หลานเสวี่ยเข้ามาในมิติเพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิต หลังจากเก็บเกี่ยวก็ได้รับคะแนน 80 บวกกับอันเดิม 71 รวมเป็น 151 คราวนี้ หลานเสวี่ยปลูกมันฝรั่งสองชุด เพราะยามนี้ เจอปัญหาภัยแล้ง คิดว่ามันฝรั่งน่าจะเป็นอาหารที่ดีที่สุดตอนนี้ใน หลังจากเพาะปลูกมาเกือบสามวันนางก็มีมันฝรั่ง 220 กิโลกรัม ผักกาดขาว 200 กิโลกรัม กะหล่ำปลี 180 กิโลกรัม และ พริก 90 กิโลกรัม ต้นหอมก็มี 140 กิโลกรัม
พืชที่ปลูกในมิติเติบโตได้อย่างดี ทำให้ผลผลิตได้เยอะ ยังดีที่มีถุงมิติเก็บของทำให้เก็บได้อย่างสะดวกสบาย แต่วันนี้หลานเสวี่ยมาเพื่อทดลองระบบลดเวลาการเพาะปลูก ที่จะต้องใช้ 7 คะแนน เพื่อลดเวลาเพาะปลูกเหลือ 2-3 ชั่วโมง จาก 6-8 ชั่วโมง
“ระบบใช้ 7 คะแนนเพื่อลดเวลาเพาะปลูก”
(ยินดีด้วยท่านได้ใช่การลดเวลาเพาะปลูกเป็นครั้งแรก ได้รับ 100 คะแนนสำหรับครั้งแรก)
คะแนนคงเหลือ 220 ทำให้นางอุ่นใจได้บ้าง ถ้าหากจดหมายถูกขัดขวาง หรือฮ่องเต้ใจดำอำมหิตเกินมนุษย์ นางก็พอมีหนทางรอดได้บ้าง หลานเสวี่ยสำรวจเมนูร้านค้ามากมายเพื่อรอให้ผลผลิตเติบโต นางจึงตัดสินขายพื้นที่เพาะปลูกเพิ่ม 5 ตารางเมตร รวมแล้วก็ได้ 15 ตารางเมตร
“ระบบใช้ 150 คะแนนขยายพื้นที่”
(ยินดีด้วย ขยายพื้นที่ด้วยตัวเองครั้งแรกรับ 200 คะแนน)
ตอนนี้นางได้คะแนนมาเพิ่มแทนที่จะเสียไป จาก 220 ตอนนี้เป็น 270 เกินคาดไปเลย ริมฝีปากบางยิ้มอย่างพอใจ เท่านี้นางก็สามารถเอาตัวรอดได้แล้ว แต่ก็วางใจไม่ได้ เพราะหลงเยี่ยนคือตัวแปรที่ไม่สามารถควบคุมได้
นางใช้ 10 คะแนนเพื่อปลูกมันฝรั่งเพิ่ม และมันยังได้รับบัฟ ลดเวลาเพาะปลูกเช่นกัน เช่นนี้ก็รอเท่านั้น ทำแบบนี้ซ้ำ ๆ เธอต้องหลายเป็นคนที่มีเสบียงเยอะที่สุดในต้าเหยียน แน่ ๆ
(แจ้งเตือน ใช้แต้ม 500 สำหรับอัพเกรดระบบ จะทำให้การเพาะปลูกลดเวลาลง 1 ชั่วโมง ราคาสินค้าลดราคาลง 10% และ จะได้คะแนนจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตเพิ่ม 20%)
คะแนนตอนนี้ 260 ได้แค่ครึ่งเดียวเอง คงต้องรอให้เก็บเกี่ยวสักสองสามรอบถึงจะมีคะแนนพอ หลานเสวี่ย ออกไปข้างนอกก่อน เพราะนี้ก็ผ่านมาเกือบชั่วโมงแล้ว เหมยน่าจะมาถึงแล้ว
พอออกมานางก็เดินไปหาหยาง ที่เดินวนไปวนมาอยู่นอกห้องใบหน้าเป็นกังวลใจเอามาก ๆ
“เหมยยังไม่กลับมาหรอกหรือ” พูดด้วยท่าทางนิ่งเฉย ใบหน้าสวยสง่าเดินเชิดหน้าออกมาจากห้อง
“คุณหนู นางออกไปเป็นเวลานานแล้ว แต่ยังไม่กลับมาเลย บ่าวกลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับนาง” หยางก้มหน้าพูด
หลานเสวี่ยก็คิดเช่นนั้น แต่ไม่อยากให้หยางเป็นห่วงมากไป ยังไงต่อให้เกิดเรื่องเธอก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้
“ไปทำอาหารรอนางดีกว่า มาถึงจวนคงจะหิวแล้ว”
“เจ้าค่ะ คุณหนู”
สองคนเขามาในครัว แต่ก็พบเข้ากับปัญหาอีกครั้ง เพราะฟืนที่ใช้จุดไฟกันหมดเกลี้ยง ทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้
“บ่าวลืมบอกคุณหนู เพราะที่นี่ถูกตัดเบี้ยเลี้ยงทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่ฟืนพวกนี้ ทุกวันบ่าวจะออกไปเก็บ แต่พักนี้เราใช้ทำอาหารจึงทำให้หมดก่อนกำหนดเจ้าคะ บ่าวจะรีบไปเก็บอีกครั้ง”
“ไม่ต้องแล้ว ข้ามีของที่ดีกว่า ขอโทษนะที่ลืมคิดถึงพวกเจ้าสอวคน คงทำให้พวกเจ้าลำบากใช่ไหม” หลานเสวี่ยรู้สึกผิดจริง ๆ ที่ไม่ได้คิดให้รอบคอบ
“อย่าพูดแบบนี้เลย บ่าวสองคนไม่เป็นอะไร ดีเสียอีกที่ได้รับใช้คุณหนู อย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะ”
“ถ้างั้นเจ้าดูสิ่งนี้สิ เขาเรียกว่าถ่านสำเร็จรูป แค่ก้อนเดียวก็ให้ความร้อนได้ทั้งวันเลยนะ ต่อไปเราไม่ต้องทนหนาวอีกแล้ว” หลานเสวี่ยเอาถ่านออกมาจากถุงมิติ
นี้เป็นของขวัญจากระบบถ่าน 1000 ก้อน เพิ่งได้รับไม่นานนี้เอง ระบบก็ใจดีเหมือนกันนะเนี่ย แต่นางก็เอาออกมาแค่ห้าก่อน เพราะกลัวคนมาเห็นเข้าจะเป็นเรื่องยุ่งยาก ถ่านอัดแท่งแบบนี้ยังหาไม่ได้ในยุคนี้เลย
“เป็นไงบ้าง ส่วนนี้ก็คือสิ่งที่ใช้จุดไฟ เดี๋ยวข้าจะทำให้ดูนะ”
ถ่านอัดแท่งเป็นก้อนกลมคล้ายขนมไหว้พระจันทร์ แต่จะหนากว่าเกือบห้าเท่า และมีรูเล็ก ๆ ตรงกลางหลายรู แค่ใช้กระดาษเล็ก ๆ ยัดลงรูนั้น แล้วจุดไฟด้วยไฟแช็ก เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว ไฟแช็กระบบก็แถมให้ ใจดีจังเลย
“แปลกตามากเจ้าค่ะ ของสิ่งนี้คงมาจากดินแดนเซียนใช่ไหมเจ้าคะ” หยางถามด้วยความตื่นเต้น
“ใช่แล้ว นี้มาจากดินแดนแห่งเซียน”
ตำหนักชิงซิว
เมื่อข่าวของหลานเสวี่ยที่จะถูกพาตัวเข้าพิธีชำระบาปได้รับรู้กันทั่ววังหลวง ทำให้สตรีหลายคนต่างดีใจยกใหญ่ เพราะเดิมทีก็อิจฉาริษยาความงามของนางอยู่แล้ว โดยเฉพาะ หลี่ผิน ที่ต้องทุกข์ใจเพราะคนรักของนาง อย่างอดีตองค์รัชทายาท ทั้งสองเคยเกือบจะมั่นหมายกัน
แต่สุดท้ายพอเจอหลานเสวี่ย เขาก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ องค์รัชทายาทเฝ้าขายขนมจีบให้หลานเสวี่ยทุกวัน จนทั้งสองทำเรื่องมั่นหมายกัน ทว่าเรื่องก็ไม่เป็นอย่างที่คาดคิด เพราะเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ชื่อเสียงของหลานเสวี่ยแปดเปื้อนจนไม่อาจกลับมาเป็นสาวงามคนเดินได้อีก
และวันนี้หลี่ผินอารมณ์ดีจึงตั้งใจเอาของว่างมาให้ ชายผู้เป็นที่รักของนาง นั้นคือหลงเยี่ยน ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ทว่ากลับถูกไล่ตะเพิดออกมาทำให้อารมณ์ของนางไม่ดี
“หยุดก่อน บ่าวผู้นี้มาจากตำหนักใดหรือ” หลี่ผินเดินอยู่ก็พบกับบ่าวรับใช้ที่แต่งตัวเก่า ๆ เสื้อผ้าแปลกตา นางไม่เคยเจอมาก่อนเลย จึงสงสัยเพราะนางกำลังเดินเข้าไปในตำหนักชิงซิว
“ข้าน้อยเป็นบ่าวรับใช้จากตำหนักเย็นเจ้าค่ะ”
ตำหนักเย็นเหรอ นางยิงคิดก็ยิ่งแค้น ถ้าหากนางได้แต่งงานกับองค์รัชทายาทตอนนั้น ป่านนี้เขาคงได้เป็นฮ่องเต้ ส่สนนางก็กลายเป็นฮองเฮาไปแล้ว ทั้งหมดมันเป็นเพราะนางจิ้งจอก หลานเสวี่ยคนเดียว หลี่ผินยิ้มมุมปากมองดูจดหมายในมือของบ่าวรับใช้ ไม่เปิดอ่านก็รู้ว่าเป็นจดหมายขอความเมตตาต่อฝ่าบาท แต่คนที่พระองค์เกลียดมากที่สุดก็คือนางนั่นแหละ มีเหรอพระองค์จะยอมช่วย เพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้หลานเสวี่ยเข้าพิธีชำระบาปก็เป็นเพราะฝ่าบาท
“เจ้ากล้าดีนะ เห็นข้าแล้วไม่ยอมทำความเคารพ สงสัยเจ้านายของเจ้าคงไม่ได้สอนมารยาทมาใช่ไหม เด็ก ๆ สั่งสอนมารยาทให้นางหน่อย”
หลี่ผินสั่งให้นางกำนัล และขันที่ของตนจับเหมยเอาไว้ แล้วตบหน้านางไปมา ใครจะกล้าห้ามนางได้
“พระสนมโปรดไว้ชีวิตด้วย โปรดไว้ชีวิตด้วย...”
เหมยรู้ดีว่านางไม่ได้ทำผิดอันใด แต่พระสนมจงเกลียดจงชังคุณหนูของนางมานานแล้ว จึงทำเช่นนี้ แม้นางจะเจ็บแต่ก็ไม่เคยกลัวขอแค่ให้จดหมายถึงพระหัตถ์ของฝ่าบาทก็พอ
“ตบมันแรง ๆ สิ ไม่ได้กินข้าวมาหรือไง” นางตวาดเสียงดังใส่ข้ารับใช้
นางกำนัลที่รับคำสั่งไม่มีทางเลือกไม่ฟังก็ไม่ได้ แม้จะสงสารแต่ก็ช่วยไม่ได้จึงตบสุดแรง จนใบหน้าของเหมยบวมแดง มีเลือดไหลออกมาที่มุมปาก ถึงขนาดนี้หลี่ผินยังไม่พอใจอีก
จนร่างกายของเหมยทนไม่ไหว นางสลบแน่นิ่งไป ตรงนั้น เมื่อเห็นแบบนี้พวกของสนมหลี่ผินถึงหยุดมือ
“เอาละปล่อยมันไว้ตรงนั้นแหละ ไปได้”
ขบวนของนางผ่านไป แต่เหมยยังนอนอยู่บนพื้นท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บเช่นนี้ เหมยได้แต่นอนหายใจหอบถี่ นางไม่มีแรงจะลุกเดินด้วยซ้ำ
“คุณหนู บ่าวผิดไปแล้ว บ่าวทำไม่ได้ ลงโทษบ่าวด้วย"
น้ำตาเม็ดใสของนาง ไหลออกมาเพราะความเสียใจ ก่อนที่สติจะหายไปในทันที
ตำหนักเย็น ยังคงร้อนใจเพราะดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว แต่เหมยยังไม่กลับมาเสียที ทำให้หลานเสวี่ยเป็นห่วงมาก ๆ นางทำอาหารรอเหมยมาหลายชั่วยามแล้ว เข้าออกมิติสองรอบสามรอบก็แล้ว แต่เหมยยังไม่กลับมา
“จะทำอย่างไรดี บ่าวเป็นห่วงนางเหลือเกิน”
“ข้าก็เป็นห่วงเช่นกัน” หลานเสวี่ยตัดสินใจรออีกนิดหน่อย ถ้ายังไม่มาอีกนางจะออกไปเอง ยังไงตอนนี้ก็มืดแล้ว ถึงแม้ว่าบ่าวรับใช้ในตำหนักเย็นจะไม่สามารถออกมาได้ก็เถอะ แต่นางจะปลอมตัวเป็นบ่าวรับใช้ของตำหนักอื่น
“คุณหนูเจ้าคะ ให้บ่าวไปตามนางดีไหมเจ้าคะ”
“ไม่ต้องหรอก หากเกิดเรื่องจริง ๆ เจ้าช่วยนางไม่ได้ มีแต่จะเจ็บตัวเพิ่ม ข้าจะไปเอง”
“แต่ว่า..”
“ข้ารู้ตัวเองดี ยังไม่เชื่อข้าอีกหรือ”
หยางจำยอมให้หลานเสวี่ยออกไป แม้จะรู้ว่านางมีความสามารถ แต่ก็อดห่วงไม่ได้เลย
เมื่อรอมาถึงหนึ่งชั่วยามหลานเสวี่ยก็ไม่รออีกแล้ว นางเคยดูแผนที่มาแล้ว พอไปดูถูกอยู่บ้าง แต่ความยากคือไม่อยากให้คนจับได้
“ระวังตัวนะเจ้าคะ”
“ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะรีบกลับมา”
หลานเสวี่ยมุดรูออกไปอย่างง่ายดาย ก่อนจะมาโผล่ที่สวนหลวง ห่างจากตำหนักชิงซิวพอสมควร นางเดินตามเส้นทางที่มืดมิด มีโคมไฟจากจวนของนางสนมคอยส่องสว่างในบางครั้ง ยังดีที่วังหลังไม่มีทหารยาม
หลานเสวี่ยรีบออกไปจากวังหลังมุ่งตรงไปที่ตำหนักชิงซิว ปกติเขาจะพักผ่อนที่ตำหนักอันกง ทำให้นางสับสน แต่ก็เดินไปหาดูก่อนเผื่อเจอ
มาถึงทางเข้าตำหนักนางก็เห็นเงาร่างของใครบางคนนอนอยู่ที่ทางเดิน ในสภาพที่อากาศหนาวแบบนี้ทำให้หลานเสวี่ยใจหายมาก นางรีบวิ่งเข้าไปใช้มือเรียวตรวจดูลมหายใจของเหมยทันที ใบหน้าขาวนวลสะท้อนแสงจันทร์มีเหงื่อเม็ดเล็กซึมออกมา
เพราะเธอร้อนรนในหัวใจเมื่อลมหายใจของเหยมเบาบางเหลือเกิน
“เจ้าอย่าเป็นอะไรไปนะ ข้ามาหาเจ้าแล้วข้าเอง หลานเสวี่ยคุณหนูของเจ้า”
ภาพตรงหน้าของนางคือหดหู่มาก ๆ ผู้ใดกันที่ทำร้ายเหยมได้ลงคอ ช่างใจดำอำมหิตเสียจริง
“คุณหนู บ่าว...ทำไม่ได้”
“อย่าพูดอะไรเลย ข้าจะช่วยเจ้าเอง”
ขอให้น้ำพุช่วยชีวิตเหมยไว้ได้ด้วยเถิด หลานเสวี่ยภาวนาในใจ ก่อนจะเอาน้ำพุใส่อุ้งมือป้อนให้นางดื่มสองสามครั้ง หลานเสวี่ยยิ้มออกมาทั้งน้ำตาเมื่อรอยฟกช้ำบนใบหน้าของนางค่อย ๆ หายไป
“คุณหนู นี่คือสิ่งใดกันแค่เพียงดื่มเข้าไปร่างกายของบ่าว หายเป็นปลิดทิ้ง แถมยังรู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงกว่าเดิมอีกด้วย”
ใบหน้าร่าเริงของเหมยทำให้นางดีใจที่มาช่วยได้ทัน ถ้ามาช้าอาจจะต้องเสียใจตลอดชีวิตแน่ ๆ
“หายดีก็พอแล้ว รีบกลับเถอะไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร ข้าทำอาหารรอเจ้าอยู่ อีกอย่างตำหนักเราก็อุ่นขึ้นมาแล้วด้วยไม่ต้องทนหนาวแล้ว” จับมือของเหมยเอาไว้ให้นางไม่โทษตัวเอง
“เจ้าค่ะ” ทั้งสองลูกชิ้นยืนทว่าจู่ ๆ ก็มีทหารยามกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
“นั้นใคร หยุดเดี๋ยวนี้”
ทั้งสองคนมองหน้ากันไปมาก่อนที่หลานเสวี่ยจะให้เหมยรีบไป เพราะตอนนี้เธอเป็นคนรับใช้ตำหนักเย็นส่วนตนสวมเสื้อของตำหนักไหนก็ไม่รู้เพราะให้ระบบสุ่มให้
“ไปเถอะ ข้าไม่เป็นอะไรหรอก”
“เจ้าค่ะ”
เหมยรู้ดีว่าไม่สามารถช่วยเจ้านายได้ต่อให้อยู่ด้วยกัน ยิ่งทำให้คุณหนูของนางตกอยู่ในอันตรายจึงจำใจออกมาจากตรงนั้น
ทหารยามสองคนเดินมาหานางด้วยท่าทางนิ่งสงบ ในมือของพวกเขาถือดาบยาว สวมเกราะทอง คงเป็นองครักษ์หลวง แต่ที่แปลกไปคือ พวกเขาไม่รีบร้อนเหมือนครั้งแรกที่พบกับหลานเสวี่ยก้มหน้ามองพื้น เตรียมตัวเข้าไปในมิติถ้าหากเหตุการณ์ไม่สามารถควบคุมได้ อย่างน้อยให้พวกเขาเข้าใจไปว่าเธอเป็นวิญญาณก็ยังดี“นางกำนัลตำหนักไทเฮา มาที่นี่มีเรื่องอันใดหรือ”“ข้ามีเรื่องสำคัญต้องกราบทูลหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท จึงมาที่นี่” หลานเสวี่ยเล่นไปตามน้ำ เพราะไม่คิดว่าชุดข้ารับใช้ที่นางแลกมา 5 คะแนนจะช่วยนางได้อย่างดี เมื่อมองหน้าทหารยามสองคนทั้งสองน่าจะเชื่อด้วยแต่สายตา และ ท่าทางของสองทหารหนุ่มลายเป็นความประหม่าทันทีเมื่ออยู่ต่อหน้า สตรีที่งดงามเช่นนี้ พวกเขาทำตัวไม่ถูกแม่แต่ตอนพูดยังติดขัด พวกเขาไม่เคยเห็นสตรีนางใดจะงดงามเหมือนตอนนี้“เช่นนั้น ก็ตามข้ามาเถอะ”“เจ้าค่ะ”หลานเสวี่ยเดินตามเข้ามาในตำหนักอันกง เพราะทหารยามบอกว่าฝ่าบาทเสด็จไปตำหนักอันกงแล้ว เดินมาสักพักก็มาถึงตำหนักอันกง นางจึงกล่าวขอบคุณแล้วเดินเข้าไป เมื่อทหารยามประตูเห็นว่านางสวมชุดตำหนักของไทเฮา พวกเขาก็ยังต้องตรวจตราสัญลักษณ์ด้วยหลานเสวี่ยมีจี้หยกที่ระบบให้ม
เมื่อเช้ามืดระบบก็อัพเกรดสำเร็จ หลานเสวี่ยจึงเข้าไปสำรวจดูว่า 500 คะแนนที่เสียไปได้อะไรมาบ้าง นอกเหนือจากที่ระบบเคยบอกไว้ก็มีพื้นที่สำหรับเพาะปลูกเพิ่มขึ้นห้าตารางเมตร และเพิ่มแถบเมนูมาใหม่ นี่คือความสามารถพิเศษ เช่นทำให้ฝนตก พายุถล่ม แผ่นดินไหว พยากรณ์อากาศ .... บางอันก็มีประโยชน์อยู่บ้างเช่นพยากรณ์อากาศ หลานเสวี่ยเคยใช้เมื่อครั้งก่อน เป็นคำแนะนำจากระบบที่ช่วยให้นางแก้ไขปัญหาได้ ตอนนี้นางมี 500 คะแนน +1000 สำหรับการอัพเกรดระบบ นับว่าได้มากกว่าเสีย 1500 คะแนน นางเลือกซื้อของในร้านเช่นครีมอาบน้ำ และทำให้กลายเป็นของใช้ในยุคนี้ด้วยระบบเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ ใช้ไป 1 คะแนน แม้จะเสียดายคะแนนแต่นี้ก็เป็นการลงทุน อีกอย่างนางจะได้รับเงินทองมากมายในครั้งนี้ เมื่อนึกถึงสินค้าของตัวเองมีชื่อเสียงในวังหลังนางก็ยิ้มอย่างพอใจ คราวนี้แหละต้องเป็นมหาเศรษฐีในยุคนี้ให้ได้ตำหนักสนมหานผินหานหลงยิ้มอย่างพอใจเมื่อเดินเข้าในงานเลี้ยงน้ำชาของเหล่านางสนม ทันทีที่นางเดินผ่าน พวกนางสนมรุ่นเดียวกันที่เคยแย่งชิงความดีความชอบด้วยกันต่างสูดดมกลิ่นหอมจากตัวนางที่แผ่ออกไป นางสนมพวกนี้คงไม่เคยรู้จักกลิ่นหอมเช่นนี้สินะ พ
หลานเสวี่ยงัวเงียลุกขึ้นจากเตียงนอน ทั้งที่กำลังฝันหวานถึงพระเอกในดวงใจของตน แต่ต้องมาตื่นเพราะเสียงระบบที่ดังจนนึกว่ามีสงครามโลกครั้งที่สามเกิดขึ้นแล้วในมิติ นางจึงออกมาจากกระท่อมหลังเล็ก ก่อนจะตรวจดูมันฝรั่งใบเขียวสวยของตนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อได้ฟังจากปากของเหมย และหยาง นางก็อดสงสารไม่ได้ ผู้คนในยามนี้อดอยากปากแห้ง บางคนมีเงินทองแต่จะซื้ออะไรได้ ต้องอดมื้อกินมื้อ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล่าคนยากไร้ที่รอความช่วยเหลือจากฮ่องเต้ ถ้าเป็นในยุคปัจจุบันพวกเขาคงกลายเป็นข่าวใหญ่ไปแล้ว ทำให้ทางการต้องรีบช่วยเหลือ แต่ในยุคนี้ปากเสียงถูกปิด พูดอะไรไม่ได้มาก หลานเสวี่ยพอรู้ว่าในยุคนี้ขุนนางเลวมีเยอะอย่างกับดอกเห็ด บางทีทางการอาจจะช่วยเหลือแต่ถูกพวกนั้นเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ส่วนที่เหลือก็ไม่พอความต้องการแม้ในตอนนี้มันฝรั่งที่ปลูกได้จะเยอะขึ้นแล้ว ก็ยังไม่เพียงพอถ้าเป็นเช่นนั้น อีกอย่างเพิ่มพื้นที่การผลิตสูงสุดแล้ว จนคะแนนไม่พอ เพราะราคาจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ได้มา สี่สิบตารางเมตร คะแนนคงเหลือ 100 จะทำอะไรคงต้องระวังตัวมากกว่าเดิม แต่ปัญหาหลักอีกอย่างคือถุงมิติที่ใกล้จะเต็มแล้วตอนนี้นางออกจากมิต
กลายเป็นว่า เพราะนางตื่นสายทำให้ทำงานเสร็จช้า ฝ่าบาทจึงหารือกับขุนนางช้า พอไทเฮามาถึงจึงไม่สามารถเข้าพบได้ หลานเสวี่ยรู้สึกผิดอยู่บ้างแต่ ต้นเหตุคือหลี่ผิน ที่วางอำนาจบาตรใหญ่ เพราะมีไทเฮาถือท้ายให้จึงไม่กลัวใครจะว่าไปนั่นก็เป็นแม่สามีของหลานเสวี่ยเหมือนกันถ้าหากลูกชายของนางไม่เป็นคนใจดำอำมหิตเช่นนั้นนะ ยืนเหม่ออยู่ตั้งนานนางก็ถูกหัวหน้านางกำนัลเรียกตัวให้ไปทำงาน แต่ก่อนจะไปนางได้มอบขวดน้ำจากมิติขวดเล็กให้กับหัวหน้า“ใช้ทาที่ใบหนาของท่าน มันจะหายในไม่ช้า ไม่ต้องกลัวหรอกมันไม่อันตรายอย่างที่คิด” “ข้าจะรับไว้ เจ้ารีบไปเถอะ อย่าสร้างเรื่องอะไรอีกล่ะ”“เจ้าคะ” เมื่อนางรับไว้เท่านี้ก็พอแล้ว หลานเสวี่ยเข้ามารับใช้ที่ห้องหนังสือเช่นเดิม พอเข้ามาก็เห็นฝ่าบาทนั่งอ่านฎีกาด้วยท่าทางสง่า พอมองดูดี ๆ ในหนังที่นางเคยดูกับตอนนี้ดูแตกต่างมาก ฮ่องเต้ในตอนนี้ดูน่าเกรงขามราวกับมีพลังวิเศษบางอย่าง หรือเป็นเพราะที่แห่งนี้เป็นโลกเวทมนตร์กันนะ นางเอกก็ไม่เข้าใจ แต่ชายผู้นี้ไม่ใช่คนปกติทั่วไป หรือเขาเป็นเทพเซียน อย่างตำนานของฮ่องเต้ที่บอกว่า เป็นสายเลือดของเทพ หลานเสวี่ยคิดไปเรื่อยเปื่อย“ยืนเหม่ออันใดอย
หลานเสวี่ยเดินออกมาจากสวนด้วยความโมโห คุณหนูจางเสี่ยวหลงในชาติก่อน มีชีวิตสุขสบาย ใครจะกล้ารังแกเธอ ดูตอนนี้เป็นแค่พระชายาที่ผัวไม่รัก แถมยังถูกเมียน้อยรังแกอีก จะสงสารหลานเสวี่ย หรือสงสารตัวเองดีนะ“มาแล้วหรือ นางกำนัลจาง เข้าไปเถอะฝ่าบาทกับเหล่าขุนนางรอเจ้าอยู่ข้างใน” “รอข้าหรือ ไม่ใช่ว่ามีแต่ฝ่าบาทหรอกหรือ” “ฝ่าบาททรงอยากให้ขุนนางรู้ข้อมูล จะได้จัดเตรียมความพร้อมให้เหมาะสม ท่านก็รีบไปเถอะ” “เจ้าคะ ฉ่างกงกง”นางรีบเดินเข้ามาในห้องหนังสือ ก็พบขุนนางสองคนนั่งรอตรงที่นั่งต่ำกว่าฮ่องเต้ ในความทรงจำของหลานเสวี่ย ทำให้รู้ว่าสองท่านนี้คือ เจ้ากรมพระคลัง กับเจ้ากรมโยธา ที่รับหน้าที่สำคัญในการรับมือกับภัยแล้งพอหลานเสวี่ยมาถึงทั้งสองคนก็มองไม่ละสายตา สีหน้าบ่งบอกถึงความสงสัย และไม่มั่นใจว่าแค่นางกำนัลตัวเล็ก ไปจะสามารถทำเรื่องใหญ่โตเข่นนี้ได้สำเร็จ แม้แต่ผู้มีความรู้อันดับหนึ่ง และผู้มีชื่อเสียงยังใช้เวลาเป็นร้อยปีกว่าจะติดต่อหาคนจากแดนเซียน เพื่อมาสั่งสอนคนในราชวงศ์ แค่ปีละครั้งเท่านั้นเองแต่นี้นางถึงกับติดต่อซื้อขายโดยตรง ทำให้ชายชราสองคนไม่เชื่อ และรวมถึงฮ่องเต้ก็เช่นกัน เขาไม่เชื่อเลย
ฮ่องเต้หนุ่มหยิบตะเกียบทองขึ้นมา คีบเอาแท่งมันฝรั่งทอดเข้าปาก ก่อนจะเคี้ยวเบา ๆ ตามแบบของผู้ดี แต่สีหน้ายังคงนิ่งเฉยมาก แล้วเปลี่ยนเป็นมันฝรั่งเผาที่ยังมีอายร้อนลอยออกมาอยู่ คำเล็กถูกเอาเข้าปากหนาแต่สีหน้ายังเป็นเช่นเดิม สุดท้ายมันฝรั่งบด ก็ยังเป็นเช่นเดิม“เป็นเช่นไรบ้างเพคะ” “ก็ดี นับว่ารสชาติใช้ได้เลย อีกอย่างคุณค่าทางอาหารที่เจ้าบอกก็คงไม่เกินจริง เพราะข้าชิมเท่านี้ยังรู้สึกอิ่ม และมีเรี่ยวแรงขึ้นมาทันที” “เช่นนั้นหม่อมฉันก็โล่งใจ” หลานเสวี่ยหายใจได้เต็มปอด แม้เขาจะไม่แสดงท่าทางออกมาแต่ก็คงอร่อยอยู่แล้ว “พวกท่านก็ลองชิมดู อีกประเดี๋ยวค่อยมาหาลือกันต่อ ข้าจะคุยเรื่องสำคัญกับนางกำนัลจางเสียหน่อย” “ขอบพระทัยฝ่าบาท” ทั้งสองคนรีบยกอาหารออกไปข้างนอก เหลือแต่หลานเสวี่ยกับฮ่องเต้ ทำให้บรรยากาศแตกต่างจากเมื่อก่อนมากเลย นางรู้สึกกลัวยังไงไม่รู้เมื่ออยู่กับเขาสองคน“ว่ามาเถอะ เรื่องเสบียงติดต่อได้เมื่อไหร่” น้ำเสียงนิ่ง ทำให้คนฟังรู้สึกถึงอารมณ์ และความรู้สึกของเขาได้อย่างดี“หม่อมฉันได้รับการตอบกลับแล้วเพคะ ท่านเซียนผู้นั้นส่งจดหมายด้วยผีเสื้อวิญญาณ หม่อมฉันจึงได้รับมาแล้ว” “รวดเร็วยิ
หลานเสวี่ยเดินตามเจ้ากรมทั้งสองมาจนถึงกรมคลัง ตรงหน้าเป็นตำหนักขนาดใหญ่แต่ไม่เท่าตำหนักอันกง ในนั้นมีขุนนางน้อยใหญ่ที่ยังทำหน้าที่ของตน เมื่อเห็นเจ้ากรมก็รีบเดินมาหาทันที“คารวะ ท่านเจ้ากรมกวน ท่านเจ้ากรมหยาง มิทราบว่ามีธุระอันใดให้ผู้น้อยรับใช้หรือไม่” “ข้ามีธุระสำคัญมาก เจ้ารีบไปทำหนังสือเบิกเงินค่าเสบียง แล้วให้คนไปเตรียมคลังเก็บของจำนวน 6000 ชั่งให้เร็วหน่อย นี้ก็ใกล้มืดแล้ว”เจ้ากรมกวนสั่งลูกน้อง ก่อนจะพาหลานเสวี่ย และเจ้ากรมหยางไปที่ห้องรับรอง“เชิญนั่งตามสบายเถิดแม่นางจาง”“เจ้าค่ะ” นางรู้สึกปวดเมื่อยไปหมด ตั้งแต่เช้าก็ได้แต่ยืน และเดินจากตำหนักอันกงมาถึงนี้เกือบสองกิโลเมตร ตอนนี้เธอนั่งดื่มชาโดยไม่สนใจเจ้ากรมสองคนที่นั่งคุยกันอยู่ พวกเขากำลังเถียงกันเรื่องเตรียมรถม้าไปรับของ เมื่อมาถึงหูของนางก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้บอกว่า มันฝรั่งทั้งหมดอยู่ในถุงมิติเล็ก ๆ นี้“ข้าว่าเสบียงเยอะเช่นนี้ควรเอาทหารไปเยอะ ๆ หรือจะให้ท่านแม่ทัพเฉินเป็นคนคุ้มกันก็ยิ่งดี” “แต่ข้าว่าให้คนของข้าไปด้วยน่าจะดีกว่า เพราะคุ้นเคยเส้นทางดี อีกอย่างเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น คนของข้าก็มีประโยชน์กว่า” “ช้าก่อน
“นี้คือสิ่งใด ได้รับเป็นของรางวัลหรือ” “เหมือนพระราชโองการเลย” หัวหน้านางกำนัลมาพอดี ทุกคนหันไปมองเพื่อหาคำตอบจากนาง“ใช่แล้ว นี้คือพระราชโองการจากฝ่าบาท”“ถ้าพวกเจ้าอยากรู้เดี๋ยวข้าอ่านให้ฟัง.... เป็นอย่างไรบ้าง” หลานเสวี่ยอ่านให้ทุกคนฟัง ทำเอานางกำนัลน้อยใหญ่ต่างรีบแสดงความยินดี แถมยังบอกอีกว่าอิจฉานางที่ได้อยู่ใกล้ฮ่องเต้ ใครล่ะอยากจะอยู่ใกล้ “ข้าบอกแล้วว่านางเป็นคนโปรดของฝ่าบาท ไม่แน่นะพี่จางของเราอาจได้เป็นพระสนมกับเขาก็ได้” “ข้าก็คิดว่าเป็นเช่นนั้น ถึงขั้นดึงตัวมาจากตำหนักอื่นก็มีแต่พีจางเท่านั้นแหละที่จะได้รับความโปรดปราน”“ได้ดีแล้วอย่าลืมพวกเรานะ”นางกำนัลพวกนี้พูดกันสนุกปากเลย ชอบแต่งเรื่องกันจริง ๆ “ไม่ใช่หรอก ฝ่าบาทคงไม่คิดแบบนั้นหรอก คงเห็นว่าข้าทำงานได้ดีจึงตกรางวัลให้” “ในเมื่อท่านได้เลื่อนขั้นเทียบเท่าหัวหน้านางกำนัลแล้ว ก็ต้องให้ของขวัญเล็กน้อยให้พวกเราบ้างสิเจ้าคะ” จูหยิน นางกำนัลที่พูดเก่งที่สุดในนี้รีบเอ่ยปาก สายตาหวานมองมาที่หลานเสวี่ย ดูเหมือนคนอื่นจะทำตามด้วย“พวกเจ้าก็อย่าไปขอนางเลย ห้าสิบตำลึงทองที่ได้ไปยังไม่พออีเหรอ รีบไปทำงานได้แล้ว” “ไม่เป็นไรหรอก ว
หลังจากเดินทางมายาวนานก็มาถึงเมืองหลวง หลานเสวี่ยที่ไม่มีอะไรทำมาหลายวันก็ตรงไปที่หอการค้าร้านสะดวกซื้อทันที ทว่าเมื่อนางมาถึงก็ทำให้ผู้คนตามสองข้างทางมองตามไม่กะพริบตา สตรีที่งดงามเช่นนี้มีในเมืองหลวงด้วยหรือ ทุกสายตาต่างสงสัยผู้คนรายล้อมมองดู ต่างก็ไม่รู้ว่านางเป็นคนตระกูลไหน การมาถึงของหลานเสวี่ยทำให้พ่อสื่อแม่สื่อมีงานล้นมือเป็นแน่ เพราะเหล่าชายโสดต่างติดต่อถามไถ่ถึงนางกันทั่วหน้า หลานเสวี่ยเดินไปไม่สนสายตาของผู้คน เหล่าชายหนุ่มตระกูลสูงศักดิ์หรือสามัญชนคนธรรมดาก็ไม่อยู่ในสายตา เพียงแค่นางก้าวเดินคนก็พร้อมจะเปิดทางให้อย่างเต็มใจ จนมาถึงหอการค้าของตน คนคุ้มกันก็ยืนทำหน้าที่อย่างทุกวันแต่วันนี้คนคุ้มกันตกตะลึงจนหันไปมองตาม แค่นางเข้ามาในร้านยิ่งดูโดดเด่น เสี่ยวเอ้อร์ในร้านต่างก็มาให้การบริหารอย่างเต็มใจ ใบหน้ายิ้มแย้ม พวกเขาถามกันไปมาว่าแม่นางผู้นี้เป็นคุณหนูบ้านไหนกัน เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนเลย“แม่นางต้องการสิ่งใดบอกข้าน้อยได้เลยขอรับ” หลานเสวี่ยยิ้มอย่างเบาบางแต่ไม่ตอบอะไร เพราะเป็นหน้าที่ของหยางในการเปิดเผยเรื่องนี้ “ทุกคนมารวมตัวกันตรงนี้ ข้ามีเรื่องจะแจ้ง” หยางได้ส่งจดหมายใ
ในสายตาของผู้ฝึกเซียนขั้นสี่ พวกนางจะทำอะไรได้ ส่วนคนคุ้มกันก็แค่พอถ่วงเวลา งานนี้ไม่ยากเย็นนัก มือสังหารเดินเข้ามาตรง ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้คุ้มกันไม่รอช้ารีบตรงเข้าไปขวาง แต่หลานเสวี่ยห้ามเอาไว้ก่อน“ก็แค่มดปลวก ข้าจัดการเอง พวกเจ้าถอยไปก่อน” นางพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ และหนักแน่น แววตาคู่สวยแสดงออกถึงความจริงจัง ทำให้หยางกับเหมยถอยออกมา รวมถึงผู้คุ้มกันที่กำลังตัวสั่นเพราะความกลัว “ถ้าเช่นนั้นก็ฝากแม่นางด้วย” เขาโค้งศีรษะอย่างนอบน้อม แม้จะมองไม่ออกว่าหลานเสวี่ยจะใช้อะไรเอาชนะผู้ฝึกเซียนระดับนี้ แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ เขาจึงเลือกที่จะเชื่อนาง และขอให้นางสามารถจัดการได้ เขายังไม่อยากทิ้งครอบครัวให้ลำบาก“แค่มดปลวกหรือ ปากดีเสียจริงนะ คำพูดนี้เป็นข้าทีต้องพูดออกมา ลนหาที่ตายนัก ได้...ข้าจะส่งเสริมเจ้าให้ตายเร็วขึ้นเอง” “อย่าเอาแต่พูดเลย อยากเข้ามาก็มาได้ตลอด ข้ารอเจ้าอยู่ เจ้ามาสิ” หลานเสวี่ยยืนกอดอกมองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น ทำเอาผู้ฝึกเซียนถึงกับเหงื่อซึม เมื่อสัมผัสพลังบางอย่างจากตัวนาง เขาไม่มั่นใจนักว่ามันคือสิ่งใด แต่สัญชาตญาณของเขาบอกให้ถอย เมื่อยั
ตลอดหลายวันที่ผ่านมานางต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ เพราะเรื่องต่าง ๆ มากมายให้จัดการ เร่งด่วนจนไม่มีเวลาพัก หลายวันนี้แม้แต่ระบบยังห้ามไม่ให้นางใช้น้ำวิเศษเพราะจะทำให้เกิดผลเสียมากกว่าดี เหตุก็เพราะว่านางดื่มน้ำเกือบห้าสิบครั้ง แต่ละครั้งคือร่างกายนางเหนื่อยล้าเต็มที่ โดยเฉพาะยามกลางคืน ที่หลานเสวี่ยจะยังอยู่หอการค้า เพราะรออนุมัติ ไม่ก็รอตอบจดหมายเร่งด่วน ขอความเห็นจากสาขาอื่นที่ส่งออกไป เป็นเรื่องที่แม้ว่าคนอื่นจะรอได้ แต่นางไม่สามารถรอได้ร่างเพรียวบางนอนราบบนเตียงนุ่ม อ่อนล้าไปทั้งตัว ขอบตามีรอยดำคล้ำเล็กน้อย กับความรู้สึกปวดร้าวทั้งร่างกาย ใบหน้าของนางซีดเชียว และซูบผอมลง เพราะไม่ได้หลับเต็มอิ่มมาเกือบอาทิตย์ “ลูกแม่ ทำไมถึงทำงานหนักเช่นนี้ เงินทองใช่ว่าจะสำคัญทุกอย่าง ตอนนี้เราไม่ได้ขาดเงิน เจ้าจะรีบร้อนทำไมหรือ” ผู้เป็นแม่เข้ามาบีบนวดให้นางทุกวัน ทำให้หลานเสวี่ยรู้สึกดีขึ้นมาก ๆ ฝีมือของท่านแม่ดีจริง ๆ ช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็วกว่าเดิม นางได้แต่ยิ้มให้หลานฮูหยิน“ลูกไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ผอมลงนิดเดียว อีกอย่างไม่ได้แต่งงานกับบุตรชายเสนาบดี เท่านี้ก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ” นางพูดด้วยความร่าเริง เม
หลานเสวี่ยกำลังยุ่งอยู่กับระบบ เพราะตั้งแต่ที่เปิดร้าน ทำให้คะแนนเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน คะแนนรวมของนางคือหก แสนคะแนนจากระบบ และ แสนห้าหมื่นคะแนนความดีที่เพิ่มขึ้น เมื่อก่อนนางมีคะแนนจากระบบเจ็ดแสน แต่เพราะอัปเดตระบบเป็นเวอร์ชันสุดท้าย ใช้ไป 1 แสนคะแนน ทำเอาหลานเสวี่ยแอบสงสัยว่าทำไมถึงใช้เยอะแบบนี้ แต่นางก็ยอมเพราะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะอัปเดต“ระบบ ทำไมถึงใช้คะแนนเยอะมากกว่าทุกครั้งละ หรือว่ามีของรางวัลดี ๆ”(เป็นเพราะว่านี้คือระบบเวอร์ชันสุดท้าย ที่สำคัญจำเป็นต่อผู้ใช้เช่นกัน....)“เดี๋ยวก่อน ทำไมเงียบไปละ” ระบบไร้เสียงตอบ ทำเอาหลานเสวี่ยตกใจไม่น้อย แต่ก็จัดการ ส่งคำสั่งเพาะปลูกได้เป็นปกติ ถึงมิติก็ยังใช้ได้ จึงคิดว่าระบบคงขัดข้องชั่วคราว แต่นางแอบสังเกตนิดหน่อยเพราะช่วงนี้ระบบแปลกไปจากเดิมมาก อย่างเช่น น้ำในลำธารของระบบลดลงจนสังเกตได้ และแสงสว่างในนี้ก็ลดลงเช่นกัน อยากจะถามระบบแต่ก็มาหายตัวไป สงสัยคงกำลังอัพเดทชุดใหญ่ นางจึงไม่สนใจระบบ แล้วไปทำอย่างอื่นต่อ แต่ละวันนางจะใช้คะแนนแลกของขายดี อย่างเช่นเครองสำอาง ที่สตรีร่ำรวย และขุนนางใช้กัน นี้เป็นรายรับสามส่วนของนางก็ว่าได้ ช่วยให้จัดกา
หลานเสวี่ยกลับมาที่จวนในตอนสาย พอมาถึงสายตาของบิดามารดาก็มองนางด้วยความสงสัย บุตรสาวของตนไปค้างที่ใดมา แม้จะมีคำถามมากมายอยู่ในอกของทั้วสอง แต่พักนี้รู้สึกว่านางดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แถมยังเฉลียวฉลาดมากกว่าเดิม ท่าทางก็เปลี่ยนไป ทำให้ทั้งสองไม่กล้าที่จะถามตรง ๆ หลานฮูหยินรีบออกมารับบุตรสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ส่วนใต้เท้าหลานเดินตามหลังมาด้วย“กลับมาแล้วหรือ หิวไหมแม่จะไปทำกับข้าวให้เจ้า” “ลูกินอิ่มแล้วเจ้าค่ะ ตอนขากลับแวะซื้อของอร่อยตามทางมาด้วย นี้เจ้าต่ะ” หลานเสวี่ยยกสิ่งของรุงรังในมือขึ้นมา รวมถึงบ่าวทั้งสองคนก็แทบจะแขนลาก เพราะเป็นคนถือของให้นาง ดีที่แข็งแรงหน่อย“ทำไม่ซื้อมามากมายเช่นนี้ จะกินหมดหรือ ดูสิผิวพรรณ.. เนียนสวยเสียจริง ดูแล้วลูกแม่สวยขึ้นเป็นกองเชียวนะ” มารดาของนางเมื่อสำรวจดี ๆ จึงรู้ว่านางดูเปร่งประกายราวกับถูกเคลือบด้วยออร่า แม้เมื่อก่อนนางจะงดงามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่วันนี้ยิ่งแตกต่าง ผิวพรรณผุดผ่อง สัมผัสนุ่มนวล ไหนจะกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่โดดเด่น ทำให้หญิงวัยย่างเข้าสี่สิบสนอกสนใจกว่าเดิม ดวงตาคู่นั้นก็มองด้วยความสงสัย เพราะมีเรื่องแปลกประหลาดมากมายอย่างเช่น เมื่อวานท
หลานเสวี่ยถูกอุ้มเข้าไปในห้องนอน มือเรียวยังคงปิดหูตัวเองเอาไว้แน่น เพราะกลัวเสียงฟ้าร้อง ทันทีที่เข้ามาข้างในเสียงต่าง ๆ ก็เงียบไปอย่างมหัศจรรย์ หญิงสาวลืมตาขึ้นด้วยความประหลาดใจ และพบว่าตนเองอยู่ในอ้อมแขนของเขา ใบหน้าของหลานเสวี่ยแดงระเรื่อ เธอหลุบตาลงต่ำด้วยความเขินอายเมื่อสบสายตาคมคายที่มองตรงมา ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองถูกอุ้มเข้ามาในห้องเสียแล้ว“เจ้าไม่ต้องกลัวหรอก ที่นี่ไม่มีเสียงฟ้าร้องเหมือนด้านนอก เพราะข้าใช้สมบัติวิเศษป้องกันเอาไว้” น้ำเสียงทุ้ม พูดพลางวางเธอลงบนเตียงนุ่ม ๆ พร้อมกับห่มผ้าให้ และลงไปนอนรวบตัวนางเอาไว้แน่น“เจ้าค่ะ...แต่” หลานเสวี่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ท่านแม่ทัพจะกอดข้าน้อยแบบนี้ทั้งคืนหรือ ชายหญิง...”ปากน้อย ๆ ของนางกำลังจะพูดเรื่องยาว แต่ถูกมือใหญ่ปิดเอาไว้อย่างรู้ทัน เขาไม่ปล่อยโอกาสอันดีให้เสียเปล่า เป็นวัวเป็นม้าให้นางแล้ว ต้องได้รางวัลเสียหน่อยถึงจะถูก“สามีภรรยาอยู่ด้วยกันจะเป็นไรไป หากเจ้ายังดื้อดึงอีก ข้าจะไม่หักห้ามใจแล้วนะ” พูดเสียงสั่นเครือ เพราะกำลังหักห้ามใจตัวเองหลานเสวี่ยรู้สึกถึงหัวใจของตนเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก จึงก้มหน้ามองแผ่นอกกว
รอจดหมายจากพระองค์เกือบสองถ้วยชา แต่นางยังไม่เห็นจะมีวี่แววจะออกมาเลย เขียนร้อยฉบับหรืออย่างไรกันแน่ ร่างเล็กเดินไปมาอยู่ในห้องรับรอง ก่อนจะเดินออกมามองดูนอกหน้าต่าง ตอนนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มคล้ายฝนจะตก นางยิ่งร้อนใจ ขาเรียวไม่รอช้าอีกต่อไป เดินออกจากห้องรับรองไปที่ห้องทำงานของท่านแม่ทัพโดยตรง ก่อนจะเห็นท่านแม่ทัพเดินมาจากข้างนอก ทำเอานางรู้สึกงุนงงอย่างมาก “ท่านแม่ทัพเจ้าคะ! ท่านคงไม่ลืมจดหมายของข้าหรอกนะ” น้ำเสียงเรียบนิ่งแฝงไปด้วยความไม่พอใจ แม่นางจะพยายามเก็บความรู้สึกหงุดหงิดเอาไว้“ข้าจะลืมได้อย่างไร เมื่อครู่ข้ามีธุระด่วนไม่คิดว่าเจ้าจะรีบร้อนอย่างนี้” ยืนตัวตรง มองนางด้วยสายตามีเลศนัย“หาใช่แบบนั้นเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะกล้าเร่งรัดท่านแม่ทัพได้อย่างไร” “เช่นนั้นก็มาฝนหมึกให้ขาเถิด” หลงเยี่ยนเดินนำไปก่อน ทิ้งให้หลานเสวี่ยมองตามแผ่นหลังกว้างด้วยความไม่พอใจเล็ก ๆหลานเสวี่ยเดินตามไปพร้อมกับบ่นพึมพำในใจ ทำไมแค่จดหมายฉบับเดียวต้องดึงเวลาให้ยุ่งยากแบบนี้ด้วยนะ แต่นางจะทำอันใดได้ ยามนี้ได้แต่ก้มหน้าก้มตาฝนหมึกให้ได้เยอะ พระองค์จะได้เร่งเขียนให้เสร็จ ทว่าไม่นานเสียง “กร๊อก" ดังขึ้นใบหน้าสวย
ทหารหนุ่มวิ่งหน้าตั้งออกมาจากกำแพงใหญ่ แล้วสั่งให้รถม้าของหลานเสวี่ยเข้าไปได้ ทำเอาเหล่าคุณหนูที่มารอตั้งนานแทบจะตาลุกเป็นไฟด้วยความริษยา แม้จะรู้ว่านางถูกปลดแล้ว แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิงของฝ่าบาทย่อมสูงส่งกว่าสตรีทั่วไป “พวกเจ้าก็รอต่อไปเถิด เห็นทีคงต้องรอจนหัวหงอกกระมัง” หลานเสวี่ยพูดทิ้งท้ายก่อนจะให้คนขับรถม้าขับออกไป ทำเอาบ่าวสองคนยิ้มอย่างสะใจที่ได้เอาคืนพวกนั้นเมื่อมาถึงขาวในจวนนางเดินตามทหารยามเข้าไปในจวน ที่นี่ไม่ได้หรูหราเหมือนจวนแม่ทัพที่เมืองหลวง เพราะเป็นที่พักชั่วคราวใช้ยามจำเป็น แต่ก็เรียบง่ายดี สีสันไม่โดดเด่น ส่วนมากจะเป็นข้าวของที่ทำจากไม้ สวยอยู่ไม่น้อย“รอก่อนนะขอรับข้าน้อยจะไปแจ้งท่านแม่ทัพให้” ทหารหนุ่มสีหน้าซีดเซียว แม้จะรู้ว่าตราไว้ชีวิตมีไว้ทำอันใด แต่เขาเกรงว่าครั้งนี้จะตัดสินใจพลาดจนถูกแม่ทัพลงโทษ หรือถ้าหากเกิดเขาปล่อยแขกของท่านแม่ทัพไป เกรงว่าจะยิ่งถูกลงโทษหนัก สถานการณ์เช่นนี้เลือกทางไหนก็ไม่รอด นอกจากท่านแม่ทัพจะให้ความสำคัญกับแขกคนนี้ทหารหนุ่มยืนอยู่ต่อหน้าประตูห้องทำงานส่วนตัว เมื่อเช้าเขาได้รับคำสั่งว่าไม่ให้ผู้ใดมารบกวน แต่ตอนนี้เขาลังเลว่าจะรอดต
มือเรียวยกกาน้ำชาขึ้นมารินให้บิดาอย่างเรียบร้อย จึงเลื่อนไปรินให้มารดาที่นั่งยิ้มให้กับนาง ทั้งสองคนดีใจจนยิ้มไม่หุบ ที่บุตรีสุดที่รักกลับมาให้เอ็นดูอีกครั้ง นับตั้งแต่พี่สาวของนางออกเรือน จวนตระกูลหลานก็เงียบเกินไป จะดีแค่ไหนหากพวกนางสองคนมีหลานให้พวกเขาทั้งสอง แม้ว่าหลานเสวี่ยจะไม่มีโอกาสแล้วก็ตาม เรื่องนี้ทั้งสองรู้ดี แต่พี่สาวนางกำลังจะได้รับข่าวดี จวนจะได้ครึกครื้นไม่เงียบเหงาอีก “กลับมาไม่นาน ลูกปรับตัวได้หรือยัง ที่นี่ค่อนข้างห่างไกลเมืองหลวงไม่ค่อยมีอันใดให้เพลินตานัก” มารดาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม“ลูกปรับตัวได้เจ้าค่ะ อีกอย่างที่เมืองหลวงไม่ค่อยมีอันใดให้ลูกดูมากนัก ที่นี่น่าดูมากกว่า” “ถ้าเช่นนั้นพ่อจะสั่งคนทำห้องให้เจ้าใหม่ จะได้อยู่สบายขึ้น รออีกสักสามเดือนพี่สาวเจ้าก็จะมาเยี่ยมแล้ว ตอนนี้ลูกคงไม่รู้ว่าพี่สาวของเจ้าตั้งครรภ์แล้วนะ” ใต้เท้าหลานพูดด้วยน้ำเสียงปีติ แสดงออกมาชัดเจน“จริงหรือ เป็นเรื่องดีแท้ ๆ ท่านทั้งสองจะได้ไม่เหงามาก ลูกเองก็จะมาเยี่ยมบ่อย ๆ เจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นสองสามีภรรยาก็มองหน้ากันอย่างสงสัย ทั้งที่คิดไว้ว่านางจะมาอยู่ด้วยกันที่นี่“ลูกไม่มาอยู่ที่