เช้ามืดวันนี้ในยามที่ดวงอาทิตย์ยังไม่พ้นขอบฟ้า ก็มีขันทีวัยห้าสิบกว่าเดินเข้ามาในตำหนักอันกง ร่างอ้วนท้วนแต่งตัวเรียบร้อยใบหน้าเหี่ยวย่น ดูเป็นระเบียบในแบบขันที่ วันนี้เป็นวันที่ฮ่องเต้จะทรงประชุมเข้า (เช้าหลวง) เมื่อมาถึงห้องบรรทมขององค์ฮ่องเต้ เขาก็ก้มหัวลงเล็กน้อยเพื่อทำความเคารพ
“ฝ่าบาท ได้เวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ~” เสียงนอบน้อม
“ข้าพร้อมแล้ว ว่าแต่วันนี้ยังเป็นเรื่องเดิมอีกหรือเปล่า ทำไมพวกขุนนางของข้า ถึงไร้ความสามารถเช่นนี้นะ” พูดพลางลุกขึ้นจากเตียงนอน
“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” ขันที่ผู้ใหญ่ไม่มีอะไรจะแย้ง ก่อนจะยกชามาถวายให้
“หลังจากจบประชุม ให้เรียกเจ้ากรมคลังมาหาข้าด้้วย มีเรื่องจะสั่งนิดหน่อย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลงเยี่ยนยืนสงบอยู่ท่ามกลางตำหนักใหญ่ แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างไม้แกะสลักลงบนร่างสูงสง่า ดวงตาคมเข้มจ้องมองออกไปอย่างเยือกเย็น เต็มไปด้วยความสุขุมและอำนาจที่ยากจะปฏิเสธ อาภรณ์สีดำปักลายมังกรทองทิ้งตัวลงตามสรีระสูงเพรียวของพระองค์ ราวกับผืนผ้าที่ถักทอขึ้นมาเพื่อให้เข้ากับพระวรกายอย่างสมบูรณ์แบบ
พระพักตร์เรียบนิ่ง ใบหน้าคมสันโดดเด่น ลายเส้นชัดเจนจนน่าหลงใหล คิ้วหนาได้รูปขับให้ดวงตาเป็นประกายราวกับทะเลลึก เผยให้เห็นเพียงแววความสุขุมลึกล้ำที่ยากจะหยั่งถึง ริมฝีปากหยักบางเฉียบ ดูสง่างามแม้ในยามที่ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด แต่ทุกครั้งที่พระองค์ตรัส เสียงทุ้มต่ำและหนักแน่น กลับสร้างความสั่นสะเทือนไปถึงจิตใจของผู้คนรอบข้าง
การเคลื่อนไหวของพระองค์แฝงไปด้วยความมั่นใจ ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยพลังที่ข่มทุกสายตา แต่กลับไม่ดูรีบร้อนหรือเร่งรัด หลงเยี่ยนไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มาก เพียงแค่การปรากฏตัวของพระองค์ก็เพียงพอที่จะดึงดูดทุกความสนใจและทำให้ผู้คนเผลอตัวจ้องมองอย่างเงียบงัน
แสงแรกของรุ่งอรุณเริ่มเผยผ่านขอบฟ้า ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีทองอ่อน ส่องประกายเหนือกำแพงพระราชวังอันยิ่งใหญ่ ตำหนักเฉียนชิงคล้ายกับลอยอยู่ในหมอกขาว ราวกับสรวงสวรรค์แห่งจักรพรรดิ
เสียงกลองเช้า ดังก้องไปทั่วพระราชวัง ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในชุดคลุมขุนนางสีดำเข้มยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ ตรงลานกว้างเบื้องหน้าตำหนัก พวกเขาเงียบสงัด นิ่งสง่า รอคอยการมาถึงขององค์ฮ่องเต้หลงเยี่ยน ผู้ทรงเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจ
“ฝ่าบาทเสด็จแล้ว~” ฉ่างกงกง ขันทีคนสนิทของ หลงเยี่ยนร้องเสียงยาว
บานประตูตำหนักเปิดออกอย่างช้า ๆ ร่างสง่างามขององค์จักรพรรดิก้าวออกมา พระพักตร์ทรงอำนาจส่องประกายความสุขุมเยือกเย็น พระองค์ทรงประทับบนบัลลังก์ทองสูงตระหง่าน
“ถวายบังคมฝ่าบาทขอให้อายุยืนนาน หมื่นปี หมื่นปี หมื่น ๆ ปี” เหล่าขุนนางประสานเสียงพร้อมกัน น้อมถวายพระพร
เมื่อพระองค์หันมาทางเหล่าขุนนาง สายตาของทุกคนเหมือนต้องมนต์ พระพักตร์ของเขาไม่แสดงความโกรธหรือยินดีใด ๆ แต่ทุกอย่างในท่าทีบ่งบอกถึงอำนาจที่แฝงเร้นอยู่ภายในอย่างน่าเกรงขาม
“วันนี้มีเรื่องใดบ้างที่ต้องรายงาน” ฮ่องเต้หลงเยี่ยนตรัส น้ำเสียงทรงพลังดังก้องไปทั่วลานประชุม
ขุนนางอาวุโสก้าวออกมาด้วยความระมัดระวัง ค้อมศีรษะต่ำก่อนจะกล่าวรายงานด้วยความนอบน้อม เสียงลมพัดเบา ๆ ผสมกับเสียงกราบบังคมทูล ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม
“ข้าน้อยมีเรื่องรายงานพ่ะย่ะค่ะ” เจ้ากรมคลังก้าวออกมาจากแถว
“มีเรื่องอันใดก็พูดมา” หลงเยี่ยนพูดด้วยท่าทีนิ่งเฉย แต่กลับทำให้ท้องพระโรงเงียบสงัด
ชายชราวัย เจ็ดสิบกว่าตัวสั่นเทา เพราะครั้งนี้ก็เป็นปัญหาเดิมที่แก้ไขไม่ได้ ตัวเขาอยู่กรมพระคลังมาเกือบยี่สิบปี ตั้งแต่สมัยจักรพรรดิองค์ก่อน ถึงจะเปลี่ยนการปกครอง แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็ยังเห็นถึงฝีมือของตน และให้ดำรงตำแหน่งเช่นเดิม
แต่บัดนี้ภัยแล้งเข้ามากะทันหัน จนไม่อาจรับมือได้ อีกอย่างต้าเหยียนก็สูญเสียเสบียงจากการทำศึกมาหลายปี ท้องพระคลังจึงแทบจะไม่เหลืออะไร ชายชรานามว่า จางอี้จง คุกเข่าต่อหน้าพระพักตร์อย่างละอายใจ
“กระหม่อมไร้ความสามารถ ไม่อาจแก้ไขเรื่องภัยแล้งให้ทันท่วงที ขอฝ่าบาททรงลงโทษด้วย” ก้มหน้าเทียบพื้น
“ภัยแล้งทำร้ายต้าเหยีนนเรามาหลายปี ปวงประชาเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า แต่ขุนนางของข้ายังแก้ไขไม่ได้ เป็นเพราะเหตุอันใด ไหน มีใครจะชี้แจงเรื่องนี้”
เหล่าขุนนางน้อยใหญ่เงียบกริบไม่กล้าส่งเสียง ได้แต่หายใจเบา ๆ ไม่ทั่วท้อง ทว่ายังมีขุนนางผู้หนึ่งที่กล้าเดินออกมาด้วยความมั่นใจ ชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่าโค้งคำนับอย่างนอบน้อมก่อนจะกราบทูลตามที่ตนคิด
“กระหม่อมมีความเห็นพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางชั้นปลายแถวผู้นี้เพิ่งเข้ารับตำแหน่งไม่นาน จึงไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าใดนัก
“ว่ามาเรารอฟังอยู่”
“ข้าน้อยคิดว่า เหตุที่ภัยแล้งแก้ไขไม่หาย และยังสร้างความเสียหายเช่นนี้ เป็นเพราะวังหลวงมีตัวกาลกิณีพ่ะย่ะค่ะ”
ทว่ายิ่งทำให้ใบหน้าของหลงเยี่ยนมืดมนเข้าไปอีก เรื่องพวกนี้เขาไม่เคยเชื่อเลยสักนิด คนทำไม่ได้โทษผีเหรอ ไร้สาระสิ้นดี ถึงกระนั้นเขาก็ยังใจดีถามต่อ เพราะอยากรู้ว่าขุนนางผู้นี้เป็นผู้ใดส่งมา ถึงกล้าหาญเช่นนี้
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ผู้ใดกันที่เป็นตัวกาลกิณี หรือเป็นข้า”
“มิกล้า ๆ” ก้มหน้าเทียบพื้น
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าบอกชื่อมา ข้าจะให้คนไปเอาตัวมาที่นี่บัดเดี๋ยวนี้”
เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกคนจึงโล่งใจนึกว่าเรื่องราวจะคลี่คลาย แต่หารู้ไม่ว่าพายุกำลังจะมาเสียแล้ว หลงเยี่ยนยิ้มมุมปาก
“กระหม่อมรู้ตัวคนผู้นี้แล้วหลังจากที่กระหม่อมได้ไปดูหมอมา นางก็คือพระชายาหลานเสวี่ยแห่งตำหนักเย็นพ่ะย่ะค่ะ”
“ว่าไงนะ”
“จริงหรือเนี่ย ข้าก็เคยได้ยินข่าวลือมาบ้าง”
“จริงด้วยเมื่อวันก่อนก็มีทหารไปเจอเข้า จากนั้นก็จับไข้ตอนนี้ยังไม่หายเลย”
“ไม่น่าละ ภัยแล้งถึงหนักหนาเช่นนี้”
เหล่าขุนนางในท้องพระโรงต่างพากันตกใจ เพราะข่าวลือเรื่องตำหนักเย็นถูกเล่าปากต่อปาก จนกลายเป็นข่าวลือน่ากลัวไปแล้ว ยิ่งมีคนพูดถึงก็ยิ่งน่าเชื่อถือเข้าไปอีก
แต่ทว่าฮ่องเต้ผู้สง่าใบหน้านิ่งไม่ออกความเห็น เพราะยังคงจดจำหญิงนางนั้นได้เป็นอย่างดี คนที่เขาชังขี้หน้าเสียยิ่งกว่าอะไร เหตุการณ์นั้นยังตราตรึงใจไม่เคยลบเลือน คิดถึงคราใดยิ่งเจ็บเข้ากระดูก
“เป็นอย่างนี้เองหรือ ถ้าเช่นนั้นควรทำอย่างไรกับพระชายาดี” แสร้งถามด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง หลงเยี่ยนอยากจะลองยืมมีดฆ่าคนเสียบ้าง
“โทษของตัวกาลกิณีคือประหารชีวิตพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางผู้น้อยพูดอย่างไม่ลังเล พร้อมกับรู้สึกดีใจยิ่งนัก ในที่สุดฝ่าบาทก็ให้ความสนใจตนมากขนาดนี้ อนาคตต้องงดงามเป็นแน่
“เจ้ากรมพิธีการ คิดเห็นเช่นไร” หลงเยี่ยนตรัสถาม ขุนนางของตน
เจ้ากรมพิธีการโค้งคำนับ ก่อนจะพูด “ข้าน้อยคิดว่าเรื่องนี้ควร ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนพ่ะย่ะค่ะ เพราะพระชายาได้รับการอภัยโทษตามพระบัญชา ถ้าหากทำเช่นนี้ชื่อเสีย ชื่อเสียงของพระองค์จะมัวหมองพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาทกระหม่อมขอกราบทูล” ขุนนางผู้น้อยคนเดินพูดขึ้น
“ว่ามา”
“ถ้าเช่นนั้น ก็ให้พระชายาเข้าพิธีล้างบาป กระหม่อมคิดว่าเหล่าราษฎร ต้องยินดีอย่างยิ่งที่รู้ว่าตัวกาลกิณีถูกสวรรค์ชำระล้างเช่นนี้”
การล้างบาปพูดออกจะน่าฟัง แต่ความจริงแล้วผู้ที่เข้าพิธีจะถูกพระหลายรูปกักขังเป็นเวลาหลายวัน พอออกมาคนผู้นั้นที่เข้าไปล้วนแต่สติไม่สมประกอบทุกคน พิธีล้างบาปเช่นนี้ก็เหมือนกับทำให้คนตายทั้งเป็น
“ฝ่าบาทกระหม่อมคิดว่าควร..”
“พอได้แล้ว” หลงเยี่ยนรีบขัด เพราะไม่อยากฟังอะไรอีกแล้ว ในเมื่อโอกาสมาถึงเช่นนี้เขาจะปล่อยให้หลุดมือได้อย่างไร หลังจากกำจัดนางแล้วค่อยกำจัดขุนนางน้อยผู้นี้ เรื่องทั้งหมดควรเป็นเช่นนี้
ขุนนางฝ่ายขวาที่ยังเห็นใจหลานเสวี่ยต่างพากันขอร้อง แต่ก็ถูกขัดเสียก่อน เหล่าขุนนางย้อนนึกถึงเมื่อครั้งที่บิดาของนางเคยช่วยเหลือก็อดสงสารไม่ได้ แต่ด้วยความยึดมั่น และจงรักภักดีของเสนาบดีฝ่ายขวาหลานจิ้งฟง ที่ยอมตายเพื่อคำสั่งเสียของฮ่องเต้องค์ก่อน
“ฝ่าบาทกระหม่อมคิดว่า ยามนี้บ้านเมืองกระสับกระส่าย ราษฎรหวาดกลัว ทั้งภัยแล้วและภัยที่มองไม่เห็น หากตอนนี้ช่วยทำให้ราษฎรอุ่นใจคงจะเป็นเรื่องดีพ่ะย่ะค่ะ”
เสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบกราบทูลเมื่อเห็นท่าทีของหลงเยี่ยน ที่เหมือนจะเปลี่ยนไปตามความคิดของขุนนางผู้น้อย อีกอย่างวิธีนี้ก็ช่วยได้เยอะ ไม่ว่าจะใครก็ตามที่เป็นกาลกิณี เหล่าราษฎร ก็อุ่นใจ และช่วยให้วิกฤตครั้งนี้ผ่านพ้นไป
หลงเยี่ยนยกยิ้มมุมปากด้วยสีหน้านิ่งสงบ มือหนาลูบหัวมังกรทองบนบัลลังก์ พลางจ้องมองไปที่ขุนนางผู้น้อยก่อนจะตรัสว่า
“สั่งกรมพิธีการเตรียมทำพิธีล้างบาปในอีกสามวัน เชิญพระชายาออกจากตำหนักเย็นเพื่อทำพิธี จากนั้นก็รอดูว่าภัยแล้งนี้จะจบลงจริงหรือไม่ ถ้าหากยังอยู่ก็เอาขุนนางผู้นี้ไปตัดหัวเสียบประจาน เลิกประชุมได้”
สิ้นคำนั้นขุนนางผู้น้อยเป็นลมลงกับพื้นราวกับว่าชีวิตของเขาถูกยมบาลเอาไปแล้ว บัดนี้คนในท้องพระโรงถึงรู้ว่านี้เป็นความประสงค์ของพระองค์เอง แต่ใช้ขุนนางผู้นี้เป็นแพะรับบาป
ตำหนักเย็น...
เมื่อคืนหลับสบายจนทำให้หลานเสวี่ยตื่นสาย ปกตินางเป็นคนนอนตื่นสายอยู่แล้วด้วย ยิ่งอากาศหนาวแบบนี้ก็ยิ่งอยากนอนเข้าไปอีก
พอออกมายืดเส้นยืดสายข้างนอก ก็ไม่เห็นพวกนางสองคนแล้ว สงสัยคงออกไปข้างนอก นางจึงนั่งดื่มชาชมนกชมไม้ไปพลาง ๆ ก่อนที่จะเห็นสองคนรีบวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน
“พวกเจ้าทำไม่วิ่งเร็วแบบนี้ เดี๋ยวก็ล้มหรอก”
“เกิดเรื่องแล้ว คุณหนูเกิดเรื่องใหญ่แล้วท่านรีบหนีไปเถิด เดี๋ยวจะไม่ทันการ”
“ตอนนี้ท่านรีบหนีไปเถิด อย่าห่วงพวกเราเลย”
พวกนางพูดจนไม่ได้หายใจ ร่างกายของสองคนเหนื่อยหอบจากการวิ่ง ก่อนที่หลานเสวี่ยจะยกน้ำชามาให้ดื่มแก้เหนื่อย
“ดื่มชาก่อน แล้วค่อย ๆ พูดมีเรื่องอันใดทำไมต้องหนี พูดมาอย่างละเอียด”
“บ่าวจะเล่าเองเจ้าค่ะ เรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้...”
หลานเสวี่ยหัวเรื่องราวทั้งหมดที่พวกนางเล่าให้ฟัง ก็รู้สึกร้อนรุ่มในใจ เห็นชัด ๆ เลยว่าฮ่องเต้บ้านั่น อยากกำจัดนางจริง ๆ
“ทำไมถึงเชื่อเรื่องแบบนี้กันนะ พวกเจ้าคิดว่าข้าเหมือนเป็นตัวกาลกิณีอย่างนั้นหรือ ดูข้าสิ”
“ท่านเป็นเหมือน เซียนสาวที่อยู่สวงสวรรค์เจ้าค่ะ ไม่มีทางเป็นตัวกาลกิณีแน่ ๆ” เหมยพูดตอบ
“เรื่องนี้พระสนมหลี่ผินต้องมีส่วนแน่นอนเจ้าค่ะ เพราะขุนนางผู้นั้นเป็นคนของนาง”
เรื่องนี้ทำเอาหลานเสวี่ยหัวเสียไม่น้อย ทั้งที่ทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดี แต่ก็ดันมาเจออุปสรรคเสียได้ นางจะทำอย่างไรดีให้รอดพ้นวิกฤตครั้งนี้
นางครุ่นคิดหาวิธีเอาตัวรอดจากเรื่องนี้เสียก่อน ไม่เช่นนั้นคงกลายเป็นคนบ้าเสียสติไม่เอาด้วยหรอกนะ ถ้าจะหนีออกไปก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้แน่ ทางเดียวที่จะทำได้คือขอให้ระบบช่วยเหลือแล้ว
“ข้ามีเรื่องจะให้พวกเจ้าไปทำ เอาจดหมายนี้ไปให้ฝ่าบาท ถ้าส่งถึง พระหัตถ์ของพระองค์พวกเราก็มีโอกาสรอด”
หลานเสวี่ยยื่นจดหมายที่เขียนด้วยผ้าเก่า ๆ เนื้อหาข้างในสำคัญยิ่ง
“บ่าวจะทำให้ได้เจ้าคะ”
เหมยรีบรับจดหมาย แล้ววิ่งออกไปด้วยความเร่งรีบ นางไม่สนใจอันตรายใด ๆ ขอแค่ให้จดหมายถึง พระหัตถ์ของฝ่าบาท ความหวังทั้งหมดของหลานเสวี่ยขึ้นอยู่กับจดหมายฉบับนั้น
หลานเสวี่ยเข้ามาในมิติเพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิต หลังจากเก็บเกี่ยวก็ได้รับคะแนน 80 บวกกับอันเดิม 71 รวมเป็น 151 คราวนี้ หลานเสวี่ยปลูกมันฝรั่งสองชุด เพราะยามนี้ เจอปัญหาภัยแล้ง คิดว่ามันฝรั่งน่าจะเป็นอาหารที่ดีที่สุดตอนนี้ใน หลังจากเพาะปลูกมาเกือบสามวันนางก็มีมันฝรั่ง 220 กิโลกรัม ผักกาดขาว 200 กิโลกรัม กะหล่ำปลี 180 กิโลกรัม และ พริก 90 กิโลกรัม ต้นหอมก็มี 140 กิโลกรัมพืชที่ปลูกในมิติเติบโตได้อย่างดี ทำให้ผลผลิตได้เยอะ ยังดีที่มีถุงมิติเก็บของทำให้เก็บได้อย่างสะดวกสบาย แต่วันนี้หลานเสวี่ยมาเพื่อทดลองระบบลดเวลาการเพาะปลูก ที่จะต้องใช้ 7 คะแนน เพื่อลดเวลาเพาะปลูกเหลือ 2-3 ชั่วโมง จาก 6-8 ชั่วโมง“ระบบใช้ 7 คะแนนเพื่อลดเวลาเพาะปลูก” (ยินดีด้วยท่านได้ใช่การลดเวลาเพาะปลูกเป็นครั้งแรก ได้รับ 100 คะแนนสำหรับครั้งแรก)คะแนนคงเหลือ 220 ทำให้นางอุ่นใจได้บ้าง ถ้าหากจดหมายถูกขัดขวาง หรือฮ่องเต้ใจดำอำมหิตเกินมนุษย์ นางก็พอมีหนทางรอดได้บ้าง หลานเสวี่ยสำรวจเมนูร้านค้ามากมายเพื่อรอให้ผลผลิตเติบโต นางจึงตัดสินขายพื้นที่เพาะปลูกเพิ่ม 5 ตารางเมตร รวมแล้วก็ได้ 15 ตารางเมตร“ระบบใช้ 150 คะแนนขยายพื้นที่” (ย
ทหารยามสองคนเดินมาหานางด้วยท่าทางนิ่งสงบ ในมือของพวกเขาถือดาบยาว สวมเกราะทอง คงเป็นองครักษ์หลวง แต่ที่แปลกไปคือ พวกเขาไม่รีบร้อนเหมือนครั้งแรกที่พบกับหลานเสวี่ยก้มหน้ามองพื้น เตรียมตัวเข้าไปในมิติถ้าหากเหตุการณ์ไม่สามารถควบคุมได้ อย่างน้อยให้พวกเขาเข้าใจไปว่าเธอเป็นวิญญาณก็ยังดี“นางกำนัลตำหนักไทเฮา มาที่นี่มีเรื่องอันใดหรือ”“ข้ามีเรื่องสำคัญต้องกราบทูลหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท จึงมาที่นี่” หลานเสวี่ยเล่นไปตามน้ำ เพราะไม่คิดว่าชุดข้ารับใช้ที่นางแลกมา 5 คะแนนจะช่วยนางได้อย่างดี เมื่อมองหน้าทหารยามสองคนทั้งสองน่าจะเชื่อด้วยแต่สายตา และ ท่าทางของสองทหารหนุ่มลายเป็นความประหม่าทันทีเมื่ออยู่ต่อหน้า สตรีที่งดงามเช่นนี้ พวกเขาทำตัวไม่ถูกแม่แต่ตอนพูดยังติดขัด พวกเขาไม่เคยเห็นสตรีนางใดจะงดงามเหมือนตอนนี้“เช่นนั้น ก็ตามข้ามาเถอะ”“เจ้าค่ะ”หลานเสวี่ยเดินตามเข้ามาในตำหนักอันกง เพราะทหารยามบอกว่าฝ่าบาทเสด็จไปตำหนักอันกงแล้ว เดินมาสักพักก็มาถึงตำหนักอันกง นางจึงกล่าวขอบคุณแล้วเดินเข้าไป เมื่อทหารยามประตูเห็นว่านางสวมชุดตำหนักของไทเฮา พวกเขาก็ยังต้องตรวจตราสัญลักษณ์ด้วยหลานเสวี่ยมีจี้หยกที่ระบบให้ม
เมื่อเช้ามืดระบบก็อัพเกรดสำเร็จ หลานเสวี่ยจึงเข้าไปสำรวจดูว่า 500 คะแนนที่เสียไปได้อะไรมาบ้าง นอกเหนือจากที่ระบบเคยบอกไว้ก็มีพื้นที่สำหรับเพาะปลูกเพิ่มขึ้นห้าตารางเมตร และเพิ่มแถบเมนูมาใหม่ นี่คือความสามารถพิเศษ เช่นทำให้ฝนตก พายุถล่ม แผ่นดินไหว พยากรณ์อากาศ .... บางอันก็มีประโยชน์อยู่บ้างเช่นพยากรณ์อากาศ หลานเสวี่ยเคยใช้เมื่อครั้งก่อน เป็นคำแนะนำจากระบบที่ช่วยให้นางแก้ไขปัญหาได้ ตอนนี้นางมี 500 คะแนน +1000 สำหรับการอัพเกรดระบบ นับว่าได้มากกว่าเสีย 1500 คะแนน นางเลือกซื้อของในร้านเช่นครีมอาบน้ำ และทำให้กลายเป็นของใช้ในยุคนี้ด้วยระบบเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ ใช้ไป 1 คะแนน แม้จะเสียดายคะแนนแต่นี้ก็เป็นการลงทุน อีกอย่างนางจะได้รับเงินทองมากมายในครั้งนี้ เมื่อนึกถึงสินค้าของตัวเองมีชื่อเสียงในวังหลังนางก็ยิ้มอย่างพอใจ คราวนี้แหละต้องเป็นมหาเศรษฐีในยุคนี้ให้ได้ตำหนักสนมหานผินหานหลงยิ้มอย่างพอใจเมื่อเดินเข้าในงานเลี้ยงน้ำชาของเหล่านางสนม ทันทีที่นางเดินผ่าน พวกนางสนมรุ่นเดียวกันที่เคยแย่งชิงความดีความชอบด้วยกันต่างสูดดมกลิ่นหอมจากตัวนางที่แผ่ออกไป นางสนมพวกนี้คงไม่เคยรู้จักกลิ่นหอมเช่นนี้สินะ พ
หลานเสวี่ยงัวเงียลุกขึ้นจากเตียงนอน ทั้งที่กำลังฝันหวานถึงพระเอกในดวงใจของตน แต่ต้องมาตื่นเพราะเสียงระบบที่ดังจนนึกว่ามีสงครามโลกครั้งที่สามเกิดขึ้นแล้วในมิติ นางจึงออกมาจากกระท่อมหลังเล็ก ก่อนจะตรวจดูมันฝรั่งใบเขียวสวยของตนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อได้ฟังจากปากของเหมย และหยาง นางก็อดสงสารไม่ได้ ผู้คนในยามนี้อดอยากปากแห้ง บางคนมีเงินทองแต่จะซื้ออะไรได้ ต้องอดมื้อกินมื้อ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล่าคนยากไร้ที่รอความช่วยเหลือจากฮ่องเต้ ถ้าเป็นในยุคปัจจุบันพวกเขาคงกลายเป็นข่าวใหญ่ไปแล้ว ทำให้ทางการต้องรีบช่วยเหลือ แต่ในยุคนี้ปากเสียงถูกปิด พูดอะไรไม่ได้มาก หลานเสวี่ยพอรู้ว่าในยุคนี้ขุนนางเลวมีเยอะอย่างกับดอกเห็ด บางทีทางการอาจจะช่วยเหลือแต่ถูกพวกนั้นเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ส่วนที่เหลือก็ไม่พอความต้องการแม้ในตอนนี้มันฝรั่งที่ปลูกได้จะเยอะขึ้นแล้ว ก็ยังไม่เพียงพอถ้าเป็นเช่นนั้น อีกอย่างเพิ่มพื้นที่การผลิตสูงสุดแล้ว จนคะแนนไม่พอ เพราะราคาจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ได้มา สี่สิบตารางเมตร คะแนนคงเหลือ 100 จะทำอะไรคงต้องระวังตัวมากกว่าเดิม แต่ปัญหาหลักอีกอย่างคือถุงมิติที่ใกล้จะเต็มแล้วตอนนี้นางออกจากมิต
กลายเป็นว่า เพราะนางตื่นสายทำให้ทำงานเสร็จช้า ฝ่าบาทจึงหารือกับขุนนางช้า พอไทเฮามาถึงจึงไม่สามารถเข้าพบได้ หลานเสวี่ยรู้สึกผิดอยู่บ้างแต่ ต้นเหตุคือหลี่ผิน ที่วางอำนาจบาตรใหญ่ เพราะมีไทเฮาถือท้ายให้จึงไม่กลัวใครจะว่าไปนั่นก็เป็นแม่สามีของหลานเสวี่ยเหมือนกันถ้าหากลูกชายของนางไม่เป็นคนใจดำอำมหิตเช่นนั้นนะ ยืนเหม่ออยู่ตั้งนานนางก็ถูกหัวหน้านางกำนัลเรียกตัวให้ไปทำงาน แต่ก่อนจะไปนางได้มอบขวดน้ำจากมิติขวดเล็กให้กับหัวหน้า“ใช้ทาที่ใบหนาของท่าน มันจะหายในไม่ช้า ไม่ต้องกลัวหรอกมันไม่อันตรายอย่างที่คิด” “ข้าจะรับไว้ เจ้ารีบไปเถอะ อย่าสร้างเรื่องอะไรอีกล่ะ”“เจ้าคะ” เมื่อนางรับไว้เท่านี้ก็พอแล้ว หลานเสวี่ยเข้ามารับใช้ที่ห้องหนังสือเช่นเดิม พอเข้ามาก็เห็นฝ่าบาทนั่งอ่านฎีกาด้วยท่าทางสง่า พอมองดูดี ๆ ในหนังที่นางเคยดูกับตอนนี้ดูแตกต่างมาก ฮ่องเต้ในตอนนี้ดูน่าเกรงขามราวกับมีพลังวิเศษบางอย่าง หรือเป็นเพราะที่แห่งนี้เป็นโลกเวทมนตร์กันนะ นางเอกก็ไม่เข้าใจ แต่ชายผู้นี้ไม่ใช่คนปกติทั่วไป หรือเขาเป็นเทพเซียน อย่างตำนานของฮ่องเต้ที่บอกว่า เป็นสายเลือดของเทพ หลานเสวี่ยคิดไปเรื่อยเปื่อย“ยืนเหม่ออันใดอย
หลานเสวี่ยเดินออกมาจากสวนด้วยความโมโห คุณหนูจางเสี่ยวหลงในชาติก่อน มีชีวิตสุขสบาย ใครจะกล้ารังแกเธอ ดูตอนนี้เป็นแค่พระชายาที่ผัวไม่รัก แถมยังถูกเมียน้อยรังแกอีก จะสงสารหลานเสวี่ย หรือสงสารตัวเองดีนะ“มาแล้วหรือ นางกำนัลจาง เข้าไปเถอะฝ่าบาทกับเหล่าขุนนางรอเจ้าอยู่ข้างใน” “รอข้าหรือ ไม่ใช่ว่ามีแต่ฝ่าบาทหรอกหรือ” “ฝ่าบาททรงอยากให้ขุนนางรู้ข้อมูล จะได้จัดเตรียมความพร้อมให้เหมาะสม ท่านก็รีบไปเถอะ” “เจ้าคะ ฉ่างกงกง”นางรีบเดินเข้ามาในห้องหนังสือ ก็พบขุนนางสองคนนั่งรอตรงที่นั่งต่ำกว่าฮ่องเต้ ในความทรงจำของหลานเสวี่ย ทำให้รู้ว่าสองท่านนี้คือ เจ้ากรมพระคลัง กับเจ้ากรมโยธา ที่รับหน้าที่สำคัญในการรับมือกับภัยแล้งพอหลานเสวี่ยมาถึงทั้งสองคนก็มองไม่ละสายตา สีหน้าบ่งบอกถึงความสงสัย และไม่มั่นใจว่าแค่นางกำนัลตัวเล็ก ไปจะสามารถทำเรื่องใหญ่โตเข่นนี้ได้สำเร็จ แม้แต่ผู้มีความรู้อันดับหนึ่ง และผู้มีชื่อเสียงยังใช้เวลาเป็นร้อยปีกว่าจะติดต่อหาคนจากแดนเซียน เพื่อมาสั่งสอนคนในราชวงศ์ แค่ปีละครั้งเท่านั้นเองแต่นี้นางถึงกับติดต่อซื้อขายโดยตรง ทำให้ชายชราสองคนไม่เชื่อ และรวมถึงฮ่องเต้ก็เช่นกัน เขาไม่เชื่อเลย
ฮ่องเต้หนุ่มหยิบตะเกียบทองขึ้นมา คีบเอาแท่งมันฝรั่งทอดเข้าปาก ก่อนจะเคี้ยวเบา ๆ ตามแบบของผู้ดี แต่สีหน้ายังคงนิ่งเฉยมาก แล้วเปลี่ยนเป็นมันฝรั่งเผาที่ยังมีอายร้อนลอยออกมาอยู่ คำเล็กถูกเอาเข้าปากหนาแต่สีหน้ายังเป็นเช่นเดิม สุดท้ายมันฝรั่งบด ก็ยังเป็นเช่นเดิม“เป็นเช่นไรบ้างเพคะ” “ก็ดี นับว่ารสชาติใช้ได้เลย อีกอย่างคุณค่าทางอาหารที่เจ้าบอกก็คงไม่เกินจริง เพราะข้าชิมเท่านี้ยังรู้สึกอิ่ม และมีเรี่ยวแรงขึ้นมาทันที” “เช่นนั้นหม่อมฉันก็โล่งใจ” หลานเสวี่ยหายใจได้เต็มปอด แม้เขาจะไม่แสดงท่าทางออกมาแต่ก็คงอร่อยอยู่แล้ว “พวกท่านก็ลองชิมดู อีกประเดี๋ยวค่อยมาหาลือกันต่อ ข้าจะคุยเรื่องสำคัญกับนางกำนัลจางเสียหน่อย” “ขอบพระทัยฝ่าบาท” ทั้งสองคนรีบยกอาหารออกไปข้างนอก เหลือแต่หลานเสวี่ยกับฮ่องเต้ ทำให้บรรยากาศแตกต่างจากเมื่อก่อนมากเลย นางรู้สึกกลัวยังไงไม่รู้เมื่ออยู่กับเขาสองคน“ว่ามาเถอะ เรื่องเสบียงติดต่อได้เมื่อไหร่” น้ำเสียงนิ่ง ทำให้คนฟังรู้สึกถึงอารมณ์ และความรู้สึกของเขาได้อย่างดี“หม่อมฉันได้รับการตอบกลับแล้วเพคะ ท่านเซียนผู้นั้นส่งจดหมายด้วยผีเสื้อวิญญาณ หม่อมฉันจึงได้รับมาแล้ว” “รวดเร็วยิ
หลานเสวี่ยเดินตามเจ้ากรมทั้งสองมาจนถึงกรมคลัง ตรงหน้าเป็นตำหนักขนาดใหญ่แต่ไม่เท่าตำหนักอันกง ในนั้นมีขุนนางน้อยใหญ่ที่ยังทำหน้าที่ของตน เมื่อเห็นเจ้ากรมก็รีบเดินมาหาทันที“คารวะ ท่านเจ้ากรมกวน ท่านเจ้ากรมหยาง มิทราบว่ามีธุระอันใดให้ผู้น้อยรับใช้หรือไม่” “ข้ามีธุระสำคัญมาก เจ้ารีบไปทำหนังสือเบิกเงินค่าเสบียง แล้วให้คนไปเตรียมคลังเก็บของจำนวน 6000 ชั่งให้เร็วหน่อย นี้ก็ใกล้มืดแล้ว”เจ้ากรมกวนสั่งลูกน้อง ก่อนจะพาหลานเสวี่ย และเจ้ากรมหยางไปที่ห้องรับรอง“เชิญนั่งตามสบายเถิดแม่นางจาง”“เจ้าค่ะ” นางรู้สึกปวดเมื่อยไปหมด ตั้งแต่เช้าก็ได้แต่ยืน และเดินจากตำหนักอันกงมาถึงนี้เกือบสองกิโลเมตร ตอนนี้เธอนั่งดื่มชาโดยไม่สนใจเจ้ากรมสองคนที่นั่งคุยกันอยู่ พวกเขากำลังเถียงกันเรื่องเตรียมรถม้าไปรับของ เมื่อมาถึงหูของนางก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้บอกว่า มันฝรั่งทั้งหมดอยู่ในถุงมิติเล็ก ๆ นี้“ข้าว่าเสบียงเยอะเช่นนี้ควรเอาทหารไปเยอะ ๆ หรือจะให้ท่านแม่ทัพเฉินเป็นคนคุ้มกันก็ยิ่งดี” “แต่ข้าว่าให้คนของข้าไปด้วยน่าจะดีกว่า เพราะคุ้นเคยเส้นทางดี อีกอย่างเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น คนของข้าก็มีประโยชน์กว่า” “ช้าก่อน
หลังจากเดินทางมายาวนานก็มาถึงเมืองหลวง หลานเสวี่ยที่ไม่มีอะไรทำมาหลายวันก็ตรงไปที่หอการค้าร้านสะดวกซื้อทันที ทว่าเมื่อนางมาถึงก็ทำให้ผู้คนตามสองข้างทางมองตามไม่กะพริบตา สตรีที่งดงามเช่นนี้มีในเมืองหลวงด้วยหรือ ทุกสายตาต่างสงสัยผู้คนรายล้อมมองดู ต่างก็ไม่รู้ว่านางเป็นคนตระกูลไหน การมาถึงของหลานเสวี่ยทำให้พ่อสื่อแม่สื่อมีงานล้นมือเป็นแน่ เพราะเหล่าชายโสดต่างติดต่อถามไถ่ถึงนางกันทั่วหน้า หลานเสวี่ยเดินไปไม่สนสายตาของผู้คน เหล่าชายหนุ่มตระกูลสูงศักดิ์หรือสามัญชนคนธรรมดาก็ไม่อยู่ในสายตา เพียงแค่นางก้าวเดินคนก็พร้อมจะเปิดทางให้อย่างเต็มใจ จนมาถึงหอการค้าของตน คนคุ้มกันก็ยืนทำหน้าที่อย่างทุกวันแต่วันนี้คนคุ้มกันตกตะลึงจนหันไปมองตาม แค่นางเข้ามาในร้านยิ่งดูโดดเด่น เสี่ยวเอ้อร์ในร้านต่างก็มาให้การบริหารอย่างเต็มใจ ใบหน้ายิ้มแย้ม พวกเขาถามกันไปมาว่าแม่นางผู้นี้เป็นคุณหนูบ้านไหนกัน เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนเลย“แม่นางต้องการสิ่งใดบอกข้าน้อยได้เลยขอรับ” หลานเสวี่ยยิ้มอย่างเบาบางแต่ไม่ตอบอะไร เพราะเป็นหน้าที่ของหยางในการเปิดเผยเรื่องนี้ “ทุกคนมารวมตัวกันตรงนี้ ข้ามีเรื่องจะแจ้ง” หยางได้ส่งจดหมายใ
ในสายตาของผู้ฝึกเซียนขั้นสี่ พวกนางจะทำอะไรได้ ส่วนคนคุ้มกันก็แค่พอถ่วงเวลา งานนี้ไม่ยากเย็นนัก มือสังหารเดินเข้ามาตรง ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้คุ้มกันไม่รอช้ารีบตรงเข้าไปขวาง แต่หลานเสวี่ยห้ามเอาไว้ก่อน“ก็แค่มดปลวก ข้าจัดการเอง พวกเจ้าถอยไปก่อน” นางพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ และหนักแน่น แววตาคู่สวยแสดงออกถึงความจริงจัง ทำให้หยางกับเหมยถอยออกมา รวมถึงผู้คุ้มกันที่กำลังตัวสั่นเพราะความกลัว “ถ้าเช่นนั้นก็ฝากแม่นางด้วย” เขาโค้งศีรษะอย่างนอบน้อม แม้จะมองไม่ออกว่าหลานเสวี่ยจะใช้อะไรเอาชนะผู้ฝึกเซียนระดับนี้ แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ เขาจึงเลือกที่จะเชื่อนาง และขอให้นางสามารถจัดการได้ เขายังไม่อยากทิ้งครอบครัวให้ลำบาก“แค่มดปลวกหรือ ปากดีเสียจริงนะ คำพูดนี้เป็นข้าทีต้องพูดออกมา ลนหาที่ตายนัก ได้...ข้าจะส่งเสริมเจ้าให้ตายเร็วขึ้นเอง” “อย่าเอาแต่พูดเลย อยากเข้ามาก็มาได้ตลอด ข้ารอเจ้าอยู่ เจ้ามาสิ” หลานเสวี่ยยืนกอดอกมองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น ทำเอาผู้ฝึกเซียนถึงกับเหงื่อซึม เมื่อสัมผัสพลังบางอย่างจากตัวนาง เขาไม่มั่นใจนักว่ามันคือสิ่งใด แต่สัญชาตญาณของเขาบอกให้ถอย เมื่อยั
ตลอดหลายวันที่ผ่านมานางต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ เพราะเรื่องต่าง ๆ มากมายให้จัดการ เร่งด่วนจนไม่มีเวลาพัก หลายวันนี้แม้แต่ระบบยังห้ามไม่ให้นางใช้น้ำวิเศษเพราะจะทำให้เกิดผลเสียมากกว่าดี เหตุก็เพราะว่านางดื่มน้ำเกือบห้าสิบครั้ง แต่ละครั้งคือร่างกายนางเหนื่อยล้าเต็มที่ โดยเฉพาะยามกลางคืน ที่หลานเสวี่ยจะยังอยู่หอการค้า เพราะรออนุมัติ ไม่ก็รอตอบจดหมายเร่งด่วน ขอความเห็นจากสาขาอื่นที่ส่งออกไป เป็นเรื่องที่แม้ว่าคนอื่นจะรอได้ แต่นางไม่สามารถรอได้ร่างเพรียวบางนอนราบบนเตียงนุ่ม อ่อนล้าไปทั้งตัว ขอบตามีรอยดำคล้ำเล็กน้อย กับความรู้สึกปวดร้าวทั้งร่างกาย ใบหน้าของนางซีดเชียว และซูบผอมลง เพราะไม่ได้หลับเต็มอิ่มมาเกือบอาทิตย์ “ลูกแม่ ทำไมถึงทำงานหนักเช่นนี้ เงินทองใช่ว่าจะสำคัญทุกอย่าง ตอนนี้เราไม่ได้ขาดเงิน เจ้าจะรีบร้อนทำไมหรือ” ผู้เป็นแม่เข้ามาบีบนวดให้นางทุกวัน ทำให้หลานเสวี่ยรู้สึกดีขึ้นมาก ๆ ฝีมือของท่านแม่ดีจริง ๆ ช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็วกว่าเดิม นางได้แต่ยิ้มให้หลานฮูหยิน“ลูกไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ผอมลงนิดเดียว อีกอย่างไม่ได้แต่งงานกับบุตรชายเสนาบดี เท่านี้ก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ” นางพูดด้วยความร่าเริง เม
หลานเสวี่ยกำลังยุ่งอยู่กับระบบ เพราะตั้งแต่ที่เปิดร้าน ทำให้คะแนนเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน คะแนนรวมของนางคือหก แสนคะแนนจากระบบ และ แสนห้าหมื่นคะแนนความดีที่เพิ่มขึ้น เมื่อก่อนนางมีคะแนนจากระบบเจ็ดแสน แต่เพราะอัปเดตระบบเป็นเวอร์ชันสุดท้าย ใช้ไป 1 แสนคะแนน ทำเอาหลานเสวี่ยแอบสงสัยว่าทำไมถึงใช้เยอะแบบนี้ แต่นางก็ยอมเพราะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะอัปเดต“ระบบ ทำไมถึงใช้คะแนนเยอะมากกว่าทุกครั้งละ หรือว่ามีของรางวัลดี ๆ”(เป็นเพราะว่านี้คือระบบเวอร์ชันสุดท้าย ที่สำคัญจำเป็นต่อผู้ใช้เช่นกัน....)“เดี๋ยวก่อน ทำไมเงียบไปละ” ระบบไร้เสียงตอบ ทำเอาหลานเสวี่ยตกใจไม่น้อย แต่ก็จัดการ ส่งคำสั่งเพาะปลูกได้เป็นปกติ ถึงมิติก็ยังใช้ได้ จึงคิดว่าระบบคงขัดข้องชั่วคราว แต่นางแอบสังเกตนิดหน่อยเพราะช่วงนี้ระบบแปลกไปจากเดิมมาก อย่างเช่น น้ำในลำธารของระบบลดลงจนสังเกตได้ และแสงสว่างในนี้ก็ลดลงเช่นกัน อยากจะถามระบบแต่ก็มาหายตัวไป สงสัยคงกำลังอัพเดทชุดใหญ่ นางจึงไม่สนใจระบบ แล้วไปทำอย่างอื่นต่อ แต่ละวันนางจะใช้คะแนนแลกของขายดี อย่างเช่นเครองสำอาง ที่สตรีร่ำรวย และขุนนางใช้กัน นี้เป็นรายรับสามส่วนของนางก็ว่าได้ ช่วยให้จัดกา
หลานเสวี่ยกลับมาที่จวนในตอนสาย พอมาถึงสายตาของบิดามารดาก็มองนางด้วยความสงสัย บุตรสาวของตนไปค้างที่ใดมา แม้จะมีคำถามมากมายอยู่ในอกของทั้วสอง แต่พักนี้รู้สึกว่านางดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แถมยังเฉลียวฉลาดมากกว่าเดิม ท่าทางก็เปลี่ยนไป ทำให้ทั้งสองไม่กล้าที่จะถามตรง ๆ หลานฮูหยินรีบออกมารับบุตรสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ส่วนใต้เท้าหลานเดินตามหลังมาด้วย“กลับมาแล้วหรือ หิวไหมแม่จะไปทำกับข้าวให้เจ้า” “ลูกินอิ่มแล้วเจ้าค่ะ ตอนขากลับแวะซื้อของอร่อยตามทางมาด้วย นี้เจ้าต่ะ” หลานเสวี่ยยกสิ่งของรุงรังในมือขึ้นมา รวมถึงบ่าวทั้งสองคนก็แทบจะแขนลาก เพราะเป็นคนถือของให้นาง ดีที่แข็งแรงหน่อย“ทำไม่ซื้อมามากมายเช่นนี้ จะกินหมดหรือ ดูสิผิวพรรณ.. เนียนสวยเสียจริง ดูแล้วลูกแม่สวยขึ้นเป็นกองเชียวนะ” มารดาของนางเมื่อสำรวจดี ๆ จึงรู้ว่านางดูเปร่งประกายราวกับถูกเคลือบด้วยออร่า แม้เมื่อก่อนนางจะงดงามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่วันนี้ยิ่งแตกต่าง ผิวพรรณผุดผ่อง สัมผัสนุ่มนวล ไหนจะกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่โดดเด่น ทำให้หญิงวัยย่างเข้าสี่สิบสนอกสนใจกว่าเดิม ดวงตาคู่นั้นก็มองด้วยความสงสัย เพราะมีเรื่องแปลกประหลาดมากมายอย่างเช่น เมื่อวานท
หลานเสวี่ยถูกอุ้มเข้าไปในห้องนอน มือเรียวยังคงปิดหูตัวเองเอาไว้แน่น เพราะกลัวเสียงฟ้าร้อง ทันทีที่เข้ามาข้างในเสียงต่าง ๆ ก็เงียบไปอย่างมหัศจรรย์ หญิงสาวลืมตาขึ้นด้วยความประหลาดใจ และพบว่าตนเองอยู่ในอ้อมแขนของเขา ใบหน้าของหลานเสวี่ยแดงระเรื่อ เธอหลุบตาลงต่ำด้วยความเขินอายเมื่อสบสายตาคมคายที่มองตรงมา ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองถูกอุ้มเข้ามาในห้องเสียแล้ว“เจ้าไม่ต้องกลัวหรอก ที่นี่ไม่มีเสียงฟ้าร้องเหมือนด้านนอก เพราะข้าใช้สมบัติวิเศษป้องกันเอาไว้” น้ำเสียงทุ้ม พูดพลางวางเธอลงบนเตียงนุ่ม ๆ พร้อมกับห่มผ้าให้ และลงไปนอนรวบตัวนางเอาไว้แน่น“เจ้าค่ะ...แต่” หลานเสวี่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ท่านแม่ทัพจะกอดข้าน้อยแบบนี้ทั้งคืนหรือ ชายหญิง...”ปากน้อย ๆ ของนางกำลังจะพูดเรื่องยาว แต่ถูกมือใหญ่ปิดเอาไว้อย่างรู้ทัน เขาไม่ปล่อยโอกาสอันดีให้เสียเปล่า เป็นวัวเป็นม้าให้นางแล้ว ต้องได้รางวัลเสียหน่อยถึงจะถูก“สามีภรรยาอยู่ด้วยกันจะเป็นไรไป หากเจ้ายังดื้อดึงอีก ข้าจะไม่หักห้ามใจแล้วนะ” พูดเสียงสั่นเครือ เพราะกำลังหักห้ามใจตัวเองหลานเสวี่ยรู้สึกถึงหัวใจของตนเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก จึงก้มหน้ามองแผ่นอกกว
รอจดหมายจากพระองค์เกือบสองถ้วยชา แต่นางยังไม่เห็นจะมีวี่แววจะออกมาเลย เขียนร้อยฉบับหรืออย่างไรกันแน่ ร่างเล็กเดินไปมาอยู่ในห้องรับรอง ก่อนจะเดินออกมามองดูนอกหน้าต่าง ตอนนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มคล้ายฝนจะตก นางยิ่งร้อนใจ ขาเรียวไม่รอช้าอีกต่อไป เดินออกจากห้องรับรองไปที่ห้องทำงานของท่านแม่ทัพโดยตรง ก่อนจะเห็นท่านแม่ทัพเดินมาจากข้างนอก ทำเอานางรู้สึกงุนงงอย่างมาก “ท่านแม่ทัพเจ้าคะ! ท่านคงไม่ลืมจดหมายของข้าหรอกนะ” น้ำเสียงเรียบนิ่งแฝงไปด้วยความไม่พอใจ แม่นางจะพยายามเก็บความรู้สึกหงุดหงิดเอาไว้“ข้าจะลืมได้อย่างไร เมื่อครู่ข้ามีธุระด่วนไม่คิดว่าเจ้าจะรีบร้อนอย่างนี้” ยืนตัวตรง มองนางด้วยสายตามีเลศนัย“หาใช่แบบนั้นเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะกล้าเร่งรัดท่านแม่ทัพได้อย่างไร” “เช่นนั้นก็มาฝนหมึกให้ขาเถิด” หลงเยี่ยนเดินนำไปก่อน ทิ้งให้หลานเสวี่ยมองตามแผ่นหลังกว้างด้วยความไม่พอใจเล็ก ๆหลานเสวี่ยเดินตามไปพร้อมกับบ่นพึมพำในใจ ทำไมแค่จดหมายฉบับเดียวต้องดึงเวลาให้ยุ่งยากแบบนี้ด้วยนะ แต่นางจะทำอันใดได้ ยามนี้ได้แต่ก้มหน้าก้มตาฝนหมึกให้ได้เยอะ พระองค์จะได้เร่งเขียนให้เสร็จ ทว่าไม่นานเสียง “กร๊อก" ดังขึ้นใบหน้าสวย
ทหารหนุ่มวิ่งหน้าตั้งออกมาจากกำแพงใหญ่ แล้วสั่งให้รถม้าของหลานเสวี่ยเข้าไปได้ ทำเอาเหล่าคุณหนูที่มารอตั้งนานแทบจะตาลุกเป็นไฟด้วยความริษยา แม้จะรู้ว่านางถูกปลดแล้ว แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิงของฝ่าบาทย่อมสูงส่งกว่าสตรีทั่วไป “พวกเจ้าก็รอต่อไปเถิด เห็นทีคงต้องรอจนหัวหงอกกระมัง” หลานเสวี่ยพูดทิ้งท้ายก่อนจะให้คนขับรถม้าขับออกไป ทำเอาบ่าวสองคนยิ้มอย่างสะใจที่ได้เอาคืนพวกนั้นเมื่อมาถึงขาวในจวนนางเดินตามทหารยามเข้าไปในจวน ที่นี่ไม่ได้หรูหราเหมือนจวนแม่ทัพที่เมืองหลวง เพราะเป็นที่พักชั่วคราวใช้ยามจำเป็น แต่ก็เรียบง่ายดี สีสันไม่โดดเด่น ส่วนมากจะเป็นข้าวของที่ทำจากไม้ สวยอยู่ไม่น้อย“รอก่อนนะขอรับข้าน้อยจะไปแจ้งท่านแม่ทัพให้” ทหารหนุ่มสีหน้าซีดเซียว แม้จะรู้ว่าตราไว้ชีวิตมีไว้ทำอันใด แต่เขาเกรงว่าครั้งนี้จะตัดสินใจพลาดจนถูกแม่ทัพลงโทษ หรือถ้าหากเกิดเขาปล่อยแขกของท่านแม่ทัพไป เกรงว่าจะยิ่งถูกลงโทษหนัก สถานการณ์เช่นนี้เลือกทางไหนก็ไม่รอด นอกจากท่านแม่ทัพจะให้ความสำคัญกับแขกคนนี้ทหารหนุ่มยืนอยู่ต่อหน้าประตูห้องทำงานส่วนตัว เมื่อเช้าเขาได้รับคำสั่งว่าไม่ให้ผู้ใดมารบกวน แต่ตอนนี้เขาลังเลว่าจะรอดต
มือเรียวยกกาน้ำชาขึ้นมารินให้บิดาอย่างเรียบร้อย จึงเลื่อนไปรินให้มารดาที่นั่งยิ้มให้กับนาง ทั้งสองคนดีใจจนยิ้มไม่หุบ ที่บุตรีสุดที่รักกลับมาให้เอ็นดูอีกครั้ง นับตั้งแต่พี่สาวของนางออกเรือน จวนตระกูลหลานก็เงียบเกินไป จะดีแค่ไหนหากพวกนางสองคนมีหลานให้พวกเขาทั้งสอง แม้ว่าหลานเสวี่ยจะไม่มีโอกาสแล้วก็ตาม เรื่องนี้ทั้งสองรู้ดี แต่พี่สาวนางกำลังจะได้รับข่าวดี จวนจะได้ครึกครื้นไม่เงียบเหงาอีก “กลับมาไม่นาน ลูกปรับตัวได้หรือยัง ที่นี่ค่อนข้างห่างไกลเมืองหลวงไม่ค่อยมีอันใดให้เพลินตานัก” มารดาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม“ลูกปรับตัวได้เจ้าค่ะ อีกอย่างที่เมืองหลวงไม่ค่อยมีอันใดให้ลูกดูมากนัก ที่นี่น่าดูมากกว่า” “ถ้าเช่นนั้นพ่อจะสั่งคนทำห้องให้เจ้าใหม่ จะได้อยู่สบายขึ้น รออีกสักสามเดือนพี่สาวเจ้าก็จะมาเยี่ยมแล้ว ตอนนี้ลูกคงไม่รู้ว่าพี่สาวของเจ้าตั้งครรภ์แล้วนะ” ใต้เท้าหลานพูดด้วยน้ำเสียงปีติ แสดงออกมาชัดเจน“จริงหรือ เป็นเรื่องดีแท้ ๆ ท่านทั้งสองจะได้ไม่เหงามาก ลูกเองก็จะมาเยี่ยมบ่อย ๆ เจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นสองสามีภรรยาก็มองหน้ากันอย่างสงสัย ทั้งที่คิดไว้ว่านางจะมาอยู่ด้วยกันที่นี่“ลูกไม่มาอยู่ที่