สองสามวันผ่านไปก็ไร้วี่แววว่าฉีหย่าจะทำงานสำเร็จ ในตอนนั้นร้านว่านรับสมัครบ่าวชายไปทำงานที่จวนตระกูลว่านพอดี กู่ซิงอีจึงรีบไปเสนอหน้าก่อนใคร แถมด้วยความฉลาดพูดของเขาก็ทำให้ได้งานในทันที
กู่ซิงอีพอย้ายเข้ามาในจวนก็ส่งข่าวให้ฉีหย่าหาเรื่องมาที่จวนตระกูลว่านให้ได้ในสองสามวันนี้ เพราะเขาได้ข่าวว่าทางการสั่งห้ามออกจากบ้านเป็นเวลาเจ็ดวันหากเลยยามซวี [1] ไปแล้ว ดังนั้นจะต้องหาเรื่องให้นางรั้งอยู่จนถึงยามนั้นเพื่อให้นางพักที่จวนตระกูลว่านให้ได้ ([1] ยามซวี คือช่วงเวลา 19.00-20.59 น.)
ความจริงถ้ามีเวลามากกว่านี้กู่ซิงอีคิดว่าคงให้นางค่อย ๆ เอาชนะใจคุณชายว่าน แต่เพราะระยะเวลากระชั้นชิดเกินไป ต้องรีบหาทางให้ทั้งคู่ได้เจอกันก่อน
ตกดึกคืนนั้นกู่ซิงอีกลับได้รับหน้าที่เพิ่มเติมคือต้องไปเดินตรวจตรารอบจวนแทนคนเก่าที่เกิดหกล้มจนเดินไม่ได้ขึ้นมากะทันหัน
จวนตระกูลว่านค่อนข้างใหญ่โต จึงแบ่งการเดินตรวจเวรออกเป็นสองฝั่ง ในแต่ละรอบจะมีคนเดินตรวจตราทีละสองคน
กู่ซิงอีแต่เดิมก็เป็นคนมีความจำเป็นเลิศ บ่าวชายอีกคนที่ทำงานในวันนี้ด้วยกันบอกเส้นทางเพียงครั้งเดียวเขาก็รู้ว่าตนต้องไปทางไหนบ้าง แถมก่อนหน้านี้ก็เคยแอบมาปีนดูจวนตระกูลว่านอยู่ครั้งหนึ่งแล้ว ดังนั้นจึงจำทางได้อย่างแม่นยำ
แต่ที่ไม่คาดคิดก็คือว่าส่วนที่ตนต้องไปดูแลคือบริเวณที่มีเรือนของคุณชายว่านรวมอยู่ด้วย และสิ่งที่บ่าวชายคนนั้นเตือนมาก็มีเพียงว่า
‘หากเจอคุณชายให้ระวังท่าทีของเจ้าให้ดี อย่าไปมองคุณชายมากนัก ยิ่งตรงขาด้วยแล้วยิ่งอย่าไปมอง คุณชายดูสุขุมเยือกเย็นก็จริงแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าใกล้ได้ง่าย และก่อนที่จะมาถึงจุดนี้ก็แทบไม่มีใครรับมือไหว หากเจอก็แค่ทำความเคารพแล้วทำหน้าที่ของเจ้าต่อไป ถ้าคุณชายเรียกใช้ค่อยทำตามที่เขาสั่ง อย่าไปเสนอหน้าประจบประแจง’
ความจริงแล้วมีอย่างหนึ่งที่บ่าวชายบอกไม่หมด เรื่องที่ว่าก็คือส่วนที่กู่ซิงอีต้องไปดูแลนั้นเป็นอีกฝั่งหนึ่งแต่เขาสลับเองโดยไม่ได้บอก ก็คุณชายว่านน่ากลัวขนาดนั้นแม้นเขาจะเจอคุณชายบ่อยครั้งก็ไม่คุ้นชินเสียที ดียิ่งนักที่วันนี้ได้เด็กใหม่มาทำงาน จึงถือโอกาสเปลี่ยนตำแหน่งการเดินตรวจตราเสียเลย
กู่ซิงอีพอได้ฟังก็เพียงรับคำ
ระหว่างเดินสำรวจจวนก็คิดไปด้วยถึงคำที่บ่าวชายเตือน เรื่องที่ว่า ‘อย่ามองขาของคุณชายว่าน ก่อนคุณชายว่านจะมาถึงจุดที่สุขุมเยือกเย็นขนาดนี้ได้ก็ไม่มีใครรับมือไหว’
ช่วงที่ผ่านมาเขาก็สืบข่าวมาบ้างแล้ว คุณชายว่านไม่ได้พิการตั้งแต่กำเนิด แต่ไม่มีใครรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริง ดังนั้นการที่คนผู้หนึ่งเคยเดินได้แต่กลับต้องมาพิการก็เป็นเรื่องปกติที่จะทำใจยอมรับได้ยาก
อีกข้อหนึ่งที่กู่ซิงอีจำขึ้นใจก็คือเรื่องอย่าไปเสนอหน้าให้มากนัก ...หรือว่าแม่นางฉีหย่าจะแสดงเกินหน้าเกินตากว่าคนที่จะมาของานทำออกไปกันแน่นะ นางจึงถูกมองออกตั้งแต่แรก มิน่าคุณชายว่านถึงไม่สนใจแม่นางฉีหย่าเลยสักนิด
ทว่าระหว่างนั้นความคิดของกู่ซิงอีก็ชะงักลงไปเพราะได้ยินเสียงบางอย่างตกลงกระทบพื้นอย่างแรง
เขารีบเดินไปดูจุดที่คิดว่าเสียงน่าจะมาจากทางนั้น ครั้นเมื่อยกโคมไฟในมือส่องไปก็ได้เห็นเก้าอี้ตัวหนึ่งที่มีล้อติดอยู่ด้วยล้มคว่ำไปข้างหน้า
เอ๊ะ หรือว่า...
เท้าไวเท่าความคิด กู่ซิงอีก้าวเพียงสามก้าวก็ถึงลานกว้างข้างต้นพลับ พอมาถึงจึงเพิ่งจะเห็นคนที่นั่งกองอยู่กับพื้นตรงหน้าเก้าอี้รถเข็นซึ่งถูกบดบังไปในตอนแรก
“คุณชาย...” เขากล่าวเรียกเสียงเบา
ว่านฟู่เฉิงกัดฟันแน่นไม่พูดไม่จา ไม่คิดว่าตนเองจะเลื่อนล้อไปโดนหินจนติดขยับไปไหนไม่ได้ พอขยับไม่ได้แล้วเผลอออกแรงมากไปเลยคว่ำไปด้านหน้าทั้งคนทั้งเก้าอี้ หากเขาไม่ดื้อรั้นแล้วเรียกหลี่เซียวมาด้วยกันก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ หรือหากเมื่อครู่รู้ว่ากำลังแขนของตนเลื่อนรถเข็นออกเองไม่ได้ก็ควรจะตะโกนเรียกหาหลี่เซียวเสียเดียวนั้น
กระทั่งยามที่ล้มแล้วก็ไม่กล้าส่งเสียงร้องเพราะกลัวเสียหน้า ใครจะไปรู้ว่าบ่าวในจวนจะมาเห็นเข้าพอดี ความอึดอัดผสมปนเปเข้ามาในความรู้สึก แต่ในตอนที่กำมือแน่นเพื่อระบายอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจอยู่กลับพบว่าเก้าอี้รถเข็นของตนถูกยกขึ้นไปแล้ว จากนั้นร่างของเขาก็โดนอุ้มขึ้นมาในภายหลัง
ว่านฟู่เฉิงเบิกตาโตตกใจ เกร็งไปทั้งร่าง มองเห็นพื้นลอยห่างออกไปจากตัวเอง ยังไม่ทันถูกสายลมโอบล้อมอย่างเต็มที่ ตัวเขาก็ถูกวางลงบนเก้าอี้รถเข็นของตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
กลิ่นหอมที่มีความเปรี้ยวเล็กน้อยกำจายอยู่รอบตัวก่อนจะผละออกไปในทันที ต่อมาก็พบว่าคนที่อุ้มเขาขึ้นมากำลังก้มลงไปหยิบผ้าห่มที่ทำจากผ้าไหมสีฟ้าของเขาขึ้นมาสลัดเศษฝุ่นออกแล้วคลุมขาให้เขาตามเดิม
การกระทำนั้นรวดเร็วมากนัก ไม่ทันให้เขาได้พูดสิ่งใดหรือได้มองว่าคนผู้นั้นแสดงสีหน้าดูแคลนตนหรือไม่ บ่าวชายก็หยิบโคมไฟที่วางกับพื้นขึ้นมาแล้วจากไป
“เดี๋ยวก่อน” เขาเอ่ยเรียกไว้
ความจริงแล้วกู่ซิงอีก็ไม่อยากพบเจ้านายของตนมากนักเพราะกลัวอีกฝ่ายจะจำหน้าได้ แต่พอถูกเรียกก็เลี่ยงไม่ได้จำต้องหันกลับไปทว่าเขาก็ก้มหน้าลงต่ำไว้ตลอด แถมยื่นโคมไฟออกห่างจากตัวเองอีกเล็กน้อย ดึงผ้าคาดที่หน้าผากลงมาต่ำกว่าเดิม แม้นรู้ว่าคงไม่ได้ช่วยพรางใบหน้าตนเองเท่าไรนักก็ตาม “คุณชายมีสิ่งใดให้บ่าวรับใช้ เชิญกล่าวมาได้เลยขอรับ”
“ล้อรถคงใช้งานไม่ได้แล้ว” ว่านฟู่เฉิงกล่าวแค่นั้น ไม่ได้บอกให้อีกฝ่ายพาตนกลับไป ด้วยคิดว่าบ่าวตรวจเวรคนนี้คงเข้าใจว่าต้องทำอย่างไร ที่เขาไม่อยากกล่าวมากความก็เพราะรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อยที่ต้องพึ่งพาคนอื่นอีกแล้ว ความจริงก็เสียหน้าตั้งแต่มีคนมาเจอว่าตนเองล้มลงไปกองกับพื้นแล้วนั่นแหละ
ในใจของเขายังมีกองไฟเล็ก ๆ ปะทุอยู่ตลอดเวลา เป็นความรู้สึกอึดอัดที่รู้ว่าบ่าวคนนี้ไม่ได้เป็นผู้กระทำแต่ตนก็ไม่อาจละทิ้งความรู้สึกโกรธออกไปได้เลย เพราะเมื่อครู่แทนที่เขาจะถูกพยุงขึ้นมาแต่ดันโดนอุ้มอย่างกับสตรีเสียอย่างนั้น จึงยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่
ทว่าว่านฟู่เฉิงยามนี้แม้โกรธมากเพียงไรสีหน้าก็ยังคงราบเรียบเยือกเย็น มีเพียงหัวคิ้วที่ชนกันเล็กน้อยเท่านั้นที่พอจะทำให้คนมองออกว่ากำลังอารมณ์ไม่ดี
กู่ซิงอีรับคำ “ขอรับ” แล้วเดินกลับมาที่เดิม เขาวางโคมไฟลงข้างตัวก่อนจะย่อตัวลงมองล้อเก้าอี้รถเข็น พบว่าล้อหลุดออกมาจากข้อต่อจริง ๆ จึงยกมือขึ้นแล้วออกแรงทุบข้อต่อกลับเข้าไปดัง ‘ปั้ก’ เสร็จเรียบร้อยทันที “เรียบร้อยแล้วขอรับ” กู่ซิงอีกล่าวเสียงเรียบ
ตำนานเมียออกผัวไม่เกินจริง 5555
ละตัวพ่อก็ไม่ชอบให้ใครมาโดนตัว คนน้องก็อุ้มลอย วาง จบปิ้ง! ไม่ทันได้ด่า ไม่ทันได้หยุบหัว
เอาเข้าจริงหากเซี่ยลู่หลินเห็นเพียงด้านหลังของอีกฝ่ายและได้ยินน้ำเสียงนี้ก็คงไม่รู้แน่ว่าเป็นสหายของตน กู่ซิงอีนั้นนอกจากจะดัดเสียงแล้วยังปลอมตัวอีกด้วย เขาสวมผ้าคาดที่หน้าผากแบบบ่าวทั่วไปชอบสวมแถมยังมัดผมขึ้นจนหมดไม่ได้ปล่อยหางม้าแบบเคย และอย่างไรเสียคุณชายว่านกับเขาก็เคยเจอหน้ากันหนหนึ่งเท่านั้นแถมเป็นตอนที่เขาอยู่ไกลกันค่อนข้างมาก คงไม่มีทางจำกันได้ ว่านฟู่เฉิงคาดไม่ถึงว่าบ่าวชายจะซ่อมล้อรถเข็นให้ตนเช่นนี้ คิดว่าอีกฝ่ายคงจะพาตนเองกลับไป ไม่ก็ไปเรียกคนสนิทของตนมาให้ หรือไม่ก็ไปหารถเข็นตัวสำรองมาแทน แถมเมื่อครู่ตอนเขาล้มบ่าวคนนี้ก็ไม่พูดไม่จาไม่ถามเขาว่าเจ็บหรือไม่ ทำเพียงอุ้มเขาขึ้นมาอย่างง่ายดายแล้วจากไป ไม่เหมือนกับคนที่เขาเคยเจอเลยสักนิด ความรู้สึกโกรธจึงเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัยแทน กู่ซิงอีเห็นอีกฝ่ายเงียบไปก็เงยหน้าขึ้นมอง “หรือว่าคุณชายบาดเจ็บตรงไหน” เพิ่งจะมาเอ่ยปากถามเอาตอนนี้เอง ว่านฟู่เฉิงแทบอยากถอนหายใจใส่แต่ก็ทำเพียงเก็บอารมณ์นั้นเอาไว้ในใจ กล่าวเนิบนาบอย่างรักษาท่าทีว่า “เจ็บหัวเข่านิดหน่อยแต่ไม่เป็นไรมาก” บ่าวคนนี้ความรู้สึกช้ายิ่งนัก!
ก่อนหน้านี้เพียงนิดเป็นกู่ซิงอีที่นำทางฉีหย่ามาที่ลานว่างหน้าเรือนของคุณชายว่านด้วยตนเอง วันนี้นอกจากเขาจะต้องทำงานบ้านแบกน้ำแบกของแล้วยังต้องมารับหน้าที่ตรวจเวรแทนคนเดิมอีกเช่นเคย ดังนั้นพอเขาเดินไปไหนมาไหนทั่วจวนก็ดูไม่น่าผิดสังเกตมากนัก ทุกอย่างช่างเข้าที่เข้าทาง ระหว่างที่ส่งฉีหย่าไปแล้วตัวเขาก็ไม่ได้ไปไหนไกล รั้งหลบรอดูเหตุการณ์อยู่แถวนั้น กู่ซิงอีเห็นว่าพอแม่นางฉีหย่าพูดไปได้สักพักก็เริ่มเข้าไปทำท่าจะนั่งบนตักของคุณชายว่าน แต่เพราะคุณชายว่านหันหลังอยู่กู่ซิงอีจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าอย่างไร คาดเดาไปแล้วว่าแม่นางฉีหย่าคงทำสำเร็จ ด้วยการพูดที่ชาญฉลาดและช่างเอาใจจึงคิดว่าที่นางสามารถไปนั่งตักคุณชายว่านได้คงเพราะอีกฝ่ายคงเรียกนางเข้าไปหาเป็นแน่ รอยยิ้มมุมปากพลันปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขา ทว่าขาของฉีหย่ายังไม่ทันนั่งลงถึงที่หมายร่างบางก็ถูกผลักออกอย่างแรงจนตัวกระเด็นไปนั่งอยู่บนพื้น จากนั้นกู่ซิงอีที่ยืนอยู่ไม่ไกลมากนักก็ได้ยินเสียงคุณชายว่านตะโกนเรียกหลี่เซียวให้เข้ามาหา กู่ซิงอีขมวดคิ้วมุ่นตามเหตุการณ์ไม่ทัน รีบขยับเข้าใกล้ไปอีกนิดเพื่อฟังว่าเกิดอะไร
กู่ซิงอีอดเป็นห่วงคุณชายว่านไม่ได้ตอนเดินตรวจตรารอบจวนจึงรีบไปรีบกลับ ครั้นพอกลับมาก็มาหยุดยืนหน้าห้องน้ำส่งเสียงบอกคนด้านในว่าตนมาถึงแล้ว “อาเซียวยังไม่กลับมาอีกหรือ” น้ำเสียงที่ตอบกลับมาดูเยือกเย็นเหมือนเดิมแล้ว “เรื่องนี้บ่าวเองก็ไม่ทราบ ให้บ่าวไปถามคนอื่นดูหรือไม่ขอรับ” กู่ซิงอีไม่รู้ว่าหลี่เซียวลากฉีหย่าไปไหน เมื่อครู่เดินไปทั่วฝั่งที่ตนดูแลแล้วก็ไม่พบคน ยามนี้ทางการมีคำสั่งห้ามออกจากจวนก็จริงแต่เกรงว่าคนอย่างคุณชายว่านคงไม่สนใจเรื่องคำสั่งพวกนั้น ท่าทางโกรธเกรี้ยวระคนขุ่นเคืองตอนโยนผ้าคลุมขามาให้ก็ดูท่าจะอารมณ์เสียไม่น้อย กู่ซิงอีมาถึงจุดนี้จึงคาดเดาได้แล้วว่าคนด้านในคงไม่ชอบให้ใครโดนตัวถึงได้ถามหาลูกน้องคนสนิทแบบนี้ “...” ว่านฟู่เฉิงถอนหายใจ เขาอยากออกจากน้ำสักพักแล้วแต่พยายามอย่างไรก็ส่งตัวเองออกไปไม่ไหว ถังไม้อาบน้ำใบนี้เพิ่งเปลี่ยนใหม่มันสูงกว่าใบเดิมที่เขาเคยใช้มากนัก หลี่เซียวก็คงปลีกตัวกลับมาไม่ได้ถึงได้ไปนานขนาดนี้ ยามนี้คงเดินหลบพวกทหารด้านนอกอยู่เป็นแน่ น้ำเริ่มอุ่นมากแล้วและหากแช่ต่อไปเนื้อตัวเขาคงเปื่อยยุ่ยไปกับน้ำแน่ สุดท้ายชั่งใจอยู่นา
กู่ซิงอีออกจากตระกูลว่านมาได้ก็ตรงมาที่จวนตระกูลเซี่ยตั้งแต่เช้าตรู่ ลงมือเคาะหน้าต่างอยู่สามทีเหมือนเดิม คราวนี้ไม่ผิดพลาดซ้ำรอยเดิมอีก เขาหลบออกจากบานหน้าต่างก่อนเจ้าของห้องจะวิ่งมาเปิดหน้าต่างชนเข้ากับเขาเหมือนครั้งก่อนอีก “อาอี?!” เซี่ยลู่หลินแปลกใจอยู่บ้าง ปกติหากมีเสียงเคาะแบบนี้ครั้งที่สองนางก็มาเปิดแล้วเพราะไม่มีใครคนไหนในจวนจะมาเคาะห้องของนางแบบนี้ และปกติกู่ซิงอีไม่เคยมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสางเช่นนี้มาก่อนนางจึงรอเสียงเคาะครบสามครั้งถึงได้มาเปิด “เข้ามาก่อน” นางชะเง้อคอมองออกไปด้านนอกพอเห็นว่าไร้ผู้คนก็รีบถอยห่างจากบานหน้าต่างเพื่อให้กู่ซิงอีเข้ามา กู่ซิงอีกระโดดข้ามหน้าต่างอย่างคล่องแคล่วเข้าไปในห้องแล้วเดินนำไปนั่งที่โต๊ะน้ำชาก่อนเจ้าของห้องเสียอีก ต่อจากนั้นก็เล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟังจนหมด จบท้ายด้วยประโยคที่ว่า “อีกสักพักฉีหย่าคงถูกส่งมาที่นี่” “คุณชายว่านระวังตัวยิ่งนัก ข้าเองก็เคยได้ยินมาว่าเขาเป็นคนรักหน้ารักตามาก เคยมีคนใส่ร้ายร้านค้าของเขาว่าเอาเปรียบ ขายของคุณภาพต่ำให้ชาวบ้าน เขาก็รีบออกมาแก้ไขในทันที ดังนั้นยิ่งไม่แปลกถ้าจะไม่ให้แม่นางฉีหย่าเข้าใ
ทว่า...ทุกอย่างกลับผิดแผนไปหมด! ทันทีที่สตรีกลุ่มหนึ่งถูกส่งเข้าไปในห้องที่คุณชายว่านอยู่ต่อมาก็เกิดเสียงโวยวายขึ้นมา จากนั้นทั้งนางรำ นักเล่นดนตรี และสตรีร่างงดงามที่นุ่งน้อยห่มน้อยอีกห้าหกคนก็ถูกโยนออกมาจนหมด เจ้าของหอเริงรมย์ที่คราแรกแย้มยิ้มส่งคนของตัวเองเข้าไปก็หน้าเจื่อนทันที ไม่นานเกินรอคุณชายว่านก็ตามออกมาติด ๆ เพื่อเดินทางออกจากหอ ก่อนไปยังเหลือบตามองเจ้าของหอเริงรมย์ด้วยความไม่พอใจอย่างไม่คิดจะปิดบัง กู่ซิงอีที่แสร้งทำเป็นเดินมาเก็บโต๊ะอยู่ที่กลางโถงใหญ่ก็สามารถมองเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ได้ทั้งหมด เขารีบหันตัวหลบยามที่ว่านฟู่เฉิงกำลังถูกพาตัวออกไปที่ประตู โดยมีเจ้าของหอเริงรมย์วิ่งตามอยู่ด้านหลังพร้อมตะโกนกล่าวขอโทษขอโพยยกใหญ่ ครานี้กู่ซิงอีกระจ่างแจ้งแล้วว่าจะใช้สตรีมาล่อลวงคนผู้นี้ไม่ได้! วันต่อมาคราวนี้เซี่ยลู่หลินได้ออกมาข้างนอกจึงนัดเจอกับเขาที่โรงน้ำชาแห่งหนึ่งที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักมากนักแต่ก็เป็นที่ประจำของพวกเขาไปแล้ว “เสี่ยวลู่...เจ้าไม่ลองไปคุยกับคุณชายว่านโดยตรงดู” กู่ซิงอีคราแรกใจเย็น แต่ครานี้เริ่มคิดหนักเพราะไม่กี่วันก็จะถึงงานหม
“ไม่มีอะไรชอบเป็นพิเศษ” อีกฝ่ายก็ตอบกลับมา นี่เป็นการถามคำตอบคำที่ดูยาวขึ้นกว่าปกติเล็กน้อยเท่านั้น และมีเพียงกู่ซิงอีและหลี่เซียวที่รู้ว่าคุณชายว่านพยายามรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ขนาดไหน “ฮ่า ๆ ๆ” ในตอนนั้นคนที่เรียบร้อยอ่อนหวานมาตลอดก็ระเบิดหัวเราะออกมา “คุณชายว่านคุณสนุกยิ่งนัก! ฮ่า ๆ” กู่ซิงอีพยายามกดยิ้มไว้ไม่หัวเราะตามสหายของตน ท่าทางสตรีที่หัวเราะไม่สนใจหน้าตาเช่นนี้ คุณชายว่านคงไม่ชอบกระมัง ทว่าเมื่อเหลือบตามองกลับพบว่าอีกฝ่ายยังมีท่าทางสงบนิ่งเช่นเดิม กินขนมเงียบ ๆ อยู่อย่างนั้น มีเพียงหลี่เซียวที่ขมวดคิ้วเข้าด้วยกันด้วยความแปลกใจแทน พอเห็นว่าการหัวเราะหยาบคายไม่ได้ผล กู่ซิงอีก็แกล้งทำจอกชาที่รับคืนมาจากเซี่ยลู่หลินในตอนนั้นร่วงหลุดออกจากมือ จอกชาตกกระทบพื้นเสียงดังเคร้ง! ก่อนจะแตกกระจายไปคนละทิศคนละทาง เสียงก้องกังวานจึงดังขึ้นอีกหลายครั้ง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่กู่ซิงอีเหยียบเท้าของเซี่ยลู่หลินอย่างแรงว่าให้รีบทำตามแผนที่เหลือแทน “อ๊ะ ขอโทษขอรับ ขอโทษขอรับ เป็นบ่าวไม่ระวังเอง คุณหนูรองเจ็บตรงไหนหรือไม่ขอรับ” กู่ซิงอีรีบนั่งคุกเข่าลง
ระหว่างทางไปบ้านของตนจำต้องผ่านจวนตระกูลว่านก่อน กู่ซิงอีพลันหยุดมองดูต้นพลับต้นเดิม ส่งเสียงเหอะออกมาอย่างเย้ยหยัน ยกสุรากระดกขึ้นจนหมดไหแล้วโยนไหสุราทิ้งไว้ที่พุ่มหญ้าแถวนั้น ใบหน้าที่ถูกสีชมพูอ่อนจางเคลือบไว้หนึ่งชั้นก็กระตุกยิ้มขึ้นในความมืด ดวงตาเปล่งประกายกว่าเดิมเล็กน้อย นึกครึ้มใจหาทางปีนเข้าไปด้านในจวนของผู้อื่น กาลก่อนเขาเคยแอบมาปีนกำแพงเพื่อตามดูว่านฟู่เฉิงก็จริงแต่ก็เข้าไปถึงด้านในไม่ได้ ทำได้แต่มองอยู่ข้างนอก ทว่าภายหลังจากที่ได้เข้าไปทำงานในจวนตระกูลว่านแล้วและทำหน้าที่เป็นคนเดินตรวจเวรมาก่อนย่อมรู้ว่ายามไหนที่จะหลบพ้นสายตาผู้คนในจวนได้ แถมจากที่ชอบปีนเข้าไปหาเซี่ยลู่หลินบ่อย ๆ ก็ทำเรื่องแบบนี้อย่างเคยชินจนกลายเป็นอาชีพไปเสียแล้ว ต่อให้เมาก็มิใช่เรื่องยากที่จะปีนเข้าไป ใกล้กับห้องนอนของคุณชายว่านที่เป็นลานกว้างนอกจากต้นพลับที่มีลูกดกแล้วก็ยังมีต้นไม้ต้นหนึ่งอยู่กลางลานด้วย เป็นต้นไม้ที่ใบของมันยังเหลืออยู่มากพอให้เขาหลบซ่อนตัวได้พอดี ครั้นพอเข้ามาในจวนได้กู่ซิงอีก็ปีนขึ้นไปหลบอยู่บนนั้นด้วยความคล่องแคล่ว หวังคิดจะหลอกผีเจ้าของจวนเสียหน่อย อีกฝ่ายอ
ท่าทางการเดินไต่ตัวบนกำแพงจวนก็ดูคล่องแคล่วยิ่งนัก หลอมรวมกับยามนั้นมีสายลมของสารทฤดูพัดผ่านมาพอดี ชายเสื้อสะบัดพลิ้วไหวชวนให้คิดว่านี่อาจเป็นปีศาจตนใดมาล่อลวงผู้คนเข้าแล้ว ภาพที่เห็นตรงหน้าราวกับเขาเป็นผู้เมามายเสียเองจนเห็นภาพหลอน ทว่าเสียงเท้าหนัก ๆ ที่กระโดดลงมาจากกำแพงของเจ้าตัวก็ทำให้รู้ว่านี่ไม่ใช่เป็นภาพที่เขาคิดไปเอง รอยยิ้มที่แต่งแต้มไว้บนใบหน้าก็ดูต่างไปจากเดิมอยู่บ้าง สรุปแล้วเมื่อวานหรือวันนี้กันแน่ที่เมามาย ว่านฟู่เฉิงจึงคิดว่าหรือไม่แน่วันนี้ก็คงเมาเหมือนเดิมนั่นแหละ ในใจพลันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที ตัวเขาเป็นคนจริงจังทำงานเป็นเวลาและไม่ชอบคนเหลาะแหละ คนที่กำลังเดินเข้ามาหาทำตัวราวกับคนว่างงาน ตั้งแต่ที่ได้สบตากันวันนั้นก็เจอคนผู้นี้ป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวมาโดยตลอด วันนี้ก็โผล่มาอีกแล้ว แถมถ้าเมามาอีกจะคิดสิ่งใดได้นอกจากเป็นคนไม่เอาการเอางานผู้หนึ่งที่วัน ๆ คงเอาแต่สำมะเลเทเมาไปเรื่อยเปื่อย ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่ตัวของคนผู้นี้มักจะมีกลิ่นหอมของสุราติดมาด้วยตลอด “วันนี้ไม่มีดวงจันทร์แล้ว...” กู่ซิงอีเงยหน้ามองท้องฟ้ามือผสานไว้ด้านหลังก่อนจะเดินมาหาคนที่น
ค่ำคืนวันนี้ไร้ดวงจันทร์คอยส่องแสงอย่างเคย ทางเบื้องหน้ามืดสนิทจนแทบมองไม่เห็นทางเดิน แต่กู่ซิงอีกลับไม่รู้สึกว่ามันน่ากลัวอย่างที่คิด อาจเป็นเพราะยามนี้เขาได้ขี่อยู่บนหลังผู้อื่น ลำตัวแนบชิดกับคนที่กำลังเดินอยู่จนไร้ช่องว่างระหว่างกาย รับรู้ได้ถึงแผ่นหลังที่สั่นไหวเบา ๆ ทำให้รู้ว่ายังมีใครอีกคนอยู่กับตนเสมอ กู่ซิงอีกระชับอ้อมแขนที่เกี่ยวคอคนออกแรงอยู่เพิ่มขึ้นอีกนิด “อีกนานหรือไม่” เขาเอ่ยถามออกไปเพราะรู้สึกว่าตนถูกแบกมาไกลมากแล้ว กระนั้นว่านฟู่เฉิงก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเดิน “เสี่ยวอี เหนื่อยแล้วหรือ” ว่านฟู่เฉิงเดินช้าลงและย่ำเท้าด้วยความเบา ด้วยเกรงว่าตนอาจจะเดินเร็วไปจนตัวสะเทือนทำให้คนที่อยู่บนหลังรู้สึกไม่สบายตัว “ข้าจะเหนื่อยได้อย่างไร ท่านเป็นคนแบกข้าอยู่นะ” กู่ซิงอีซบคางลงที่ไหล่ของว่านฟู่เฉิง ใจจริงแล้วเขาอยากให้เวลาหยุดอยู่เช่นนี้ตลอดไปเลยต่างหาก ถึงได้กำลังกลัวว่าจุดหมายปลายทางจะมาถึงเร็วเกินไป กระนั้นก็ยังอดห่วงว่าว่านฟู่เฉิงจะหนักอยู่ดีเลยไม่ได้บอกความในใจออกไป กู่ซิงอีเพิ่งได้รู้ว่าเมื่อก่อนตอนที่ว่านฟู่เฉิงถูกเขาแบกขึ้นบนหลังเดินไ
หลี่เซียวที่กำลังเดินอยู่ในจวนก็พบกับคุณชายของตนกำลังเดินมาหาด้วยท่าทางเร่งรีบ เขาไม่ได้เดินไปหาอย่างที่ควรจะเป็น กลับรอคุณชายเดินเข้ามาหาตนที่หยุดรออยู่ก่อนแล้วแทน พลางคิดในใจว่า เอาอีกแล้ว ! “เห็นเสี่ยวอีของข้าหรือไม่” นั่นไง จะมีสิ่งใดที่เขาเดาผิดไปจากท่าทางเร่งรีบของคุณชายได้อีก ! “เมื่อครู่พอคุณชายกู่เตรียมรากบัวต้มน้ำตาลอยู่ในครัวเสร็จแล้วคิดจะถือนำไปให้คุณชายด้วยตัวเอง แต่ไม่ทันระวังเผลอสะดุดจนของในมือหกรดตัวเอง ตอนนี้น่าจะกำลังไปเปลี่ยนชุดขอรับ” “สะดุดหรือ ! แล้วเสี่ยวอีบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” ว่านฟู่เฉิงพูดค่อนข้างเร็วอย่างหาได้อยาก แทบจะยืนไม่ติดที่อยู่แล้ว ตอนนี้ร่างกายอยู่ตรงนี้แต่หัวใจกลับลอยไปไกลแล้ว “ไม่เป็นอะไรมากขอรับ คุณชายกู่ทรงตัวได้ทันจึงไม่ได้ล้มพับไปกับพื้น แถมรากบัวก็มิได้ร้อนมากและก็เพียงเปื้อนโดนปลายอาภรณ์เล็กน้อยเท่านั้น” สิ่งที่หลี่เซียวไม่ได้กล่าวจนหมดก็คือกู่ซิงอีนั้นร้อนรนขนาดไหนหลังจากทำขนมหกใส่ตัวเอง เอ่ยปากบ่นอยู่หลายประโยคว่าชุดนั้นคุณชายเป็นคนเลือกให้ตนเองกับมือแถมยังแพงมากด้วย ครั้นบ่นเสร็จก็รีบจาก
ด้วยเพราะรู้ว่ากู่ซิงอีหลับลึกขนาดไหน ว่านฟู่เฉิงจึงใช้เรื่องนี้ในการแอบเอาเปรียบกู่ซิงอีอยู่บ่อยครั้ง อย่างเช่นเมื่อคืนที่เขาตื่นมากลางดึกและพบว่ามีใครแอบขยับมาซุกกายแนบชิดตนอยู่ แบบนั้นมีหรือจะอดใจไหว เผลอกัดกู่ซิงอีไปหลายทีจนกระทั่งอีกฝ่ายส่งเสียงฮึมฮัมในลำคอเหมือนจะรู้สึกตัวเขาถึงได้แสร้งหลับลงไปตามเดิม แต่กลับไม่ได้ปล่อยคนในอ้อมกอดให้เป็นอิสระ เมื่อก่อนจะแอบทำทีไรต้องหักห้ามใจตลอด แต่บัดนี้ทั้งคู่ตบแต่งกันแล้ว เขาขอเชยชมสักนิดก็คงไม่เป็นไรกระมัง แต่อาจเพราะเผลอตัวมากไป กลับกระทำการไม่แนบเนียน โดนจับได้ตั้งแต่อีกฝ่ายลืมตาตื่นขึ้นมา “คุณชายว่าน เมื่อคืนทำอะไรแปลก ๆ หรือไม่” ว่านฟู่เฉิงหันมองคนที่ลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง เพราะกู่ซิงอีขี้ร้อนเป็นทุนเดิมเวลาสวมเสื้อผ้านอนมักจะมัดหลวม ๆ พอตื่นนอนมาทีไรเสื้อผ้าที่มัดไม่แน่นก็จะหลุดลุ่ยอย่างเช่นตอนนี้ อาภรณ์ที่เปิดกว้างเผยให้เห็นแผ่นอกขาวเนียนบางส่วนที่มีรอยช้ำจาง ๆ ผมดำเงาชี้ฟูเล็กน้อย ดวงตาก็หรี่เล็กลงยังไม่ทันลืมตาได้เต็มที่ แต่กลับถามเหมือนรู้บางอย่างเช่นนี้ เล่นเอาคนที่กำลังยกน้ำชาไปให้รู้สึกร
รุ่งอรุณก่อนวันงานเทศกาลฉีเฉียว “เสี่ยวอี เจ้ากำลังจะไปที่ใด” ว่านฟู่เฉิงเพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมาและกำลังลุกขึ้นนั่งก็ทันได้เห็นกู่ซิงอีที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จเข้าพอดี แถมดูท่าทางรีบร้อนเหมือนจะออกไปจากห้อง เมื่อถามเสร็จเขาก็เบนสายตามองดูท้องฟ้าข้างนอกหน้าต่าง ฟ้ายังไม่ทันสว่างเท่าไรนักน่าจะเลยยามเฉิน[1]มาเพียงไม่นาน ([1] ยามเฉิน คือ 07.00 – 08.59 น. ) แน่นอนว่าปกติทั้งสองคนต่างพากันตื่นเช้ากว่านี้นัก แต่เมื่อวานคุยกันแล้วว่าจะหยุดทำงานสามวัน เหตุใดกู่ซิงอีถึงลุกมาแต่งตัวคล้ายจะไปทำงานอีก ต่อให้ปกติพวกเขาจะสลับทำงานที่จวนและที่ร้านว่าน และวันนี้คือวันที่ต้องทำงานที่จวน ทว่าว่านฟู่เฉิงอยากให้ดูไม่มีความน่าสงสัยจึงเปลี่ยนเป็นหยุดงานทั้งหมดแทน คำกล่าวเช่นนั้นก็รวมถึงงานที่จวนก็ไม่ต้องทำมิใช่หรือ หยุดก็คือหยุด ไหนเลยกลับคาดไม่ถึงว่ากู่ซิงอีจะไม่เข้าใจสิ่งที่หมายถึงให้หยุดอยู่จวนจริง ๆ ครั้นพอได้เห็นอีกฝ่ายแต่งตัวก็คิดว่าจะออกไปที่ห้องทำงาน “ไปร้านขนมไฉ่ที่ข้าชอบอย่างไรเล่า นานครั้งเราถึงจะว่างในช่วงเช้าแบบนี้ รอบนี้ก็ไม่ต้องวานให้คนอื่นไปต่อแถวแทน ได้
อีกทั้งด้ายแดงที่เด่นชัดแม้อยู่ห่างไกลกันถึงเพียงนี้จากข้อมือแต่ละข้างของว่านฟู่เฉิงและกู่ซิงอีก็ดูคล้ายกันยิ่งนัก คนแอบมองจิตใจลนลานรีบหันกลับไปด้วยดวงตาเบิกโพลง ก้าวเดินตามหลังคนนำทางไปติด ๆ ด้วยท่าทางที่เร่งรีบขึ้นกว่าเดิมราวกับกำลังโดนไฟไล่เผาก้นมา สิ่งที่คนภายนอกกล่าวมาเรื่องฮูหยินของตระกูลว่านไม่มีที่มาที่ไปที่แน่ชัดหลอมรวมกับการกระทำของคนทั้งสองด้านหลัง และยังบวกกับก่อนหน้านี้ที่ได้พูดคุยกับกู่ซิงอีก็คล้ายว่างานทั้งหมดของตระกูลว่านได้ตกอยู่ในมือกู่ซิงอีแล้ว ดังนั้นทุกอย่างที่นึกขึ้นได้จึงไม่ใช่ตนคิดไปเองแน่ ๆ ทว่าเซี่ยหลี่จวินแม้จะได้ล่วงรู้ความลับเรื่องนี้เข้าแต่ก็ไม่ได้คิดจะป่าวประกาศให้คนอื่นได้รับรู้หรอก เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเป็นหลัก เนื่องจากตระกูลว่านเป็นคนเปิดเส้นทางหลายสายให้เขา ดังนั้นนอกจากแตะว่านฟู่เฉิงไม่ได้แล้ว ก็ยิ่งห้ามทำให้กู่ซิงอีไม่พอใจอีกด้วย ! ถ้าล่วงรู้อนาคตได้ว่าเรื่องราวจะดำเนินมาเป็นแบบนี้เขาคงจะเห็นใจกู่ซิงอีอีกสักหน่อย บางทีตัวเขาอาจได้ผลประโยชน์มากกว่าให้บุตรสาวของตนตบแต่งกับน้องชายบุญธรรมของว่านฟู่
“ขอรับ !” หลี่เซียวรีบร้อนรับคำก่อนจากไป ฉีหย่าหันมองซ้ายขวาด้วยความตกใจ นางจะถูกปฏิบัติอย่างนี้จริง ๆ หรือ นางไม่งดงามหรือไรทำไมคุณชายว่านถึงไม่คิดจะสนใจหรือเมตตานางสักนิด แม้จะต้องยอมรับว่าสองคนตรงหน้านางรูปงามไร้ที่ติ แต่นางไม่คิดว่าตนเองจะด้อยค่าถึงเพียงนี้ ! จังหวะนั้นเองประตูห้องบานเดิมพลันเปิดออกอีกครั้ง คราวนี้เป็นนายท่านเซี่ยเดินออกมา พอเห็นบ่าวในจวนของตนที่นั่งกองกับพื้นก็ฉงน ที่แท้คนที่ส่งเสียงดังเมื่อครู่ก็คือฉีหย่าสาวรับใช้ที่บุตรสาวทิ้งไว้ที่จวนเมื่อสองปีก่อน สตรีนางนี้แม้หน้าตาจะงดงามแต่กลับทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง มีดีแค่ดนตรีกับร่ายรำ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกับการทำงานในจวนได้เล่า ดังนั้นสำหรับเขาแล้วนางแทบไม่มีสิ่งใดให้ใช้งานได้เลย ตัวเขาแทบไม่อยากพามาทว่านางก็ดื้อดึงขอตามมาจนได้ เขายังกลัวว่าฮูหยินของตนจะเข้าใจผิดด้วยซ้ำ บัดนี้ยังจะมาสร้างความเดือดร้อนให้อีก ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ เซี่ยหลี่จวินหันมองว่านฟู่เฉิงด้วยความระวัง กลัวว่าสิ่งที่เคยสัญญาไว้จะถูกยกเลิกเพียงเพราะบ่าวรับใช้ในจวนของตนเอง “คุณชายว่าน เป็นข้าไม่อบรมบ่
แล้วนางไหนเลยจะคาดเดาอนาคตได้ ตนย้ายไปอยู่ตระกูลเซี่ยเพียงไม่นานยังไม่มีโอกาสได้มาพบคุณชายว่านเลยสักครั้ง คุณชายผู้นี้ก็ตบแต่งภรรยาเสียแล้ว แต่นางยินยอม ยินยอมเป็นเพียงอนุภรรยาคนหนึ่งของเขาก็ได้ การค้าของตระกูลว่านเติบโตในชั่วข้ามคืนแค่ไหน ใครในเมืองจางไม่รู้บ้างเล่า ดังนั้นทุกวันนางจึงตั้งตารอคอยมาโดยตลอด กาลก่อนแม้คุณชายว่านจะนั่งเก้าอี้รถเข็นแต่อย่างไรก็ยังรูปงามมากนัก บัดนี้พอเดินเหินได้ปกติด้วยใบหน้าสง่างามเป็นทุนเดิมก็ไม่ต่างอะไรกับเทพเซียนลงมาเดินบนดิน พอได้พบเห็นคนที่ตนคะนึงหาอีกคราก็พาให้หัวใจนางเต้นผิดจังหวะ ใบหน้าพลันขึ้นสีแดงด้วยความขวยเขิน “คุณชายว่าน...” นางเอ่ยเรียกเสียงหวาน “...เจ้ามาทำไม” ว่านฟู่เฉิงกลับไม่สบอารมณ์ทันทีที่ได้เจอนาง นึกรังเกียจสายตาเช่นนี้ยิ่งนัก หากเป็นกู่ซิงอีมองเขาด้วยสายตาแบบนี้เจ้าตัวคงไม่อาจหนีรอดเขาไปได้ แต่พอเป็นสตรีตรงหน้าส่งสายตาเฉกเช่นนี้มาให้เขากลับรู้สึกอยากจะอาเจียนขึ้นมา ถึงขั้นดึงหลี่เซียวมาบังตัวเองไว้ครึ่งหนึ่ง “คุณชายว่านถามเช่นนี้ ข้าเสียใจยิ่งนัก” ฉีหย่าตอบด้วยน้ำเสียงน้อยใจ เดินก้าว
วันนี้หลี่เซียวรอจังหวะที่ว่านฟู่เฉิงอยู่ตัวคนเดียวถึงได้มีโอกาสเข้ามาเตือนอะไรบางอย่าง “คุณชาย ไม่รู้ว่าสองสามวันที่ผ่านมาคุณชายเห็นรายงานร้านค้าที่เพิ่มขึ้นมาในถนนสายฝนแล้วหรือยังขอรับ” “มีงานเทศกาลหรือ ?” ช่วงนี้งานปกติที่เขาเคยทำล้วนส่งมอบให้ฮูหยินของตนเกือบทั้งหมด ส่วนตัวเองไปมองหาลู่ทางการขยายกิจการแทน ขณะนี้เองก็กำลังดูเครื่องประดับที่ส่งมาจากแคว้นอื่นด้วยความตั้งใจ พอถูกถามจึงไม่ได้ทันคิดถึงว่าวันนี้คือวันที่เท่าไร มีงานอะไรสำคัญหรือไม่ เพราะนอกจากจะนับวันรอที่จะได้หยุดเพื่อออกไปชมต้นไม้ใบหญ้าลำธารกับคนของใจแล้ว วันเวลาอย่างอื่นล้วนไม่อยู่ในสายตาของเขา แต่ที่ถามออกไปได้อย่างแม่นยำและถูกถึงเก้าส่วนก็เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาล้วน ๆ เนื่องจากถนนสายฝนเป็นหนึ่งในกิจการร้านค้าที่เขามีมากที่สุดในเมืองจาง หากมีร้านค้าเพิ่มขึ้นมาก็หมายถึงมีการแบ่งพื้นที่หน้าร้านแต่เดิมจากหนึ่งเป็นสองร้าน หรือก็คืออาจมีงานเทศกาลยามค่ำคืนร่วมด้วย แถมบางครั้งยังเป็นตระกูลว่านที่ต้องออกหน้ารับจัดงานด้วยซ้ำ แต่แน่นอนว่าในส่วนนี้เขาย่อมมีผู้ดูแลแทนอยู่แล้วเลยไม่ค่อยสนใจที่หลี่เซี
ใกล้เข้าเหมันตฤดูแล้ว ว่านฟู่เฉิงยืนกอดอกมองคนขนของเข้ามาในจวน เขาสั่งไหมาเยอะมาก เอามาทุกขนาดที่หาได้ หากคำนวณผ่านตาคร่าว ๆ ตั้งแต่ครึ่งก้านธูปที่แล้วไหที่ถูกขนเข้าไปก็ปาไปหลายร้อยใบแล้ว กู่ซิงอีที่เดินหาวหวอดออกมาก็มองตามกลุ่มคนมากมายซึ่งกำลังพากันขนไหเข้าไปด้านหลังจวน “ท่านสั่งไหมาทำไมเยอะแยะ” เมื่อเดินเข้ามาใกล้ถึงคนรักของตนก็เอ่ยถามออกไป “ไว้ให้เจ้าหมักสุรา” ว่านฟู่เฉิงกล่าวแย้มยิ้ม ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาจนถึงตนเอง ว่านฟู่เฉิงก็ก้าวยาว ๆ เดินไปหยุดยืนข้างกายดวงใจของตนแล้ว เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจมองมาทางนี้จึงขยับหอมแก้มกู่ซิงอีด้วยความรวดเร็วไปหนึ่งที กู่ซิงอีตกใจจนตัวแข็ง รีบหันมองซ้ายมองขวา เมื่อไม่เห็นใครก็โล่งใจ แต่อดที่จะมองค้อนเขาไปทีหนึ่งมิได้ “เหอะ ท่านยังคิดจะใช้ข้าทำงานอีก ! ข้าตกถังข้าวสารแล้ว ไหนเลยจะไปทำงานให้เหนื่อย” ว่านฟู่เฉิงไม่ได้เสียใจหรือน้อยใจกลับยกยิ้มมองกู่ซิงอีและพูดเสริมว่า “ข้าสั่งทำห้องหมักสุราโดยเฉพาะไว้ให้เจ้าแล้วไม่ต้องรวมกับครัวของจวนแบบครั้งก่อนอีก และทั้งข้าว ไห เชือก ผ้ากรองก็มีให้ใช้ไม