กู่ซิงอีออกจากตระกูลว่านมาได้ก็ตรงมาที่จวนตระกูลเซี่ยตั้งแต่เช้าตรู่ ลงมือเคาะหน้าต่างอยู่สามทีเหมือนเดิม คราวนี้ไม่ผิดพลาดซ้ำรอยเดิมอีก เขาหลบออกจากบานหน้าต่างก่อนเจ้าของห้องจะวิ่งมาเปิดหน้าต่างชนเข้ากับเขาเหมือนครั้งก่อนอีก
“อาอี?!” เซี่ยลู่หลินแปลกใจอยู่บ้าง ปกติหากมีเสียงเคาะแบบนี้ครั้งที่สองนางก็มาเปิดแล้วเพราะไม่มีใครคนไหนในจวนจะมาเคาะห้องของนางแบบนี้ และปกติกู่ซิงอีไม่เคยมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสางเช่นนี้มาก่อนนางจึงรอเสียงเคาะครบสามครั้งถึงได้มาเปิด “เข้ามาก่อน” นางชะเง้อคอมองออกไปด้านนอกพอเห็นว่าไร้ผู้คนก็รีบถอยห่างจากบานหน้าต่างเพื่อให้กู่ซิงอีเข้ามา
กู่ซิงอีกระโดดข้ามหน้าต่างอย่างคล่องแคล่วเข้าไปในห้องแล้วเดินนำไปนั่งที่โต๊ะน้ำชาก่อนเจ้าของห้องเสียอีก ต่อจากนั้นก็เล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟังจนหมด จบท้ายด้วยประโยคที่ว่า “อีกสักพักฉีหย่าคงถูกส่งมาที่นี่”
“คุณชายว่านระวังตัวยิ่งนัก ข้าเองก็เคยได้ยินมาว่าเขาเป็นคนรักหน้ารักตามาก เคยมีคนใส่ร้ายร้านค้าของเขาว่าเอาเปรียบ ขายของคุณภาพต่ำให้ชาวบ้าน เขาก็รีบออกมาแก้ไขในทันที ดังนั้นยิ่งไม่แปลกถ้าจะไม่ให้แม่นางฉีหย่าเข้าใกล้ เพราะตัวเขาตอนนี้มีสัญญาหมั้นหมายกับข้าแล้ว คงต้องยิ่งระวังท่าทางและข่าวลือมากกว่าเดิม เฮ้อ ขนาดสตรีงดงามขนาดนั้นเขายังปฏิเสธได้ลง” เซี่ยลู่หลินไหล่ลู่ลงคิดหนัก
กู่ซิงอีพยักหน้าเห็นด้วย หลายวันที่ผ่านมาเขาอยู่ในตระกูลว่านก็ต้องระวังตัวมากนักเพื่อไม่ทำให้ตนถูกจับได้ กระทั่งคำพูดก็เปลี่ยนเป็นสงบปากสงบคำอย่างหาได้ยากเพื่อไม่ให้เป็นที่เตะตา หลังจากนี้จึงคิดว่าตนยังสามารถเคลื่อนไหวตามแผนการอื่นที่วางไว้ได้อยู่
“เสี่ยวลู่ เจ้าไม่ต้องกังวลไป เรายังมีเวลาอีกสักพัก ตอนนี้ที่เจ้าต้องทำก็แค่จัดการเรื่องของแม่นางฉีหย่าก่อน ถามนางว่าอยากทำงานกับจวนของเจ้าหรือไม่ หากนางไม่ต้องการก็ให้นางจากไปเถิด อย่างไรเสียเงินที่ไถ่ตัวนางออกมานางก็ได้ตอบแทนอย่างเต็มที่แล้ว” กู่ซิงอียกยิ้มปลอบใจเซี่ยลู่หลิน รอยยิ้มของเขาอ่อนโยนจนสามารถทำให้เซี่ยลู่หลินรู้สึกเชื่อมั่นและปลอดภัยขึ้นมาได้
แต่กู่ซิงอีกลับไม่รู้เลยว่าอนาคตที่เขาวางไว้นั้นล่มไม่เป็นท่าเลยสักนิด
ไม่ว่าจะแผนการไหนที่เขาวางไว้แล้วลงมือทำล้วนถูกคนผู้นั้นทำให้ไม่สำเร็จไปเสียหมด
แต่กู่ซิงอีก็ไม่ย่อท้อ จนกระทั่งวันนี้คล้ายสวรรค์เมตตาเขาและเซี่ยลู่หลินให้มีหนทางไปต่อได้
เซี่ยลู่หลินมักกล่าวว่าตัวเขาเป็นคนที่เก็บตัวแต่กลับรู้จักคนมากกว่านางเสียอีก คำนี้กู่ซิงอีเพิ่งจะรู้ซึ้งก็ตอนนี้ว่ามันมีประโยชน์อย่างไร
หลายปีก่อนตอนที่อยู่หมู่บ้านกง เขากับผู้เฒ่าเว่ยหาเลี้ยงชีพด้วยการเปิดโรงเตี๊ยม ดังนั้นคนที่รู้จักส่วนมากมักเป็นคนที่เดินทางบ่อย กระทั่งเมื่อย้ายมาที่เมืองจางก็บังเอิญได้พบกลุ่มพ่อค้าที่เคยรู้จักกันซึ่งเดินทางมาจากแคว้นเยว่เข้าพอดี ความจริงเขาจำกลุ่มพ่อค้าไม่ได้หรอก แต่ผู้เฒ่าเว่ยย่อมจำได้ ช่วงนั้นที่เจอกันอีกครั้งเขาอายุราวสิบสามปีได้ ผู้เฒ่าเว่ยดูเหมือนจะสนิทสนมกับคนกลุ่มนี้เป็นพิเศษ กู่ซิงอีจำได้ว่าแม้กระทั่งสุราที่ผู้เฒ่าเว่ยหวงแหนและไม่ยอมให้เขาได้ลิ้มลองดื่มเสียทีก็กลับยกออกมาเลี้ยงพ่อค้ากลุ่มนั้นอย่างไม่นึกเสียดาย ผลพวงจากการดื่มกินครั้งนั้นทำให้กู่ซิงอีกับกลุ่มพ่อค้ารู้จักกันเป็นอย่างดี
จวบจนวันนี้ก็ได้พบกันที่กลางเมืองอีกครั้ง กู่ซิงอีจึงทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี พากลุ่มพ่อค้าไปนั่งดื่มชาคุยความหลังกันในโรงน้ำชาขึ้นชื่อแห่งหนึ่ง
“ผู้เฒ่าเว่ยเป็นสหายที่ดี...” ซ่งจางหลานกล่าวเสียงเบาหลังจากได้ฟังจากกู่ซิงอีว่าผู้เฒ่าเว่ยจากไปแล้ว ตัวเขาอายุไม่ถึงห้าสิบปีก็จริงแต่ผู้เฒ่าเว่ยกลับชอบบอกให้นับถือกันเหมือนสหาย
ในช่วงที่เดินทางแรก ๆ เมื่อตอนยังหนุ่มยังแน่นก็ได้พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมของผู้เฒ่าเว่ยค่อนข้างนานจนสนิทกันเหมือนสหายรู้ใจจริง ๆ แม้อีกคนจะอายุเกินตัวเองไปเกือบครึ่งก็ตาม
ตอนนั้นเขาได้ผู้เฒ่าเว่ยชี้แนะอยู่หลายอย่าง จนหลายปีให้หลังที่ประสบความสำเร็จได้ก็เพราะผู้เฒ่าเว่ยจริง ๆ เขาจึงจดจำคนผู้นี้ไว้เสมอ หวังจะตอบแทนบุญคุณในสักวัน แต่ยามนี้กลับไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก
เมื่อช่วงเช้าขบวนของเขาเดินทางผ่านเส้นทางที่ตั้งของบ้านผู้เฒ่าเว่ยแถบชานเมืองพอดี เขาและกลุ่มพ่อค้าจากแคว้นเยว่ก็ได้แวะไปแล้วรอบหนึ่งแต่ไม่พบคน ใครจะไปคิดว่าจะเจอเด็กหนุ่มรูปงามอย่างกู่ซิงอีเอ่ยทักเข้ากลางทางพอดี คราแรกยังจำไม่ได้เพราะกู่ซิงอีพอโตขึ้นแล้วจากเด็กซุกซนแก้มยุ้ยกลับเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มรูปงามที่หาได้ยาก ยังคิดว่าอีกฝ่ายทักคนผิดด้วยซ้ำไป
ก่อนหน้านี้เพียงนิดกลุ่มคนก็แยกเป็นสองกลุ่ม ตอนนี้คนที่กู่ซิงอีรู้จักจึงมีเพียงซ่งจางหลานส่วนอีกสองคนที่ตามซ่งจางหลานมาด้วยนั้นกู่ซิงอีไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แต่ซ่งจางหลานไม่ลืมแนะนำทั้งสองคนให้กู่ซิงอีได้รู้จักว่าเป็นใครบ้าง
คนหนึ่งคือเด็กหนุ่มตระกูลร่ำรวยที่ดูแลเกี่ยวกับม้าให้แคว้นเยว่นามชางหนิงจินอายุไล่เลี่ยกับกู่ซิงอี ส่วนอีกคนคือพ่อค้าผ้ามีนามว่าเฉินถังเป็นสหายของซ่งจางหลาน
ทั้งสี่คนพูดคุยกันพักใหญ่จนเฉินถังกล่าวถึงตระกูลว่านขึ้นมา กู่ซิงอีสนใจไม่น้อย พอฟังไปสักพักก็ได้รู้ว่าพ่อค้าผ้าตั้งใจจะมาติดต่อเรื่องซื้อขายผ้ากับตระกูลว่าน และเมืองจางก็เป็นที่สุดท้ายที่เขาตั้งใจเดินทางมาถึง ส่วนคนที่เหลือจะเดินทางไปต่อที่อื่นอีก
“ข้าไม่เคยได้ยินว่าคุณชายว่านชอบไปที่หอเริงรมย์...เกรงว่าหากท่านลุงเฉินตกลงเรื่องค้าขายได้จริง ดื่มกินที่เรือนตระกูลว่านคงจะดีกว่า” กู่ซิงอีกล่าวเป็นนัย แต่พอกล่าวไปแล้วกลับอยากกัดลิ้นตัวเองขึ้นมา หากท่านลุงเฉินสามารถเชิญคุณชายว่านไปหอเริงรมย์ได้ก็เข้าทางเขาไม่ใช่หรือไร ทว่าในใจกลับรู้สึกผิดถ้าหากตนจะไปยุยงให้ท่านลุงเฉินทำเช่นนั้นจริง ๆ แล้วถ้าเกิดว่านฟู่เฉิงไม่พอใจขึ้นมาการเดินทางครั้งนี้ของท่านลุงเฉินก็เสียเปล่า
กู่ซิงอีใช้ความคิดเพียงชั่วอึดใจ ถึงนึกได้ว่าท่านลุงเฉินเป็นฝ่ายที่ต้องการซื้อของจากตระกูลว่าน คนที่ได้เงินก็คือว่านฟู่เฉิง เป็นไปได้สูงว่าจะไม่ถูกปฏิเสธ ดังนั้นจึงมองเห็นความหวัง และรอดูว่าท่านลุงเฉินจะตัดสินใจอย่างไร
สุดท้ายท่านลุงเฉินก็มั่นใจในตนเองยิ่งนักว่าตนเป็นเงินก้อนใหญ่ของตระกูลว่าน ไฉนเลยคุณชายว่านจะไม่ย่อมใจอ่อนผ่อนปรนให้
ในเมื่ออีกฝ่ายมีความแน่วแน่และมันก็เข้าทางกู่ซิงอีด้วย เขาจึงกล่าวอีกสองประโยค บอกว่าคุณชายว่านเป็นคนอย่างไร และต้องทำอย่างไรให้อีกฝ่ายไม่ปฏิเสธ
หลังจากนั้นพวกเขาก็พูดคุยกันอีกเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายกันไป
ช่วงเย็นกู่ซิงอีก็มาส่งสุราที่หอเริงรมย์แห่งหนึ่งด้วยตนเอง แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นคนที่หมักสุราชื่อดังนี้ ทุกคนต่างคิดแค่ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นเพียงคนส่งของเท่านั้น
ช่วงที่ช่วยคนของหอเริงรมย์ขนไหสุราลงเขาก็ได้ยินว่าคุณชายว่านจะมาจัดงานที่ห้องพิเศษชั้นล่างเข้าพอดี เหมือนเป็นการพบปะของกลุ่มพ่อค้าที่มาจากเมืองอื่น จึงรู้ได้ทันทีว่าที่ตนแนะนำท่านลุงเฉินไปเหมือนจะได้ผล
กู่ซิงอีหัวใจเต้นเร็วขึ้นหนึ่งจังหวะ อะไรจะบังเอิญขนาดนี้ ปกติคุณชายว่านเก็บตัว ไม่ชอบสังสรรค์ ไม่คิดว่าจะมาที่หอเริงรมย์เป็นกับเขาด้วย แถมยังเป็นหอที่ตนเพิ่งมาส่งสุราพอดีถึงได้รู้ข่าวในทันทีอีกด้วย
และก่อนจะได้ออกจากประตูหลังของหอเริงรมย์ไปกู่ซิงอีก็ทันได้เห็นคนที่คล้ายผู้ดูแลเดินมาหลังร้านเข้าพอดี เขาจึงเข้าไปพูดคุยและหว่านล้อมอีกฝ่าย แนะนำให้เอาใจคุณชายว่านอย่างไรบ้าง อย่างเช่นส่งสตรีงดงามหลายคนที่ร้องรำเป็นไปสักจำนวนหนึ่งและอีกสักสองสามคนคอยรินสุราให้ข้างกายคงดีไม่น้อย
แถมยังกล่าวเสริมอีกว่าคุณชายว่านถือเป็นตระกูลพ่อค้าอันดับต้นของแคว้นเหว่ย ดังนั้นหากได้คนเช่นนี้มาอยู่ข้างตนก็คงทำให้มีร่มเงากว้างขวางให้หลบพักได้สบาย ๆ
แน่นอนว่าคำพูดยุยงเล่านั้นกู่ซิงอีล้วนใช้คำพูดเรียบเรียงออกไปอย่างดี ใครได้ฟังก็คงคิดไปเพียงว่าเด็กหนุ่มคนนี้แค่พูดคุยเรื่อยเปื่อยไม่ได้จงใจทำเรื่องไม่ดีอันใด
ผู้ดูแลเองก็คุยกับเจ้าของหอเริงรมย์ไปก่อนหน้านี้แล้วว่าจะหาสิ่งใดไปมัดใจคุณชายว่านบ้าง แต่ก็ยังพากันลังเล พอมีคนมาชวนคุยไปในทิศทางเดียวกันกับที่ตนคิดไว้อยู่แล้วจึงหนักแน่นในความคิดของตนมากขึ้นกว่าเก่า ครั้นพอตัดสินใจได้แล้วก็ไม่รั้งอยู่ต่อ ขอตัวจากไปหาเจ้าของหอทันที
กู่ซิงอีคิดว่าแผนนี้คงเข้าท่า ช่วงเย็นเขาก็แอบมาทำงานเป็นคนเตรียมสุรา และไม่ลืมแอบสับเปลี่ยนสุราเป็นชนิดแรงขึ้นมาอีกหน่อยเพื่อหวังให้คุณชายว่านขาดสติเพียงนิดก็ยังดี และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะเจาะสตรีที่ถูกเตรียมไว้ก็คงเข้าไปด้านในพอดี
แต่กู่ซิงอีไม่ใจดำถึงขั้นวางยาสลบหรือยาปลุกกำหนัดเพื่อจัดฉากอย่างที่ได้เคยคิดกับเซี่ยลู่หลินเมื่อก่อนหน้านี้ อย่างไรเสียก็ยังพอมีมโนธรรมอยู่บ้าง แค่คิดว่าเพียงรอให้เหล่าสาวงามเข้าไปแล้วก็ค่อยส่งคนไปเรียกนายท่านเซี่ยมาดูว่าที่ลูกเขยนั่งกอดกับสตรีเหล่านั้นก็พอ ไม่ต้องให้เลยเถิดไปจนถึง เอ่อ...ทำเรื่องอย่างว่ากัน
เรื่องการร่ำสุราเคล้านารีไม่แปลกอันใดสำหรับกลุ่มพ่อค้าและคนมีเงิน แต่นายท่านเซี่ยนอกจากเห็นเงินมาเป็นอันดับแรก อันดับต่อมาก็คือเรื่องหน้าตาและชื่อเสียง ส่วนท้ายที่สุดที่กู่ซิงอีรู้ว่านายท่านเซี่ยมีดีแค่เรื่องนี้ก็คือเรื่องรักเดียวใจเดียวนั่นเอง มารดาของเซี่ยลู่หลินจึงเป็นสตรีที่โชคดีที่สุดแล้วที่กู่ซิงอีเคยเจอมา ดังนั้นหากนายท่านเซี่ยเจอว่าที่ลูกเขยของตนมากอดกกสตรีไว้ในอกที่หอเริงรมย์อาจจะเปลี่ยนใจก็ได้
กู่ซิงอีเห็นทุกอย่างไปได้ดีก็ยกยิ้ม ยื่นสุราที่เตรียมไว้ให้บ่าวคนอื่นในหอเริงรมย์เพื่อส่งไปตามห้องต่าง ๆ เขารู้สึกดีใจจนออกนอกหน้าไปแล้ว คิดว่าครั้งนี้ต้องทำสำเร็จ
ทว่า...ทุกอย่างกลับผิดแผนไปหมด! ทันทีที่สตรีกลุ่มหนึ่งถูกส่งเข้าไปในห้องที่คุณชายว่านอยู่ต่อมาก็เกิดเสียงโวยวายขึ้นมา จากนั้นทั้งนางรำ นักเล่นดนตรี และสตรีร่างงดงามที่นุ่งน้อยห่มน้อยอีกห้าหกคนก็ถูกโยนออกมาจนหมด เจ้าของหอเริงรมย์ที่คราแรกแย้มยิ้มส่งคนของตัวเองเข้าไปก็หน้าเจื่อนทันที ไม่นานเกินรอคุณชายว่านก็ตามออกมาติด ๆ เพื่อเดินทางออกจากหอ ก่อนไปยังเหลือบตามองเจ้าของหอเริงรมย์ด้วยความไม่พอใจอย่างไม่คิดจะปิดบัง กู่ซิงอีที่แสร้งทำเป็นเดินมาเก็บโต๊ะอยู่ที่กลางโถงใหญ่ก็สามารถมองเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ได้ทั้งหมด เขารีบหันตัวหลบยามที่ว่านฟู่เฉิงกำลังถูกพาตัวออกไปที่ประตู โดยมีเจ้าของหอเริงรมย์วิ่งตามอยู่ด้านหลังพร้อมตะโกนกล่าวขอโทษขอโพยยกใหญ่ ครานี้กู่ซิงอีกระจ่างแจ้งแล้วว่าจะใช้สตรีมาล่อลวงคนผู้นี้ไม่ได้! วันต่อมาคราวนี้เซี่ยลู่หลินได้ออกมาข้างนอกจึงนัดเจอกับเขาที่โรงน้ำชาแห่งหนึ่งที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักมากนักแต่ก็เป็นที่ประจำของพวกเขาไปแล้ว “เสี่ยวลู่...เจ้าไม่ลองไปคุยกับคุณชายว่านโดยตรงดู” กู่ซิงอีคราแรกใจเย็น แต่ครานี้เริ่มคิดหนักเพราะไม่กี่วันก็จะถึงงานหม
“ไม่มีอะไรชอบเป็นพิเศษ” อีกฝ่ายก็ตอบกลับมา นี่เป็นการถามคำตอบคำที่ดูยาวขึ้นกว่าปกติเล็กน้อยเท่านั้น และมีเพียงกู่ซิงอีและหลี่เซียวที่รู้ว่าคุณชายว่านพยายามรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ขนาดไหน “ฮ่า ๆ ๆ” ในตอนนั้นคนที่เรียบร้อยอ่อนหวานมาตลอดก็ระเบิดหัวเราะออกมา “คุณชายว่านคุณสนุกยิ่งนัก! ฮ่า ๆ” กู่ซิงอีพยายามกดยิ้มไว้ไม่หัวเราะตามสหายของตน ท่าทางสตรีที่หัวเราะไม่สนใจหน้าตาเช่นนี้ คุณชายว่านคงไม่ชอบกระมัง ทว่าเมื่อเหลือบตามองกลับพบว่าอีกฝ่ายยังมีท่าทางสงบนิ่งเช่นเดิม กินขนมเงียบ ๆ อยู่อย่างนั้น มีเพียงหลี่เซียวที่ขมวดคิ้วเข้าด้วยกันด้วยความแปลกใจแทน พอเห็นว่าการหัวเราะหยาบคายไม่ได้ผล กู่ซิงอีก็แกล้งทำจอกชาที่รับคืนมาจากเซี่ยลู่หลินในตอนนั้นร่วงหลุดออกจากมือ จอกชาตกกระทบพื้นเสียงดังเคร้ง! ก่อนจะแตกกระจายไปคนละทิศคนละทาง เสียงก้องกังวานจึงดังขึ้นอีกหลายครั้ง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่กู่ซิงอีเหยียบเท้าของเซี่ยลู่หลินอย่างแรงว่าให้รีบทำตามแผนที่เหลือแทน “อ๊ะ ขอโทษขอรับ ขอโทษขอรับ เป็นบ่าวไม่ระวังเอง คุณหนูรองเจ็บตรงไหนหรือไม่ขอรับ” กู่ซิงอีรีบนั่งคุกเข่า
ระหว่างทางไปบ้านของตนจำต้องผ่านจวนตระกูลว่านก่อน กู่ซิงอีพลันหยุดมองดูต้นพลับต้นเดิม ส่งเสียงเหอะออกมาอย่างเย้ยหยัน ยกสุรากระดกขึ้นจนหมดไหแล้วโยนไหสุราทิ้งไว้ที่พุ่มหญ้าแถวนั้น ใบหน้าที่ถูกสีชมพูอ่อนจางเคลือบไว้หนึ่งชั้นก็กระตุกยิ้มขึ้นในความมืด ดวงตาเปล่งประกายกว่าเดิมเล็กน้อย นึกครึ้มใจหาทางปีนเข้าไปด้านในจวนของผู้อื่น กาลก่อนเขาเคยแอบมาปีนกำแพงเพื่อตามดูว่านฟู่เฉิงก็จริงแต่ก็เข้าไปถึงด้านในไม่ได้ ทำได้แต่มองอยู่ข้างนอก ทว่าภายหลังจากที่ได้เข้าไปทำงานในจวนตระกูลว่านแล้วและทำหน้าที่เป็นคนเดินตรวจเวรมาก่อนย่อมรู้ว่ายามไหนที่จะหลบพ้นสายตาผู้คนในจวนได้ แถมจากที่ชอบปีนเข้าไปหาเซี่ยลู่หลินบ่อย ๆ ก็ทำเรื่องแบบนี้อย่างเคยชินจนกลายเป็นอาชีพไปเสียแล้ว ต่อให้เมาก็มิใช่เรื่องยากที่จะปีนเข้าไป ใกล้กับห้องนอนของคุณชายว่านที่เป็นลานกว้างนอกจากต้นพลับที่มีลูกดกแล้วก็ยังมีต้นไม้ต้นหนึ่งอยู่กลางลานด้วย เป็นต้นไม้ที่ใบของมันยังเหลืออยู่มากพอให้เขาหลบซ่อนตัวได้พอดี ครั้นพอเข้ามาในจวนได้กู่ซิงอีก็ปีนขึ้นไปหลบอยู่บนนั้นด้วยความคล่องแคล่ว หวังคิดจะหลอกผีเจ้าของจวนเสียหน่อย อี
ท่าทางการเดินไต่ตัวบนกำแพงจวนก็ดูคล่องแคล่วยิ่งนัก หลอมรวมกับยามนั้นมีสายลมของสารทฤดูพัดผ่านมาพอดี ชายเสื้อสะบัดพลิ้วไหวชวนให้คิดว่านี่อาจเป็นปีศาจตนใดมาล่อลวงผู้คนเข้าแล้ว ภาพที่เห็นตรงหน้าราวกับเขาเป็นผู้เมามายเสียเองจนเห็นภาพหลอน ทว่าเสียงเท้าหนัก ๆ ที่กระโดดลงมาจากกำแพงของเจ้าตัวก็ทำให้รู้ว่านี่ไม่ใช่เป็นภาพที่เขาคิดไปเอง รอยยิ้มที่แต่งแต้มไว้บนใบหน้าก็ดูต่างไปจากเดิมอยู่บ้าง สรุปแล้วเมื่อวานหรือวันนี้กันแน่ที่เมามาย ว่านฟู่เฉิงจึงคิดว่าหรือไม่แน่วันนี้ก็คงเมาเหมือนเดิมนั่นแหละ ในใจพลันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที ตัวเขาเป็นคนจริงจังทำงานเป็นเวลาและไม่ชอบคนเหลาะแหละ คนที่กำลังเดินเข้ามาหาทำตัวราวกับคนว่างงาน ตั้งแต่ที่ได้สบตากันวันนั้นก็เจอคนผู้นี้ป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวมาโดยตลอด วันนี้ก็โผล่มาอีกแล้ว แถมถ้าเมามาอีกจะคิดสิ่งใดได้นอกจากเป็นคนไม่เอาการเอางานผู้หนึ่งที่วัน ๆ คงเอาแต่สำมะเลเทเมาไปเรื่อยเปื่อย ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่ตัวของคนผู้นี้มักจะมีกลิ่นหอมของสุราติดมาด้วยตลอด “วันนี้ไม่มีดวงจันทร์แล้ว...” กู่ซิงอีเงยหน้ามองท้องฟ้ามือผสานไว้ด้านหลังก่อนจะเดินมาหาคนที่น
"เขาไม่รูปงามหรือ" กู่ซิงอีถามสหายคนสนิท "รูปงามยิ่งนัก!" เซี่ยลู่หลินกล่าวด้วยความจริงจัง คราที่ฟังมิได้ทันคิด หากแต่ได้ยลอีกฝ่ายแล้ว คำพูดของสหายก็หวนมาอีกครา 'รูปงามยิ่งนัก!' กลิ่นอายรอบกายสูงส่งดั่งหยก แววตาเฉยเมยไร้สิ่งใดที่สามารถสั่นคลอนคนผู้นี้ได้ ภาพตรงหน้า...สลักลึกฝังลงในใจ แนะนำตัวละคร กู่ซิงอี : เด็กกำพร้าที่ถูกผู้เฒ่าเจ้าของโรงเตี๊ยมเก็บมาเลี้ยงดู เลี้ยงชีพโดยการหมักสุราขาย เป็นคนรักสันโดษ ใช้ชีวิตอยู่เขตชานเมือง แต่พอได้สนิทกับใครแล้วยอมมอบใจให้ทั้งหมด ช่างสังเกต ยิ้มเก่ง นิสัยร่าเริงมองโลกในแง่ดี ฉลาดและมีไหวพริบ ว่านฟู่เฉิง : ผู้นำตระกูลว่าน ซึ่งเป็นตระกูลพ่อค้าที่ร่ำรวยเป็นอันดับต้น ๆ ของแคว้นเหว่ย สมัยวัยเยาว์มีเหตุทำให้พิการไม่สามารถเดินได้จำต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นตลอด เป็นคนเจ้าอารมณ์ ขี้หง
บทนำ สารทฤดูในเมืองจางงดงามไม่แพ้เมืองใดในแคว้นเหว่ย ยามนี้เป็นช่วงปลายฤดูแล้ว ใบไม้เริ่มแปรเปลี่ยนหลากสี กิ่งไม้เริ่มไร้ใบจนเหมือนกระดูกเรียวเล็กแต่ก็ดูงดงามแปลกตาไปอีกแบบ อากาศเองก็ไม่ร้อนอบอ้าวเฉกเช่นเดิมอีกแล้ว ดังนั้นวันนี้กู่ซิงอีจึงคึกคักเป็นพิเศษ หมักสุราหามรุ่งหามค่ำ มือหนึ่งทำงานมือหนึ่งยกสุราเข้าปากด้วยความอารมณ์ดี กลิ่นหอมของสุรากำจายทั่วปากทำให้มีแรงทำงานมากกว่าเดิม ยามเมื่อหมักสุราเสร็จสิ้นจนถึงขั้นตอนปิดผนึกแล้วเขากลับไม่ได้นำไหสุราไปเก็บในที่ซึ่งควรเก็บตั้งแต่แรก แต่กลับยกมานั่งอาบแสงจันทร์ที่ลานหน้าบ้านแทน จันทร์สกาวเต็มดวงเริ่มเอียงไปมากกว่าครึ่งแผ่นฟ้าแล้ว บ่งบอกว่าคืนนี้เขาทำงานหนักยิ่งนัก และอาจเพราะทำงานตั้งแต่เด็กกู่ซิงอีจึงสูงโปร่งกว่าบุรุษทั่วไปในเมืองจางอยู่บ้าง ยามนี้เขานั่งลงที่แคร่ไม้ไผ่กลางลานบ้านซึ่งรอบตัวเต็มไปด้วยไหสุราเกือบสิบไหที่เพิ่งยกมาวาง ‘สุราอาบแสงจันทร์ คนหมักเมามาย สุราย่อมรสชาติดี’ นี่เป็นความเชื่อส่วนตัวของเขา ปีนี้กู่ซิง
“อาอี อาอี!” รุ่งอรุณเพิ่งมาเยือนไม่นาน ท้องนภาเริ่มอาบย้อมสีส้มแค่บางส่วน เสียงเรียกก็ดังขึ้นที่หน้าประตูบ้านของกู่ซิงอีที่ตั้งอยู่ท้ายเมืองแล้ว เจ้าของบ้านยังไม่ทันตื่นเต็มที่ก็ถูกเสียงเรียกอันคุ้นเคยปลุกขึ้นมาจากภวังค์แห่งการหลับใหล นั่นคือเสียงของเซี่ยลู่หลินสหายคนสนิทของตนเองที่กู่ซิงอีไม่มีทางจำผิด ร่างสูงเดินงัวเงียมาตามเสียงเรียก บานประตูบ้านถูกคนที่อยู่อีกฝั่งทุบจนสั่นคลอนไปหมด คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากันด้วยความสงสัย เมื่อเปิดประตูออกแล้วเขาจึงพูดว่า “เสี่ยวลู่ เจ้ามาตะโกนหน้าบ้านผู้อื่นแต่เช้าขนาดนี้มีเรื่องด่วน...” กู่ซิงอียังไม่ทันพูดจบ เงาเล็กที่อยู่ตรงหน้าก็กระโจนเข้าหาเขา จับแขนทั้งสองข้างของเขาแน่นแล้วเขย่าไปมา “อาอี! อาอี!” เซี่ยลู่หลินกล่าวด้วยความร้อนรน “เจ้าต้องช่วยข้า ต้องช่วยข้า!” แต่ละคำที่กล่าวมาล้วนแทบฟังไม่ออก กู่ซิงอีไม่ตกใจอะไรมากนัก ปกติเซี่ยลู่หลินก็เป็นกระต่ายน้อยขี้ตื่นตูมอยู่แล้ว และแถมยังชอบโวยวายอีกด้วย ดังนั้นท่าทางแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ที่แปลกก็คือการที่เสี่ยวลู่มาหาเขาเช้าตรู่ขนาดนี้ต่างหาก เพราะจวนสกุลเซี่ยต
“คนผู้นั้นชอบเจ้าหรือไม่” พอกู่ซิงอีถามมาถึงตรงนี้ เซี่ยลู่หลินก็พยักหน้าเพียงนิด กู่ซิงอีจึงเดาเรื่องราวได้ทั้งหมดว่าทำไมสหายยังไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับตนสักที “เพราะฐานะของเขา?” “...” เซี่ยลู่หลินคราวนี้พยักหน้าอย่างแรง หยาดน้ำตาไหลลงมาอาบสองแก้ม นางรีบยกมือปาดออกอย่างรวดเร็ว กู่ซิงอีพอเข้าใจแล้วก็ไม่คาดคั้นเรื่องคนรักของสหายอีก แต่ปัญหาตอนนี้คือเรื่องการแต่งงานมากกว่า เซี่ยหลี่จวินบิดาของเซี่ยลู่หลินเป็นพ่อค้าที่เห็นเงินทองมาเป็นอันดับแรกสุด ทุกสิ่งทุกอย่างในสายตาของเขาคือผลกำไร ดังนั้นการแต่งงานครั้งนี้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องผลประโยชน์ เซี่ยหลี่จวินเป็นแบบนี้มานานแล้วกู่ซิงอีรู้จักเป็นอย่างดี สมัยก่อนนายท่านเซี่ยยังชอบสั่งห้ามให้เซี่ยลู่หลินไม่มาเล่นกับตนเพราะเขาเป็นเด็กที่กำพร้าและยากจน แถมเป็นบุรุษอีกด้วย คงกลัวว่าเซี่ยลู่หลินจะมาชอบพอกับเขาเข้าแล้วหนีตามกันไป แต่เซี่ยลู่หลินแม้จะเกรงกลัวบิดามากขนาดไหนทว่าก็ยังแอบมาหาเขาตลอด และเพราะบิดาของเซี่ยลู่หลินเข้มงวดจนเกินไปขนาดคนที่มีฐานะใกล้เคียงกันยังแทบไม่อยากให้เซี่ยลู่หลินไปพบปะ ดังนั้นทั้งคู่จึงเป็นสหายสนิท
ท่าทางการเดินไต่ตัวบนกำแพงจวนก็ดูคล่องแคล่วยิ่งนัก หลอมรวมกับยามนั้นมีสายลมของสารทฤดูพัดผ่านมาพอดี ชายเสื้อสะบัดพลิ้วไหวชวนให้คิดว่านี่อาจเป็นปีศาจตนใดมาล่อลวงผู้คนเข้าแล้ว ภาพที่เห็นตรงหน้าราวกับเขาเป็นผู้เมามายเสียเองจนเห็นภาพหลอน ทว่าเสียงเท้าหนัก ๆ ที่กระโดดลงมาจากกำแพงของเจ้าตัวก็ทำให้รู้ว่านี่ไม่ใช่เป็นภาพที่เขาคิดไปเอง รอยยิ้มที่แต่งแต้มไว้บนใบหน้าก็ดูต่างไปจากเดิมอยู่บ้าง สรุปแล้วเมื่อวานหรือวันนี้กันแน่ที่เมามาย ว่านฟู่เฉิงจึงคิดว่าหรือไม่แน่วันนี้ก็คงเมาเหมือนเดิมนั่นแหละ ในใจพลันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที ตัวเขาเป็นคนจริงจังทำงานเป็นเวลาและไม่ชอบคนเหลาะแหละ คนที่กำลังเดินเข้ามาหาทำตัวราวกับคนว่างงาน ตั้งแต่ที่ได้สบตากันวันนั้นก็เจอคนผู้นี้ป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวมาโดยตลอด วันนี้ก็โผล่มาอีกแล้ว แถมถ้าเมามาอีกจะคิดสิ่งใดได้นอกจากเป็นคนไม่เอาการเอางานผู้หนึ่งที่วัน ๆ คงเอาแต่สำมะเลเทเมาไปเรื่อยเปื่อย ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่ตัวของคนผู้นี้มักจะมีกลิ่นหอมของสุราติดมาด้วยตลอด “วันนี้ไม่มีดวงจันทร์แล้ว...” กู่ซิงอีเงยหน้ามองท้องฟ้ามือผสานไว้ด้านหลังก่อนจะเดินมาหาคนที่น
ระหว่างทางไปบ้านของตนจำต้องผ่านจวนตระกูลว่านก่อน กู่ซิงอีพลันหยุดมองดูต้นพลับต้นเดิม ส่งเสียงเหอะออกมาอย่างเย้ยหยัน ยกสุรากระดกขึ้นจนหมดไหแล้วโยนไหสุราทิ้งไว้ที่พุ่มหญ้าแถวนั้น ใบหน้าที่ถูกสีชมพูอ่อนจางเคลือบไว้หนึ่งชั้นก็กระตุกยิ้มขึ้นในความมืด ดวงตาเปล่งประกายกว่าเดิมเล็กน้อย นึกครึ้มใจหาทางปีนเข้าไปด้านในจวนของผู้อื่น กาลก่อนเขาเคยแอบมาปีนกำแพงเพื่อตามดูว่านฟู่เฉิงก็จริงแต่ก็เข้าไปถึงด้านในไม่ได้ ทำได้แต่มองอยู่ข้างนอก ทว่าภายหลังจากที่ได้เข้าไปทำงานในจวนตระกูลว่านแล้วและทำหน้าที่เป็นคนเดินตรวจเวรมาก่อนย่อมรู้ว่ายามไหนที่จะหลบพ้นสายตาผู้คนในจวนได้ แถมจากที่ชอบปีนเข้าไปหาเซี่ยลู่หลินบ่อย ๆ ก็ทำเรื่องแบบนี้อย่างเคยชินจนกลายเป็นอาชีพไปเสียแล้ว ต่อให้เมาก็มิใช่เรื่องยากที่จะปีนเข้าไป ใกล้กับห้องนอนของคุณชายว่านที่เป็นลานกว้างนอกจากต้นพลับที่มีลูกดกแล้วก็ยังมีต้นไม้ต้นหนึ่งอยู่กลางลานด้วย เป็นต้นไม้ที่ใบของมันยังเหลืออยู่มากพอให้เขาหลบซ่อนตัวได้พอดี ครั้นพอเข้ามาในจวนได้กู่ซิงอีก็ปีนขึ้นไปหลบอยู่บนนั้นด้วยความคล่องแคล่ว หวังคิดจะหลอกผีเจ้าของจวนเสียหน่อย อี
“ไม่มีอะไรชอบเป็นพิเศษ” อีกฝ่ายก็ตอบกลับมา นี่เป็นการถามคำตอบคำที่ดูยาวขึ้นกว่าปกติเล็กน้อยเท่านั้น และมีเพียงกู่ซิงอีและหลี่เซียวที่รู้ว่าคุณชายว่านพยายามรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ขนาดไหน “ฮ่า ๆ ๆ” ในตอนนั้นคนที่เรียบร้อยอ่อนหวานมาตลอดก็ระเบิดหัวเราะออกมา “คุณชายว่านคุณสนุกยิ่งนัก! ฮ่า ๆ” กู่ซิงอีพยายามกดยิ้มไว้ไม่หัวเราะตามสหายของตน ท่าทางสตรีที่หัวเราะไม่สนใจหน้าตาเช่นนี้ คุณชายว่านคงไม่ชอบกระมัง ทว่าเมื่อเหลือบตามองกลับพบว่าอีกฝ่ายยังมีท่าทางสงบนิ่งเช่นเดิม กินขนมเงียบ ๆ อยู่อย่างนั้น มีเพียงหลี่เซียวที่ขมวดคิ้วเข้าด้วยกันด้วยความแปลกใจแทน พอเห็นว่าการหัวเราะหยาบคายไม่ได้ผล กู่ซิงอีก็แกล้งทำจอกชาที่รับคืนมาจากเซี่ยลู่หลินในตอนนั้นร่วงหลุดออกจากมือ จอกชาตกกระทบพื้นเสียงดังเคร้ง! ก่อนจะแตกกระจายไปคนละทิศคนละทาง เสียงก้องกังวานจึงดังขึ้นอีกหลายครั้ง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่กู่ซิงอีเหยียบเท้าของเซี่ยลู่หลินอย่างแรงว่าให้รีบทำตามแผนที่เหลือแทน “อ๊ะ ขอโทษขอรับ ขอโทษขอรับ เป็นบ่าวไม่ระวังเอง คุณหนูรองเจ็บตรงไหนหรือไม่ขอรับ” กู่ซิงอีรีบนั่งคุกเข่า
ทว่า...ทุกอย่างกลับผิดแผนไปหมด! ทันทีที่สตรีกลุ่มหนึ่งถูกส่งเข้าไปในห้องที่คุณชายว่านอยู่ต่อมาก็เกิดเสียงโวยวายขึ้นมา จากนั้นทั้งนางรำ นักเล่นดนตรี และสตรีร่างงดงามที่นุ่งน้อยห่มน้อยอีกห้าหกคนก็ถูกโยนออกมาจนหมด เจ้าของหอเริงรมย์ที่คราแรกแย้มยิ้มส่งคนของตัวเองเข้าไปก็หน้าเจื่อนทันที ไม่นานเกินรอคุณชายว่านก็ตามออกมาติด ๆ เพื่อเดินทางออกจากหอ ก่อนไปยังเหลือบตามองเจ้าของหอเริงรมย์ด้วยความไม่พอใจอย่างไม่คิดจะปิดบัง กู่ซิงอีที่แสร้งทำเป็นเดินมาเก็บโต๊ะอยู่ที่กลางโถงใหญ่ก็สามารถมองเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ได้ทั้งหมด เขารีบหันตัวหลบยามที่ว่านฟู่เฉิงกำลังถูกพาตัวออกไปที่ประตู โดยมีเจ้าของหอเริงรมย์วิ่งตามอยู่ด้านหลังพร้อมตะโกนกล่าวขอโทษขอโพยยกใหญ่ ครานี้กู่ซิงอีกระจ่างแจ้งแล้วว่าจะใช้สตรีมาล่อลวงคนผู้นี้ไม่ได้! วันต่อมาคราวนี้เซี่ยลู่หลินได้ออกมาข้างนอกจึงนัดเจอกับเขาที่โรงน้ำชาแห่งหนึ่งที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักมากนักแต่ก็เป็นที่ประจำของพวกเขาไปแล้ว “เสี่ยวลู่...เจ้าไม่ลองไปคุยกับคุณชายว่านโดยตรงดู” กู่ซิงอีคราแรกใจเย็น แต่ครานี้เริ่มคิดหนักเพราะไม่กี่วันก็จะถึงงานหม
กู่ซิงอีออกจากตระกูลว่านมาได้ก็ตรงมาที่จวนตระกูลเซี่ยตั้งแต่เช้าตรู่ ลงมือเคาะหน้าต่างอยู่สามทีเหมือนเดิม คราวนี้ไม่ผิดพลาดซ้ำรอยเดิมอีก เขาหลบออกจากบานหน้าต่างก่อนเจ้าของห้องจะวิ่งมาเปิดหน้าต่างชนเข้ากับเขาเหมือนครั้งก่อนอีก “อาอี?!” เซี่ยลู่หลินแปลกใจอยู่บ้าง ปกติหากมีเสียงเคาะแบบนี้ครั้งที่สองนางก็มาเปิดแล้วเพราะไม่มีใครคนไหนในจวนจะมาเคาะห้องของนางแบบนี้ และปกติกู่ซิงอีไม่เคยมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสางเช่นนี้มาก่อนนางจึงรอเสียงเคาะครบสามครั้งถึงได้มาเปิด “เข้ามาก่อน” นางชะเง้อคอมองออกไปด้านนอกพอเห็นว่าไร้ผู้คนก็รีบถอยห่างจากบานหน้าต่างเพื่อให้กู่ซิงอีเข้ามา กู่ซิงอีกระโดดข้ามหน้าต่างอย่างคล่องแคล่วเข้าไปในห้องแล้วเดินนำไปนั่งที่โต๊ะน้ำชาก่อนเจ้าของห้องเสียอีก ต่อจากนั้นก็เล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟังจนหมด จบท้ายด้วยประโยคที่ว่า “อีกสักพักฉีหย่าคงถูกส่งมาที่นี่” “คุณชายว่านระวังตัวยิ่งนัก ข้าเองก็เคยได้ยินมาว่าเขาเป็นคนรักหน้ารักตามาก เคยมีคนใส่ร้ายร้านค้าของเขาว่าเอาเปรียบ ขายของคุณภาพต่ำให้ชาวบ้าน เขาก็รีบออกมาแก้ไขในทันที ดังนั้นยิ่งไม่แปลกถ้าจะไม่ให้แม่นางฉีหย่าเข้าใ
กู่ซิงอีอดเป็นห่วงคุณชายว่านไม่ได้ตอนเดินตรวจตรารอบจวนจึงรีบไปรีบกลับ ครั้นพอกลับมาก็มาหยุดยืนหน้าห้องน้ำส่งเสียงบอกคนด้านในว่าตนมาถึงแล้ว “อาเซียวยังไม่กลับมาอีกหรือ” น้ำเสียงที่ตอบกลับมาดูเยือกเย็นเหมือนเดิมแล้ว “เรื่องนี้บ่าวเองก็ไม่ทราบ ให้บ่าวไปถามคนอื่นดูหรือไม่ขอรับ” กู่ซิงอีไม่รู้ว่าหลี่เซียวลากฉีหย่าไปไหน เมื่อครู่เดินไปทั่วฝั่งที่ตนดูแลแล้วก็ไม่พบคน ยามนี้ทางการมีคำสั่งห้ามออกจากจวนก็จริงแต่เกรงว่าคนอย่างคุณชายว่านคงไม่สนใจเรื่องคำสั่งพวกนั้น ท่าทางโกรธเกรี้ยวระคนขุ่นเคืองตอนโยนผ้าคลุมขามาให้ก็ดูท่าจะอารมณ์เสียไม่น้อย กู่ซิงอีมาถึงจุดนี้จึงคาดเดาได้แล้วว่าคนด้านในคงไม่ชอบให้ใครโดนตัวถึงได้ถามหาลูกน้องคนสนิทแบบนี้ “...” ว่านฟู่เฉิงถอนหายใจ เขาอยากออกจากน้ำสักพักแล้วแต่พยายามอย่างไรก็ส่งตัวเองออกไปไม่ไหว ถังไม้อาบน้ำใบนี้เพิ่งเปลี่ยนใหม่มันสูงกว่าใบเดิมที่เขาเคยใช้มากนัก หลี่เซียวก็คงปลีกตัวกลับมาไม่ได้ถึงได้ไปนานขนาดนี้ ยามนี้คงเดินหลบพวกทหารด้านนอกอยู่เป็นแน่ น้ำเริ่มอุ่นมากแล้วและหากแช่ต่อไปเนื้อตัวเขาคงเปื่อยยุ่ยไปกับน้ำแน่ สุดท้ายชั่งใจอยู่นา
ก่อนหน้านี้เพียงนิดเป็นกู่ซิงอีที่นำทางฉีหย่ามาที่ลานว่างหน้าเรือนของคุณชายว่านด้วยตนเอง วันนี้นอกจากเขาจะต้องทำงานบ้านแบกน้ำแบกของแล้วยังต้องมารับหน้าที่ตรวจเวรแทนคนเดิมอีกเช่นเคย ดังนั้นพอเขาเดินไปไหนมาไหนทั่วจวนก็ดูไม่น่าผิดสังเกตมากนัก ทุกอย่างช่างเข้าที่เข้าทาง ระหว่างที่ส่งฉีหย่าไปแล้วตัวเขาก็ไม่ได้ไปไหนไกล รั้งหลบรอดูเหตุการณ์อยู่แถวนั้น กู่ซิงอีเห็นว่าพอแม่นางฉีหย่าพูดไปได้สักพักก็เริ่มเข้าไปทำท่าจะนั่งบนตักของคุณชายว่าน แต่เพราะคุณชายว่านหันหลังอยู่กู่ซิงอีจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าอย่างไร คาดเดาไปแล้วว่าแม่นางฉีหย่าคงทำสำเร็จ ด้วยการพูดที่ชาญฉลาดและช่างเอาใจจึงคิดว่าที่นางสามารถไปนั่งตักคุณชายว่านได้คงเพราะอีกฝ่ายคงเรียกนางเข้าไปหาเป็นแน่ รอยยิ้มมุมปากพลันปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขา ทว่าขาของฉีหย่ายังไม่ทันนั่งลงถึงที่หมายร่างบางก็ถูกผลักออกอย่างแรงจนตัวกระเด็นไปนั่งอยู่บนพื้น จากนั้นกู่ซิงอีที่ยืนอยู่ไม่ไกลมากนักก็ได้ยินเสียงคุณชายว่านตะโกนเรียกหลี่เซียวให้เข้ามาหา กู่ซิงอีขมวดคิ้วมุ่นตามเหตุการณ์ไม่ทัน รีบขยับเข้าใกล้ไปอีกนิดเพื่อฟังว่าเกิดอะไร
เอาเข้าจริงหากเซี่ยลู่หลินเห็นเพียงด้านหลังของอีกฝ่ายและได้ยินน้ำเสียงนี้ก็คงไม่รู้แน่ว่าเป็นสหายของตน กู่ซิงอีนั้นนอกจากจะดัดเสียงแล้วยังปลอมตัวอีกด้วย เขาสวมผ้าคาดที่หน้าผากแบบบ่าวทั่วไปชอบสวมแถมยังมัดผมขึ้นจนหมดไม่ได้ปล่อยหางม้าแบบเคย และอย่างไรเสียคุณชายว่านกับเขาก็เคยเจอหน้ากันหนหนึ่งเท่านั้นแถมเป็นตอนที่เขาอยู่ไกลกันค่อนข้างมาก คงไม่มีทางจำกันได้ ว่านฟู่เฉิงคาดไม่ถึงว่าบ่าวชายจะซ่อมล้อรถเข็นให้ตนเช่นนี้ คิดว่าอีกฝ่ายคงจะพาตนเองกลับไป ไม่ก็ไปเรียกคนสนิทของตนมาให้ หรือไม่ก็ไปหารถเข็นตัวสำรองมาแทน แถมเมื่อครู่ตอนเขาล้มบ่าวคนนี้ก็ไม่พูดไม่จาไม่ถามเขาว่าเจ็บหรือไม่ ทำเพียงอุ้มเขาขึ้นมาอย่างง่ายดายแล้วจากไป ไม่เหมือนกับคนที่เขาเคยเจอเลยสักนิด ความรู้สึกโกรธจึงเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัยแทน กู่ซิงอีเห็นอีกฝ่ายเงียบไปก็เงยหน้าขึ้นมอง “หรือว่าคุณชายบาดเจ็บตรงไหน” เพิ่งจะมาเอ่ยปากถามเอาตอนนี้เอง ว่านฟู่เฉิงแทบอยากถอนหายใจใส่แต่ก็ทำเพียงเก็บอารมณ์นั้นเอาไว้ในใจ กล่าวเนิบนาบอย่างรักษาท่าทีว่า “เจ็บหัวเข่านิดหน่อยแต่ไม่เป็นไรมาก” บ่าวคนนี้ความรู้สึกช้ายิ่งนัก!
สองสามวันผ่านไปก็ไร้วี่แววว่าฉีหย่าจะทำงานสำเร็จ ในตอนนั้นร้านว่านรับสมัครบ่าวชายไปทำงานที่จวนตระกูลว่านพอดี กู่ซิงอีจึงรีบไปเสนอหน้าก่อนใคร แถมด้วยความฉลาดพูดของเขาก็ทำให้ได้งานในทันที กู่ซิงอีพอย้ายเข้ามาในจวนก็ส่งข่าวให้ฉีหย่าหาเรื่องมาที่จวนตระกูลว่านให้ได้ในสองสามวันนี้ เพราะเขาได้ข่าวว่าทางการสั่งห้ามออกจากบ้านเป็นเวลาเจ็ดวันหากเลยยามซวี [1] ไปแล้ว ดังนั้นจะต้องหาเรื่องให้นางรั้งอยู่จนถึงยามนั้นเพื่อให้นางพักที่จวนตระกูลว่านให้ได้ ([1] ยามซวี คือช่วงเวลา 19.00-20.59 น.) ความจริงถ้ามีเวลามากกว่านี้กู่ซิงอีคิดว่าคงให้นางค่อย ๆ เอาชนะใจคุณชายว่าน แต่เพราะระยะเวลากระชั้นชิดเกินไป ต้องรีบหาทางให้ทั้งคู่ได้เจอกันก่อน ตกดึกคืนนั้นกู่ซิงอีกลับได้รับหน้าที่เพิ่มเติมคือต้องไปเดินตรวจตรารอบจวนแทนคนเก่าที่เกิดหกล้มจนเดินไม่ได้ขึ้นมากะทันหัน จวนตระกูลว่านค่อนข้างใหญ่โต จึงแบ่งการเดินตรวจเวรออกเป็นสองฝั่ง ในแต่ละรอบจะมีคนเดินตรวจตราทีละสองคน กู่ซิงอีแต่เดิมก็เป็นคนมีความจำเป็นเลิศ บ่าวชายอีกคนที่ทำงานในวันนี้ด้วยกันบอกเส้นทางเพียงครั้งเดียวเขาก็รู้ว่าตนต้องไปทางไ