เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่นี่ก็หนาวเข้ากระดูก คงเป็นเพราะตำหนักเย็นแห่งนี้ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก มีแค่เสื้อผ้าเก่า ๆ ผ้าห่มผืนบาง ไม่มีเชื้อเพลิงมาทำให้ตำหนักอบอุ่น หลานเสวี่ยไม่ได้คาดหวังอะไร เพราะจากความทรงจำของเจ้าของร่างแล้ว นางต้องทนหนาวแบบนี้ทุกวัน
พี่หยางกับเหมยสองคน เก็บเศษหญ้าเศษไม้เอามาตุนไว้เพื่อจุดไฟในยามที่หนาวที่สุด อย่างน้อยก็ช่วยทำให้หลานเสวี่ยนอนหลับสักคืน
ในความทรงจำนั้น เหมือนทุกอย่างจะเป็นเพราะข้ารับใช้ที่ดูแลตำหนักเย็นแห่งนี้ ก็คือคนของพระสนมหลี่ผิน ที่จัดการเรื่องค่าใช้จ่าย เดิมที่ชีวิตไม่ควรลำบากเช่นนี้ แต่เป็นเพราะเมื่อก่อน หลานเสวี่ยเป็นสตรีอันดับหนึ่งในต้าเหยียน
ทำให้บุรุษผู้สูงศักดิ์ในวังต่างหลงใหลในความงามของนาง จะไม่มองเหล่าสตรีนางอื่น ชื่อเสียงของหลานเสวี่ยแห่งจวนเสนาบดี กึกก้องไปทั่วแผ่นดิน ทำให้สตรีสูงศักดิ์หลายคนต่างก็ชิงชังนางเข้ากระดูก
ในยามที่ถูกส่งตัวมาอยู่ตำหนักเย็นแห่งนี้ ถ้าไม่ใช่ว่าเป็นเพราะข่าวลือน่ากลว และคำสั่งเด็ดขาดของฮ่องเต้ที่ให้อภัยทั่วแผ่นดิน ป่านนี้ชีวิตของหลานเสวี่ยคงจบสิ้นไปนานแล้ว แม้แต่ฮ่องเต้หลงเยี่ยน ที่ชังนางเขากระดูก ยังไม่อาจคืนคำได้เลย
แต่ตอนนี้นางไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นอีกอย่างน้อยก็ต้องกินอิ่มนอนอุ่น คิดได้แบบนี้มือเรียวสวยสะท้อนแสงจากตะเกียงอันเล็ก ล้วงเข้าไปในกระเป๋ามิติ ก่อนจะหยิบเอาผ้าห่มผืนหนา ที่เคยแลกเอาไว้ก่อนหน้านี้ออกมา
ผ้าห่มพวกนี้ทำมาจากวัสดุชั้นเลิศ แค่สัมผัสยังรับรู้ถึงความอบอุ่น ทันใดนั้นร่างเพรียวบางก็มุดหน้าเข้าไปในผ้าห่ม ไม่สน ท่าที่สวยสง่าของเจ้าของร่างเลยสักนิด นางหงส์สวยสง่า กลายเป็นลูกเป็ดเมื่อเป็นจางเสี่ยวหลง
“อุ่นจังเลย อุ่นดีจัง อากาศหนาว ๆ แบบนี้ยิ่งนอนสบาย ว่าแต่สองคนนั้นคงจะหนาวน่าดู เอาไปให้พวกเขาดีกว่า” ลุกไปทันที
หลานเสวี่ยเดินออกมาพร้อมกับเอาผ้าห่มผืนใหญ่คลุมร่างกาย เพราะเธอหนาวมาก ๆ ใครจะอยากออกจากผ้าห่มในตอนนี้กัน เกิดมาไม่เคยหนาวแบบนี้มาก่อนเลย
ทว่าตอนที่นางเปิดประตูออกมาพอดีกับพวกทหารยามสองคนที่ยืนอยู่นอกกำแพง กำลังแง้มประตูจ้องมาที่นาง ภาพที่เห็นคือเงามืดของสตรีที่แปลกตา เนื่องจากแสงสะท้อนจากตะเกียงกลายเป็นเงามืดสีดำ และด้วยความบังเอิญล้มได้พัดมาพอดี ทำให้เส้นผมของหลานเสวี่ยลอยขึ้นไปเหนือศีรษะ ราวกับนางปีศาจในเรื่องเล่าสยองขวัญ
สิ่งที่เห็นยิ่งทำให้พวกเขาตื่นตระหนก จนต้องหันหลังให้ประตูบานใหญ่ แม้แต่โซ่ตรวนเส้นหนาเท่าแขนยังทำให้พวกเขาอุ่นใจไม่ได้ ทหารยามสองคนแทบจะหยุดหายใจ ก่อนจะหันไปมองอีกครั้ง ก็เห็นว่าทุกอย่างหายไปหมดแล้ว แถมตำหนักยังมืดมิดอีกด้วย
ยิ่งตอกย้ำให้พวกเขาหวาดกลัวจนฉี่รดกางเกง
“นี้ เจ้าเห็นอย่างที่ข้าเห็นหรือเปล่า” ทหารในชุดเกราะเบา มือจับกระบี่ราวกับผีเข้า
“ใช่แล้ว ทำอย่างไรดี ข้ากลัว”
ทว่ายามนั้นยิ่งมีลมพัดแรงจนพวกเขา ขยับเข้ามาใกล้กัน ใจจริงก็อยากจะวิ่งหนี แต่ถ้าทำเช่นนั้นก็จะถูกตัดหัวทันที แต่ถ้าอยู่แบบนี้ปิดหูปิดตาเอาไว้ยังมีโอกาสรอด เพราะนี้เป็นวิธีเอาตัวรอดมีทหารยามหลายคนเคยบอก
ในวังหลังแห่งนี้ มีข่าวลือมากมาย แต่ที่พูดกันยาวนานก็กนีไม่พ้นตำหนักเย็นที่ถูกขนานนามว่าตำหนักผีสิ่ง เพราะสตรีนางใดที่ถูกส่งเข้าไปในนั้น ล้วนต้องตายไม่มีใครรอดออกมาแม้แต่คนเดียว ที่นี่จึงเป็นตำหนักที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปเหยียบ นับตั้งแต่สร้างขึ้นมา
“คิก ๆ เรื่องพวกนี้ก็มีคนเชื่ออย่างนั้นหรือ พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร อยู่ที่นี่มาสามปีแล้วเจออะไรหรือเปล่า”
หลานเสวี่ยหัวเราะคิกคักเมื่อได้ฟังข่าวลือที่พี่หยางพูดให้ฟัง นางเป็นคนยุคใหม่จะเชื่อเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร แต่ก็แอบคิดอยู่นะเพราะตัวเองก็เป็นวิญญาณเหมือนกัน
(ท่านไม่ใช่วิญญาณ แต่นี่เป็นอดีตชาติของท่านที่เคยผ่านพบมาแล้ว)
หลานเสวี่ยอึ้งไปเลย นี้เป็นตัวตนของนางจริงอย่างนั้นหรือ นางเคยผ่านเรื่องพวกนี้อย่างนั้นหรือ ใบหน้าสวยสแก้มหน้ามองพื้น นางรู้สึกแปลก ๆ ข้างในหัวใจ
“จริงอย่างที่ท่านว่าเจ้าคะ แต่ว่าคุณหนูจะทำเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ ไม่งามเลย”
หยางกับเหมย ตกใจครั้งแรกที่เห็นหลานเสวี่ยในผ้าห่มแบบนั้น พวกนางบอกว่าไม่สมควรทำแบบนี้เพราะไม่เหมาะสม แต่สำหรับเธอแล้วแบบนี้แหละดีที่สุด
พวกนางทำให้ความคิดฟุ้งซ่านออกไป จะเป็นอย่างไรก็ช่างนางก็คือนาง “ไม่ต้องห่วงหรอก เราอยู่กันแค่สามคนไม่มีใครกล้าตำหนิ ไม่มีใครทำให้ชื่อเสียงของข้าเสียหายหรอก”
“เจ้าคะ” สองคนจำยอมกับความดื้อรั้นของเจ้านาย ทั้งที่เมื่อก่อนเป็นกุลสตรีอันดับหนึ่ง ชื่อเสียงเลื่องลือในเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณี แต่ดูตอนนี้เหมือนคนละคนเลย
แต่จะทำอย่างไรได้ กลางคืนหนาวจนไม่สามารถออกจากผ้าห่ม จึงให้ทั้งสองคนทำอาหารโดยที่มีหลานเสวี่ยเป็นคนบอกแต่ละขั้นตอน
“เรียบร้อยแล้วเจ้าคะ คุณหนู” อาหารถูกจัดเตรียมบนโต๊ะอย่างประณีต ฝีมือของสองคนนี้ไม่ธรรมดาเลย
หลานเสวี่ยออกจากผ้าห่มก่อนจะเดินข้ามานั่ง แม้จะหนาวแต่ก็ยังดีที่มีไฟจากเตาทำให้อบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย
“ทานเถอะ อาหารวันนี้พวกเจ้าคงไม่เบื่อก่อนนะ”
“พูดอะไรเช่นนั้น แค่ได้ทานก็นับว่าบุญปากของบ่าวแล้วเจ้าค่ะ” เหมยพูดพลางยิ้ม
“อาหารเซียนของคุณหนู ใครจะเบื่อได้ลง อาหารที่ดีเช่นนี้แม้แต่ฝ่าบาทยังไม่เคยเสวยเข่นกัน”
“จริงหรือพี่หยาง ปกติคนในวังเขาทานอะไรกันเหรอ”
หยางเล่าทุกอย่างให้ฟัง ว่าคนในวังจะทานแต่อาหารจืด ๆ ไม่ก็มีรสเค็มนิดหน่อยสำหรับชนชั้นสูงในวัง และช่วงนี้เป็นฤดูหนาวแผ่นดินต้าเหยียนถูกภัยแล้งมาหลายปี แม้แต่ในวังยังต้องลดอาการ ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่เว้น
“นับว่าพวกเรามีบุญปากจริง ๆ ที่ได้รับใช้คุณหนู แถมยังได้ผ้าห่มผืนหนาทำให้ร่างกายอุ่นดีมาก ๆ แม้แต่สนมขั้นผิน ยังไม่มีเลยเจ้าค่ะ”
“ใช่แล้ว ต่อไปเราจะมีความสุขกว่านี้เสียอีก แต่ก่อนอื่นต้องออกไปจากตำหนักนี้เสียก่อน”
“แล้วพวกเราจะออกไปจากที่นี้ได้อย่างไร”
หยาง และเหยมต่างสงสัย เพราะคิดหัวแทบแตกก็คิดไม่ออกสักที
“ข้ามีแผนแล้ว”
เมื่อทานอาหารเสร็จ หลานเสวี่ยก็พาสองคนมาออกกำลังยามค่ำคืน นั้นก็คือการขุดหลุมใต้กำแพงตำหนักเย็นแห่งนี้ เนื่องจากกำแพงข้างที่พวกนางจุดเชื่อมต่อกับสวนหลวง คงไม่มีใครเดินผ่านไปมามากนัก จึงเป็นที่เหมาะสมที่สุด
ขุดมาได้ไม่ถึงชั่วยาม รูกลมขนาดใหญ่ ที่คนสามารถรอดออกไปได้ก็เสร็จเรียบร้อย ราวกับว่าพี่หยาง กับพี่เหมยเป็นยอดมนุษย์เลยทำไมแรงเยอะกันจัง
“เป็นเพราะอาหารของคุณหนู ทำให้พวกเราแข็งแรงไม่เหนื่อยเลย แบบนี้เราก็ปกป้องท่านได้แล้วเจ้าค่ะ”
“คุณหนูจะให้บ่าวออกไปเลยหรือไม่ แค่รับสั่งบ่าวจะทำให้สำเร็จ” หยางพูดด้วยความหนักแน่น พร้อมจะพลีชีพ
“ไม่ได้ ตอนนี้หาหินมาปิดไว้ก่อน ข้างนอกก็มีต้นไมบังไว้คงไม่เป็นอะไร และวันนี้พวกเราต้องเตรียมตัวก่อนถึงจะลงมือได้”
หลานเสวี่ยให้ทั้งสองวาดแผนที่ของวัวแบบลวก ๆ เพื่อจะได้ไปไหนมาไหนสะดวก และเมื่อพร้อมนางจะเป็นคนออกไปเอง
“ไม่ได้นะเจ้าคะ ข้างนอกอันตราย บ่าวไม่มีทางปล่อยให้คุณหนูออกไปเด็ดขาด” หยางรีบมาคุกเข่าต่อหน้า
ก่อนที่เหมยจะไปขวางประตูไว้ ทำเอาหลานเสวี่ยปวดหัวขึ้นมาเลยกับบ่าวสองคน
“คุณหนู ท่านไตร่ตรองดูอีกครั้งเถิด”
หลานเสวี่ยจนหนทางคงต้องใช้เรื่องแต่งเจ้าช่วยอีกครั้ง “พวกเจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นถึง ลูกศิษย์ของท่านเซียน อีกอย่างข้ามีวิชามากมายที่ใช้หลบหนี เรื่องแค่นี้ไม่เป็นอันตรายหรอก”
พวกนางยังคงไม่เชื่อ หลานเสวี่ยหมดหนทางจึงเจ้าไปในมิติตอนนั้นเอง เกิดแสงสว่างขึ้นก่อนที่นางจะหายไปในอากาศ ทำให้สองคนที่มองอยู่อ้าปากค้างไปเลย ไม่นานหลานเสวี่ยก็ออกมา
“คราวนี้เชื่อหรือยัง”
“บ่าวโง่เขลาเบาปัญญาเองเจ้าค่ะ คุณหนูลงโทษด้วยที่ทำเกินเลย” สองพี่น้องรีบคุกเข่าก้มหน้าลงพื้น
“ลุกขึ้นมาเถอะ แล้วไปพักผ่อนได้แล้ว ข้าจะไปอาบน้ำในโลกเซียน พวกเจ้าก็อาบน้ำอุ่นเองเถอะ”
สองคนซาบซึ้งจนร้องไห้ออกมา พวกนางได้รับใช้คุณหนูที่ใจดีมาตั้งแต่เด็กแม่ตอนนี้นางจะเปลี่ยนไป แต่ก็ยังเป็นคุณหนูที่เมตตาพวกนางเช่นเดิม
เมื่อสองคนออกไปแล้วหลานเสวี่ยเข้ามาดูสวนผักในมิติ พวกมันเติบโตได้อย่างดีเลย พอเห็นแบบนี้แล้วนางก็ยิ้มหวานออกมา หลังจากที่เก็บเกี่ยวก็ได้คะแนนเพิ่มอีก 80 รวมเป็น 115 จากนั้นก็ปลูกเพิ่มอีกชุดหนึ่ง หลานเสวี่ยเพิ่งคิดออกว่าตัวเองลืมปลูกพริก อาหารอร่อยจะขาดพริกได้อย่างไร นางแบ่งปลูกต้นหอมกับพริกอย่างละครึ่ง
ใช้ 24 คะแนนในการเพาะปลูกผักรอบถัดไป และจะสะสมคะแนนให้ได้ 150 เพื่อเพิ่มพื้นที่เพาะปลูก จะได้เก็บเกี่ยวผลผลิตได้เยอะ แต่ตอนนี้ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารการกินแล้ว เพราะในกระเป๋ามิติที่สามารถเก็บของพวกนี้ได้หลายตัน ผักสดที่เก็บไว้จะยังคงความสดใหม่อยู่ตลอดเวลา ช่วยได้เยอะเลย
ระบบนี้ใช้เวลาเพาะปลูกประมาณ 6-8 ชม นับว่าเร็วไม่แย่อะไร ถ้าเป็นยุคปัจจุบันเวลาเท่านี้ใครจะคิดว่าเป็นฝีมือของมนุษย์ คงมีข่าวลือว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวแน่ ๆ อย่างกับเกมปลูกผักที่จางเสี่ยวหลงเคยเลน ที่ระบบจะคล้ายกันมาก
พอทำงานเหนื่อย ๆ ก็ต้องอาบน้ำให้สบายตัว ในมิติอุณหภูมิสามารถปรับได้ตามความต้องการเลย มีแสงแดดทุกวัน หรือจะทำให้เป็นยามกลางคืนก็ได้ แต่จะทำให้ผักที่ปลูกเติบโตช้า
“รู้สึกสบายตัวจังเลย ลำธารแห่งนี้กำเนิดมาจากอะไรนะ ถึงช่วยให้ร่างกายสบายอย่างนี้”
หลานเสวี่ยตักน้ำเอามาใส่ในถังใหญ่ ก่อนจะทำการอาบน้ำแบบยุคโบราณให้เป็นเรื่องง่าย นางซื้ออ่างอาบน้ำมาจากร้านค้า ราคา 20 คะแนน ถึงจะแพงไปหน่อยแต่ก็คุ้มใช่ไหม ตอนนี้เหลือ 71 คะแนน
ร่างแบบบางลงไปในอ่าง ก็รู้สึกดีจนไม่อยากลุกขึ้นไปไหนเลย คงเป็นเพราะน้ำวิเศษนี้ที่ช่วยฟื้นฟูให้ร่างกายดีขึ้น แถมยังทำให้ผิวใสดูอ่อนวัยอีกด้วย หลานเสวี่ยเหมือนจะคิดอะไรดี ๆ ได้แล้ว
“ระบบ สามารถเอาน้ำพวกนี้ออกไปใช้ข้างนอกได้หรือเปล่า แล้วสรรพคุณของมันจะยังเหมือนเดิมหรือใช่ไหม”
(สามารถนำออกไปได้ และสรรพคุณยังคงเป็นเช่นเดิม น้ำในลำธารสามารถรักษาความผิดปกติที่มีต่อร่างกายได้ทุกอย่าง)
หลานเสวี่ยตาเป็นประกาย ถ้าเป็นอย่างที่ระบบบอกมา น้ำในลำธารก็ไม่ต่างจากยาครอบจักรวาลไม่ใช่หรือ
“สามารถรักษาโรคภัยได้หรือเปล่า เข่นโรคที่รักษายาก ๆ”
(สามารถรักษาได้ทุกโรค)
“ดีมาก ต่อไปฉันจะได้เป็นหมอหญิงแห่งต้าเหยียนแล้ว จะเป็นยังไงนะ”
ใบหน้าสวยยิ้มไม่ยอมหุบเมื่อนึกถึงเงินกองโตกับชีวิตที่สุขสบาย ใครจะคาดฝันว่าจะตายเพราะดูซีรีส์มากเกินไป แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี อย่างเช่นระบบที่จะช่วยเหลือทุกอย่าง
เมื่ออาบน้ำด้วยครีมอาบน้ำราคาแพงเรียบร้อย ร่างอรชรหอมฟุ้งด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ ผิวพรรณผุดผ่องมากกว่าเดิม แถมยังอ่อนนุ่มอย่างกับผิวทารกแรกเกิด หลานเสวี่ยยิ้มอย่างพอใจ แล้วรีบสวมเสื้อผ้าให้เข้าที่แล้วค่อยออกมานอนขดในผ้าห่ม
“อุ่นสบายจัง”
เช้ามืดวันนี้ในยามที่ดวงอาทิตย์ยังไม่พ้นขอบฟ้า ก็มีขันทีวัยห้าสิบกว่าเดินเข้ามาในตำหนักอันกง ร่างอ้วนท้วนแต่งตัวเรียบร้อยใบหน้าเหี่ยวย่น ดูเป็นระเบียบในแบบขันที่ วันนี้เป็นวันที่ฮ่องเต้จะทรงประชุมเข้า (เช้าหลวง) เมื่อมาถึงห้องบรรทมขององค์ฮ่องเต้ เขาก็ก้มหัวลงเล็กน้อยเพื่อทำความเคารพ“ฝ่าบาท ได้เวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ~” เสียงนอบน้อม“ข้าพร้อมแล้ว ว่าแต่วันนี้ยังเป็นเรื่องเดิมอีกหรือเปล่า ทำไมพวกขุนนางของข้า ถึงไร้ความสามารถเช่นนี้นะ” พูดพลางลุกขึ้นจากเตียงนอน“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” ขันที่ผู้ใหญ่ไม่มีอะไรจะแย้ง ก่อนจะยกชามาถวายให้“หลังจากจบประชุม ให้เรียกเจ้ากรมคลังมาหาข้าด้้วย มีเรื่องจะสั่งนิดหน่อย”“พ่ะย่ะค่ะ”หลงเยี่ยนยืนสงบอยู่ท่ามกลางตำหนักใหญ่ แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างไม้แกะสลักลงบนร่างสูงสง่า ดวงตาคมเข้มจ้องมองออกไปอย่างเยือกเย็น เต็มไปด้วยความสุขุมและอำนาจที่ยากจะปฏิเสธ อาภรณ์สีดำปักลายมังกรทองทิ้งตัวลงตามสรีระสูงเพรียวของพระองค์ ราวกับผืนผ้าที่ถักทอขึ้นมาเพื่อให้เข้ากับพระวรกายอย่างสมบูรณ์แบบพระพักตร์เรียบนิ่ง ใบหน้าคมสันโดดเด่น ลายเส้นชัดเจนจนน่าหลงใหล คิ้วหนาได้รูปขับให้
หลานเสวี่ยเข้ามาในมิติเพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิต หลังจากเก็บเกี่ยวก็ได้รับคะแนน 80 บวกกับอันเดิม 71 รวมเป็น 151 คราวนี้ หลานเสวี่ยปลูกมันฝรั่งสองชุด เพราะยามนี้ เจอปัญหาภัยแล้ง คิดว่ามันฝรั่งน่าจะเป็นอาหารที่ดีที่สุดตอนนี้ใน หลังจากเพาะปลูกมาเกือบสามวันนางก็มีมันฝรั่ง 220 กิโลกรัม ผักกาดขาว 200 กิโลกรัม กะหล่ำปลี 180 กิโลกรัม และ พริก 90 กิโลกรัม ต้นหอมก็มี 140 กิโลกรัมพืชที่ปลูกในมิติเติบโตได้อย่างดี ทำให้ผลผลิตได้เยอะ ยังดีที่มีถุงมิติเก็บของทำให้เก็บได้อย่างสะดวกสบาย แต่วันนี้หลานเสวี่ยมาเพื่อทดลองระบบลดเวลาการเพาะปลูก ที่จะต้องใช้ 7 คะแนน เพื่อลดเวลาเพาะปลูกเหลือ 2-3 ชั่วโมง จาก 6-8 ชั่วโมง“ระบบใช้ 7 คะแนนเพื่อลดเวลาเพาะปลูก” (ยินดีด้วยท่านได้ใช่การลดเวลาเพาะปลูกเป็นครั้งแรก ได้รับ 100 คะแนนสำหรับครั้งแรก)คะแนนคงเหลือ 220 ทำให้นางอุ่นใจได้บ้าง ถ้าหากจดหมายถูกขัดขวาง หรือฮ่องเต้ใจดำอำมหิตเกินมนุษย์ นางก็พอมีหนทางรอดได้บ้าง หลานเสวี่ยสำรวจเมนูร้านค้ามากมายเพื่อรอให้ผลผลิตเติบโต นางจึงตัดสินขายพื้นที่เพาะปลูกเพิ่ม 5 ตารางเมตร รวมแล้วก็ได้ 15 ตารางเมตร“ระบบใช้ 150 คะแนนขยายพื้นที่” (ย
ทหารยามสองคนเดินมาหานางด้วยท่าทางนิ่งสงบ ในมือของพวกเขาถือดาบยาว สวมเกราะทอง คงเป็นองครักษ์หลวง แต่ที่แปลกไปคือ พวกเขาไม่รีบร้อนเหมือนครั้งแรกที่พบกับหลานเสวี่ยก้มหน้ามองพื้น เตรียมตัวเข้าไปในมิติถ้าหากเหตุการณ์ไม่สามารถควบคุมได้ อย่างน้อยให้พวกเขาเข้าใจไปว่าเธอเป็นวิญญาณก็ยังดี“นางกำนัลตำหนักไทเฮา มาที่นี่มีเรื่องอันใดหรือ”“ข้ามีเรื่องสำคัญต้องกราบทูลหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท จึงมาที่นี่” หลานเสวี่ยเล่นไปตามน้ำ เพราะไม่คิดว่าชุดข้ารับใช้ที่นางแลกมา 5 คะแนนจะช่วยนางได้อย่างดี เมื่อมองหน้าทหารยามสองคนทั้งสองน่าจะเชื่อด้วยแต่สายตา และ ท่าทางของสองทหารหนุ่มลายเป็นความประหม่าทันทีเมื่ออยู่ต่อหน้า สตรีที่งดงามเช่นนี้ พวกเขาทำตัวไม่ถูกแม่แต่ตอนพูดยังติดขัด พวกเขาไม่เคยเห็นสตรีนางใดจะงดงามเหมือนตอนนี้“เช่นนั้น ก็ตามข้ามาเถอะ”“เจ้าค่ะ”หลานเสวี่ยเดินตามเข้ามาในตำหนักอันกง เพราะทหารยามบอกว่าฝ่าบาทเสด็จไปตำหนักอันกงแล้ว เดินมาสักพักก็มาถึงตำหนักอันกง นางจึงกล่าวขอบคุณแล้วเดินเข้าไป เมื่อทหารยามประตูเห็นว่านางสวมชุดตำหนักของไทเฮา พวกเขาก็ยังต้องตรวจตราสัญลักษณ์ด้วยหลานเสวี่ยมีจี้หยกที่ระบบให้ม
เมื่อเช้ามืดระบบก็อัพเกรดสำเร็จ หลานเสวี่ยจึงเข้าไปสำรวจดูว่า 500 คะแนนที่เสียไปได้อะไรมาบ้าง นอกเหนือจากที่ระบบเคยบอกไว้ก็มีพื้นที่สำหรับเพาะปลูกเพิ่มขึ้นห้าตารางเมตร และเพิ่มแถบเมนูมาใหม่ นี่คือความสามารถพิเศษ เช่นทำให้ฝนตก พายุถล่ม แผ่นดินไหว พยากรณ์อากาศ .... บางอันก็มีประโยชน์อยู่บ้างเช่นพยากรณ์อากาศ หลานเสวี่ยเคยใช้เมื่อครั้งก่อน เป็นคำแนะนำจากระบบที่ช่วยให้นางแก้ไขปัญหาได้ ตอนนี้นางมี 500 คะแนน +1000 สำหรับการอัพเกรดระบบ นับว่าได้มากกว่าเสีย 1500 คะแนน นางเลือกซื้อของในร้านเช่นครีมอาบน้ำ และทำให้กลายเป็นของใช้ในยุคนี้ด้วยระบบเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ ใช้ไป 1 คะแนน แม้จะเสียดายคะแนนแต่นี้ก็เป็นการลงทุน อีกอย่างนางจะได้รับเงินทองมากมายในครั้งนี้ เมื่อนึกถึงสินค้าของตัวเองมีชื่อเสียงในวังหลังนางก็ยิ้มอย่างพอใจ คราวนี้แหละต้องเป็นมหาเศรษฐีในยุคนี้ให้ได้ตำหนักสนมหานผินหานหลงยิ้มอย่างพอใจเมื่อเดินเข้าในงานเลี้ยงน้ำชาของเหล่านางสนม ทันทีที่นางเดินผ่าน พวกนางสนมรุ่นเดียวกันที่เคยแย่งชิงความดีความชอบด้วยกันต่างสูดดมกลิ่นหอมจากตัวนางที่แผ่ออกไป นางสนมพวกนี้คงไม่เคยรู้จักกลิ่นหอมเช่นนี้สินะ พ
หลานเสวี่ยงัวเงียลุกขึ้นจากเตียงนอน ทั้งที่กำลังฝันหวานถึงพระเอกในดวงใจของตน แต่ต้องมาตื่นเพราะเสียงระบบที่ดังจนนึกว่ามีสงครามโลกครั้งที่สามเกิดขึ้นแล้วในมิติ นางจึงออกมาจากกระท่อมหลังเล็ก ก่อนจะตรวจดูมันฝรั่งใบเขียวสวยของตนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อได้ฟังจากปากของเหมย และหยาง นางก็อดสงสารไม่ได้ ผู้คนในยามนี้อดอยากปากแห้ง บางคนมีเงินทองแต่จะซื้ออะไรได้ ต้องอดมื้อกินมื้อ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล่าคนยากไร้ที่รอความช่วยเหลือจากฮ่องเต้ ถ้าเป็นในยุคปัจจุบันพวกเขาคงกลายเป็นข่าวใหญ่ไปแล้ว ทำให้ทางการต้องรีบช่วยเหลือ แต่ในยุคนี้ปากเสียงถูกปิด พูดอะไรไม่ได้มาก หลานเสวี่ยพอรู้ว่าในยุคนี้ขุนนางเลวมีเยอะอย่างกับดอกเห็ด บางทีทางการอาจจะช่วยเหลือแต่ถูกพวกนั้นเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ส่วนที่เหลือก็ไม่พอความต้องการแม้ในตอนนี้มันฝรั่งที่ปลูกได้จะเยอะขึ้นแล้ว ก็ยังไม่เพียงพอถ้าเป็นเช่นนั้น อีกอย่างเพิ่มพื้นที่การผลิตสูงสุดแล้ว จนคะแนนไม่พอ เพราะราคาจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ได้มา สี่สิบตารางเมตร คะแนนคงเหลือ 100 จะทำอะไรคงต้องระวังตัวมากกว่าเดิม แต่ปัญหาหลักอีกอย่างคือถุงมิติที่ใกล้จะเต็มแล้วตอนนี้นางออกจากมิต
กลายเป็นว่า เพราะนางตื่นสายทำให้ทำงานเสร็จช้า ฝ่าบาทจึงหารือกับขุนนางช้า พอไทเฮามาถึงจึงไม่สามารถเข้าพบได้ หลานเสวี่ยรู้สึกผิดอยู่บ้างแต่ ต้นเหตุคือหลี่ผิน ที่วางอำนาจบาตรใหญ่ เพราะมีไทเฮาถือท้ายให้จึงไม่กลัวใครจะว่าไปนั่นก็เป็นแม่สามีของหลานเสวี่ยเหมือนกันถ้าหากลูกชายของนางไม่เป็นคนใจดำอำมหิตเช่นนั้นนะ ยืนเหม่ออยู่ตั้งนานนางก็ถูกหัวหน้านางกำนัลเรียกตัวให้ไปทำงาน แต่ก่อนจะไปนางได้มอบขวดน้ำจากมิติขวดเล็กให้กับหัวหน้า“ใช้ทาที่ใบหนาของท่าน มันจะหายในไม่ช้า ไม่ต้องกลัวหรอกมันไม่อันตรายอย่างที่คิด” “ข้าจะรับไว้ เจ้ารีบไปเถอะ อย่าสร้างเรื่องอะไรอีกล่ะ”“เจ้าคะ” เมื่อนางรับไว้เท่านี้ก็พอแล้ว หลานเสวี่ยเข้ามารับใช้ที่ห้องหนังสือเช่นเดิม พอเข้ามาก็เห็นฝ่าบาทนั่งอ่านฎีกาด้วยท่าทางสง่า พอมองดูดี ๆ ในหนังที่นางเคยดูกับตอนนี้ดูแตกต่างมาก ฮ่องเต้ในตอนนี้ดูน่าเกรงขามราวกับมีพลังวิเศษบางอย่าง หรือเป็นเพราะที่แห่งนี้เป็นโลกเวทมนตร์กันนะ นางเอกก็ไม่เข้าใจ แต่ชายผู้นี้ไม่ใช่คนปกติทั่วไป หรือเขาเป็นเทพเซียน อย่างตำนานของฮ่องเต้ที่บอกว่า เป็นสายเลือดของเทพ หลานเสวี่ยคิดไปเรื่อยเปื่อย“ยืนเหม่ออันใดอย
หลานเสวี่ยเดินออกมาจากสวนด้วยความโมโห คุณหนูจางเสี่ยวหลงในชาติก่อน มีชีวิตสุขสบาย ใครจะกล้ารังแกเธอ ดูตอนนี้เป็นแค่พระชายาที่ผัวไม่รัก แถมยังถูกเมียน้อยรังแกอีก จะสงสารหลานเสวี่ย หรือสงสารตัวเองดีนะ“มาแล้วหรือ นางกำนัลจาง เข้าไปเถอะฝ่าบาทกับเหล่าขุนนางรอเจ้าอยู่ข้างใน” “รอข้าหรือ ไม่ใช่ว่ามีแต่ฝ่าบาทหรอกหรือ” “ฝ่าบาททรงอยากให้ขุนนางรู้ข้อมูล จะได้จัดเตรียมความพร้อมให้เหมาะสม ท่านก็รีบไปเถอะ” “เจ้าคะ ฉ่างกงกง”นางรีบเดินเข้ามาในห้องหนังสือ ก็พบขุนนางสองคนนั่งรอตรงที่นั่งต่ำกว่าฮ่องเต้ ในความทรงจำของหลานเสวี่ย ทำให้รู้ว่าสองท่านนี้คือ เจ้ากรมพระคลัง กับเจ้ากรมโยธา ที่รับหน้าที่สำคัญในการรับมือกับภัยแล้งพอหลานเสวี่ยมาถึงทั้งสองคนก็มองไม่ละสายตา สีหน้าบ่งบอกถึงความสงสัย และไม่มั่นใจว่าแค่นางกำนัลตัวเล็ก ไปจะสามารถทำเรื่องใหญ่โตเข่นนี้ได้สำเร็จ แม้แต่ผู้มีความรู้อันดับหนึ่ง และผู้มีชื่อเสียงยังใช้เวลาเป็นร้อยปีกว่าจะติดต่อหาคนจากแดนเซียน เพื่อมาสั่งสอนคนในราชวงศ์ แค่ปีละครั้งเท่านั้นเองแต่นี้นางถึงกับติดต่อซื้อขายโดยตรง ทำให้ชายชราสองคนไม่เชื่อ และรวมถึงฮ่องเต้ก็เช่นกัน เขาไม่เชื่อเลย
ฮ่องเต้หนุ่มหยิบตะเกียบทองขึ้นมา คีบเอาแท่งมันฝรั่งทอดเข้าปาก ก่อนจะเคี้ยวเบา ๆ ตามแบบของผู้ดี แต่สีหน้ายังคงนิ่งเฉยมาก แล้วเปลี่ยนเป็นมันฝรั่งเผาที่ยังมีอายร้อนลอยออกมาอยู่ คำเล็กถูกเอาเข้าปากหนาแต่สีหน้ายังเป็นเช่นเดิม สุดท้ายมันฝรั่งบด ก็ยังเป็นเช่นเดิม“เป็นเช่นไรบ้างเพคะ” “ก็ดี นับว่ารสชาติใช้ได้เลย อีกอย่างคุณค่าทางอาหารที่เจ้าบอกก็คงไม่เกินจริง เพราะข้าชิมเท่านี้ยังรู้สึกอิ่ม และมีเรี่ยวแรงขึ้นมาทันที” “เช่นนั้นหม่อมฉันก็โล่งใจ” หลานเสวี่ยหายใจได้เต็มปอด แม้เขาจะไม่แสดงท่าทางออกมาแต่ก็คงอร่อยอยู่แล้ว “พวกท่านก็ลองชิมดู อีกประเดี๋ยวค่อยมาหาลือกันต่อ ข้าจะคุยเรื่องสำคัญกับนางกำนัลจางเสียหน่อย” “ขอบพระทัยฝ่าบาท” ทั้งสองคนรีบยกอาหารออกไปข้างนอก เหลือแต่หลานเสวี่ยกับฮ่องเต้ ทำให้บรรยากาศแตกต่างจากเมื่อก่อนมากเลย นางรู้สึกกลัวยังไงไม่รู้เมื่ออยู่กับเขาสองคน“ว่ามาเถอะ เรื่องเสบียงติดต่อได้เมื่อไหร่” น้ำเสียงนิ่ง ทำให้คนฟังรู้สึกถึงอารมณ์ และความรู้สึกของเขาได้อย่างดี“หม่อมฉันได้รับการตอบกลับแล้วเพคะ ท่านเซียนผู้นั้นส่งจดหมายด้วยผีเสื้อวิญญาณ หม่อมฉันจึงได้รับมาแล้ว” “รวดเร็วยิ
หลังจากเดินทางมายาวนานก็มาถึงเมืองหลวง หลานเสวี่ยที่ไม่มีอะไรทำมาหลายวันก็ตรงไปที่หอการค้าร้านสะดวกซื้อทันที ทว่าเมื่อนางมาถึงก็ทำให้ผู้คนตามสองข้างทางมองตามไม่กะพริบตา สตรีที่งดงามเช่นนี้มีในเมืองหลวงด้วยหรือ ทุกสายตาต่างสงสัยผู้คนรายล้อมมองดู ต่างก็ไม่รู้ว่านางเป็นคนตระกูลไหน การมาถึงของหลานเสวี่ยทำให้พ่อสื่อแม่สื่อมีงานล้นมือเป็นแน่ เพราะเหล่าชายโสดต่างติดต่อถามไถ่ถึงนางกันทั่วหน้า หลานเสวี่ยเดินไปไม่สนสายตาของผู้คน เหล่าชายหนุ่มตระกูลสูงศักดิ์หรือสามัญชนคนธรรมดาก็ไม่อยู่ในสายตา เพียงแค่นางก้าวเดินคนก็พร้อมจะเปิดทางให้อย่างเต็มใจ จนมาถึงหอการค้าของตน คนคุ้มกันก็ยืนทำหน้าที่อย่างทุกวันแต่วันนี้คนคุ้มกันตกตะลึงจนหันไปมองตาม แค่นางเข้ามาในร้านยิ่งดูโดดเด่น เสี่ยวเอ้อร์ในร้านต่างก็มาให้การบริหารอย่างเต็มใจ ใบหน้ายิ้มแย้ม พวกเขาถามกันไปมาว่าแม่นางผู้นี้เป็นคุณหนูบ้านไหนกัน เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนเลย“แม่นางต้องการสิ่งใดบอกข้าน้อยได้เลยขอรับ” หลานเสวี่ยยิ้มอย่างเบาบางแต่ไม่ตอบอะไร เพราะเป็นหน้าที่ของหยางในการเปิดเผยเรื่องนี้ “ทุกคนมารวมตัวกันตรงนี้ ข้ามีเรื่องจะแจ้ง” หยางได้ส่งจดหมายใ
ในสายตาของผู้ฝึกเซียนขั้นสี่ พวกนางจะทำอะไรได้ ส่วนคนคุ้มกันก็แค่พอถ่วงเวลา งานนี้ไม่ยากเย็นนัก มือสังหารเดินเข้ามาตรง ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้คุ้มกันไม่รอช้ารีบตรงเข้าไปขวาง แต่หลานเสวี่ยห้ามเอาไว้ก่อน“ก็แค่มดปลวก ข้าจัดการเอง พวกเจ้าถอยไปก่อน” นางพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ และหนักแน่น แววตาคู่สวยแสดงออกถึงความจริงจัง ทำให้หยางกับเหมยถอยออกมา รวมถึงผู้คุ้มกันที่กำลังตัวสั่นเพราะความกลัว “ถ้าเช่นนั้นก็ฝากแม่นางด้วย” เขาโค้งศีรษะอย่างนอบน้อม แม้จะมองไม่ออกว่าหลานเสวี่ยจะใช้อะไรเอาชนะผู้ฝึกเซียนระดับนี้ แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ เขาจึงเลือกที่จะเชื่อนาง และขอให้นางสามารถจัดการได้ เขายังไม่อยากทิ้งครอบครัวให้ลำบาก“แค่มดปลวกหรือ ปากดีเสียจริงนะ คำพูดนี้เป็นข้าทีต้องพูดออกมา ลนหาที่ตายนัก ได้...ข้าจะส่งเสริมเจ้าให้ตายเร็วขึ้นเอง” “อย่าเอาแต่พูดเลย อยากเข้ามาก็มาได้ตลอด ข้ารอเจ้าอยู่ เจ้ามาสิ” หลานเสวี่ยยืนกอดอกมองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น ทำเอาผู้ฝึกเซียนถึงกับเหงื่อซึม เมื่อสัมผัสพลังบางอย่างจากตัวนาง เขาไม่มั่นใจนักว่ามันคือสิ่งใด แต่สัญชาตญาณของเขาบอกให้ถอย เมื่อยั
ตลอดหลายวันที่ผ่านมานางต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ เพราะเรื่องต่าง ๆ มากมายให้จัดการ เร่งด่วนจนไม่มีเวลาพัก หลายวันนี้แม้แต่ระบบยังห้ามไม่ให้นางใช้น้ำวิเศษเพราะจะทำให้เกิดผลเสียมากกว่าดี เหตุก็เพราะว่านางดื่มน้ำเกือบห้าสิบครั้ง แต่ละครั้งคือร่างกายนางเหนื่อยล้าเต็มที่ โดยเฉพาะยามกลางคืน ที่หลานเสวี่ยจะยังอยู่หอการค้า เพราะรออนุมัติ ไม่ก็รอตอบจดหมายเร่งด่วน ขอความเห็นจากสาขาอื่นที่ส่งออกไป เป็นเรื่องที่แม้ว่าคนอื่นจะรอได้ แต่นางไม่สามารถรอได้ร่างเพรียวบางนอนราบบนเตียงนุ่ม อ่อนล้าไปทั้งตัว ขอบตามีรอยดำคล้ำเล็กน้อย กับความรู้สึกปวดร้าวทั้งร่างกาย ใบหน้าของนางซีดเชียว และซูบผอมลง เพราะไม่ได้หลับเต็มอิ่มมาเกือบอาทิตย์ “ลูกแม่ ทำไมถึงทำงานหนักเช่นนี้ เงินทองใช่ว่าจะสำคัญทุกอย่าง ตอนนี้เราไม่ได้ขาดเงิน เจ้าจะรีบร้อนทำไมหรือ” ผู้เป็นแม่เข้ามาบีบนวดให้นางทุกวัน ทำให้หลานเสวี่ยรู้สึกดีขึ้นมาก ๆ ฝีมือของท่านแม่ดีจริง ๆ ช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็วกว่าเดิม นางได้แต่ยิ้มให้หลานฮูหยิน“ลูกไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ผอมลงนิดเดียว อีกอย่างไม่ได้แต่งงานกับบุตรชายเสนาบดี เท่านี้ก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ” นางพูดด้วยความร่าเริง เม
หลานเสวี่ยกำลังยุ่งอยู่กับระบบ เพราะตั้งแต่ที่เปิดร้าน ทำให้คะแนนเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน คะแนนรวมของนางคือหก แสนคะแนนจากระบบ และ แสนห้าหมื่นคะแนนความดีที่เพิ่มขึ้น เมื่อก่อนนางมีคะแนนจากระบบเจ็ดแสน แต่เพราะอัปเดตระบบเป็นเวอร์ชันสุดท้าย ใช้ไป 1 แสนคะแนน ทำเอาหลานเสวี่ยแอบสงสัยว่าทำไมถึงใช้เยอะแบบนี้ แต่นางก็ยอมเพราะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะอัปเดต“ระบบ ทำไมถึงใช้คะแนนเยอะมากกว่าทุกครั้งละ หรือว่ามีของรางวัลดี ๆ”(เป็นเพราะว่านี้คือระบบเวอร์ชันสุดท้าย ที่สำคัญจำเป็นต่อผู้ใช้เช่นกัน....)“เดี๋ยวก่อน ทำไมเงียบไปละ” ระบบไร้เสียงตอบ ทำเอาหลานเสวี่ยตกใจไม่น้อย แต่ก็จัดการ ส่งคำสั่งเพาะปลูกได้เป็นปกติ ถึงมิติก็ยังใช้ได้ จึงคิดว่าระบบคงขัดข้องชั่วคราว แต่นางแอบสังเกตนิดหน่อยเพราะช่วงนี้ระบบแปลกไปจากเดิมมาก อย่างเช่น น้ำในลำธารของระบบลดลงจนสังเกตได้ และแสงสว่างในนี้ก็ลดลงเช่นกัน อยากจะถามระบบแต่ก็มาหายตัวไป สงสัยคงกำลังอัพเดทชุดใหญ่ นางจึงไม่สนใจระบบ แล้วไปทำอย่างอื่นต่อ แต่ละวันนางจะใช้คะแนนแลกของขายดี อย่างเช่นเครองสำอาง ที่สตรีร่ำรวย และขุนนางใช้กัน นี้เป็นรายรับสามส่วนของนางก็ว่าได้ ช่วยให้จัดกา
หลานเสวี่ยกลับมาที่จวนในตอนสาย พอมาถึงสายตาของบิดามารดาก็มองนางด้วยความสงสัย บุตรสาวของตนไปค้างที่ใดมา แม้จะมีคำถามมากมายอยู่ในอกของทั้วสอง แต่พักนี้รู้สึกว่านางดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แถมยังเฉลียวฉลาดมากกว่าเดิม ท่าทางก็เปลี่ยนไป ทำให้ทั้งสองไม่กล้าที่จะถามตรง ๆ หลานฮูหยินรีบออกมารับบุตรสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ส่วนใต้เท้าหลานเดินตามหลังมาด้วย“กลับมาแล้วหรือ หิวไหมแม่จะไปทำกับข้าวให้เจ้า” “ลูกินอิ่มแล้วเจ้าค่ะ ตอนขากลับแวะซื้อของอร่อยตามทางมาด้วย นี้เจ้าต่ะ” หลานเสวี่ยยกสิ่งของรุงรังในมือขึ้นมา รวมถึงบ่าวทั้งสองคนก็แทบจะแขนลาก เพราะเป็นคนถือของให้นาง ดีที่แข็งแรงหน่อย“ทำไม่ซื้อมามากมายเช่นนี้ จะกินหมดหรือ ดูสิผิวพรรณ.. เนียนสวยเสียจริง ดูแล้วลูกแม่สวยขึ้นเป็นกองเชียวนะ” มารดาของนางเมื่อสำรวจดี ๆ จึงรู้ว่านางดูเปร่งประกายราวกับถูกเคลือบด้วยออร่า แม้เมื่อก่อนนางจะงดงามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่วันนี้ยิ่งแตกต่าง ผิวพรรณผุดผ่อง สัมผัสนุ่มนวล ไหนจะกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่โดดเด่น ทำให้หญิงวัยย่างเข้าสี่สิบสนอกสนใจกว่าเดิม ดวงตาคู่นั้นก็มองด้วยความสงสัย เพราะมีเรื่องแปลกประหลาดมากมายอย่างเช่น เมื่อวานท
หลานเสวี่ยถูกอุ้มเข้าไปในห้องนอน มือเรียวยังคงปิดหูตัวเองเอาไว้แน่น เพราะกลัวเสียงฟ้าร้อง ทันทีที่เข้ามาข้างในเสียงต่าง ๆ ก็เงียบไปอย่างมหัศจรรย์ หญิงสาวลืมตาขึ้นด้วยความประหลาดใจ และพบว่าตนเองอยู่ในอ้อมแขนของเขา ใบหน้าของหลานเสวี่ยแดงระเรื่อ เธอหลุบตาลงต่ำด้วยความเขินอายเมื่อสบสายตาคมคายที่มองตรงมา ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองถูกอุ้มเข้ามาในห้องเสียแล้ว“เจ้าไม่ต้องกลัวหรอก ที่นี่ไม่มีเสียงฟ้าร้องเหมือนด้านนอก เพราะข้าใช้สมบัติวิเศษป้องกันเอาไว้” น้ำเสียงทุ้ม พูดพลางวางเธอลงบนเตียงนุ่ม ๆ พร้อมกับห่มผ้าให้ และลงไปนอนรวบตัวนางเอาไว้แน่น“เจ้าค่ะ...แต่” หลานเสวี่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ท่านแม่ทัพจะกอดข้าน้อยแบบนี้ทั้งคืนหรือ ชายหญิง...”ปากน้อย ๆ ของนางกำลังจะพูดเรื่องยาว แต่ถูกมือใหญ่ปิดเอาไว้อย่างรู้ทัน เขาไม่ปล่อยโอกาสอันดีให้เสียเปล่า เป็นวัวเป็นม้าให้นางแล้ว ต้องได้รางวัลเสียหน่อยถึงจะถูก“สามีภรรยาอยู่ด้วยกันจะเป็นไรไป หากเจ้ายังดื้อดึงอีก ข้าจะไม่หักห้ามใจแล้วนะ” พูดเสียงสั่นเครือ เพราะกำลังหักห้ามใจตัวเองหลานเสวี่ยรู้สึกถึงหัวใจของตนเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก จึงก้มหน้ามองแผ่นอกกว
รอจดหมายจากพระองค์เกือบสองถ้วยชา แต่นางยังไม่เห็นจะมีวี่แววจะออกมาเลย เขียนร้อยฉบับหรืออย่างไรกันแน่ ร่างเล็กเดินไปมาอยู่ในห้องรับรอง ก่อนจะเดินออกมามองดูนอกหน้าต่าง ตอนนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มคล้ายฝนจะตก นางยิ่งร้อนใจ ขาเรียวไม่รอช้าอีกต่อไป เดินออกจากห้องรับรองไปที่ห้องทำงานของท่านแม่ทัพโดยตรง ก่อนจะเห็นท่านแม่ทัพเดินมาจากข้างนอก ทำเอานางรู้สึกงุนงงอย่างมาก “ท่านแม่ทัพเจ้าคะ! ท่านคงไม่ลืมจดหมายของข้าหรอกนะ” น้ำเสียงเรียบนิ่งแฝงไปด้วยความไม่พอใจ แม่นางจะพยายามเก็บความรู้สึกหงุดหงิดเอาไว้“ข้าจะลืมได้อย่างไร เมื่อครู่ข้ามีธุระด่วนไม่คิดว่าเจ้าจะรีบร้อนอย่างนี้” ยืนตัวตรง มองนางด้วยสายตามีเลศนัย“หาใช่แบบนั้นเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะกล้าเร่งรัดท่านแม่ทัพได้อย่างไร” “เช่นนั้นก็มาฝนหมึกให้ขาเถิด” หลงเยี่ยนเดินนำไปก่อน ทิ้งให้หลานเสวี่ยมองตามแผ่นหลังกว้างด้วยความไม่พอใจเล็ก ๆหลานเสวี่ยเดินตามไปพร้อมกับบ่นพึมพำในใจ ทำไมแค่จดหมายฉบับเดียวต้องดึงเวลาให้ยุ่งยากแบบนี้ด้วยนะ แต่นางจะทำอันใดได้ ยามนี้ได้แต่ก้มหน้าก้มตาฝนหมึกให้ได้เยอะ พระองค์จะได้เร่งเขียนให้เสร็จ ทว่าไม่นานเสียง “กร๊อก" ดังขึ้นใบหน้าสวย
ทหารหนุ่มวิ่งหน้าตั้งออกมาจากกำแพงใหญ่ แล้วสั่งให้รถม้าของหลานเสวี่ยเข้าไปได้ ทำเอาเหล่าคุณหนูที่มารอตั้งนานแทบจะตาลุกเป็นไฟด้วยความริษยา แม้จะรู้ว่านางถูกปลดแล้ว แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิงของฝ่าบาทย่อมสูงส่งกว่าสตรีทั่วไป “พวกเจ้าก็รอต่อไปเถิด เห็นทีคงต้องรอจนหัวหงอกกระมัง” หลานเสวี่ยพูดทิ้งท้ายก่อนจะให้คนขับรถม้าขับออกไป ทำเอาบ่าวสองคนยิ้มอย่างสะใจที่ได้เอาคืนพวกนั้นเมื่อมาถึงขาวในจวนนางเดินตามทหารยามเข้าไปในจวน ที่นี่ไม่ได้หรูหราเหมือนจวนแม่ทัพที่เมืองหลวง เพราะเป็นที่พักชั่วคราวใช้ยามจำเป็น แต่ก็เรียบง่ายดี สีสันไม่โดดเด่น ส่วนมากจะเป็นข้าวของที่ทำจากไม้ สวยอยู่ไม่น้อย“รอก่อนนะขอรับข้าน้อยจะไปแจ้งท่านแม่ทัพให้” ทหารหนุ่มสีหน้าซีดเซียว แม้จะรู้ว่าตราไว้ชีวิตมีไว้ทำอันใด แต่เขาเกรงว่าครั้งนี้จะตัดสินใจพลาดจนถูกแม่ทัพลงโทษ หรือถ้าหากเกิดเขาปล่อยแขกของท่านแม่ทัพไป เกรงว่าจะยิ่งถูกลงโทษหนัก สถานการณ์เช่นนี้เลือกทางไหนก็ไม่รอด นอกจากท่านแม่ทัพจะให้ความสำคัญกับแขกคนนี้ทหารหนุ่มยืนอยู่ต่อหน้าประตูห้องทำงานส่วนตัว เมื่อเช้าเขาได้รับคำสั่งว่าไม่ให้ผู้ใดมารบกวน แต่ตอนนี้เขาลังเลว่าจะรอดต
มือเรียวยกกาน้ำชาขึ้นมารินให้บิดาอย่างเรียบร้อย จึงเลื่อนไปรินให้มารดาที่นั่งยิ้มให้กับนาง ทั้งสองคนดีใจจนยิ้มไม่หุบ ที่บุตรีสุดที่รักกลับมาให้เอ็นดูอีกครั้ง นับตั้งแต่พี่สาวของนางออกเรือน จวนตระกูลหลานก็เงียบเกินไป จะดีแค่ไหนหากพวกนางสองคนมีหลานให้พวกเขาทั้งสอง แม้ว่าหลานเสวี่ยจะไม่มีโอกาสแล้วก็ตาม เรื่องนี้ทั้งสองรู้ดี แต่พี่สาวนางกำลังจะได้รับข่าวดี จวนจะได้ครึกครื้นไม่เงียบเหงาอีก “กลับมาไม่นาน ลูกปรับตัวได้หรือยัง ที่นี่ค่อนข้างห่างไกลเมืองหลวงไม่ค่อยมีอันใดให้เพลินตานัก” มารดาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม“ลูกปรับตัวได้เจ้าค่ะ อีกอย่างที่เมืองหลวงไม่ค่อยมีอันใดให้ลูกดูมากนัก ที่นี่น่าดูมากกว่า” “ถ้าเช่นนั้นพ่อจะสั่งคนทำห้องให้เจ้าใหม่ จะได้อยู่สบายขึ้น รออีกสักสามเดือนพี่สาวเจ้าก็จะมาเยี่ยมแล้ว ตอนนี้ลูกคงไม่รู้ว่าพี่สาวของเจ้าตั้งครรภ์แล้วนะ” ใต้เท้าหลานพูดด้วยน้ำเสียงปีติ แสดงออกมาชัดเจน“จริงหรือ เป็นเรื่องดีแท้ ๆ ท่านทั้งสองจะได้ไม่เหงามาก ลูกเองก็จะมาเยี่ยมบ่อย ๆ เจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นสองสามีภรรยาก็มองหน้ากันอย่างสงสัย ทั้งที่คิดไว้ว่านางจะมาอยู่ด้วยกันที่นี่“ลูกไม่มาอยู่ที่