำเป็นเดินมาเก็บโต๊ะอยู่ที่กลางโถงใหญ่ก็สามารถมองเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ได้ทั้งหมด เขารีบหันตัวหลบยามที่ว่านฟู่เฉิงกำลังถูกพาตัวออกไปที่ประตู โดยมีเจ้าของหอเริงรมย์วิ่งตามอยู่ด้านหลังพร้อมตะโกนกล่าวขอโทษขอโพยยกใหญ่ ครานี้กู่ซิงอีกระจ่างแจ้งแล้วว่าจะใช้สตรีมาล่อลวงคนผู้นี้ไม่ได้! วันต่อมาคราวนี้เซี่ยลู่หลินได้ออกมาข้างนอกจึงนัดเจอกับเขาที่โรงน้ำชาแห่งหนึ่งที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักมากนักแต่ก็เป็นที่ประจำของพวกเขาไปแล้ว “เสี่ยวลู่...เจ้าไม่ลองไปคุยกับคุณชายว่านโดยตรงดู” กู่ซิงอีคราแรกใจเย็น แต่ครานี้เริ่มคิดหนักเพราะไม่กี่วันก็จะถึงงานหม
“ไม่มีอะไรชอบเป็นพิเศษ” อีกฝ่ายก็ตอบกลับมา นี่เป็นการถามคำตอบคำที่ดูยาวขึ้นกว่าปกติเล็กน้อยเท่านั้น และมีเพียงกู่ซิงอีและหลี่เซียวที่รู้ว่าคุณชายว่านพยายามรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ขนาดไหน “ฮ่า ๆ ๆ” ในตอนนั้นคนที่เรียบร้อยอ่อนหวานมาตลอดก็ระเบิดหัวเราะออกมา “คุณชายว่านคุณสนุกยิ่งนัก! ฮ่า ๆ” กู่ซิงอีพยายามกดยิ้มไว้ไม่หัวเราะตามสหายของตน ท่าทางสตรีที่หัวเราะไม่สนใจหน้าตาเช่นนี้ คุณชายว่านคงไม่ชอบกระมัง ทว่าเมื่อเหลือบตามองกลับพบว่าอีกฝ่ายยังมีท่าทางสงบนิ่งเช่นเดิม กินขนมเงียบ ๆ อยู่อย่างนั้น มีเพียงหลี่เซียวที่ขมวดคิ้วเข้าด้วยกันด้วยความแปลกใจแทน พอเห็นว่าการหัวเราะหยาบคายไม่ได้ผล กู่ซิงอีก็แกล้งทำจอกชาที่รับคืนมาจากเซี่ยลู่หลินในตอนนั้นร่วงหลุดออกจากมือ จอกชาตกกระทบพื้นเสียงดังเคร้ง! ก่อนจะแตกกระจายไปคนละทิศคนละทาง เสียงก้องกังวานจึงดังขึ้นอีกหลายครั้ง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่กู่ซิงอีเหยียบเท้าของเซี่ยลู่หลินอย่างแรงว่าให้รีบทำตามแผนที่เหลือแทน “อ๊ะ ขอโทษขอรับ ขอโทษขอรับ เป็นบ่าวไม่ระวังเอง คุณหนูรองเจ็บตรงไหนหรือไม่ขอรับ” กู่ซิงอีรีบนั่งคุกเข่าลง
ระหว่างทางไปบ้านของตนจำต้องผ่านจวนตระกูลว่านก่อน กู่ซิงอีพลันหยุดมองดูต้นพลับต้นเดิม ส่งเสียงเหอะออกมาอย่างเย้ยหยัน ยกสุรากระดกขึ้นจนหมดไหแล้วโยนไหสุราทิ้งไว้ที่พุ่มหญ้าแถวนั้น ใบหน้าที่ถูกสีชมพูอ่อนจางเคลือบไว้หนึ่งชั้นก็กระตุกยิ้มขึ้นในความมืด ดวงตาเปล่งประกายกว่าเดิมเล็กน้อย นึกครึ้มใจหาทางปีนเข้าไปด้านในจวนของผู้อื่น กาลก่อนเขาเคยแอบมาปีนกำแพงเพื่อตามดูว่านฟู่เฉิงก็จริงแต่ก็เข้าไปถึงด้านในไม่ได้ ทำได้แต่มองอยู่ข้างนอก ทว่าภายหลังจากที่ได้เข้าไปทำงานในจวนตระกูลว่านแล้วและทำหน้าที่เป็นคนเดินตรวจเวรมาก่อนย่อมรู้ว่ายามไหนที่จะหลบพ้นสายตาผู้คนในจวนได้ แถมจากที่ชอบปีนเข้าไปหาเซี่ยลู่หลินบ่อย ๆ ก็ทำเรื่องแบบนี้อย่างเคยชินจนกลายเป็นอาชีพไปเสียแล้ว ต่อให้เมาก็มิใช่เรื่องยากที่จะปีนเข้าไป ใกล้กับห้องนอนของคุณชายว่านที่เป็นลานกว้างนอกจากต้นพลับที่มีลูกดกแล้วก็ยังมีต้นไม้ต้นหนึ่งอยู่กลางลานด้วย เป็นต้นไม้ที่ใบของมันยังเหลืออยู่มากพอให้เขาหลบซ่อนตัวได้พอดี ครั้นพอเข้ามาในจวนได้กู่ซิงอีก็ปีนขึ้นไปหลบอยู่บนนั้นด้วยความคล่องแคล่ว หวังคิดจะหลอกผีเจ้าของจวนเสียหน่อย อีกฝ่ายอ
ท่าทางการเดินไต่ตัวบนกำแพงจวนก็ดูคล่องแคล่วยิ่งนัก หลอมรวมกับยามนั้นมีสายลมของสารทฤดูพัดผ่านมาพอดี ชายเสื้อสะบัดพลิ้วไหวชวนให้คิดว่านี่อาจเป็นปีศาจตนใดมาล่อลวงผู้คนเข้าแล้ว ภาพที่เห็นตรงหน้าราวกับเขาเป็นผู้เมามายเสียเองจนเห็นภาพหลอน ทว่าเสียงเท้าหนัก ๆ ที่กระโดดลงมาจากกำแพงของเจ้าตัวก็ทำให้รู้ว่านี่ไม่ใช่เป็นภาพที่เขาคิดไปเอง รอยยิ้มที่แต่งแต้มไว้บนใบหน้าก็ดูต่างไปจากเดิมอยู่บ้าง สรุปแล้วเมื่อวานหรือวันนี้กันแน่ที่เมามาย ว่านฟู่เฉิงจึงคิดว่าหรือไม่แน่วันนี้ก็คงเมาเหมือนเดิมนั่นแหละ ในใจพลันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที ตัวเขาเป็นคนจริงจังทำงานเป็นเวลาและไม่ชอบคนเหลาะแหละ คนที่กำลังเดินเข้ามาหาทำตัวราวกับคนว่างงาน ตั้งแต่ที่ได้สบตากันวันนั้นก็เจอคนผู้นี้ป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวมาโดยตลอด วันนี้ก็โผล่มาอีกแล้ว แถมถ้าเมามาอีกจะคิดสิ่งใดได้นอกจากเป็นคนไม่เอาการเอางานผู้หนึ่งที่วัน ๆ คงเอาแต่สำมะเลเทเมาไปเรื่อยเปื่อย ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่ตัวของคนผู้นี้มักจะมีกลิ่นหอมของสุราติดมาด้วยตลอด “วันนี้ไม่มีดวงจันทร์แล้ว...” กู่ซิงอีเงยหน้ามองท้องฟ้ามือผสานไว้ด้านหลังก่อนจะเดินมาหาคนที่น
วันนี้ว่านฟู่เฉิงออกมาจัดการงานที่ร้านว่านเวลาเดิม ที่ต่างไปจากเดิมคือจากเคยนั่งสงบสุขด้านในรถม้ามาตลอดบัดนี้ด้านข้างกลับมีคนผู้หนึ่งมาเคาะที่ผนังรถม้าของเขาอยู่สามครั้ง ว่านฟู่เฉิงไม่เปิดม่านดู คร้านจะใส่ใจ ยังคงนั่งนิ่งอยู่ด้านในเหมือนเดิม เป็นหลี่เซียวที่นั่งอยู่ด้านหน้าข้างคนขับหันหลังไปมองแทน ยามนั้นก็ได้เห็นบุรุษงดงามผู้หนึ่งเดินเอามือไพล่หลังตามอยู่ข้างรถม้าไม่ห่าง “ไม่ทราบว่าน้องชายท่านนี้มีเรื่องอะไรให้ข้ารับใช้หรือไม่” แม้อีกฝ่ายจะแต่งตัวดูคล้ายชาวบ้านธรรมดาแต่ใบหน้าที่โดดเด่นและท่าทางการเดินกลับดูต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง หลี่เซียวจึงไม่กล้าเสียมารยาทล้วนถามด้วยความนอบน้อม ในใจก็รู้สึกคุ้นเคยกับคนผู้นี้เแปลก ๆ แต่ก็นึกไม่ออกในทันทีว่าเคยเจอคนที่รูปหน้าหมดจดขนาดนี้มาก่อนหรือไม่ “ข้าแค่มาทักทายคุณชายว่านเท่านั้น” กู่ซิงอียกยิ้มตอบ พอหลี่เซียวเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายก็พลันนึกถึงคนเมื่อวานที่ยืนอยู่ข้างคุณชายก่อนจะปีนกำแพงออกไปได้ขึ้นมา ‘แค่คนผ่านทางมา’ คำคำนั้นของคุณชายเขายังจำได้ขึ้นใจ เป็นแค่คนผ่านทางมาที่ปีนกำแพงจวนของผู้อื่น แถมคุณชายก็มิไ
ว่านฟู่เฉิงขมวดคิ้วฉับเมื่อได้ยิน เขาขยับเก้าอี้รถเข็นกลับไปที่โต๊ะทำงานของตนเอง คนผู้นี้ทั้งที่เข้าใจสิ่งที่เขากล่าวกลับยังตีสองหน้า โบ้ยไปทางอื่น และก็ไม่ใช่ว่าเขาขยันจนดึกดื่นเสียหน่อย แต่เพราะวันนี้ทั้งวันไม่มีสมาธิทำงานเอาแต่นึกถึงผลซานจาสีแดงเคลือบน้ำตาลนั้นต่างหาก! ใช่...นึกถึงผลไม้สีแดง มิใช่ริมฝีปากของอีกคนในห้อง! ตอนนี้พอได้หวนนึกถึงผลไม้เคลือบน้ำตาลที่ส่งเสียงน่าหนวกหูก็เผลอจ้องมองไปที่ริมฝีปากสีชมพูจางของอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว ว่านฟู่เฉิงเหม่อลอยไปชั่วขณะก่อนจะรั้งสติกลับมาได้ทัน พอพินิจใบหน้าของกู่ซิงอีที่กำลังมองไปทางอื่นอยู่ก็ลอบสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพราะกลัวจะถูกจับได้ว่าตนจ้องมองเจ้าตัวมากเกินไป เกิดมายี่สิบสี่ปีเขาเพิ่งเคยนึกอิจฉาใบหน้าของผู้อื่นก็ตอนนี้เอง แสงเทียนวูบไหวในห้องสาดส่องใบหน้าเกลี้ยงเกลาของอีกฝ่ายให้เด่นชัด หากกล่าวว่าคนในห้องของเขาผู้นี้คือสตรีก็ไม่มีใครกล้าเถียง แต่เพราะรูปร่างสูงใหญ่ก็ไม่มีใครมิรู้ว่าเป็นบุรุษ แถมคนผู้นี้เคยอุ้มเขาขึ้นมานั่งบนรถเข็นได้อย่างง่ายดายราวกับไม่เปลืองแรงเลยสักนิด เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นบุรุษเพียง
ว่านฟู่เฉิงเห็นกู่ซิงอีไม่กล่าวอะไรก็คิดว่าสมุดเล่มต่อไปไม่มีปัญหา แต่เมื่อเปิดดูกลับพบว่ามีหน้าหนึ่งถูกพับมุมไว้ เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่ามันถูกพับไว้ด้วยความผิดพลาดจากคนของเขาหรือเพราะความตั้งใจของกู่ซิงอีกันแน่ หลังจากได้ตรวจดูแล้ว มุมปากที่มักจะกดลงเล็กน้อยก็ยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว แต่ก็เป็นเพียงการกระทำเล็ก ๆ ที่ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วก็จางหายไป ไม่คิดว่าคนที่พูดมากผู้นี้จะรู้เวล่ำเวลา เห็นเขามีสมาธิจดจ่ออยู่ก็ไม่รบกวน และทั้งที่เจออะไรผิดแผกไปก็ไม่ทักท้วงเสียงดังให้วุ่นวายหรือรำคาญใจ ทำเพียงใช้การพับกระดาษเป็นสัญลักษณ์ไว้ให้เท่านั้น หวนนึกถึงหลายวันก่อนที่เขาอยากได้กู่ซิงอีมาทำงานให้ข้างกายเพราะพบว่าคนผู้นี้คล้ายไม่ได้มองว่าเขาแตกต่างจากคนอื่น แม้จะยื่นมือมาอุ้มเขาขึ้นจากพื้นแต่ก็แทบจะไม่มองมาที่เขาเลย ไม่มีความเวทนาหรือสงสารเจือปนอยู่ในความรู้สึก ครานั้นอาจเป็นครั้งแรกที่ว่านฟู่เฉิงเดาถูกว่ากู่ซิงอีสามารถทำงานข้างกายตนได้ และเมื่อรวมเข้ากับตอนนี้ก็ทำได้ดีเกินคาด สามารถทำงานเข้ากันโดยที่ไม่ต้องบอกหรือสอนสิ่งใด เพียงยืนอยู่ข้างกัน ทำส่วนที่ควรทำ เวลางานจากเดิ
ค่ำคืนวันนี้ไร้ดวงจันทร์คอยส่องแสงอย่างเคย ทางเบื้องหน้ามืดสนิทจนแทบมองไม่เห็นทางเดิน แต่กู่ซิงอีกลับไม่รู้สึกว่ามันน่ากลัวอย่างที่คิด อาจเป็นเพราะยามนี้เขาได้ขี่อยู่บนหลังผู้อื่น ลำตัวแนบชิดกับคนที่กำลังเดินอยู่จนไร้ช่องว่างระหว่างกาย รับรู้ได้ถึงแผ่นหลังที่สั่นไหวเบา ๆ ทำให้รู้ว่ายังมีใครอีกคนอยู่กับตนเสมอ กู่ซิงอีกระชับอ้อมแขนที่เกี่ยวคอคนออกแรงอยู่เพิ่มขึ้นอีกนิด “อีกนานหรือไม่” เขาเอ่ยถามออกไปเพราะรู้สึกว่าตนถูกแบกมาไกลมากแล้ว กระนั้นว่านฟู่เฉิงก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเดิน “เสี่ยวอี เหนื่อยแล้วหรือ” ว่านฟู่เฉิงเดินช้าลงและย่ำเท้าด้วยความเบา ด้วยเกรงว่าตนอาจจะเดินเร็วไปจนตัวสะเทือนทำให้คนที่อยู่บนหลังรู้สึกไม่สบายตัว “ข้าจะเหนื่อยได้อย่างไร ท่านเป็นคนแบกข้าอยู่นะ” กู่ซิงอีซบคางลงที่ไหล่ของว่านฟู่เฉิง ใจจริงแล้วเขาอยากให้เวลาหยุดอยู่เช่นนี้ตลอดไปเลยต่างหาก ถึงได้กำลังกลัวว่าจุดหมายปลายทางจะมาถึงเร็วเกินไป กระนั้นก็ยังอดห่วงว่าว่านฟู่เฉิงจะหนักอยู่ดีเลยไม่ได้บอกความในใจออกไป กู่ซิงอีเพิ่งได้รู้ว่าเมื่อก่อนตอนที่ว่านฟู่เฉิงถูกเขาแบกขึ้นบนหลังเดินไ
หลี่เซียวที่กำลังเดินอยู่ในจวนก็พบกับคุณชายของตนกำลังเดินมาหาด้วยท่าทางเร่งรีบ เขาไม่ได้เดินไปหาอย่างที่ควรจะเป็น กลับรอคุณชายเดินเข้ามาหาตนที่หยุดรออยู่ก่อนแล้วแทน พลางคิดในใจว่า เอาอีกแล้ว ! “เห็นเสี่ยวอีของข้าหรือไม่” นั่นไง จะมีสิ่งใดที่เขาเดาผิดไปจากท่าทางเร่งรีบของคุณชายได้อีก ! “เมื่อครู่พอคุณชายกู่เตรียมรากบัวต้มน้ำตาลอยู่ในครัวเสร็จแล้วคิดจะถือนำไปให้คุณชายด้วยตัวเอง แต่ไม่ทันระวังเผลอสะดุดจนของในมือหกรดตัวเอง ตอนนี้น่าจะกำลังไปเปลี่ยนชุดขอรับ” “สะดุดหรือ ! แล้วเสี่ยวอีบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” ว่านฟู่เฉิงพูดค่อนข้างเร็วอย่างหาได้อยาก แทบจะยืนไม่ติดที่อยู่แล้ว ตอนนี้ร่างกายอยู่ตรงนี้แต่หัวใจกลับลอยไปไกลแล้ว “ไม่เป็นอะไรมากขอรับ คุณชายกู่ทรงตัวได้ทันจึงไม่ได้ล้มพับไปกับพื้น แถมรากบัวก็มิได้ร้อนมากและก็เพียงเปื้อนโดนปลายอาภรณ์เล็กน้อยเท่านั้น” สิ่งที่หลี่เซียวไม่ได้กล่าวจนหมดก็คือกู่ซิงอีนั้นร้อนรนขนาดไหนหลังจากทำขนมหกใส่ตัวเอง เอ่ยปากบ่นอยู่หลายประโยคว่าชุดนั้นคุณชายเป็นคนเลือกให้ตนเองกับมือแถมยังแพงมากด้วย ครั้นบ่นเสร็จก็รีบจาก
ด้วยเพราะรู้ว่ากู่ซิงอีหลับลึกขนาดไหน ว่านฟู่เฉิงจึงใช้เรื่องนี้ในการแอบเอาเปรียบกู่ซิงอีอยู่บ่อยครั้ง อย่างเช่นเมื่อคืนที่เขาตื่นมากลางดึกและพบว่ามีใครแอบขยับมาซุกกายแนบชิดตนอยู่ แบบนั้นมีหรือจะอดใจไหว เผลอกัดกู่ซิงอีไปหลายทีจนกระทั่งอีกฝ่ายส่งเสียงฮึมฮัมในลำคอเหมือนจะรู้สึกตัวเขาถึงได้แสร้งหลับลงไปตามเดิม แต่กลับไม่ได้ปล่อยคนในอ้อมกอดให้เป็นอิสระ เมื่อก่อนจะแอบทำทีไรต้องหักห้ามใจตลอด แต่บัดนี้ทั้งคู่ตบแต่งกันแล้ว เขาขอเชยชมสักนิดก็คงไม่เป็นไรกระมัง แต่อาจเพราะเผลอตัวมากไป กลับกระทำการไม่แนบเนียน โดนจับได้ตั้งแต่อีกฝ่ายลืมตาตื่นขึ้นมา “คุณชายว่าน เมื่อคืนทำอะไรแปลก ๆ หรือไม่” ว่านฟู่เฉิงหันมองคนที่ลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง เพราะกู่ซิงอีขี้ร้อนเป็นทุนเดิมเวลาสวมเสื้อผ้านอนมักจะมัดหลวม ๆ พอตื่นนอนมาทีไรเสื้อผ้าที่มัดไม่แน่นก็จะหลุดลุ่ยอย่างเช่นตอนนี้ อาภรณ์ที่เปิดกว้างเผยให้เห็นแผ่นอกขาวเนียนบางส่วนที่มีรอยช้ำจาง ๆ ผมดำเงาชี้ฟูเล็กน้อย ดวงตาก็หรี่เล็กลงยังไม่ทันลืมตาได้เต็มที่ แต่กลับถามเหมือนรู้บางอย่างเช่นนี้ เล่นเอาคนที่กำลังยกน้ำชาไปให้รู้สึกร
รุ่งอรุณก่อนวันงานเทศกาลฉีเฉียว “เสี่ยวอี เจ้ากำลังจะไปที่ใด” ว่านฟู่เฉิงเพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมาและกำลังลุกขึ้นนั่งก็ทันได้เห็นกู่ซิงอีที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จเข้าพอดี แถมดูท่าทางรีบร้อนเหมือนจะออกไปจากห้อง เมื่อถามเสร็จเขาก็เบนสายตามองดูท้องฟ้าข้างนอกหน้าต่าง ฟ้ายังไม่ทันสว่างเท่าไรนักน่าจะเลยยามเฉิน[1]มาเพียงไม่นาน ([1] ยามเฉิน คือ 07.00 – 08.59 น. ) แน่นอนว่าปกติทั้งสองคนต่างพากันตื่นเช้ากว่านี้นัก แต่เมื่อวานคุยกันแล้วว่าจะหยุดทำงานสามวัน เหตุใดกู่ซิงอีถึงลุกมาแต่งตัวคล้ายจะไปทำงานอีก ต่อให้ปกติพวกเขาจะสลับทำงานที่จวนและที่ร้านว่าน และวันนี้คือวันที่ต้องทำงานที่จวน ทว่าว่านฟู่เฉิงอยากให้ดูไม่มีความน่าสงสัยจึงเปลี่ยนเป็นหยุดงานทั้งหมดแทน คำกล่าวเช่นนั้นก็รวมถึงงานที่จวนก็ไม่ต้องทำมิใช่หรือ หยุดก็คือหยุด ไหนเลยกลับคาดไม่ถึงว่ากู่ซิงอีจะไม่เข้าใจสิ่งที่หมายถึงให้หยุดอยู่จวนจริง ๆ ครั้นพอได้เห็นอีกฝ่ายแต่งตัวก็คิดว่าจะออกไปที่ห้องทำงาน “ไปร้านขนมไฉ่ที่ข้าชอบอย่างไรเล่า นานครั้งเราถึงจะว่างในช่วงเช้าแบบนี้ รอบนี้ก็ไม่ต้องวานให้คนอื่นไปต่อแถวแทน ได้
อีกทั้งด้ายแดงที่เด่นชัดแม้อยู่ห่างไกลกันถึงเพียงนี้จากข้อมือแต่ละข้างของว่านฟู่เฉิงและกู่ซิงอีก็ดูคล้ายกันยิ่งนัก คนแอบมองจิตใจลนลานรีบหันกลับไปด้วยดวงตาเบิกโพลง ก้าวเดินตามหลังคนนำทางไปติด ๆ ด้วยท่าทางที่เร่งรีบขึ้นกว่าเดิมราวกับกำลังโดนไฟไล่เผาก้นมา สิ่งที่คนภายนอกกล่าวมาเรื่องฮูหยินของตระกูลว่านไม่มีที่มาที่ไปที่แน่ชัดหลอมรวมกับการกระทำของคนทั้งสองด้านหลัง และยังบวกกับก่อนหน้านี้ที่ได้พูดคุยกับกู่ซิงอีก็คล้ายว่างานทั้งหมดของตระกูลว่านได้ตกอยู่ในมือกู่ซิงอีแล้ว ดังนั้นทุกอย่างที่นึกขึ้นได้จึงไม่ใช่ตนคิดไปเองแน่ ๆ ทว่าเซี่ยหลี่จวินแม้จะได้ล่วงรู้ความลับเรื่องนี้เข้าแต่ก็ไม่ได้คิดจะป่าวประกาศให้คนอื่นได้รับรู้หรอก เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเป็นหลัก เนื่องจากตระกูลว่านเป็นคนเปิดเส้นทางหลายสายให้เขา ดังนั้นนอกจากแตะว่านฟู่เฉิงไม่ได้แล้ว ก็ยิ่งห้ามทำให้กู่ซิงอีไม่พอใจอีกด้วย ! ถ้าล่วงรู้อนาคตได้ว่าเรื่องราวจะดำเนินมาเป็นแบบนี้เขาคงจะเห็นใจกู่ซิงอีอีกสักหน่อย บางทีตัวเขาอาจได้ผลประโยชน์มากกว่าให้บุตรสาวของตนตบแต่งกับน้องชายบุญธรรมของว่านฟู่
“ขอรับ !” หลี่เซียวรีบร้อนรับคำก่อนจากไป ฉีหย่าหันมองซ้ายขวาด้วยความตกใจ นางจะถูกปฏิบัติอย่างนี้จริง ๆ หรือ นางไม่งดงามหรือไรทำไมคุณชายว่านถึงไม่คิดจะสนใจหรือเมตตานางสักนิด แม้จะต้องยอมรับว่าสองคนตรงหน้านางรูปงามไร้ที่ติ แต่นางไม่คิดว่าตนเองจะด้อยค่าถึงเพียงนี้ ! จังหวะนั้นเองประตูห้องบานเดิมพลันเปิดออกอีกครั้ง คราวนี้เป็นนายท่านเซี่ยเดินออกมา พอเห็นบ่าวในจวนของตนที่นั่งกองกับพื้นก็ฉงน ที่แท้คนที่ส่งเสียงดังเมื่อครู่ก็คือฉีหย่าสาวรับใช้ที่บุตรสาวทิ้งไว้ที่จวนเมื่อสองปีก่อน สตรีนางนี้แม้หน้าตาจะงดงามแต่กลับทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง มีดีแค่ดนตรีกับร่ายรำ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกับการทำงานในจวนได้เล่า ดังนั้นสำหรับเขาแล้วนางแทบไม่มีสิ่งใดให้ใช้งานได้เลย ตัวเขาแทบไม่อยากพามาทว่านางก็ดื้อดึงขอตามมาจนได้ เขายังกลัวว่าฮูหยินของตนจะเข้าใจผิดด้วยซ้ำ บัดนี้ยังจะมาสร้างความเดือดร้อนให้อีก ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ เซี่ยหลี่จวินหันมองว่านฟู่เฉิงด้วยความระวัง กลัวว่าสิ่งที่เคยสัญญาไว้จะถูกยกเลิกเพียงเพราะบ่าวรับใช้ในจวนของตนเอง “คุณชายว่าน เป็นข้าไม่อบรมบ่
แล้วนางไหนเลยจะคาดเดาอนาคตได้ ตนย้ายไปอยู่ตระกูลเซี่ยเพียงไม่นานยังไม่มีโอกาสได้มาพบคุณชายว่านเลยสักครั้ง คุณชายผู้นี้ก็ตบแต่งภรรยาเสียแล้ว แต่นางยินยอม ยินยอมเป็นเพียงอนุภรรยาคนหนึ่งของเขาก็ได้ การค้าของตระกูลว่านเติบโตในชั่วข้ามคืนแค่ไหน ใครในเมืองจางไม่รู้บ้างเล่า ดังนั้นทุกวันนางจึงตั้งตารอคอยมาโดยตลอด กาลก่อนแม้คุณชายว่านจะนั่งเก้าอี้รถเข็นแต่อย่างไรก็ยังรูปงามมากนัก บัดนี้พอเดินเหินได้ปกติด้วยใบหน้าสง่างามเป็นทุนเดิมก็ไม่ต่างอะไรกับเทพเซียนลงมาเดินบนดิน พอได้พบเห็นคนที่ตนคะนึงหาอีกคราก็พาให้หัวใจนางเต้นผิดจังหวะ ใบหน้าพลันขึ้นสีแดงด้วยความขวยเขิน “คุณชายว่าน...” นางเอ่ยเรียกเสียงหวาน “...เจ้ามาทำไม” ว่านฟู่เฉิงกลับไม่สบอารมณ์ทันทีที่ได้เจอนาง นึกรังเกียจสายตาเช่นนี้ยิ่งนัก หากเป็นกู่ซิงอีมองเขาด้วยสายตาแบบนี้เจ้าตัวคงไม่อาจหนีรอดเขาไปได้ แต่พอเป็นสตรีตรงหน้าส่งสายตาเฉกเช่นนี้มาให้เขากลับรู้สึกอยากจะอาเจียนขึ้นมา ถึงขั้นดึงหลี่เซียวมาบังตัวเองไว้ครึ่งหนึ่ง “คุณชายว่านถามเช่นนี้ ข้าเสียใจยิ่งนัก” ฉีหย่าตอบด้วยน้ำเสียงน้อยใจ เดินก้าว
วันนี้หลี่เซียวรอจังหวะที่ว่านฟู่เฉิงอยู่ตัวคนเดียวถึงได้มีโอกาสเข้ามาเตือนอะไรบางอย่าง “คุณชาย ไม่รู้ว่าสองสามวันที่ผ่านมาคุณชายเห็นรายงานร้านค้าที่เพิ่มขึ้นมาในถนนสายฝนแล้วหรือยังขอรับ” “มีงานเทศกาลหรือ ?” ช่วงนี้งานปกติที่เขาเคยทำล้วนส่งมอบให้ฮูหยินของตนเกือบทั้งหมด ส่วนตัวเองไปมองหาลู่ทางการขยายกิจการแทน ขณะนี้เองก็กำลังดูเครื่องประดับที่ส่งมาจากแคว้นอื่นด้วยความตั้งใจ พอถูกถามจึงไม่ได้ทันคิดถึงว่าวันนี้คือวันที่เท่าไร มีงานอะไรสำคัญหรือไม่ เพราะนอกจากจะนับวันรอที่จะได้หยุดเพื่อออกไปชมต้นไม้ใบหญ้าลำธารกับคนของใจแล้ว วันเวลาอย่างอื่นล้วนไม่อยู่ในสายตาของเขา แต่ที่ถามออกไปได้อย่างแม่นยำและถูกถึงเก้าส่วนก็เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาล้วน ๆ เนื่องจากถนนสายฝนเป็นหนึ่งในกิจการร้านค้าที่เขามีมากที่สุดในเมืองจาง หากมีร้านค้าเพิ่มขึ้นมาก็หมายถึงมีการแบ่งพื้นที่หน้าร้านแต่เดิมจากหนึ่งเป็นสองร้าน หรือก็คืออาจมีงานเทศกาลยามค่ำคืนร่วมด้วย แถมบางครั้งยังเป็นตระกูลว่านที่ต้องออกหน้ารับจัดงานด้วยซ้ำ แต่แน่นอนว่าในส่วนนี้เขาย่อมมีผู้ดูแลแทนอยู่แล้วเลยไม่ค่อยสนใจที่หลี่เซี
ใกล้เข้าเหมันตฤดูแล้ว ว่านฟู่เฉิงยืนกอดอกมองคนขนของเข้ามาในจวน เขาสั่งไหมาเยอะมาก เอามาทุกขนาดที่หาได้ หากคำนวณผ่านตาคร่าว ๆ ตั้งแต่ครึ่งก้านธูปที่แล้วไหที่ถูกขนเข้าไปก็ปาไปหลายร้อยใบแล้ว กู่ซิงอีที่เดินหาวหวอดออกมาก็มองตามกลุ่มคนมากมายซึ่งกำลังพากันขนไหเข้าไปด้านหลังจวน “ท่านสั่งไหมาทำไมเยอะแยะ” เมื่อเดินเข้ามาใกล้ถึงคนรักของตนก็เอ่ยถามออกไป “ไว้ให้เจ้าหมักสุรา” ว่านฟู่เฉิงกล่าวแย้มยิ้ม ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาจนถึงตนเอง ว่านฟู่เฉิงก็ก้าวยาว ๆ เดินไปหยุดยืนข้างกายดวงใจของตนแล้ว เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจมองมาทางนี้จึงขยับหอมแก้มกู่ซิงอีด้วยความรวดเร็วไปหนึ่งที กู่ซิงอีตกใจจนตัวแข็ง รีบหันมองซ้ายมองขวา เมื่อไม่เห็นใครก็โล่งใจ แต่อดที่จะมองค้อนเขาไปทีหนึ่งมิได้ “เหอะ ท่านยังคิดจะใช้ข้าทำงานอีก ! ข้าตกถังข้าวสารแล้ว ไหนเลยจะไปทำงานให้เหนื่อย” ว่านฟู่เฉิงไม่ได้เสียใจหรือน้อยใจกลับยกยิ้มมองกู่ซิงอีและพูดเสริมว่า “ข้าสั่งทำห้องหมักสุราโดยเฉพาะไว้ให้เจ้าแล้วไม่ต้องรวมกับครัวของจวนแบบครั้งก่อนอีก และทั้งข้าว ไห เชือก ผ้ากรองก็มีให้ใช้ไม